.....................ผุดโครงการทำนาพึ่งพาธรรมชาติ ปลูกฝังค่านิยมสืบสานแบบดั้งเดิม
ผลพวงจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งสูง และนับวันจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัด ที่นอกจากจะส่งผลให้สินค้าตามท้องตลาดทั่วไปมีการปรับราคาจำหน่ายขึ้นอีกหลายเท่าตัวแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรที่ต้องแบกรับภาระหนักในการครองชีพ และการประกอบอาชีพ เนื่องจากราคาปุ๋ย-ยา-เครื่องมือทางการเกษตรมีการปรับราคาขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นผลให้หลายภาคส่วนเริ่มที่จะมองหาหนทางวิธีแก้ไขปัญหา ถึงแม้ว่าอาจจะขยับตัวช้าไป อย่างน้อยก็เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ลดน้อยถอยลงกว่านี้บ้าง เช่นที่โรงเรียนหัวหินวัฒนาลัย ต.หัวหิน อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 ได้จัด โครงการทำนาแบบพึ่งพาธรรมชาติตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยนำนักเรียนเรียนรู้วิธีการทำนาแบบดั้งเดิม
นายวีระศักดิ์ กุญชนะรงค์ ผู้อำนวยการโรงเรียนหัวหินวัฒนาลัยเปิดเผยว่า จากที่ราคาสินค้าภาคการกสิกรรมที่ชาวนาชาวไร่ต้องแบกรับเป็น ภาระหนักในฤดูกาลเพาะปลูกปีนี้ ที่ราคาปุ๋ยเคมี ณ ช่วงวิกฤติน้ำมันแพงราคาซื้อขายถุงละ 1,200-1,300 บาท หรือราคาจำหน่ายเงินเชื่อถุงละ 1,500-1,600 บาท โดยผู้ประกอบการอ้างว่าเนื่องจากค่าขนส่งที่สูงขึ้น จำเป็นต้องปรับราคาสินค้าเพื่อให้สอดรับกับรายจ่าย ขณะที่อัตราค่าจ้างแรงงานในการทำนาที่เริ่มเพาะปลูกช่วงเดือนพฤษภาคม วันละ 150 บาท และกลุ่มผู้ใช้แรงงานได้ขอปรับขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งถึงช่วงนี้มีการจ้างกันสูงถึงวันละ 240 บาท ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ที่เกิดขึ้น จึงทำให้ต้องมองไปข้างหน้าว่าภาระนี้จะไม่หยุด ตราบใดที่ราคาน้ำมันยังพุ่งสูงไม่หยุดหย่อน แถมยังตกเป็นเบี้ยล่างให้พ่อค้านายทุนเอารัดเอาเปรียบด้วยการกดราคารับซื้อผลผลิตอีกด้วย
โรงเรียนหัวหินวัฒนาลัย เป็นโรงเรียนขยายโอกาส เปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ปัจจุบันมีนักเรียนจำนวน 345 คน บุคลากรการศึกษา 18 คน มีผู้ปกครองของนักเรียนถึง 95% ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม จึง รู้สึกเห็นใจผู้ปกครองและพี่น้องเกษตรกรเป็นอย่างมาก เพราะไหนจะต้องซื้อปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพงมาใช้ในแปลงนา ไหนจะค่าน้ำมันในการคราดไถ ไหนจะค่าแรงในการปักดำและเก็บเกี่ยว ไม่เพียงแค่นี้ ยังมีค่าใช้จ่ายที่ตายตัวในแต่ละวัน เพื่อให้บุตรหลานใช้จ่ายในการมาเรียนหนังสืออีกด้วย นายวีระศักดิ์กล่าวและว่า
โรงเรียนหัวหินวัฒนาลัยตระหนักในปัญหาที่เกิดขึ้น ในฤดูกาลเพาะปลูกปีนี้ จึงได้จัดโครงการทำนาแบบพึ่งพาธรรมชาติ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยรูปแบบของโครงการ ในแต่ละวันจะนำเด็กนักเรียนของแต่ละห้องลงทำนาในแปลงเกษตรหรือแปลงนาที่เตรียมไว้ เช่น พื้นที่ว่างเปล่าหลังโรงเรียน และพื้นที่นาของเกษตรกรที่ขาดแคลนแรงงาน หรือไม่มีเงินทุนจ้างแรงงาน ซึ่งสามารถทำให้เด็กได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ที่ไม่เพียงแต่จะได้ศึกษาวิธีการทำนาตามขั้นตอนที่บรรพบุรุษเคยทำเท่านั้น ยังจะได้ปฏิบัติจริงด้วยตนเอง เพื่ออนุรักษ์และปลูกจิตสำนึกในการทำนาแบบพึ่งพาธรรมชาติ ที่หมายถึงการเดินตามรอยบรรพบุรุษ และยึดแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิม ตั้งแต่การใช้ควายคราดไถ การตกกล้า การบำรุงรักษาโดยใช้ปุ๋ยคอก การถอนต้นกล้า การปักดำ เพื่อให้รู้จักนำวิธีการมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อครอบครัวตนเอง ทั้งนี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ในยุควิกฤติน้ำมันแพงค่าแรงงานสูง ที่จะเป็นการปลุกจิตสำนึก สร้างแนวทางการทำนาแบบพึ่งพาธรรมชาติในระยะยาวได้ เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรที่มีฐานะยากจนไม่มีเงินจ้างแรงงานที่มีราคาสูงเป็นการช่วยเหลือสังคมไปในตัวอีกด้วย
ขณะที่ นายอิทธิ พล พลโคกก่อง ครู ค.ศ.2 หัวหน้ากลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี ผู้เสนอโครงการกล่าวว่า เนื่องจากต้นทุนการผลิตด้านการกสิกรรม และการประกอบอาชีพอื่น ๆ เพิ่มสูงขึ้นทุกขณะ ที่มีสาเหตุจากภาวะความผันผวนของราคาน้ำมัน ที่ตามปั๊มใน
เขตชนบทดีเซลลิตรละ 44 บาท เบนซินลิตรละ 43 บาท และ มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไม่หยุดส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ต่อผู้ประกอบการทุกสาขาอาชีพ และการดำรงชีพของประชา ชนทุกชนชั้น โดยเฉพาะ รากหญ้า ที่เป็นกลุ่มพี่น้องชาวไร่ชาวนา ซึ่งเป็นผู้ปกครองของเด็กนักเรียน ที่ได้รับผลกระ ทบและประสบปัญหาหนัก เนื่องจาก รายได้ต่ำ และไม่มีหลักประ กันที่แน่นอน ทุกคนต้องดิ้นรนขวนขวาย เพื่อหารายได้มาใช้จ่ายในแต่ละวัน จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องจัดทำโครงการทำนาแบบพึ่งพาธรรมชาติ ตามแนวพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่นอกจากจะทำให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้วิธีการทำนาแล้ว ยังแฝงคติสอนใจอยู่ในทีด้วยว่า การทำงานหรือการทำนานั้น เป็นเรื่องยากลำบากแค่ไหน ที่กว่าจะได้ผลผลิตเป็นข้าวมาเลี้ยงครอบครัว...พ่อแม่เราต้องใช้ความเพียรพยายามสักปานใด ที่กว่าจะนำข้าวไปขายได้เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์มาให้เราได้ใช้จ่าย
ด้านนายอำนาจ ชะเวรัมย์ นักเรียนชั้นม.3/1 กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้ร่วมโครงการทำนาแบบพึ่งพาธรรมชาติตามแนวพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้เพื่อน ๆ ต่างก็มีความตื่นตัวที่จะร่วมกิจกรรมเป็นอย่างมาก ที่นอกจากจะได้ร่วมกิจกรรมการมีส่วนร่วม เพื่อสร้างความสัมพันธ์ มีการช่วยเหลือแบ่งปันน้ำใจระหว่างเพื่อนแล้ว ยังได้ช่วยเหลือสังคม ได้ศึกษาเรียนรู้วิธีการทำนาซึ่งบรรพบุรุษชาวไทยที่ได้ชื่อว่าเป็น กระดูกสันหลังของชาติเคยสืบสานมาหลายชั่วอายุ หากแต่เริ่มเสื่อมสูญไปตามยุคสมัย เนื่องจากมีการนำเครื่องจักรเครื่องยนต์ทางการเกษตรมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวก แต่ก็คล้ายเป็นดาบสองคมที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และทำให้ผลผลิตที่ได้ไม่คุ้มกับการลงทุน
การได้ร่วมโครงการดังกล่าว ยังทำให้ได้รับความรู้อีกด้วย ว่า การใช้ปุ๋ยเคมีในแปลงนา ทำให้สภาพดินเสื่อม เกิดสารพิษตกค้าง การใช้รถไถนาเดินตามหรือใช้เครื่องจักรกลการเกษตร ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและเกิดปัญหามลพิษ เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ฉะนั้นการได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว จึงเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ที่ตนจะนำหลักการไป ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป เพราะเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้วิธีการทำนาแบบดั้งเดิมจะได้รับความนิยมมาก เนื่องจากประหยัดรายจ่าย ไม่เกิดผลเสียต่อสุขภาพ และช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้ อีกด้วย.
ที่มา http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=171551&NewsType=1&Template=1
จากคุณ :
ญี่ปุ่น35
- [
28 ก.ค. 51 01:29:04
]