ความคิดเห็นที่ 1 สู้ๆค่พี่ออแกน หายเร็วๆนะคะ จะได้ทำงานสวยๆน่ารักๆมาให้ชมกันอีก นะคะ จากคุณ : knitlee - [ 30 ส.ค. 51 14:43:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 โอ มีประโยชน์มากเลย ขอบคุณนะคะที่มาเล่าให้ฟัง ขอให้หายเร็วๆนะคะ จากคุณ : GadZook! - [ 30 ส.ค. 51 16:03:43 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณค่ะ ดีใจที่อาการเราอยู่ในระดับเด็กๆ เกือบครบ 6 ชั่วโมงแล้ว ยังไม่กล้าถักไหมพรม เพราะมันต้องใช้สายตา ยังสงสัยเรื่องโรคตาแห้งอีก จัดการค้นเนทสักหน่อย ได้ข้อมูลมาถูกใจมาก http://www.happyoppy.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=460576&Ntype=5 การรักษาโรคตาแห้ง การรักษาโรคตาแห้ง มีหลายวิธีที่สามารถปฏิบัติเองได้ง่ายๆ จนถึงต้องพบจักษุแพทย์ วิธีการรักษามีดังนี้ 1. ลดการระเหยของน้ำตาให้น้อยลง เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดีคือ หลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงกับแดดและลม โดยสวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง ไม่นั่งในที่ที่มีลมพัดหรือแอร์เป่าใส่หน้า 2. กระกระพริบตาถี่ๆ ในภาวะปกติคนเราจะกระพริบตานาทีละ 20 - 22 ครั้ง ทุกครั้งที่กระพริบตา เปลือกตาจะรีดผิวน้ำตาให้มาฉาบผิวกระจกตา แต่ถ้าในขณะที่จ้องหรือเพ่งตาจะลืมค้างไว้นานกว่าปกติ ทำให้กะรพริบตาเพียง 8 - 10 ครั้ง น้ำตาก็จะระเหยออกไปมาก ทำให้ตาแห้งเพิ่มขึ้นจึงควรพักสายตา โดยการหลับตา กระพรบตา หรือลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถ ประมาณ 2 - 3 นาที ในทุกครึ่งชั่วโมง 3. สำหรับผู้ที่ตาแห้งมาก อาจใช้กรอบแว่นชนิดพิเศษที่มีแผ่นคลุมปิดกันลมด้านข้าง แว่นชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยครอบทั้งดวงตาและป้องกันลมด้วย หรือจะใช้แผ่นซิลิโคนชนิดพิเศษที่ใสบางและนุ่ม นำมาตัดให้เข้ากับด้านข้างของกรอบแว่นตาคู่เดิม ซึ่งเรียกว่า Moist Chamber 4. ใช้น้ำตาเทียม น้ำตาเทียมคือ ยาหยอดตาที่ใช้เพื่อหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นกับผู้ที่ตาแห้ง น้ำตาเทียมมี 2 ชนิดคือ 4.1 น้ำตาเทียมชนิดน้ำ - เหมาะที่จะใช้ในเวลากลางวัน เพราะไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ทำให้ตามัว แต่มีข้อจำกัดคือ ต้องหยอดตาบ่อย 4.2 น้ำตาเทียมชนิดเจลและขี้ผึ้ง - มีลักษณะเหนียวหนืด หล่อลื่นและคงความชุ่มชื้นได้นานกว่าชนิดน้ำ แต่จะทำให้ตามัวชั่วขณะหลังป้ายยา จึงควรใช้ป้ายตาแต่น้อยก่อนเข้านอน การรักษาด้วยวิธีใช้น้ำตาเทียม เวลาในการหยอดตาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการตาแห้ง หากวันใดไม่ถูกลม แล้วรู้สึกสบายตาก็ไม่จำเป็นต้องหยอด แต่ถ้ารู้สึกเคืองตามาก ก็หยอดบ่อยๆ ได้ตามต้องการ ข้อควรระวังในการใช้น้ำตาเทียม ผู้ป่วยที่ตาแห้งน้อย หยอดตาไม่กินวันละ 4 - 5 ครั้ง สามารถใช้ยาหยอดตาชนิกขวดที่มีสารกันบูดได้ กรณีผู้ป่วยที่ตาแห้งมาก และหยอดตามากกว่าวันละ 6 ครั้ง จักษุแพทย์จะสั่งน้ำตาเทียมชนิดพิเศษที่ไม่มีสารกันบูด (Preservative-Free Tear) ให้ใช้แทน ซึ่งมีข้อจำกัดก็คือ ยาจะบรรจุในหลอดเล็ก เมื่อเปิดใช้แล้วต้องใช้ให้หมดภายใน 16 ชั่วโมง หากใช้นานกว่านี้ อาจะเกิดการปนเปื้อนของเชื้อโรค 5. การอุดรูระบายน้ำตา สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งอย่างรุนแรง จักษุแพทย์จะใช้วิธีอุดรูระบายน้ำตาเพื่อขังน้ำตาที่มีอยู่ให้หล่อเลี้ยงตาอยู่ได้นานๆ ไม่ปล่อยให้ไหลทิ้งไป เหมือนกับการสร้างเขื่อนกั้นเก็บกักน้ำไว้ใช้ วิธีและขั้นตอนในการอุดรูระบายน้ำตามี 2 วิธี คือ การอุดแบบชั่วคราว และการอุดแบบถาวร --- สำหรับการอุดแบบชั่วคราว จักษุแพทย์จะสอดคอลลาเจนขนาดเล็กเข้าไปในรูท่อน้ำตา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตาขึ้น โดยคอลลาเจนจะสลายไปเอง ภายใน 3 สัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยที่มีน้ำตาแห้งมาก จักษุแพทย์จะอุดรูระบายน้ำตาแบบถาวรให้ ทั้งนี้ จะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย (ที่มา: เอกสารเผยแพร่ ศูนย์เลสิคและรักษาสายตารัตนิน - กิมเบล (โรงพยาบาลจักษุ รัตนิน) http://www.rutningimbel.com) จากคุณ : organ 04 - [ 30 ส.ค. 51 16:49:09 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อมูลอันนี้ยิ่งถูกใจใหญ่ http://www.happyoppy.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=460544&Ntype=5 โรคตาแห้ง (Dry Eyes) ตาแห้งคืออะไร ตาแห้ง คือ การที่ปริมาณน้ำตาที่มาหล่อเลี้ยง ให้ความชุ่มชื่นกับดวงตา เคลือบกระจกตาดำไม่พอ พบในผู้ป่วยทุกเพศและทุกวัย แต่ที่พบบ่อยมากในผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือน โดยปกติน้ำตาถูกสร้างจากต่อมน้ำตา 2 กลุ่ม ได้แก่ ต่อมน้ำตาที่เป็นเซลล์เล็กๆ ซึ่งฝังตัวอยู่บริเวณเยื่อเมือกที่คลุมตาขาวและด้านในของเปลือกตา มีหน้าที่ผลิตน้ำตาออกมาหล่อลื่นตาตลอดทั้งวันในภาวะปกติเรียกว่า Basic Tear Secretion ต่อมน้ำตาใหญ่ อยู่ใต้โพรงกระดูกเบ้าตาบริเวณหางคิ้ว มีหน้าที่ผลิตน้ำตาออกมาเฉพาะเวลาที่มีอารมณ์ต่างๆ เช่น อาการเจ็บปวด ระคายเคืองตา ดีใจหรือเสียใจ เรียกว่า Reflex Tearing สาเหตุของโรคตาแห้ง ส่วนใหญ่ไม่พบสาเหตุ แต่มักพบในผู้หญิงที่มีอายุมากขึ้น ซึ่งการสร้างน้ำตาจะค่อยๆ ลดลงเอง โดยเฉพาะในวัยหลังหมดประจำเดือน เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในร่างกาย และจะพบในผู้ป่วยที่เป็นโรค Sjogren's Syndrome ซึ่งมีอาการตาแห้งร่วมกับข้ออักเสบและปากแห้ง ยาบางชนิดอาจจะทำให้กระบวนการสร้างน้ำตาลดลง เช่น ยากลุ่มแอนตี้ฮิสตามีน ใช้รักษาหวัดและภูมิแพ้ ยากล่อมประสาท ยาทางจิตเวช ยาลดความดันโลหิตสูงในกลุ่มที่ออกฤทธิ์โดยการขับปัสสาวะ เป็นต้น หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ก็สามารถใช้ยาต่อไปได้ แต่ต้องรักษาอาการตาแห้งร่วมไปด้วย ผู้ป่วยที่มีเยื่อบุตาอักเสบรุนแรงจากการติดเชื้อ หรือจากการแพ้ยาที่เรียกว่า Stevens-Johnson Syndrome การอักเสบที่รุนแรงและเรื้อรัง อาจไปทำลายต่อมสร้างน้ำตาเล็ฏๆ ที่เยื่อบุตาขาว ทำให้ผู้ป่วยเกิดตาแห้งชนิดรุนแรงได้ จักษุแพทย์จะวินิจฉัย "โรคตาแห้ง" โดยการซักประวัติ และบางครั้งอาจใช้วิธีทดสอบ โดยการวัดปริมาณน้ำตาที่เรียกว่า Schrimer's Test โดยการให้ผู้ป่วยหลับตา แล้วใช้แถบกระดาษกรองมาตรฐานสอดไว้ที่ซอกเปลือกตาด้านล่างค่อนไปทางหางตา ใช้เวลา 5 นาที  แล้วเริ่มวัดระยะความเปียกของกระดาษจากขอบตาออกมาบันทึกไว้ ซึ่งหากปริมาณน้ำตาปกติจะวัดแถบน้ำตาที่เปียกได้ 10 มิลลิเมตรขึ้นไป อาการของโรคตาแห้ง ตาจะรู้สึกฝืด เคืองระคายคล้ายมีเศษผงเข้าตา แสบร้อน บางรายมีขี้ตาเป็นเมือกเหนียวยืดเป็ฯเส้น เพราะน้ำตามีส่วนประกอบของน้ำเมือกและน้ำมัน เมื่อโดนแดดและลม น้ำจะถูกระเหยไป เมือกข้นมากขึ้น ผู้ป่วยจึงมีขี้ตาซึ่งมีลักษณะเป็นเมือกสีขาว หรือสีเหลืองนวลมากกว่าปกติ ผู้ป่วยที่ใส่คอนแทคเลนส์อยู่ ถ้ามีอาการตาแห้ง จะทำให้ระคายเคืองเพิ่มมากขึ้น บางครั้งผู้ป่วยจะมีอาการน้ำตาไหล สาเหตุเนื่องจากนน้ำตาปกติลดน้อยลง มีอาการระคายเคือง ทำให้ต่อมน้ำตาใหญ่ (Reflex Tear) บีบน้ำตาออกมามากจนล้นไหล จนถึงน้ำตาแห้งวนกลับมาอีก ถึงระดับที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง น้ำตาก็จะไหลออกมามาก อาการจะสลับกันเช่นนี้เป็นระยะๆ ไป โปรดติดตามอ่าน "วิธีการรักษาโรคตาแห้ง" ในตอนต่อไป (ที่มา: เอกสารเผยแพร่ ศูนย์เลสิคและรักษาสายตารัตนิน - กิมเบล (โรงพยาบาลจักษุ รัตนิน) http://www.rutningimbel.com) เสียดายหาโรควุ้นน้ำตาตกตะกอนไม่เจอ...อันนี้หละที่เห็นเส้นสีขาวๆ วิ่งไปวิ่งมา จากคุณ : organ 04 - [ 30 ส.ค. 51 16:58:17 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่ได้ต้องหาข้อมูลโรควุ้นตาตกตะกอนให้ได้ โลกอินเตอร์เนท ในที่สุดก็หาเจอ โรควุ้นตาตกตะกอน http://www.thaiglaucoma.org/forums/index.php?topic=3.0 ThaiClinic.Com - วุ้นน้ำตาหลุด จอประสาทตาเสื่อม ต่างกันยังไง http://www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=eye;action=display;num=1139564784 อาการเราแค่เบื้องต้น...ต้องรักษาให้หาย...เรามีวิธีรักษาพื้นๆ ส่วนตัว คราวนี้คงห้ามขี้เกียจแล้วอ่ะ ไว้จะมาแจ้งผลการรักษาให้ทราบนะค่ะ เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ทุกท่าน จากคุณ : organ 04 - [ 30 ส.ค. 51 17:25:55 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เป็นประโยชน์มาก ๆ เลยค่ะ ต้องระวังและดูแลตัวเองเช่นกันค่ะ เห็นด้วยค่ะว่าเรื่องตา ขี้เหนียวไม่ได้ จากคุณ : BeeJang - [ 30 ส.ค. 51 17:42:11 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อุ้ยก็เพิ่งไปผ่าตัดตามาค่ะ...อาการของโรค คือ  เป็นโรคต้อลม ทุกๆๆ ท่านต้องระวังให้ดีนะคะ ไปท่ามกลางแสงแดด อันแผดเผาผิวหนังของเราแล้ว ไฉน มันยังมาจ้องทำลายดวงตาเราด้วย  อย่าลืมใส่แว่นกันแดดด้วยนะคะ  เพื่อสุขภาพตาของเรา สำคัญมากๆๆๆๆๆ...และที่สำคัญ เดี๋ยวนี้คนเราเป็นโรคต้อลมง่ายมากๆค่ะ ถ้าหากเราดูแลตาของเราไม่ดี หรือละเลยต่อการถนอมดวงตาของเรา  เสียบุคลิกภาพมากๆ ค่ะ   งั้นของอุ้ยมาให้ความรู้เรื่องโรคต้อลม ดีกว่าค่ะ... -------------- โรคต้อลม โรคต้อลมคือภาวะที่เยื่อบุตาขาวมีการหนาตัวขึ้นเนื่องจากสารสัมผัสสิ่งระคายเคือง เช่น ลม ฝุ่น หรือแสงจ้าๆมาเป็นเวลานาน จะทำให้มีอาการเคืองตา ตาแดงเมื่อโดนสิ่งระคายเคืองดังกล่าว และอาจสังเกตเห็นเป็นเยื่อสีขาวเหลืองที่บริเวณตาขาวหัวหรือหางตา  หากอาการเป็นมากๆขึ้นเยื่อขาวนี้อาจลุกลามเข้าในกระจกตาดำ เรียกว่าเป็นต้อเนื้อได้  ดังนั้นการดูแลรักษาโรคต้อลมที่ดีที่สุดคือ พยายามหลีกเลี่ยงสารละคายเคือง เช่น ฝุ่น ลม และแสงจ้าๆ หากมีอาการเคืองหรือคันตามาก ควรปรึกษาแพทย์เพราะการใช้ยาหยอดตาชนิดสเตียรอยด์บ่อยๆอาจทำให้เกิดโรคต้อหินซึ่งเป็นอันตรายต่อตามากกว่าแทรกได้***1 อาการที่สำคัญ คือ เคืองตา แสบตาน้ำตาไหล ตาแดง และคันตา สำหรับการรักษาใช้ยาหยอดตาซึ่งจักษุแพทย์จะเป็นผู้พิจารณา สวมแว่นกันแดด และการผ่าตัด หลักโดยทั่วไป หากต้อลมไม่อักเสบ ก็ไม่จำเป็นต้องรักษา เนื่องจากต้อลมจะไม่ลามเข้าตาดำหรือทำให้ตามัวลง น้อยรายมากที่จะทำให้เกิดความรำคาญมาก อาจพิจารณาผ่าตัดลอกออกได้ แต่ก็อาจเกิดรอยแผลเป็นซึ่งอาจทำให้ไม่น่าดูพอ ๆ กับลักษณะต้อลมที่เป็นแต่แรก***2 เครดิต : ***1 นพ.ศักดิ์ชัย  วงศกิตติรักษ์  จักษุแพทย์  ; http://www.hewhew.com/view_topic3.php?t=655 ***2  BangkokHealth ; http://www.bangkokhealth.com/consult_htdoc/Question.asp?GID=63630 -------- เอาสารรูปมาให้ดูค่ะ...เพิ่งไปผ่ามาเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมานี่เอง  ตอนนี้ก็ตัดไหมออกแล้ว หยอดตาทุก 4 ช.ม. ด้วยน้ำยาสเตียรอยด์ที่แพทย์สั่งให้ เพราะในตาตรงรอยที่ผ่าตัดยังบอบช้ำอยู่  เหลือแต่พบแพทย์อีกครั้งกลางเดือนหน้าค่ะ  ...(ขอบอกอีกครั้ง ว่าการผ่าตัดตา ทรมานแสนสาหัสค่ะ  5555) จากคุณ : อุ้ยจังสวยสุดๆๆ กิ๊วๆๆ (oui_wikanda01) - [ 30 ส.ค. 51 17:55:51 ]

ความคิดเห็นที่ 8 หายไวๆนะค่ะ จากคุณ : the amp and nice show - [ 30 ส.ค. 51 19:52:45 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ  หายเร็วๆนะคะ จากคุณ : ตาสก๊อตสีส้ม - [ 30 ส.ค. 51 20:15:31 ]

ความคิดเห็นที่ 10 หายไว ๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ จากคุณ : Flowerdream - [ 30 ส.ค. 51 20:35:20 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ฮี่ๆ เส้นๆวิ่งไปวิ่งมาน่ะ ตั้งแต่จำความได้เราก็เห็นมาตลอดเลย จนเมื่อก่อนนึกว่าใครๆก็เป็นเหมือนเรา มันเป็นอาการของวุ้นตาเสื่อม ถ้ามันไม่ได้มากมายขึ้นฉับพลันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก อยากแก้ความเข้าใจที่ว่า "เพราะเมื่อม่านตาขยายโอกาสสิ่งสกปรกจะเข้าไปข้างในตาได้ง่ายๆ" << ม่านตา น่ะ มันอยู่ข้างใน หลังกระจกตา ดังนั้น การขยายม่านตา มันไม่ได้เปิดกระจกตา มันเลยไม่สามารถทำให้สิ่งสกปรกเข้าไปได้หรอก เพียงแต่ช่วงม่านตาขยาย ตาจะสู้แสงไม่ค่อยได้ มองก็ไม่ชัด หมอเลยอยากให้กลับไปพักผ่อน เลยห้ามไปช๊อปปิ้งต่อ นะ จากคุณ : หยิบหย่ง - [ 30 ส.ค. 51 20:44:36 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อื้ม อุ้ยจัง หายไวๆน้า ละหมอบอกป่าว ว่า ต้อลมน่ะ ลอกแล้วมันก็เป็นใหม่อีกได้ ต้องรักษาตัวดีๆนะ ต่อไปนี้ ห้ามเอาตาโต้ลม ต้องใส่แว่นกันแดดกันลม แบบโตๆปิดด้านข้างด้วยนะ จะได้ยืดเวลาของการเป็นใหม่ไปได้อีกยาวๆ จากคุณ : หยิบหย่ง - [ 30 ส.ค. 51 20:47:18 ]

ความคิดเห็นที่ 13 พี่หย่งคะ  ขอบคุณค่ะ  ฮี่ๆๆ ... คุณหมอบอกค่ะ  ว่าให้ใส่แว่นกันแดด แบบตาโตๆๆ 5555 ทุกวันนี้ออกไปไหนต้องใส่แว่นตาอันใหญ่ ปาไปครึ่งหน้าเลยค่ะ อำพลางตัวปานดารา กร๊ากๆๆๆๆ... ถ้าใส่หมวกโม่งด้วยนี่  ใช่เลย... ตำรวจได้ปิดคดีปล้นร้านทองแหง๋มๆๆ ทีแรกก็กะว่าจะไม่ผ่าแล้วค่ะ  แต่ต้อลมที่อุ้ยเป็นเนี่ย  มันอักเสบ คือมันเป็นก้นเนื้อโผล่ขึ้นมาเยอะมาก ตรงระหว่างตาขาว+ตาดำ แล้วทีนี้ น้ำตาไม่สามารถจะเข้าไปหล่อเลี้ยงตาดำได้  เพราะตรงที่เป็นต้อเนื้อ มันจะมีลักษณะเป็นแอ่งลงไป เหมือนปล่องภูเขาไฟ น่ากลัวมากกกก...ก อุ้ยก็จะระคายเคือง+แสบตา เวลาโดนแสง  น้ำตาไหลตลอดเลยค่ะ  ไม่ไหวค่ะ ลอกออกก็ลอกออก...ตอนนี้ก็เลยต้องทะนุถนอมมโหฬาร อุ้ยเป็นทั้งสองข้างเลยค่ะ  ต้นเดือนผ่าข้างขวา  เดี๋ยวรอดูผลก่อนว่าเป็นอย่างไร? ข้างซ้ายนี่ยังเงียบๆอยู่ ยังไม่โผล่เท่าไหร่ค่ะ จากคุณ : อุ้ยจังสวยสุดๆๆ กิ๊วๆๆ (oui_wikanda01) - [ 30 ส.ค. 51 21:32:42 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อาการทางตานี่ลำบากจริงๆคะ เราก็มีอาการตาแห้งตั้งแต่เด็ก ไปทำเลสิคมายิ่งตาแห้ง-_-'' ต้องอาศัยน้ำตาเทียมมาตลอด แรกๆก็ทนเอาคะ เพราะขี้เกียจหยอดน้ำตาเทียม แต่พอใช้น้ำตาเทียมบ่อยๆ ก็ติด ต้องใช้ไม่ขาดเลยคะ น้ำตาเทียมแบบเป็นขี้ผึ้งก็เคยใช้ค่ะ แต่ใช้เฉพาะก่อนนอน ตื่นเช้ามาตาชุ่มฉ่ำดีคะ ตอนนี้รำคาญตากุ้งยิงมาก เพิ่งเคยเป็นช่วงนี้ เจาะออกไปแล้วก็ไม่หาย เป็นตุ่มซ้ำที่เดิม ขนาดเท่าเดิมเลย-_- สงสัยได้เจ็บตัวอีกรอบ T_T ที่สำคัญยิ่งกว่าเจ็บตัวคืออาการกลัวเลือด ถึงแม้ว่าผ้าตาจะแผลเล็ก แต่เลือดนิดๆหน่อยก็ทำใจไม่ไหวคะ เห็นแล้วเป็นลมทุกครั้ง ไม่ว่าจะเลือดสดเลือดแห้ง มีใครพอจะแนะนำวิธีแก้อาการกลัวเลือดมั๊ยคะ จากคุณ : แจน (มะกิ~หมะกี๊~หมี่เกี๊ยว~) - [ 30 ส.ค. 51 23:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอเป็นสมาชิกห้องนี้ด้วยคนนะคะ ซุ่มอ่านกระทู้มานานแล้ว ------------------------------------- ส่วนตัวก็มีอาการวุ้นตาเสื่อมตั้งแ่ต่สมัยสาว ๆ  อาการเหมือนเส้นสีดำลอยไปลอยมา เคยก้มลงดื่มน้ำ นึกว่าเศษผงหล่นอยู่ในน้ำ จนตอนนี้ก็เริ่มชินแล้ว จากคุณ : แม่หมูอ้วนพี - [ 30 ส.ค. 51 23:49:47 ]

ความคิดเห็นที่ 16 สมเอมี่ก็เป็นค่ะ ที่หายไปพักนึงไวคะ ทุกวันนี้ต้องหยอดน้ำตาเทียมค่ะ ใช้เนตนานๆไม่ค่อยได้ เดินชอปนานๆยังก็ตาแห้งละ แสบตาด้วยค่ะ ต้องพกน้ำตาเทียมไว้ ยังไงก็ขให้หายไวๆนะคะ จากคุณ : สมเอมี่ ณ มาดริด (ANGEL IN THE BLUE) - [ 31 ส.ค. 51 01:49:20 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ว่าจะมาบอก ยัยอุ้ยมันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านตา ก๊ากกกก หายไวๆ ละกันนะค่ะ จากคุณ : PandaNana - [ 31 ส.ค. 51 05:03:06 ]

ความคิดเห็นที่ 18 หายเร็วๆ นะค๊ะ พักๆ บ้างก็ได้น๊า แล้วค่อยๆ เข้ามาเยี่ยมกันใหม่เน๊อะ ^-^ จากคุณ : Girandola - [ 31 ส.ค. 51 05:51:07 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณมากค่ะ สำหรับทุกท่าน คุณ : หยิบหย่ง ...ขอบคุณค่ะ สำหรับคำอธิบายม่านตา เห็นหมอก็บอกเหมือนกันว่าส่วนใหญ่อาการวุ้นตาเสื่อมมักเป็นกันเมื่ออายุ 40 ขึ้นไป คุณ : อุ้ยจังสวยสุดๆๆ กิ๊วๆๆ (oui_wikanda01)...ขอให้หายไวๆ นะ เรามีวิธีเชยๆ ที่สร้างกำลังใจให้ตัวเองเสมอ เช่น ตอนนั้นผ่าตัดที่ข้อเท้าซ้าย หลังผ่าตัดมักไปไว้พระ แล้วใช้แผ่นทองปิดที่ข้อเท้าซ้ายพระ พร้อมอธิฐาน เวรกรรมสมัยนี้ตามทันเร็วนะ เพราะก่อนหน้านั้นหลายปีตอนเป็นมือใหม่ขับรถ เราขับรถชนหมาตัวหนึ่งที่ประจวบคีรีขันธ์ เดินไปหาหมาตัวนั้นเพื่อพาไปหาหมอ แต่หมามันเห่าใหญ่เลย เพื่อนบอกว่า...สงสัยมันเข้าใจว่าเราจะไปทำร้ายมัน ไปเถอะ  พอชนปุ๊บรีบเข้ารถเข้าวัดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงทันที ข้าวของที่นำมาเพื่อสันสรรกับเพื่อนถวายให้พระหมดเลย โดยอธิฐานว่า...ขอให้หมาตัวนั้นหายไวๆ  พระท่านก็งง แต่พอท่านไปดูที่หน้ารถเท่านั้นหละ เหมือนท่านเห็นอะไรบางอย่าง เราก็ขอให้ท่านเจิมรถให้หน่อย โอ....พระท่านเข้านั่งตำแหน่งคนขับ สวดอะไรไม่รู้ยาวมาก แล้วนานด้วย เพื่อนเราก็งง ทำไมสวดนานอย่างนี้ ต่อมาไม่นาน หนึ่งในเพื่อนสองคนที่ไปด้วย ก็ขับรถตัวเองมาให้พระคนเดิมเจิมรถให้ แต่คุณเธอบอกว่า...แหมท่านสวดนิดเดียวเอง ไม่เหมือนของเธอ ก็จะเหมือนได้ไง เราเพิ่งไปทำกรรมมา ต่อมาอีกหลายปี สงสัยบุญยังเยอะอยู่ กรรมมันเลยตามมาช้าหน่อย เราไปขี่จักรยานที่เชียงใหม่ ขี่ตกจักรยาน ตัวลอยจากจักรยาน หัวไปฟาดก้อน เท้ากระแทกพื้นอย่างแรง จมูกก็กระแทกพื้นด้วย เกิดเรื่องปุ๊บ มีผู้ชายชาวเขาขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมา เค้าช่วยนำพาส่งโรงพยาบาล เราให้เงินเป็นสินน้ำใจ เค้าไม่รับเลย ซึ้งมาก พอใส่เฝือกชั่วคราวเสร็จบินกลับกรุงเทพทันที ขาเดี้ยงเหมือนหมาตัวนั้นเลย นี่ถ้าตอนนั้น ชนหมาเสร็จไม่รีบทำบุญ จะมีคนผ่านมามาช่วยไหมเนี่ย คุณ : แจน (มะกิ~หมะกี๊~หมี่เกี๊ยว~) ....เลือดมันเป็นสีแดง เราควรทำอะไรที่เกี่ยวกับสีแดงแล้วดูสวยถึงน่ารักมาก เช่น ถักโดเรมอนสีแดงขาว ถักให้มันหลายๆ ตัว ให้มันคุ้นสายตา ต่อจากนั้นไปซื้อน้ำยาอุทัยยี่ห้อโอสถสภาเท่านั้น เพราะสมุนไพรที่ใช้คุณภาพคับแก้ว ชงน้ำยาอุทัยวันละแก้วใส่น้ำแข็งทุกวันให้คุ้นตาทุกวัน ลองทำดูนะ แต่ไม่รู้ว่าจะกล้าชงน้ำยาอุทัยไหม ลองดูนะ คุณ : แม่หมูอ้วนพี ....โห เป็นตั้งแต่สาวๆ เชียวหรือ เราเพิ่งจะเป็นยังรับไม่ค่อยได้ แถมหมอก็บอกไม่ร้ายแรงอะไร เดี๋ยวจะรักษาตัวเองก่อนว่าจะหายไหม แล้วจะมาโพสต์บอกนะ นโยบายเราคือ ต้องหาย ท่องทุกวัน มันเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งอ่ะ จากคุณ : organ 04 - [ 31 ส.ค. 51 08:31:20 ]

ความคิดเห็นที่ 20 โดเรมอนขนาด 4 นิ้ว มันน่ารักจริงๆ นะคุณแจน (มะกิ~หมะกี๊~หมี่เกี๊ยว~)  ขนาดยังไม่เสร็จยังชอบมาก แต่ตอนทำหน้านี่สิ ยังนึกถึงหน้าตาม่อนของคุณ lalalee แล้วอารมณ์ดี ขอบคุณกระทู้ม่อนของ แม่น้องเต้ ค่ะ จากคุณ : organ 04 - [ 31 ส.ค. 51 09:04:29 ]

ความคิดเห็นที่ 21 พี่อุ้ยหายไว ๆ นะค่ะ .... ตาเป็นอะไรที่ต้องรักษาอย่างดีไม่แพ้อวัยวะอื่น ๆ จากคุณ : ppth - [ 31 ส.ค. 51 11:32:37 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อุ้มก็เป็นแบบมีเส้นวิ่งไปวิ่งมา บางทีก็เป็นเส้นสีขาว บางทีก็สีเทาดำ หมอบอกเป็นวุ้นตาเสื่อมเนื่องจากสายตาสั้นมากและใช้สายตามากไป ต้องตรวจวุ้นตาทุกปี อันนี้ทรมานสุด ๆ ขอให้หายไวไวนะคะ ดูแลสุขภาพด้วย จากคุณ : tensaichan - [ 31 ส.ค. 51 14:21:47 ]

ความคิดเห็นที่ 23 พี่นาหายไว ๆ นะคะ ชอบจังเลย "แก่แบบมีคุณภาพ" โดนใจจี๊ดสุด ๆ เลยค่ะพี่นา จากคุณ : นางฟ้ามาเฟีย - [ 31 ส.ค. 51 15:42:17 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอให้หายเร็วๆ ทั้งพี่นา (เรียกตามคนข้างบน) แล้วก็น้องอุ้ยนะคะ ขอบคุณความรู้ที่เอามาโพสค่ะ เห็นด้วยว่าเงินหาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ค่ะ ดูแลตัวเองให้ดีที่สุดดีกว่า จากคุณ : Pattylala - [ 31 ส.ค. 51 17:30:11 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คุณนา ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ แต่แจนอ่ะ ไม่ค่อยชอบสีแดงเท่าไหร่เลย เห็นแล้ใจไม่ดีค่ะ ถ้าจำเป็นก็จะเลือกสีแดงหม่นๆ หรือเฉดที่มันเป็นส้มๆแทน ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ชอบสีแดงนะคะ พอได้อ่านคำแนะนำของคุณนาก็เข้าใจเลย ตอนเด็กๆไม่เป็น เพิ่งจะมาเป็นตอนโต -_- จากคุณ : แจน (มะกิ~หมะกี๊~หมี่เกี๊ยว~) - [ 31 ส.ค. 51 20:27:40 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอให้หายไว ๆ นะคะ และขอให้สนุกกับงานถักค่ะ สู้ ๆ จากคุณ : หนู๋นิต (tee_zarmaster) - [ 1 ก.ย. 51 05:56:08 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอขอบคุณสำหรับคำอวยพรทุกท่านนะค่ะ ไม่กล้าตั้งกระทู้ใหม่ เพราะมันไม่เกี่ยวกับงานฝีมือ แถมคห.ก็แค่ 20 กว่าๆ เอง โพสต์ขั้นตอนการรักษาดวงตาแบบง่ายๆ ต่อนะ เริ่มมาตรการรักษาดวงตาแบบง่ายๆ ใครๆก็ใช้วิธีนี้ได้ทุกท่าน แผ่นเจลนี้เราซื้อเมื่อหลายปีก่อน ที่เซ็นทรัล 100 กว่าบาท ไม่ค่อยได้ใช้ เพราะขี้เกียจ วันใดที่ตาแดง หรือใช้สายตามากๆ ถึงจะนำมาใช้ที หลังจากใช้ มองอะไรก็สดใสไปหมด เริ่มเลยนะ นำแผ่นเจล(หรือจะใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กแทนก็ได้) แช่ช่องแช่แข็ง เราเลือกทำวันละ 1-2 ครั้งต่อวัน โดยจะเป็นตอนเช้าหรือก่อนนอน เพราะอุณหภูมิรอบๆ ตัวไม่สูงเท่าใด นำแผ่นเจลปิดดวงตานานจนกว่าจะหายเย็น จับเวลาแล้วประมาณ 5 นาที ใช้เสร็จก็ไปล้างผ่านน้ำเท่านั้น เก็บเข้าซองเข้าตู้เย็นใหม่ ต่อแต่นี้จะพยายามทำทุกวัน เดี๋ยวค่ำนี้ไปต่างจังหวัดอีกแล้ว ก็พกมันไปด้วย ส่วนกลางวันนี้จะไปซื้ออีกอันให้แม่ ไม่รู้ที่โรบินสันจะมีขายไหม ...............เจลตา ด้านนี้เป็นด้านหน้า+ซอง............... จากคุณ : organ 04 - [ 1 ก.ย. 51 09:02:18 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ด้านนี้เป็นด้านหลังที่ใช้ปิดดวงตา สังเกตจะไม่มีวลวดลายใดๆ ทั้งสิ้น จากคุณ : organ 04 - [ 1 ก.ย. 51 09:06:15 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณมากค่ะ ขอให้หายไว ๆ นะค่ะ.... จากคุณ : Molajung - [ 1 ก.ย. 51 12:12:47 ]

ความคิดเห็นที่ 30 กำลังมีปัญหาเหมือนกันเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะสำหรับสาระความรู้ดี ๆ   จากคุณ : แขนงไผ่ - [ 1 ก.ย. 51 17:09:33 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณค่ะที่แวะมา มาตรการที่ 2 จัดระบบการนอนให้ไม่ต่ำกว่าวันละ 6 ชั่วโมง เพราะตาได้พักผ่อนมากเพียงพอ อดดูรายการท่องเที่ยวดีๆ เลย ดันทะลึ่งมีตอนเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง จะทะยอยๆ ลงมาตรการรักษาดวงตาด้วยตัวเองนะ วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีคิดส่วนตัวของเรา+การค้นคว้า ท่านทั้งหลายที่มีปัญหาด้านดวงตาหรือไม่มีปัญหาก็สามารถนำไปใช้ได้ ต้องทะยอยๆ ลง กระทู้มันจะได้เคลื่อนไหวหน่อย อยู่ข้างล่างไม่เป็นไร ถ้ากระทู้ดีสักอย่าง ก็มีคนติดตามเองหละ จากคุณ : organ 04 - [ 1 ก.ย. 51 19:12:34 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด โพสต์ต่อนะ มาตรการที่ 3 วิตามินเอ....ร่ายกายต้องการวิตามินเอในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU...เราก็ไม่รู้หรอกว่าต้องทานเท่าใด แต่กะๆ เอาไม่ทานติดๆกันเกินไป วิตามินเอ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี   วิตามินเอ มีส่วนประกอบสำคัญของคอร์เนีย และยังมีผลต่อการเจริญเติบโต การสร้างกระดูก และระบบสืบพันธุ์ นอกจากนี้ ยังป้องกันกานติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ ทำให้ผิวและผมแข็งแรง ค้นพบโดย ดร. อี.วี. แมคคอลลัม (E.V. McCollum) นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐอเมริกา .....***** วิตามินเอ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม.....***** .....อยู่ในรูปแบบวิตามินอยู่แล้ว (Proformed Vitamin A)หรือเรียกว่า Retinol ซึ่งได้มาจากเนื้อสัตว์ เช่น น้ำมันตับปลา .....กำลังจะเป็นวิตามินเอ (Provitamin A) หรือเรียกว่า Carotene เป็นสารที่เมื่อเข้าสู่รางกายจึงได้รับการเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ พบมาในผักสีต่างๆ เช่น แครอท ผักโขม ประโยชน์ ***...ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness) ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง สร้างความต้านทานให้ระบบหายใจ ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดการอักเสบของสิว และช่วยลบจุดด่างดำ ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์ ผักผลไม้ที่ให้วิตามินเอส่วนใหญ่จะมีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม เพราะมีเบต้าแคโรทีนและแคโรนอยด์ที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอต่อไป เนื่องด้วยวิตามินเอในผักผลไม้มีความไวต่อออกซิเจนมาก ดังนั้นวิธีการต้มที่ป้องกันการสูญเสียวิตามินได้ดีทีสุดคือ ควรปิดฝาภาชนะขณะต้มและใส่น้ำน้อยๆ ร่ายกายต้องการวิตามินเอในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU แหล่งวิตามินในธรรมชาติ จำนวน ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ ผักตำลึง น้ำหนัก..........100 กรัม........ 18,608 IU ยอดชะอม น้ำหนัก........100 กรัม 10,066 IU คะน้า น้ำหนัก..............100 กรัม 9,300 IU แครอท น้ำหนัก.......... 100 กรัม 9,000 IU ยอดกระถิน น้ำหนัก......100 กรัม 7,883 IU ผักโขม น้ำหนัก.......... 100 กรัม 7,200 IU ฟักทอง น้ำหนัก.......... 100 กรัม 6,300 IU มะม่วงสุก 1 ผล(โดยเฉลี่ย) ******* 4,000 IU บรอกโคลี 1 หัว(โดยเฉลี่ย) *******3,150 IU แคนตาลูบ น้ำหนัก .............100 กรัม 3,060 IU แตงกวา .........................1 กิโลกรัม 1,750 IU ***** ผักกาดขาว น้ำหนัก ............100 กรัม 1,700 IU มะละกอสุก 1 ชิ้นยาวฝ(โดยเฉลี่ย) 1,500 IU หน่อไม้ฝรั่ง น้ำหนัก ...........100 กรัม 810 IU มะเขือเทศ น้ำหนัก ............100 กรัม 800 IU พริกหวาน 1 เม็ด(โดยเฉลี่ย) ******** 500-700 IU แตงโม 1 ชิ้นใหญ่ ***************700-1,000 IU กระเจี๊ยบเขียว น้ำหนัก ........100 กรัม 470 IU ......*** อันตรายจากการขาดวิตามินเอ......*** .......โรคผิวหนัง เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนสำคัญในการรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง ขาดวิตามินเอทำให้ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น หยาบกร้าน แห้งแตก โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณข้อศอก ตาตุ่มและข้อต่อด่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคผิวหนัง เช่น สิวและโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้ .......ตาฟาง หน้าที่ของวิตามินเอคือช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้ .......ความต้านทานโรคต่ำ วิตามินเอเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานตามปกติ การขาดวิตามินเอจึงทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก ช่องปาก คอ และที่ต่อมน้ำลาย .....*** อันตรายจากการได้รับวิตามินเอเกิน.....*** .......แท้งลูกหรือพิการ หญิงมีครรภ์ที่ได้รับวิตามินเอมากเกินไปมีความเสี่ยงต่อภาวะทารกในครรภ์คลอดออกมาพิการหรือแท้งได้ เนื่องจากวิตามินเอมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้เด็กมีความผิดปกติที่ทางเดินปัสสาวะ กระดูกผิดรูป หรือมีติ่งปูดออกมาที่บริเวณหู .......อ่อนเพลีย หากร่างกายได้รับวิตามินเอเกินครั้งละ 15,000 ไมโครกรัม จะมีผลทำให้รู้สึกอ่อนเผลียและอาเจียนได้ .......เจ็บกระดูกและข้อต่อ เบื่ออาหาร เซื่องซึม นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ผมร่วง ปวดศีรษะ ท้องผูก ทั้งหมดนี้เป็นโทษในระยะยาวที่เกิดจากการรับประทานวิตามินเอมากเกินไป อ้างอิง นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD#.E0.B9.81.E0.B8.AB.E0.B8.A5.E0.B9.88.E0.B8.87.E0.B8.A7.E0.B8.B4.E0.B8.95.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B8.B4.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.AD จากคุณ : organ 04 - [ 5 ก.ย. 51 00:12:48 ]

ความคิดเห็นที่ 35 แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 51 21:07:07 จากคุณ : organ 04 - [ 6 ก.ย. 51 18:14:28 ]

ความคิดเห็นที่ 36 จะลองโพสต์อีกครั้งหนึ่งนะ ทีนี้จะลองไม่ใส่ลิงค์ ดูสิว่าจะถูกลบไหม มาตรการที่ 4 เท้า เท้าค่ะ เคยได้รับการอบรมเรื่อง การกดจุดฝ่าเท้ารักษาโรค อาจารย์เป็นคนไทยคนแรกที่เค้ายอมสอนที่ประเทศมาเลเซีย เรื่องนี้น่าสนใจมากนะ ต้องมาบอกเพื่อนๆ ให้ได้ ความรู้อยู่กับตัวก็รักษาได้แต่ตนเอง เป็นวิทยาทานดีกว่า ..................................... ปกติอุณหภูมิร่างกาย 37.5 องศาเซลเซียล ถ้าพื้นบ้านเป็นกระเบื้อง จะทำให้อุณหภูมิฝ่าเท้าลดลง ส่งผลต่อไปยังร่างกาย ที่ฝ่าเท้ามีตำแหน่งบอกอวัยวะต่างๆ ของร่างกายนะ ใครที่เรียนนวดไทย จะทราบเรื่องตำแหน่งอวัยวะที่ฝ่าเท้าค่ะ ให้สังเกตว่า คนรุ่นใหม่มักสุขภาพไม่แข็งแรง ต่างกับคนต่างจังหวัดที่พื้นบ้านเป็นพื้นไม้ ซึ่งไม่ส่งผลการลดอุณหภูมิฝ่าเท้าแต่อย่างไร วิธีแก้ไข 1...ถ้าพื้นบ้านเป็นกระเบื้อง แนะนำให้ใส่รองเท้าสลิปเดินไปมาในบ้านค่ะ โดยเฉพาะผู้สูงอายุต้องใส่ตลอดเวลานะ เราให้แม่ใส่ถุงเท้าติดเท้าเลย ท่านเดินไปมาในบ้าน จะได้ไม่ต้องคอยมองว่า ใส่รองเท้าสลิปหรือเปล่า 2...ถ้านอนในห้องแอร์ ทำอย่างไรก็ได้ที่จะทำให้เท้าอุ่นเสมอ เช่น ใส่ถุงเท้าหรือห่มผ้าห่มให้ครอบคลุมเท้าเสมอ ..................................................................................... ให้เข้า google ใส่คำว่า...ฝ่าเท้า คลิกค้นหารูปภาพ จะมีรูปฝ่าเท้าขึ้นมา เลือกเอาจะมีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ บางเวบจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับฝ่าเท้าดีมากนะ โดยเฉพาะรูปฝ่าเท้าที่มีสีเหลือง จากคุณ : organ 04 - [ 6 ก.ย. 51 20:40:32 ]

ความคิดเห็นที่ 37 มาตรการที่ 5 น้ำ น้ำ น้ำ สมัยเด็กๆ สุขศึกษาเค้าบอกให้ดื่มน้ำวันละอย่างน้อย 8 แก้ว แต่ตอนนี้มลภาวะอากาศแย่มาก น้ำ 8 แก้วต่อวันน้อยไปแล้วค่ะ ต้อง 20 แก้วอย่างต่ำ เพื่อระบายล้างของเสียในร่างกายออกมากที่สุด จำลองแผนการดื่มน่ำ บางท่านอาจนำไปปรับใช้ได้ วิธีการดื่มน้ำให้ได้ 15-20 แก้ว จริงๆ แล้ววันละ 20 แก้วจะดีมาก ให้สังเกตร่างกายก็ได้ว่า....ดื่มวันละ 20 แก้วนาน 2 สัปดาห์แล้ว สุขภาพเป็นอย่างไร ... 3 - 4 แก้ว... ตื่นนอนขึ้นมา ก่อนแปรงฟัน ย้ำต้องก่อนแปรงฟันนะเจ้าค่ะ ให้ดื่มน้ำ 3 แก้ว อันนี้ยากมาก แรกๆ ให้ฝึก 1 แก้วก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มที่ละแก้ว จนครบ 3 แก้ว เพราะก่อนแปรงฟันในปากจะมีเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ... 3 - 4 แก้ว... ก่อนเที่ยง แต่ห้ามดื่มน้ำมากๆ ก่อนอาหารเพราะจะไปเจือจางกรดในกระเพาะอาหารที่ช่วยย่อยอาหาร ... 4 - 5  แก้ว... ช่วงบ่ายๆ จะเป็นช่วงที่มีอากาศมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง ดื่มน้ำเยอะๆ เดี๋ยวของเสียจะออกมาได้ง่ายหน่อย ... 2 - 4 แก้ว... เย็น หลังอาหารเย็นสักพักหนึ่ง แล้วค่อยดื่มน้ำเยอะหน่อย ... 3 แก้ว... ก่อนนอน บางคนดื่มน้ำเยอะ จะทำให้ตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดมาฉี่ ตรงนี้ลองปรับใช้ดูว่าควรดื่มตอนไหนดี .............................................................. มาแจ้งผลการให้แผ่นเจลปิดตานาน 7 วัน วันนี้ทำปลอกหมอนใหม่ให้น้องสาว เอาใจหน่อย คุณเธอชอบซื้อทุเรียนของโปรดมาฝากประจำ เย็บอยู่ดีๆ มีอาการแสบตาค่ะ แต่ไม่น่าเชื่อปกติจะต้องแสบตาทั้งสองข้าง แต่วันนี้มีอาการแสบตาข้างซ้ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนตาขวานิ่งเฉยเลย ดีใจมาก....จึงใช้น้ำไหลผ่านตาซ้ายค่ะ คือว่า...เรารู้ตัวว่า อาการตาเราแค่เล็กน้อย น้ำตาเทียมเราใช้เพียงวันเดียวเท่านั้น เพราะตอนเย็นวันที่ใช้อยู่ดีๆ มีน้ำตาไหลออกมา เราคิดว่า...สงสัยน้ำตาเทียมส่งผลแน่นอน จึงเลิกใช้ แล้วใช้แผ่นเจลที่แช่ช่องแช่แข็งมาปิดตาอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเป็นประจำนาน 7 วัน ย้ำแผ่นเจลต้องเย็นจัด เวลาวางบนดวงตาที่ปิดอยู่ต้องรู้สึกว่า...มันเย็นลึกเข้าไปในดวงตาทีเดียว มันจะเย็นวาบเพียงเสี้ยววินาทีเอง อันนี้สำคัญมาก ไม่ใช้เย็นน้อยๆ นะ จากคุณ : organ 04 - [ 6 ก.ย. 51 21:20:23 ]