.....................นักวิจัยเอ็มเทคพัฒนาพลาสติกใสคลุมโรงเรือน แบบควบคุมรังสี และเลือกความยาวคลื่นแสงได้ด้วยเทคโนโลยีหนึ่งเดียวในโลก ที่ผสมโลหะออกไซด์ให้เป็นเนื้อเดียวกับพลาสติก คว้ารางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นปีนี้ไปครอง ส่วนนักวิจัยเนคเทค ควงคู่หมอศิริราชคว้านักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ จากโปรแกรมวางแผนผ่าตัดรากฟันเทียม และเทคนิคใหม่วินิจฉัยดีเอ็นเอทารกในครรภ์
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกาศผลการคัดเลือกผู้ที่ได้รับรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น และนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี 2551 เมื่อวันที่ 10 ต.ค.51 ที่โรงแรมอโนมา โดยมีสื่อมวลชนสนใจเข้าร่วมงานมากมาย
ผลปรากฏว่าผู้ที่ได้รับรางวัล นักเทคโนโลยีดีเด่นประจำปีนี้คือ กลุ่มเทคโนโลยีโรงเรือนเพื่อเพิ่มผลิตภาพของพืชผล ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) โดยมี ดร.จิตติ์พร เครือเนตร เป็นหัวหน้ากลุ่ม จากผลงานการใช้เทคโนโลยีวัสดุภัณฑ์พลาสติกใสชนิดใหม่ และเทคโนโลยีการออกแบบโรงเรือน ที่สามารถลดและควบคุมปริมาณการส่องผ่าน ของรังสีอัลตราไวโอเลต (ยูวี) รังสีอินฟาเรด (รังสีความร้อน) และคัดเลือกแสงในช่วงความยาวคลื่นได้ตรงตามความต้องการของพืชแต่ละชนิด
ดร.จิตติ์พร เปิดเผยกับผู้จัดการวิทยาศาสตร์ว่า จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ฝนไม่ตกตามฤดูกาล โรคและแมลงระบาดเพิ่มมากขึ้น ทำให้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย ส่งผลให้มีการใช้สารเคมีเพิ่มมากขึ้น ทั้งเพื่อการกำจัดศัตรูพืช และเพื่อเพิ่มผลผลิต หรืออีกวิธีแก้ปัญหาอย่างหนึ่งที่เกษตรกรนิยมใช้คือเพาะปลูกพืชในโรงเรือนแทนในที่โล่งแจ้ง
ทว่าสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน และสภาวะในโรงเรือนทั่วไปไม่เหมาะสมกับพืชที่ต้องการปลูก ส่งผลต่อผลผลิตของพืช จึงได้พัฒนาพลาสติกคลุมโรงเรือนที่สามารถลดและควบคุมปริมาณการส่องผ่านของรังสียูวี รังสีอินฟาเรด และเลือกแสงในช่วงความยาวคลื่นที่ตรงกับความต้องการของพืชแต่ละชนิด โดยใช้โลหะออกไซด์เป็นส่วนประกอบในพลาสติก ควบคู่กับการออกแบบโครงสร้างของโรงเรือนให้สภาพแวดล้อมภายในโรงเรือนใกล้เคียงกับภายนอกมากที่สุด และระบายอากาศได้ดี
"แรกเริ่มเราใช้เทคโนโลยีพ่นเคลือบโลหะออกไซด์ลงบนพลาสติก แต่ปัจจุบันเราสามารถปรับปรุงโครงสร้างของโลหะออกไซด์เพื่อผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกับพลาสติก ทำให้สารที่ผสมเข้าไปจะไม่หลุดออกเหมือนการพ่นเคลือบ โดยเลือกชนิดสารเติมแต่งในพลาสติกให้เหมาะกับพืชแต่ละชนิด และควบคุมขนาดของสารให้อยู่ระหว่าง 30-200 นาโนเมตร ซึ่งยังคงความใสของพลาสติกเอาไว้ และควบคุมอุณภูมิให้ลดลงได้ 2-3 องศาเซลเซียส" ดร.จิตต์พร แจงและอธิบายต่อว่า
ในการสร้างโรงเรือน จะเริ่มจากตรวจวัดสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิ ความชื้น ความเร็วลม ในบริเวณนั้น นำข้อมูลมาประมวลทางคณิตศาสตร์เพื่อออกแบบโครงสร้างของโรงเรือนให้สภาวะภายในและภายนอกโรงเรือนใกล้เคียงกันให้มากที่สุด และเลือกใช้พลาสติกคลุมโรงเรือนที่เหมาะกับพืชแต่ละชนิด
หากต้องการปลูกมะเขือเทศให้มีสีแดงสดสวย ก็ต้องทำให้พลาสติกยอมปล่อยรังสียูวีเอผ่านได้มาก หรือหากเป็นพืชที่ชอบอากาศเย็น ก็ทำให้รังสีอินฟาเรดผ่านเข้าโรงเรือนได้น้อยลง หากปลูกพืชที่ต้องการใบก็ทำให้แสงในช่วงความยาวคลื่นแสงสีน้ำเงินผ่านได้มากขึ้น
งานวิจัยนี้ทำให้ไทยผลิตพลาสติกแบบเลือกแสงได้เองในประเทศ ซึ่งถูกกว่านำเข้าจากต่างประเทศ 4 เท่า และเป็นแห่งเดียวในโลกที่สามารถผสมโลหะออกไซด์เข้าไปในพลาสติกได้ ช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการออกแบบและสร้างโรงเรือนถูกลง 30% แต่สามารถเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตได้ถึง 40% ช่วยลดการใช้สารเคมีลงได็ 30-50% โดยผลงานนี้ได้นำไปใช้งานจริงที่มูลนิธิโครงการหลวง เช่น โรงเรือนมะเขือเทศ สตรอเบอร์รี เมลอน พริกหวาน และผักใบต่างๆ
ดร.จิตติ์พร บอกว่าได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตพลาสติกคลุมโรงเรือนให้กับ บริษัท ควอลิตี้ แพคพริ้นติ้ง 2000 และกำลังพัฒนาต่อให้พลาสติกดังกล่าวมีราคาถูกลง และเกษตรกรเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งขณะนี้มีราคาแพงกว่าพลาสติกธรรมดาไม่ถึงเท่าตัว รวมทั้งอยู่ระหว่างการพัฒนาให้สามารถควบคุมการผลิตสารสำคัญในพืชที่ต้องการได้ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น
ที่มา http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000120731
จากคุณ :
ญี่ปุ่น35
- [
13 ต.ค. 51 00:42:57
]