..................."โมโรเฮยะ" เป็นผักชนิดหนึ่งนำเข้ามาจากต่างประเทศ เพาะด้วยเมล็ด โมโรเฮยะกล่าวกันว่าเป็นผักที่ชนระดับสูงในประเทศอียิปต์สมัยโบราณนิยมรับประทานกัน ที่ประเทศอียิปต์ มีเรื่องราวเกี่ยวกับ "โมโรเฮยะ" ที่เล่าขานสืบต่อกันมามากมายถึงสรรพคุณที่ดีเลิศของโมโรเฮยะ เป็นตำนานแห่งการขนานนามว่าเป็น "ผักของราชา" มาจนถึงปัจจุบันนี้

                    ตำนานเล่าว่า มีพระราชาในประเทศอียิปต์พระองค์หนึ่งทรงพระประชวร พระองค์ทรงรับการถวายซุปชนิดหนึ่งโดยเสวยร่วมกับพระกระยาหารทุกมื้อ ทำให้พระอาการประชวรดีขึ้นตามลำดับ ไม่นานทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ขึ้นด้วยซุป และซุปที่ว่านี้ก็คือ "ซุปโมโรเฮยะ" นั่นเอง นับแต่นั้นมา ซุปชนิดนี้จึงถูกเรียกว่า "มูลคียะ" แปลเป็นภาษาไทยว่า "ซุปของพระราชา" หรือ "ซุปชาววัง"

                    โมโรเฮยะเข้าไปแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นเป็นที่นิยมกันมาก ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า "โมโรเฮยะ" สรรพคุณมีมากมาย นอกจากรับประทานแล้วยังใช้เป็นยาถอนพิษ ปัจจุบันมีการนำเอาโมโรเฮยะไปวิเคราะห์พบว่า ใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆ ได้หลายอย่าง เช่น โรคที่เกิดตามบริเวณผิวหนัง

                    ชาวญี่ปุ่นรู้จักทำโมโรเฮยะรับประทานมานานแล้ว ในช่วงฤดูร้อนนิยมเด็ดใบสดมาประกอบอาหารในครัวเรือน ในช่วงฤดูหนาวนิยมเอาใบที่ร่วงมาตากแห้งแล้วเก็บไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป ชาวอียิปต์นำใบมาสับจนละเอียดทำซุปข้นรับประทานกันในครอบครัว คล้ายกับชาวญี่ปุ่นที่นำเอาใบโมโรเฮยะมาทำเป็นซุปเรียกว่า "มิโสะชิรุ"

                    จากการวิเคราะห์คุณค่าสารอาหารและแร่ธาตุในโมโรเฮยะพบว่า อุดมไปด้วยวิตามินชนิดต่างๆ ที่ควบคุมการทำงานของร่างกายมนุษย์ มีเกลือแร่และแร่ธาตุ รวมทั้งเส้นใยอาหารในปริมาณสัดส่วนที่พอเหมาะ โดยเฉพาะประเภทวิตามินที่พบคือ "สารแคโรทีน" ในประเภทแร่ธาตุคือ "แคลเซียม" สารสองชนิดนี้มีอยู่ในโมโรเฮยะมากกว่าในผักชนิดอื่น โมโรเฮยะเป็นศูนย์รวมของสารเบต้าแคโรทีนมาก ซึ่งสารชนิดนี้สามารถยับยั้งเซลล์ที่ก่อมะเร็งในร่างกายได้

                    ข้อมูลของโมโรเฮยะนี้ได้มาจากสมาคมควบคุมความสะอาดด้วยอาหารและโภชนาการ มาตรฐานสารอาหารที่ควรบริโภคของญี่ปุ่นระบุชัดเจนว่า โมโรเฮยะมีสารแคโรทีนสูงมาก

                   "เทคโนโลยีชาวบ้าน" เข้าไปเยี่ยมเกษตรกรที่ปลูกโมโรเฮยะเป็นธุรกิจรายใหญ่ที่บ้าน หมู่ที่ 3 ตำบลโคกหม้อ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เป็นแปลงเกษตรของ คุณชะเอม ชะเวงโชติ หรือที่ใครๆ รู้จักกันในนามของ "มหาชะเอม" ซึ่งความเป็นมาของคำว่า "มหาชะเอม" นั้นเจ้าตัวเล่าว่า

                   "ผมเคยบวชอยู่ 10 ปี จำพรรษาอยู่วัดอ้อมใหญ่ แล้วก็เรียนนักธรรม จากนั้นก็ย้ายมาอยู่วัดไร่ขิง สอบเปรียญธรรมได้เป็นมหาเปรียญ จนกระทั่งปี 2521 ลาสิกขามาใช้ชีวิตเป็นฆราวาส ทั่วๆ ไป ใครๆ ก็เลยเรียกสรรพนามนำหน้าว่ามหาไปโดยปริยาย"

                    มหาชะเอม เล่าต่อไปว่า หลังจากที่ลาสิกขาออกมาก็หันมาใช้ชีวิตเป็นเกษตรกรชาวสวนผักเต็มตัว ปลูกผักทุกชนิดส่งขายตั้งรกรากทำมาหากินอยู่แถวอำเภอสามพราน เขตต่อเนื่องกรุงเทพมหานคร

                    ปลูกผักอยู่แถวสามพรานอยู่เกือบ 20 ปี ก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านหมู่ที่ 3 ตำบลโคกหม้อ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรีแห่งนี้เมื่อ 11 ปีที่แล้ว มาบุกเบิกทำสวนผักที่ถนัดเหมือนเดิม ช่วงแรกๆ ปลูกพืชผักส่งบริษัทที่เข้ามาส่งเสริมให้เกษตรกรตามพื้นที่ต่างๆ ปลูก เช่น ถั่วแระญี่ปุ่น กระเจี๊ยบเขียว ฯลฯ พัฒนาถั่วแระญี่ปุ่นทำส่งโรงงานเป็นร้อยๆ ตัน จนกระทั่งบริษัทที่เข้ามาส่งเสริมย้ายฐานการผลิตหันไปลงทุนในประเทศจีน ให้เกษตรกรชาวจีนปลูกถั่วแระญี่ปุ่นกัน

                    มหาชะเอม บอกว่า ต่อมาทางบริษัท ทิมฟู๊ดส์ ก็เข้ามาส่งเสริมให้ปลูกผักโมโรเฮยะป้อนบริษัท ซึ่งบริษัทได้นำใบผักไปแปรรูปเป็นก้อนส่งไปจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่น การแปรรูปของบริษัทจะนำยอดผักที่เกษตรกรเด็ดส่งขายไปลวกแล้วก็ปรุงรสทำเป็นก้อนแล้วแช่แข็งส่งไปญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน ก็มีการนำผักโมโรเฮยะไปแปรรูปผสมกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบรรจุซองเป็นบะหมี่โมโรเฮยะรสชาติต่างๆ มีทั้งรสต้มยำและโมโรเฮยะเจ วางจำหน่ายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทยและที่ประเทศญี่ปุ่น

                    สำหรับการปลูกโมโรเฮยะนั้น มหาชะเอม บอกว่า โมโรเฮยะเพาะด้วยเมล็ด ที่สวนของตนครั้งแรกปลูกผักโมโรเฮยะนี้ในเนื้อที่ประมาณ 39 ไร่ ส่งบริษัท ทิมฟู๊ดส์ เรื่อยมา ระยะหลังบริษัทให้เพิ่มอัตราการผลิต ตนจึงเพิ่มเนื้อที่ปลูกเป็น 75 ไร่ มาจนถึงทุกวันนี้

                    นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกเพื่อนเกษตรกรในพื้นที่มาเข้าร่วมโครงการปลูกพืชผักปลอดภัยจากสารพิษปลูกโมโรเฮยะอีก 7 ครอบครัว รวมแล้วปัจจุบันมีเนื้อที่ปลูกโมโรเฮยะในเขตตำบลโคกหม้อประมาณ 170 ไร่

                    มหาชะเอม กล่าวต่อไปอีกว่า ก่อนที่ท่านจะปลูกโมโรเฮยะ ท่านต้องทราบเสียก่อนว่า ผักชนิดนี้ชอบและไม่ชอบอะไร กล่าวคือโมโรเฮยะจะปลูกได้ดีที่สุดในช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป จนถึงเข้าช่วงอากาศหนาวเย็น คือช่วงเดือนกันยายนเป็นต้นไป โมโรเฮยะพอเจออากาศเย็นต้นจะไม่เจริญเติบโต ยิ่งเจออากาศหนาวต้นถึงตายเสียทีเดียว แต่ถ้าเป็นอากาศร้อน โมโรเฮยะชอบมาก ต้นจะเจริญเติบโตรวดเร็ว ใบจะเป็นสีเขียวเป็นมันเข้ม ซึ่งเจอแดดจัดก็ยิ่งแตกยอดแตกใบ จนชาวบ้านเรียกว่า "บ้าใบ"

                    เมื่อเราทราบอุปนิสัยของผักชนิดนี้แล้ว มหาชะเอม บอกว่า ควรเริ่มลงมือปลูกในช่วงเดือนมีนาคมเป็นช่วงที่เหมาะที่สุด ปลูกด้วยเมล็ดที่ได้จากฝักของผักชนิดนี้ ขั้นตอนการปลูก เริ่มจากการเตรียมดิน ที่สวนของมหาชะเอมปลูกแบบยกร่องสวน หน้าร่องกว้างประมาณ 5 เมตรครึ่ง ความยาวตามแนวพื้นที่

                    เมื่อยกร่องก็ปรับดินเพิ่มธาตุอาหารอินทรียวัตถุในดินเหมือนกับการปลูกผักทั่วๆ ไป หลังจากเตรียมดินพร้อมแล้วก็ถึงขั้นตอนการปลูก ให้นำเมล็ดโมโรเฮยะที่เป็นเมล็ดเล็กๆ ใส่ขวดแก้วที่มีฝาจุกปิดหรือจะเป็นขวดพริกไทยก็ได้ ถ้าเป็นขวดแก้วให้เจาะฝาจุกเป็นรู แล้วลองเหยาะเมล็ดใส่มือดู ถ้าเมล็ดร่วงมือประมาณ 10 กว่าเมล็ด ต่อการเหยาะ 1 ครั้ง ถือว่าใช้ได้ แต่หากเมล็ดร่วงมากกว่านั้นต้องอุดรูให้เมล็ดร่วงออกมาประมาณ 10 กว่าเมล็ดเท่านั้น จึงจะใช้ได้

                    การปลูก ให้ทำหลุมพอประมาณไม่ต้องกว้างและลึกมากนัก ห่างประมาณ 1 คืบ ต่อหลุม จากนั้นก็เหยาะเมล็ดโมโรเฮยะจากขวดลงหลุม การเหยาะเกษตรกรต้องยืนตัวตรงเหนือหลุมแล้วเหยาะเมล็ดจากขวดลงหลุม 1 ครั้ง เมล็ดจะร่วงกระจายลงหลุมทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ทุกหลุม อย่ากลบดินเด็ดขาด

                    หลังจากเหยาะเมล็ดให้โชยน้ำบางๆ พอชื้น ใช้ฝักบัวโชยจะดีกว่า มิเช่นนั้นเมล็ดผักจะกระจาย ทิ้งไว้กลางแจ้งประมาณ 3 วัน ต้นกล้าจะงอกจากเมล็ด ถ้าเป็นช่วงอากาศร้อนจัดๆ ควรหาฟางคลุมบางๆ หลังร่อง ป้องกันแสงแดดจัดเผาต้นกล้าพันธุ์ตาย โชยน้ำพอชุ่มทุกวัน

                    มหาชะเอม บอกว่า โมโรเฮยะจะเจริญเติบโตเร็วมากหลังต้นงอกจากเม็ดประมาณ 12-15 วัน ต้นจะสูงประมาณครึ่งคืบ แยกต้นปลูกให้ห่างกัน 1 คืบ ต่อต้น อย่าให้ต้นติดกันมากนัก เพราะผักชนิดนี้เมื่อโตขึ้นจะแตกแขนงมาก พอแยกต้นเสร็จก็ใส่ปุ๋ยตัวหน้าสูง ใช้วิธีหว่านให้ทั่วหลังร่อง

                    การใช้ปุ๋ย มหาชะเอม บอกว่า หากใช้ปุ๋ยยูเรียควรใส่แต่ครั้งแรกเท่านั้น หลังจากนั้นให้เปลี่ยนสูตรปุ๋ยเป็น 25-7-7 สลับกับสูตรเสมอหลังเด็ดยอดขาย เพราะหากใช้ปุ๋ยยูเรียไปนานๆ จะทำให้ต้นอ่อนแอเกิดโรคง่าย โมโรเฮยะใช้เวลาเจริญเติบโต 25-26 วัน ก็สามารถเด็ดยอดได้แล้ว การเด็ดยอดก็ใช้มือเด็ดธรรมดาๆ นี่แหละ เด็ดยอดยาวประมาณ 1 คืบ พอเด็ดยอดหมดก็ให้ใส่ปุ๋ยตาม จากนั้นทิ้งไว้อีกประมาณ 8 วัน ก็สามารถเด็ดยอดรุ่นต่อไปได้

                    มหาชะเอม กล่าวว่า พอเด็ดยอดออกมาก็นำมารวมกัน ทางบริษัทจะจัดรถมารับผักไปแปรรูปส่งญี่ปุ่นต่อไป ที่สวนปลูกมากสามารถเก็บยอดผักส่งขายได้ตลอด รายได้มั่นคงสม่ำเสมอดี

                   "โมโรเฮยะถ้าจะทำเป็นธุรกิจต้องมีตลาดรับซื้อก่อนจึงจะปลูกได้ อย่าปลูกแล้วเก็บเอาไปขายตลาดในช่วงนี้จะขายไม่ได้เพราะคนไม่รู้จัก แต่อนาคตนั้นไม่แน่"

                    มหาชะเอม บอกว่า ยอดโมโรเฮยะนำมาผัดไฟแดงกับน้ำมันหอยแบบผัดผักบุ้งไฟแดง อร่อยมาก หรือนำมาใส่ในแกงจืดหมูสับแทนใบตำลึง ซดแกงจืดร้อนๆ เช้าๆ บำรุงร่างกายดีนักแล

                    สำหรับศัตรูของโมโรเฮยะ มหาชะเอม บอกว่า มีพวกหนอนกินใบ เชื้อรา และก็เพลี้ย ทางบริษัทจะกำหนดให้ใช้สารกำจัดหากเกิดการระบาดของศัตรูมากๆ มหาชะเอม บอกว่า

                   "การใช้สารเคมีนั้น หากเราใช้ตามคำแนะนำในฉลากก็ไม่มีปัญหาอะไร ทางบริษัทจะกำหนดให้ใช้สารชนิดต่างๆ กับศัตรูที่กำลังเกิดขึ้น เราก็ทำตามนั้น ผักของเราก็จะเป็นผักปลอดภัยจากสารพิษ คือไม่มีสารพิษตกค้าง แม้ว่าเราจะใช้สารเคมีกำจัดศัตรูผัก แต่ก็ใช้ในอัตราควบคุม จึงไม่บังเกิดอันตรายต่อผู้บริโภคแต่ประการใด"

                    มหาชะเอม กล่าวว่า ทุกวันนี้พอมีปัญหาเรื่องศัตรูหรือหนอนลงพื้นที่ก็จะได้รับคำแนะนำจาก คุณปัญญา ปานสุวรรณ นักวิชาการเกษตรในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณทางสำนักงานเกษตรอำเภอเมือง มา ณ ที่นี้ด้วย

                    ทางด้านท่านผู้อ่านที่สนใจผักโมโรเฮยะจะเข้ามาศึกษาในพื้นที่หรือต้องการทราบรายละเอียดต่างๆ ก็โทร.มาคุยกันได้ที่ (089) 156-4623 ยินดีให้ข้อมูลครับผม


ที่มา  http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05043151051&srcday=&search=no

จากคุณ : ญี่ปุ่น35 - [ 26 ต.ค. 51 06:24:41 ]