ความคิดเห็นที่ 1 ...มารออ่านค่ะ..              ที่เคยลองผสมฝักพวกแวนด้า...ไม่ติดเลยค่ะ จากคุณ : ภัสสรา - [ 24 พ.ย. 51 16:10:26 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มารออ่านเหมือนกันครับ จากคุณ : ST.Exsodus - [ 24 พ.ย. 51 16:50:59 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เอาข้อ 2 ก่อนครับ 1. สมัยก่อน นักจำแนกพันธุ์พืชในสายกล้วยไม้ จับแยก Doritis กับ Phalaenopsis โดยการดูก้อนเกสรที่ไม่เท่ากัน โดยสมัยนูน แยกแยะให้ Doritis มีก้อนเกสร 4 ก้อน ซึ่ง Phalaenopsis มีเพียง 2 ก้อน but...... ไม่เป็นความจริงในปัจจุบัน มี Phalaenopsis หลายชนิด มีก้อนเกสร 4 ก้อนด้วย (จำไม่ได้นะครับว่ามีชนิดใดบ้าง...เดียวเปิดตำราอีกทีเมื่อมีเวลาว่าง) 2. ลักษณะเฉพาะของพวก Doritis ทั้งหมด คือการมีก้อนเกสร 4 ก้อน ทั้งใน ม้าวิ่ง แดงอุบล ม้าบิน ม้าวิ่งแคระ และยังสามารถถ่ายทอดลักษณะของก้อนเกสร 4 ก้อนไม่ยังลูกหลานได้ด้วย ไม่ว่าจะผสมกับ Doritis ด้วยกันเอง ...หรือไปผสมกับ Phalaenopsis อีกด้วย (แต่มีข้อยกเว้นในบางคู่ผสม ที่ Doritis x Phalaenopsis แล้วได้ลูกผสมทีมีก้อนเกสร 2 ก้อน) การมีก้อนเกสรกี่ก้อน ไม่ถึอว่าเป็นความผิดปกติแต่อย่างไร บางชนิดของกล้วยไม้ มีก้อนเกสรไม่เป็นก้อน (เป็นเส้นๆ) อย่างเช่นในพวก Spathoglottis หรือพวก Calanthe มีก้อนเกสรเป็นเส้น นับได้ 8 เส้น รอกูรูเด้อ ข้อ 1 ไว้ก่อนเด้อพี่น้อง แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 51 18:49:52 จากคุณ : appendiculata191 - [ 24 พ.ย. 51 16:59:45 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ได้ความรู้ดีมาก ๆ ไม่เคยทราบมาก่อนเลยค่ะ และก็เพิ่งทราบว่า ลักษณะนาม คือ ก้อน นะ ไม่ใช่ อัน รออ่านข้อ 1 ต่อค่ะ จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 24 พ.ย. 51 17:04:20 ]

ความคิดเห็นที่ 5 - นอกจากก้อน และ เส้น มีแบบอื่นด้วยไหมคะ - มีทฤษฏีไหน บอกไหมคะว่า ปกติ ก้อน หรือ เส้น เก็บไว้ได้นานเท่าไรคะ ดูเหมือนว่า ไม้แต่ละชนิด จะเก็บไว้ได้นานต่างกัน อย่างนั้นรึเปล่าคะ ขอบคุณมากค่ะ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 51 17:10:03 แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 51 17:08:37 จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 24 พ.ย. 51 17:05:58 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เกสร ถ้าเก็บดีๆ ได้เป็นปีเลยนะป้าเหมียว ไม้ปั่นผมก็ว่าผสมติดยาก อย่างหวายยิ้มของปู่ ต้นนี้เป็นไม้ปั่น ผสมกี่ดอกๆก็ไม่ติด ตัวเกสรมันแปลกๆ จากคุณ : ปุ้ม ครับ - [ 24 พ.ย. 51 17:51:42 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มาเกี่ยวความรู้คร้าบ จากคุณ : บอล-บันบัน - [ 24 พ.ย. 51 18:44:03 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อืม น่าสนใจ มารับความรู้ด้วย คน ครับ จากคุณ : พลายชุมพล - [ 24 พ.ย. 51 19:31:13 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คงสรุปแบบนั้นไม่ได้ครับ กล้วยไม้บางตัว ผสมติดยาก บางตัวไม่ยอมถือฝัก แต่เป็พ่อได้ ฯลฯ จากคุณ : ลุงหนวด (ลุงหนวด๒๕๔๗) - [ 24 พ.ย. 51 19:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ไม้ปั่นตา ไม่จำเป็นต้องเป็นหมัน..หรอกป้าเหมียว มันขึ้นอยู่กับว่าอาต้นไหนมาปั่นตา และอาจจะมีการกลายพันธุ์ในขั้นตอนการขยายโปรโตคอม ซึ่งขั้นตอนการกลายพันธุ์รอผู้รู้มาตอบอีกที.. โดยทั่วไปไม้ที่เราเห็นกันอยู่ในท้องตลาด ยกตัวอย่างเป็นจำพวกแวนด้าหรือแอสโคเซนด้า น่าจะชัดเจน..ส่วนใหญ่ผู้ที่คิดจะนำไม้ไปปั่นตา อันดับต้นๆที่ต้องการคือ ออกดอกบ่อย   การที่ต้องการไม้ออกดอกบ่อย ค้นลึกลงไปก็จะพบว่าส่วนใหญ่พวกนี้จะเป็นไม้3n ซึ่งเกิดจากการ ที่ใช้คู่ผสมตัวใดตัวหนึ่งเป็น4n  ยกตัวอย่างก็ตือแอสโคเซนด้า ใช้ตัวเป๊กกี่ฟู 4n เป็นคู่ผสม ลูกไม้ที่ออกมาส่วนใหญ่ก็เป็น3n ไม่ว่าจะเป็น เป๊กกีฟูx เขาแกะ= พาย รีเวอร์   เมื่อคัดได้ต้นที่ออกดอกเก่ง สีสันสวย ก้านช่อดี แข็งแรงทนโรค จากนั่นก็ส่งเข้าแล็ปปั่นตา.. จากคุณ : nui-p - [ 24 พ.ย. 51 19:49:12 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เสริมเรื่องกลุ่มละอองเกสรตัวผู้ในพืชดอก ถูกนำมาใช้จำแนกพันธุ์พืชได้เช่นกัน โดยเป็นการดูได้คร่าวๆ ว่าน่าจะอยู่ใน Genus เดียวกัน นอกเหนือจากการดูลักษณะภายนอกของดอก เช่น กลีบดอก กลีบเลี้ยง เส้าเกสร และลักษณะที่ดูคล้ายกันของส่วนอับละอองเกสรตัวผู้ โดยเฉพาะจำนวนของกลุ่มละอองเกสรตัวผู้...ในสมัยก่อนถูกนำมาใช้จำแนกพันธุ์พืชดอกได้เช่นเดียวกัน (ปัจจุบันยังไม่แม่นยำพอนะครับ)...ซึ่งจะเป็นลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนกัน แต่จะคล้ายกันในพวก Genus เดียวกัน เช่นพวก Vanda กลุ่มละอองเกสรตัวผู้จะเป็นก้อนแข็งคล้ายกระดูกอ่อน หรือบางชนิดจะมีลักษณะกลุ่มเกสรตัวผู้ไม่เป็นก้อน ไม่เป็นเส้น ไม่เป็นแผ่นแบนๆ แต่จะเป็นผงแป้งได้เช่นเดียวกัน ทำให้มีประโยชน์ในแง่การนำมาผสมกันได้ หากดูว่ามีกลุ่มละอองเกสรตัวผู้ที่คล้ายกัน....ยอมหมายถึงอาจอยู่ใน Genus เดียวกัน หรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางเครือญาตได้ (แต่มีข้อยกเว้น....ไม่จริงทั้งหมด) ยกตัวอย่างเช่น ใน Spathoglottis, Calanthe , Phaius และอื่นๆ หากดูที่กลุ่มละอองเกสรตัวผู้ที่มีลักษณะเป็นเส้น นับได้ 8 เส้น สามารถนำมาผสมกันได้ลูกผสมใหม่ ทั้งๆ ที่เป็นคนละ Genus และเดาได้ว่า Genus เหล่านี้น่าจะมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติค่อนข้างสูง (ต้องพิสูจน์ในระดับดีเอ็นเอ) การเก็บรักษาละอองเกสรตัวผู้หรือกลุ่มละอองเกสรตัวผู้ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อการสร้างลูกผสม อันเนื่องมาจากการบานของดอกที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ใช่ช่วงที่เหมาะสม มีหลายวิธีด้วยกัน โดยการมีชีวิตของเกสรตัวผู้เป็นดัชนีชี้วัดต่อการผสมเกสรว่าสำเร็จหรือไม่ และมีระยะเวลาเก็บที่ไม่เท่ากันในแต่ละชนิดครับ รอท่านอื่นๆ เสริมครับ จากคุณ : appendiculata191 - [ 24 พ.ย. 51 20:02:23 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณทั้งคนถามและคนตอบครับ ชอบครับ จากคุณ : kaibp - [ 24 พ.ย. 51 21:01:24 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ความรู้ล้วนๆ ขอบคุณทุกท่านครับ จากคุณ : บานกู๊ก - [ 24 พ.ย. 51 21:38:36 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณคนถาม และคนตอบค่ะ ขอมาเก็บเกี่ยวความรู้ด้วยคนค่ะ จากคุณ : betaro (หนูบู้บี้) - [ 24 พ.ย. 51 23:05:09 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ต๊กใจ...เห็นขึ้นชื่อเรา..เสียวแว๊ปปป...นึกว่าโดนทวงซองกฐิน...คับ.....มาตอบและมาเก็บความรู้ด้วยคนครับ ตอบข้อสองก่อนเหมือนกัน..ครับ เพราะ ตอบง่ายมาก....."ผมไม่ทราบเลยครับ."..จานแอพว่าไงก็ว่างั้น....ผมก็ผสมม้า ไปวันๆเหมือนกันครับ...อิอิ กรณีที่ไม้ปั่นตาไม่ติดฝัก  โดยเฉพาะ แวนด้า ผม “ได้ยินเขาเล่ามาว่า”   เกิดจากการที่ไม้ที่งามมากๆ พอที่จะปั่นตา มักมีที่เป็นสามเอ็น  หรือห้าเอ็นอยู่เสมอๆ จึงเป็นหมัน เพราะว่าไม้สามเอ็น มักจะดอกใหญ่กว่าทั้งสองเอ็นและสี่เอ็นครับ....ถ้าผมเป็นเกษตรกร...ผสมไม้ได้  อยากปั่นขาย...ผมก็ปั่นเจ้าสามเอ็นนี่แหละคับ สวยก็สวย คนอื่นเอาไปทำมาแข่งก็ไม่ได้....อิอิ ส่วนการกลายพันธุ์จากการปั่นเกิดขึ้นได้แน่นอนและในอัตราสูง เพราะการปั่นตาพืชมีการแบ่งเซลล์ เร็วจึงเกิดการผิดพลาด ของ จุด .check point. ใน cell cycle .....เพราะในการเพิ่มจำนวนเซลล์  เซลล์ จะมีหลายระยะ เช่น synthesis ,gap ที่เราเรียน เรื่อง meiosis mitosis ตอนมอปลายนั่นแหละครับถ้ายังจำได้ และในแต่ละรอบการแบ่งเซลล์ สิ่งมีชีวิตจะมีจุดcheck point ขึ้นเพื่อตรวจสอบความผิดปกติของเซลล์ และทำหน้าที่อื่นๆ (มั๊ง) เมื่อเซลล์มานเพิ่มจำนวนเร็ว ความผิดพลาดในการเช็คมานก็ย่อมมากขึ้นทำให้เกิดการกลายพันธุ์ได้ง่ายกว่าในสภาพธรรมชาติ ....อันนี้ให้ลองเสิช google คำว่า cell cycle และ program cell death ดูครับ. นอกจากนี้ยังมีปัจจัยของสภาพแวดล้อมในขวดและอาหาร ที่อาจส่งผลต่อการแสดงออกของยีนในตัวพืช..... ส่วนเรื่องการกลายพันธุ์ที่ตามมาจากที่อธิบาย ในมุมมองที่ใหญ่ขึ้นมา ก็คือเรื่อง duplication ,deletion ,insertion และอื่นๆของสายดีเอ็นเอ ซึ่งจัดเป็นรูปแบบต่างๆของ mutation อันนี้ลองเสิชในกูเกิ้ลมีให้อ่านมากมายเลยครับ..อิอิ การกลายในกล้วยไม้พบ ทั้งกลายดีและกลายไม่ดี น่าสังเกตว่า การให้ต้นไม้อยู่ในสภาพ ปลอดเชื้อในอาหารนานๆ โดยมากจะกลายในทางที่ไม่ดีเสียมากกว่า โดยเฉพาะในฟาแลน ที่จานแอพจะรู้ดีว่ามันกลายง่ายสุดๆไปเลย..ปัจจัยที่ทำให้เกิดแบบนี้จริงๆ ในแต่ละสกุล และแต่ละลักษณะ อันนี้ ก็เป็นสิ่งที่ต้องศึกษากันปลีกย่อยลงไปอีก ปัจจุบันก็มีการศึกษาการกลายหลายแบบ โดยใช้ไม้กลายจากการปั่นตา มาศึกษาครับ เช่น ยีนสามปาก หรือ ยีนบลู ไรแบบนี้เป็นต้น ต่อไป ทั้งหมดนี้ ..."ฟังเขามาอีกทีครับ"....อิอิอิ จากคุณ : เสือเจ้าถิ่น - [ 25 พ.ย. 51 02:00:44 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ดีน่ะครับที่คุณเสือเจ้าถิ่นได้แค่ผสมม้า ...ถ้ากินม้าไปด้วยคงคึกพิลึก....เพราะมาตอบเสียตีสองพอดี คร่าวนี้มาพูดข้อ 1 ตามที่คุณลุงหนวด คุณ nui-p และคุณเสือเจ้าถิ่นพูดไว้ มีส่วนถูกอยู่มากทีเดียว ผมแค่มาเสริมนะครับ ผมแยกประเด็นข้อ 1 เป็น 2 หัวข้อย่อย A. ไม้ปั่นตาที่กลายพันธุ์ B. ไม้ปั่นตาที่เป็นหมัน เอาหละ A ไม้ปั่นตาที่กลายพันธุ์ ไม้ปั่นตา = cloning ในทางพืชนั่นเอง ถ้าดูถึงเหตุที่ได้ไม้ปั่นตามาจะพบว่าเราขยายจากเซล 1 เซล หรือกลุ่มของเซล ให้เปลี่ยนแปลงเป็นต้นพืชต้นใหม่ที่เป็นต้นเดิม (เหมือนต้นเดิมทุกประการ) ให้ได้จำนวนมากภายในระยะเวลาต้องการ วิธีที่จะขยายจากหนึ่งเซลหรือกลุ่มเซลให้ได้ปริมาณจำนวนหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ใช้กลไกที่มีอยู่ในธรรมชาติเลียนแบบเอาดื้อๆ พืชต้องการแร่ธาตุอะไร ขณะไหน เอามาใส่ให้หมด ในสภาพแวดล้อมบังคับ (tissue culture) แล้วใส่สารเร่งการเจริญเติบโตเสียด้วย ...เมื่อได้จำนวนหนึ่งจึงบังคับให้กลุ่มเซลพวกนี้เปลี่ยนแปลงไปเป็นต้นพืชที่เหมือนเดิมทุกประการ เพราะฉะนั้นจะต้องมีเปอร์เซนต์ที่ยอมรับได้ในการกลายพันธุ์จากพืชปั่นตา และเปอร์เซนต์ของพืชแต่ละชนิดจะไม่เท่ากันนะครับ (โปรดอ่านคำตอบของคุณเสือเจ้าถิ่นอีกครั้ง...เพราะพูดได้กว้างและลึกพอสมควรครับ) พันธุ์พืชใหม่ที่กลายพันธุ์จากไม้ปั่นตา อาจมีลักษณะที่ดีเด่นกว่าลูกมาตราฐาน (เพราะต้องเหมือนกันทุกประการ..แต่ไอ้นี้ทะลึ่งออกมาสวยกว่า) ได้เช่นกัน แต่การกลายพันธุ์ในกรณีนี้มีหลายลักษณะ เช่นใบด่าง ต้นแคระแกรน ดอกบิดเบี้ยว เกสรตัวผู้พิการ และอื่นๆ รวมถึงความเป็นหมันได้ด้วย และอาจไม่ถ่ายทอดหรือถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้ด้วย ข้อ B ไม้ปั่นตาที่เป็นหมัน B1. เป็นความจงใจของผู้ทำประการหนึ่ง เพราะต้นที่ทำการปั่นตาเป็นหมันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นชุดโครโมโซมที่เพิ่มหรือลดลงกว่าปกติ (หาอ่านเพิ่มเติมตามที่คุณเสือเจ้าถิ่นว่าไว้อีกรอบ) B2. เป็นการกลายพันธุ์เนื่องจากข้อ A นั่นแหละ ความเป็นหมันเกิดขึ้นทีหลัง เช่น อาจพบว่าต้นที่กลายพันธุ์มีเกสรตัวผู้ผิดปกติ ไม่มีเกสรตัวผู้ ความมีชีวิตของตัวผู้ไม่มี เอาไปผสมกับต้นไหนๆ ก็ไม่ติด (บ่มีไก๋) แต่ต้นนี้อาจรับเกสรตัวผู้จากต้นอื่นที่ไม่เป็นหมันและผสมติดได้ลูกผสมก็ได้ (แล้วแต่กรณีนะครับ) แต่บางต้นอาจพบว่ามีเกสรตัวผู้ดูด้วยตาแล้วปกติ แต่ไม่ทำหน้าที่ตัวผู้ (ไม่รู้มีคนศึกษาไว้หรือไม่...เพราะในกรณีของสัตว์พบการสลับเพศได้ด้วย) เพราะฉะนั้น จนกท. ที่กล่าวไว้ว่าไม้ปั่นตาเป็นหมัน อาจจะถูกหรือผิดต้องดูกันเป็นกรณีไปครับ รอท่านอื่นๆมาเสริมมาแย้งนะครับ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 51 12:54:11 จากคุณ : appendiculata191 - [ 25 พ.ย. 51 10:12:55 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มารับชมรับฟังครับ แล้วมีกล้วยไม้ประเภทไหนไหมครับ น่าจะปั่นตาแต่ไม่เหมาะในการปั่นตา ตัวอย่างเช่น Ascocenda & Vanda ไม้ขวดมีทั้งไม้เมล็ดและปั่นตา ไม้มีความหลากหลาย แต่ รองเท้านารี โดยส่วนตัวยังไม่เคยเห็นมีการปั่นตาเลยครับ เป็นเพราะข้อจำกัดเรื่องของลำต้นหรือเปล่าครับ การปั่นตา นอกจากตัดต้นแล้วนำยอดอ่อนไปปั่นตา นอกจากนี้ยังสามารถนำส่วนอื่นๆ ไปปั่นตาได้ไหมครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ตะวันสุริยา - [ 25 พ.ย. 51 11:10:14 ]

ความคิดเห็นที่ 18 กล้วยไม้แทบทุกสกุลที่มีจำหน่ายเป็นการค้าทั้งขายต้นและขายดอก แทบจะสามารถปั่นตาได้แล้วในห้องแลปเพาะเมล็ดและปั่นตาทั่ว ๆ ไป ยกเว้นแต่สกุลรองเท้านารีที่น่าจะยังไม่สามารถทำได้ในเชิงธุรกิจ แต่น่าจะมีทำได้บ้างในสถาบันการศึกษาวิจัยมั้ง(เป็นการเดามั่วแบบว่าเคยอ่านมาบ้าง ๆ แต่ไม่สามารถจำได้แล้วล่ะว่ามาจากเล่มไหน)..... เพราะฉะนั้น รองเท้านารีมันจะยังแพง ๆ ๆ ๆ ต่อไป สวย ๆ ซื้อขายกันหน่อละเป็นพัน หมื่น แสน ล้าน... เพราะมันยังนำไปปั่นตาให้ออกมามีปริมาณมาก ๆ ไม่ได้มั้ง..... ส่วนกล้วยไม้ปั่นตา ก็อย่างที่ท่านบน ๆ ๆ บอกนั่นแหล่ะครับว่า กล้วยไม้พวกแวนด้า แอสโค หวาย ส่วนใหญ่ที่ปั่นตา ก็เพราะเขาจะทำเพื่อการตัดดอกเป็นหลัก เพื่อให้ดอกแต่ละดอกแต่ละช่อออกมาสีเดียวกัน ลายเดียวกันหรือคล้าย ๆ กัน ดังนั้น เขาก็เลยต้องปั่นตา แล้วบังเอิญ/หรือไม่ก็ตั้งใจแหล่ะ ว่าไม้สามเอ็นในพวกแวนด้ากับแอสโค มีคุณสมบัติที่ดีเด่นในเรื่องการออกดอกเก่ง การเลี้ยงดู ขนาดดอก จำนวนดอก ที่ดีกว่า2เอ็นและ4เอ็น  ดังนั้นเขาเลยเอาพวกนี้มาปั่นตา ซึ่งได้ผลดีในหลาย ๆ อย่าง ๆ ที่อาจารย์ยอดบอกแหล่ะครับ จริง ๆ แล้วพวกไม้ 2เอ็น ไม้4เอ็นของพวกแวนด้า แอสโค ก็มีปั่นตาออกมาเหมือนกัน พวกนี้ก็จะนำมาใช้ผสมได้เหมือนกล้วยไม้ปกติทั่วไป ส่วนพวกกล้วยไม้อื่น ๆ ไม่ว่าฟาแลน แคท ออนซีเดียม....... ก็ทำนองเดียวกันกับแวนด้าและแอสโค คือมีทั้งเป็นหมันและไม่เป็นหมัน แต่พวกเป็นหมันไม่ค่อยมีนำมาปั่นเยอะเท่ากับแวนด้าเท่านั้นเอง จากคุณ : บ้านค่าย - [ 25 พ.ย. 51 11:28:39 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ..ความรู้เพียบ...            เก็บเข้าคลังแน่นอนค่ะ จากคุณ : ภัสสรา - [ 25 พ.ย. 51 12:43:16 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณมากค่ะคุณหนุ่ย ลุงหนวด คุณเสือเจ้าถิ่น คุณ appendiculata191 คุณบ้านค่าย และทุก ๆ ท่าน ยังไงคืนนี้จะไปนั่งอ่าน ขบคิด ถ้าสงสัย หรือมีอะไรเพิ่มเติมจะมาถามอีกรอบนะคะ ยังไงรบกวนคุณเสือเจ้าถิ่น และ คุณ appendiculata191 เข้ามาอีกครั้งด้วยนะคะ อิ ๆ จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 25 พ.ย. 51 12:53:53 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ในรองเท้านารี เคยอ่านของต่างประเทศ และ เคยเห็นแลปที่ ม.เกษตร ศึกษา การเพิ่มปริมาณ ต้นในขวดโดยการชักนำชิ้นส่วนที่ได้จากการเพาะเมล็ด ให้เป็นแคลลัส แล้วจึงผ่าแคลลัสเป็นแผ่นบางๆ จากนั้นชักนำให้เกิดยอดขนาดเล็กๆ จำนวนมากรอบๆแผ่น สไลซ์นี้ โดยใช้สารกลุ่ม TDZ ส่วนผลการวิจัยผมไม่ได้ติดตามว่านำมาทำทางการค้าได้หรือปล่าว....และ อัตราการกลายพันธุ์สูงหรือเปล่า เพราะTDZมีผลต่อการกลายพันธุ์สูงว่าฮอร์โมนทั่วๆไป.....รุ่นพี่ที่ทำทิซิส เรื่องนี้ เรียน ป.โท ร่วม ๆ ห้า หกปี..กับ อาจารย์สุรวิช (ขออนุญาต พาดพิง โดยความคารวะ อิอิ).. แต่ ในกรณีที่ได้ต้นงาม เลี้ยงในสภาพปกติ การจะฟอกฆ่าเชื้อ ชิ้นส่วนมาใส่ขวดนั้น จัดว่ายากมากๆ เคยได้ยินว่าอัตราการฟอกผ่าน อยู่ประมาณห้าเปอร์เซ็น ที่ฟอกผ่านก็ใช่ว่าจะขึ้นต้นทั้งหมดอีกต่างหาก  เพราะรองเท้านารีถ้าเอามานั่งแกะต้นดู จะพบว่ามีแต่ใบหาไม่เจอลำต้นเลย ว่าแต่ว่า ใครจะยอมเอาต้นละแสน ร้อยต้น ไปให้เสี่ยงลองฟอก...แล้วได้ห้าต้นละเนี่ย แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 51 14:28:28 จากคุณ : เสือเจ้าถิ่น - [ 25 พ.ย. 51 14:26:45 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ตามทฤษฎีแล้วทุกส่วนของพืชสามารถชักนำจากเซลพืชเพียง 1 เซล... เกิดการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นพืชที่สมบูรณ์ได้... มีศัพท์คำว่า เซลพืชแตกต่างจากเซลสัตว์ตรงที่เซลพืชมี.... "totipotency" หากเซลสัตว์มี "totipotency" คงจะยุ่งพิลึก...เพราะหากนิ้วขาด.... ก็ชักนำให้นิ้วที่ขาดเปลี่ยนแปลงไปจนได้คนเดิมอีก..ยุ่งตายห่าเลยเนาะ (ธรรมชาติสุดยอด....แต่ไม่จริงทั้งหมด....น่าจะมีนักวิทยาศาสตร์พวกเก่งโคตรๆ อยากจะเอาชนะธรรมชาติอีกแล้ว... อยากให้เซลสัตว์มีความสามารถเหมือนเซลพืชมั้ง....ไม่แน่นะครับอาจทำสำเร็จในอนาคตข้างหน้า..ไปหละฟิ้วๆๆๆ) เข้าเรื่อง แต่ไอ้เจ้า "totipotency" ในแต่ละพืชไม่เท่ากัน (เป็นกฏธรรมชาติอีกข้อที่ทำให้ทุกอย่างในโลกนี้มีความสามารถไม่เท่ากัน) และส่วนของพืชมีความสามารถเจ้านี้ไม่เท่ากันอีกต่างหาก บางพืชเอาใบอ่อนของพืชมาชักนำให้เกิดต้นใหม่ได้โคตรง่าย..บางพืชต้องการนักกล้าหาญชาญชัยในการคิด ...แล้วก็คิดสูตรเฉพาะ (ทำได้จดลิขสิทธิ์..ว่างั้น) กรณีของรองเท้านารีเป็นตัวอย่างของความโคตรยากสำหรับนัก tissue culture ทั้งหลาย... ทำได้รวยเละและคงถูกพวกนักเลงไม้ที่ขายได้ต้นละเป็นหมื่น..หมั่นไส้ ยิ่งพูดยิ่งสนุก... แต่ไม่เอาแล้วรอท่านอื่นคิดด้วยหละกันครับ จากคุณ : appendiculata191 - [ 25 พ.ย. 51 16:42:10 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คุณ appendiculata191 พูดได้เยอะ ๆ เลยค่ะ อยากอ่านค่ะ ปล. คืนนี้ไปอ่านก่อนนะคะ แล้วพรุ่งนี้จะมาคุยด้วยค่ะ ยังมีเรื่องสงสัยอีกหลายเรื่องค่ะ จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 25 พ.ย. 51 16:50:50 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ทำอย่างไร ให้เป็นกระทู้ แนะนำนะ อยากคุย อยากอ่านนานๆ ถ้าพูดถึงเรื่อง รักษาต้นพันธุ์ พวกที่ขยายปริมาณส่งนอก บางท่านจะเลือกเฉพะต้นที่เป็นหมันครับ แบบนี้ดีครับ เรื่องพวกนี้ ต่างประเทศ เขาทำก่อน อย่างดาวเรืองดอกใหญ่ เมื่อ ๓๐ ปีก่อน เมล็ดละ ๕๐ สตางค์ ปลูกแล้วไม่มีเมล็ด ต้องใช้ปักชำเอา เห็ด ไต้หวัน เขาทำให้ สปอร์ ไม่งอกได้ จากคุณ : ลุงหนวด (ลุงหนวด๒๕๔๗) - [ 25 พ.ย. 51 19:14:28 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เก็บความรู้ไปเรื่อยๆคงออกความคิดเห็นไม่ได้เพราะไม่เข้าใจเลย หุ หุ ถ้าลุงหนวดอยากให้เป็นกระทู้แนะนำต้องกดโหวตกันเยอะๆครับ เดี๋ยวนี้ กระทู้ในคลับต่างๆก็ขึ้นกระทู้แนะนำได้ แต่ปัญหาคือในห้องจตุจักรคง ไม่สามารถมีกระทู้อื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับน้องหมาหนูแมวขึ้นกระทู้แนะนำได้ หรอกครับ จำนวนคนโหวตเทียบไม่ได้ หุ หุ จากคุณ : ST.Exsodus - [ 25 พ.ย. 51 20:25:17 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มาอ่าน รู้เรื่องบ้างไม้รู้เรื่องเยอะ เดี๋ยวจะค่อยๆ อ่านนะ จากคุณ : moonlover - [ 25 พ.ย. 51 20:56:26 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เหมือนกันกับคุณmoonloverค่ะ จากคุณ : betaro (หนูบู้บี้) - [ 25 พ.ย. 51 22:58:01 ]

ความคิดเห็นที่ 28 หลังจากที่เมื่อคืนได้นั่งอ่านก็ได้คำถามดังนี้ค่ะ 1.  คุณเสือเจ้าถิ่น จาก คคห.15 เห็นมีบอกว่า "การให้ต้นไม้อยู่ในสภาพ ปลอดเชื้อในอาหารนานๆ โดยมากจะกลายในทางที่ไม่ดีเสียมากกว่า" หมายถึง อยู่ในสภาพปลอดเชื้อเจอสารเคมีมาก ก็เลยโอกาสเพี้ยนมาก ใช่ไหมคะ 2.  คุณ appendiculata191 จาก คคห.16 ในหัวข้อย่อย A. - 2.1 ลักษณะกลายพันธุ์เป็นลักษณะที่แฝงไปได้ไหม เช่น ที่ไม้ที่ได้จากการปั่นตา ต้นใดต้นหนึ่งไม่เป็นหมัน แต่พอนำไม้ต้นนี้ไปทำต่อ รุ่นลูกของไม้ต้นนี้ อาจมีบางต้นเป็นหมัน ประมาณว่าความเป็นหมันแฝงอยู่ แสดงในรุ่นต่อไป - 2.2 การนำไม้ต้นหนึ่งไปปั่น ลูกที่ได้จะมีบางต้นที่แฝงความเป็นหมันไป แต่บางต้นอาจจะไม่แฝงความเป็นหมัน ใช่ไหม -2.3 การกลายพันธุ์ทั้งหลาย เช่นการเป็นหมัน กลีบบิด ลักษณะพวกนี้ ถือว่าเป็นลักษณะเด่น หรือ ด้อย ด้วยไหม ถ้าเด่น ก็คงจะทำให้รุ่นต่อ ๆ ไป หมัน หรือ หงิกงอต่อไป รึเปล่าคะ  3. คุณ appendiculata191 จาก คคห.16 ในหัวข้อย่อย B. 3.1 ไม้ที่เป็นหมัน เมื่อนำไปปั่น เป็นไปได้ไหม ที่จะมีบางต้นกลาย จนกลับมาเป็นปกติ คือ ไม่เป็นหมัน รึว่าเป็นไปได้ แต่ว่ายากสุด ๆ จนเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ จะถูกต้องกว่า (น่าจะเป็นอย่างนี้นะ) 3.2 เกสรตัวผู้ดูด้วยตาแล้วปกติ แต่ไม่ทำหน้าที่ตัวผู้ ที่บอกว่าสัตว์สลับเพศ ถือว่าเป็นทำนองเดียวกันกับที่เคยได้ยินมาประมาณว่า สัตว์ตัวใดตัวหนึ่งเคยเป็นเพศเมีย แล้วแถวนั้นมีสัตว์เพศเมียเยอะมาก วันหนึ่งบางตัวได้เปลี่ยนเพศจากตัวเมียเป็นตัวผู้ อย่างนี้รึเปล่าคะ 3.3 กรณี คาตา เคยได้ยินว่า คาตาหัวนี้ ออกดอกมาเป็นตัวผู้ แต่พอมีการแตกหน่อ หน่อใหม่อาจให้ดอกตัวเมีย การแตกหน่อ คือจะมีลักษณะโครโมโซมเหมือนเดิมทุกประการไม่ใช่เหรอ แต่ทำไม คาตา พอให้หน่อใหม่ ดอกอาจเปลี่ยนเพศได้  4. คุณเสือเจ้าถิ่น จาก คคห.21 4.1 อยากรบกวนให้อธิบายเรื่อง การฟอก ว่าคืออะไร การฟอกผ่าน คือการฟอกที่ไม่ติดเชื้อ และการฟอกไม่ผ่าน หรือการติดเชื้อ แค่นี้รึเปล่า 4.2 การฟอก ในกระบวนการปั่นตา และการฟอกของการเพาะเมล็ด เหมือนหรือต่างกันไหม อย่างไร อยากถามแบบบ้าน ๆ ว่า การฟอก คือ การทำความสะอาด รึเปล่า หรือการฟอกจะรวมถึงกระบวนการแยกเอาเมล็ดออกมาจากฝักที่มีใยสีขาว ๆ ปนอยู่ด้วย  5. คุณ appendiculata191 การงอกของนิ้วที่หายไปของซาลาแมนเดอร์ หรือปลาดาว ที่แหว่งไป มันเหมือน รึต่างจาก ศัพท์คำว่า "totipotency" เพราะมันงอกแทนได้เหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นสัตว์ ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 26 พ.ย. 51 08:36:11 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ลุงหนวดคะ อ้อ..ไม้บางตัวที่นำมาปลูก ทั้งที่เหมือนจะมีเมล็ด แต่ก็ไม่มีเมล็ด อาจเกิดตั้งใจเอาต้นที่เป็นหมันมาจำหน่ายเหรอคะ อ้อ ๆ ๆ เพิ่งทราบนะคะ มิน่า เราอยากได้เมล็ดของหลาย ๆ ต้น หายังไงก็ไม่เจอ พวกดาวกระจายสีชมพู ก็เหมือนกัน อยากได้เมล็ด แต่เหมือนจะไม่มี และก็เพิ่งทราบว่า ที่ต่างประเทศ เขาทำให้ สปอร์ ไม่งอกได้   จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 26 พ.ย. 51 09:27:35 ]

ความคิดเห็นที่ 30 โฮ้ ป้าเหมียว มาเป็นชุดเลย งั้นขอถามต่อแค่คำถามเดียวก่อน ถ้าใช่ส่วนใดของพืชมาปั่นตาก็ได้ แล้วเราใช่หมวกรากของกล้วยไม้มาปั่นตาได้หรือไม่ อย่างไร หรือเพราะว่ามีข้อจำกัดในเชิงปฏิบัติ ขอบคุณครับ จากคุณ : ตะวันสุริยา - [ 26 พ.ย. 51 09:49:46 ]

ความคิดเห็นที่ 31 1.  คุณเสือเจ้าถิ่น จาก คคห.15 เห็นมีบอกว่า "การให้ต้นไม้อยู่ในสภาพ ปลอดเชื้อในอาหารนานๆ โดยมากจะกลายในทางที่ไม่ดีเสียมากกว่า" หมายถึง อยู่ในสภาพปลอดเชื้อเจอสารเคมีมาก ก็เลยโอกาสเพี้ยนมาก ใช่ไหมคะ -เจอสารเคมี เช่น ฮอร์โมน มาก -โตเร็วกว่าในสภาพธรรมชาติ บางทีก็กลายเป็นแคลลัสหรือโปรโตคอร์ม -ถ้าไม่มีการ ย้าย (sub culture)  จะเกิดความเครียดจากการขาดน้ำ ขาดอาหาร -ไรอีกหว่า..นึกไม่ออกละครับ 2.4. คุณเสือเจ้าถิ่น จาก คคห.21 4.1 อยากรบกวนให้อธิบายเรื่อง การฟอก ว่าคืออะไร การฟอกผ่าน คือการฟอกที่ไม่ติดเชื้อ และการฟอกไม่ผ่าน หรือการติดเชื้อ แค่นี้รึเปล่า 4.2 การฟอก ในกระบวนการปั่นตา และการฟอกของการเพาะเมล็ด เหมือนหรือต่างกันไหม อย่างไร อยากถามแบบบ้าน ๆ ว่า การฟอก คือ การทำความสะอาด รึเปล่า หรือการฟอกจะรวมถึงกระบวนการแยกเอาเมล็ดออกมาจากฝักที่มีใยสีขาว ๆ ปนอยู่ด้วย คำว่าฟอก ในความหมายที่ผมเขียนอาจไม่ใช่ภาษาราชการนะครับ คือการกำจัดเชื้อรา และแบคทีเรียออกจากชิ้นส่วนที่จะนำไปเพาะเลี้ยงให้หมด โดยใช้สาร เคมี เช่น ไฮเตอร์ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น ฟอกไม่ผ่าน ก็คือ คอน(contaminated) คือเชื้อตายไม่หมดครับ -การฟอกในการปั่นตาต้องใช้ความพยายามมากกว่าเพราะเราต้องฟอกส่วนที่มี ตา ซึ่งปนปื้อนได้ง่าย -การฟอกในการเพาะเมล็ด โดยปกติเราฆ่าเชื้อที่ผิวฝัก  ด้วยความร้อน หรือ สารเคมีที่แรงกว่าฟอกตา ก็เสร็จละครับ -ตอบคุณตะวันสุริยา ในทางทฤษฎีทำได้ทุกส่วนครับ....แต่เราต้องศึกษา จนได้condition ที่เหมาะสมสุดๆสำหรับแต่ละพืช แต่ละclone แต่ละชิ้นส่วน แต่ละระยะการเจริญเติบโต แต่ละสภาพแวดล้อมบนแปลงปลูก แต่ละ....................นี่แหละครับข้อจำกัด...อิอิ จากคุณ : เสือเจ้าถิ่น - [ 26 พ.ย. 51 11:00:26 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะ รอดไป 1 หนึ่งแล้ว จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 26 พ.ย. 51 13:00:03 ]

ความคิดเห็นที่ 33 คำถามทั้งชุดในคห. 28 มีคำตอบเดียวที่เกี่ยวข้องกับคำว่า ..."totipotency" ที่เป็นความสามารถที่มีอยู่เฉพาะเซลของพืช....และในปัจจุบันไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าในเซลสัตว์มีอยู่หรือไม่ ข้อ 5 จึงมีคำตอบว่า หางจิ้งจก ตุ๊กแก ซาลาแมนเดอร์ ปลาหมึก ปลาดาว และอื่นๆ ที่มันขาดออกไปไม่มีความสามารถ "totipotency" เช่นเดิม เพราะฉะนั้น....จากส่วนขาดไป..จะไม่มีทางเกิดจิ้งจกตัวใหม่ ตุ๊กแกตัวใหม่ ซาลาแมนเดอร์ตัวใหม่ ปลาหมึกตัวใหม่ ปลาดาวตัวใหม่ หรืออื่นๆ (ที่มีการค้นพบในปัจจุบัน.... ยังไม่ถูกค้นพบนะครับ) .....แต่ตัวเดิมที่มีอวัยวะขาดหายออกไป...อาจมีความสามารถงอกทดแทนอวัยวะที่ขาดได้...(ธรรมชาติอีกแหละ..ที่ต้องมีข้อยกเว้นเสมอ) แต่พืชน่ะครับ...ทุกเซลของพืชมีคุณสัมบัติของเจ้า "totipotency" อยู่ทุกประการ เอามาสับๆๆๆ จนเละ ..แล้วโยนตามพื้นทั่วไป  (เป็นการเปรียบเทียบ..สำนวนโวหารนะครับ...จริงๆ คือต้องบังคับ....สร้าง condition เหมือนกันครับ)...มันก็จะสร้างกลุ่มเซล.... เปลี่ยนแปลงกลุ่มเซล....แล้วเป็นพืชที่สมบูรณ์เหมือนตัวเดิมทุกประการ (ลืมการกลายพันธุ์ไปก่อนนะครับ) จากคุณ : appendiculata191 - [ 26 พ.ย. 51 13:45:11 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณค่ะ คุณ appendiculata191 ทีแรกยังไม่เข้าใจคำว่า "totipotency" ก็เลยไป Search ดูค่ะ หาเจอ ก็เลยขอนำมาลงนะคะ Totipotency เซลล์ที่ได้จากส่วนใดส่วนหนึ่งของพืชที่ยังมีชีวิตอยู่  เมื่อนำไปเลี้ยงจะสามารถ "Dedifferentiate" กลับเป็นเซลล์ของคัพภะแล้วเจริญเป็นต้นพืชที่สมบูรณ์ทุกประการได้ เช่นเดียวกับพืชต้นเดิม  ลักษณะของเซลล์เช่นนี้เรียกว่า "Totipotent  Cell"  ซึ่งเป็นหลักการของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อซึ่งเจริญก้าวหน้ามากในปัจจุบัน ปรากฏการณ์ที่เซลล์ของพืชมีคุณสมบัติพิเศษที่กลับกลายเป็นส่วนต่าง ๆ ของพืชได้นั้นมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการทางชีวเคมีและทางกายภาพ โดยที่เซลล์ของสิ่งมีชีวิตที่สลับซับซ้อนมาก ๆ นั้น  แต่ละเซลล์จะมีข้อมูล เช่นเดียวกับเซลล์ที่เป็นเซลล์เริ่มแรก ในปี ค.ศ.1964 Steward  ได้ทดลองนำท่ออาหารของแครอทจากส่วนรากซึ่งเป็นเซลล์ที่จัดว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพไปแล้วเพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่างมีคุณสมบัติที่ต่างจากคัพภะ   เมื่อนำท่ออาหารดังกล่าวมาเลี้ยงแล้วแยกเซลล์ให้หลุดออกเป็นเซลล์เดี่ยวๆ   พบว่าเซลล์เหล่านี้จะ dedifferentiate กลับเป็นคัพภะแล้วเจริญเป็นต้นแครอทได้อีก ทำให้เกิดทฤษฎี Totipotency ซึ่งหมายถึงเซลล์ทุกเซลล์ที่มีชีวิตในต้นพืชมีลักษณะทางกรรมพันธุ์อยู่ครบพร้อมที่จะเจริญเป็นพืชทั้งต้นได้ จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 26 พ.ย. 51 13:58:00 ]

ความคิดเห็นที่ 35 อันนี้ตอบเอามันส์ ก่อนไปข้ออื่นในคห.28 ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์แยกหรือวิเคราะห์ว่า เจ้า "totipotency" เป็นอะไร อาจเป็นรหัสพันธุกรรม = ยีน ที่มีอยู่ในเซลพืช หรือเป็นเพียงสารเคมี หรืออะไรสักอย่างที่เป็น "X" เจ้า "X" ทำไหมมีอยู่เฉพาะพืช ....แล้วสัตว์ทำไหมไม่มี "X" หรือจริงๆ แล้ว "X" มีอยู่ในเซลสัตว์เหมือนกัน แต่จะต้องมีกลไกอะไรสักอย่างอาจเป็น "Y" ที่มาคอยเปิดปิดในเซลสัตว์ไม่ให้มีความสามารถ "totipotency" มีเพียงตัวละคร "X" หรือ "Y" เท่านั้น หรือมีตัวอื่นๆ อีก...น่าสนใจนะครับ ในปัจจบันการ cloning ในพืชทำสำเร็จมานานแล้ว (tissue culture หรือปั่นตานั่นแหละครับ)...โดยไม่ต้องมีการรวมเซลสืบพันธุ์เข้าด้วยกัน ก็สามารถผลิดต้นพืชเดิมที่เหมือนกันได้ทุกประการ...จำนวนมากเสียด้วย แต่การ cloning ในสัตว์ยังต้องอาศัยเซลผู้ให้ (อาจเป็นเซลสับพันธุ์หรือไม่ใช่ก็ได้ แต่ต้องมีการผสมกับเซลผู้รับ) ...จึงจะสามารถ cloning สัตว์ที่เหมือนเดิมได้ทุกประการ....(ปัจจุบันสำเร็จใน แกะ วัว แมว และตัวอะไรอีกนิดหน่อยจำไม่ได้แล้วครับ) สนุกไหมครับท่านผู้ชอบ แล้วถ้าหาก "X" เป็น ยีนที่พบในพืช ..นักวิทยาศาสตร์อาจมีแนวคิดตัดต่อแล้วแทรกไปยังเซลสัตว์เพื่อให้ขบวนการเปิด "totipotency" ในเซลสัตว์มีความสามารถเหมือนเซลพืช..และผลิตสัตว์ที่เหมือนเดิมทุกประการ. (โดยไม่ต้องมีการรวมเซลอีกต่อไป)...ได้แน่ในอนาคต....หรือไม่ ใช้คำว่าเพี้ยนในความเห็นนี้..นะครับ จากคุณ : appendiculata191 - [ 26 พ.ย. 51 14:08:05 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ว่างๆ จะมาตอบส่วนที่เหลือครับ..ไม่ต้องระบุให้ผมตอบก็ได้ครับ...ในเรือนกล้วยไม้มีหลายคนที่เป็นกูรูนะครับคุณเหมียวสินธร อย่ายึดมั่นถือมั่นในคำตอบนะครับ ถ้ามีการโต้แย้งจากศาสตร์ต่างๆ จะทำให้ความคิดของเราเองเปิดออก..และลองคิดนอกกรอบดูนะครับ แล้วจะลองมาตอบให้โต้แย้งต่อไปครับ จากคุณ : appendiculata191 - [ 26 พ.ย. 51 14:29:44 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณค่ะ จริง ๆ คือพีเอง ก็ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าใครจะรู้เรื่องนี้บ้าง ก่อนตั้งกระทู้ได้คุยกับเพื่อนว่าจะถามใครดี เพื่อนบอกว่า เคยเห็นคุณเสือเจ้าถิ่น และ คุณ appendiculata191 คุยกันในเรื่องม้า ลึกถึงระดับโครโมโซม ก็เลยมาถามน่ะค่ะ หากมีท่านอื่นที่ไม่ได้ระบุชื่อ แล้วมาตอบก็ยินดีอย่างยิ่งค่ะ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ย. 51 14:40:26 จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 26 พ.ย. 51 14:35:37 ]

ความคิดเห็นที่ 38 Q: 3.3 กรณี คาตา เคยได้ยินว่า คาตาหัวนี้ ออกดอกมาเป็นตัวผู้ แต่พอมีการแตกหน่อ หน่อใหม่อาจให้ดอกตัวเมีย การแตกหน่อ คือจะมีลักษณะโครโมโซมเหมือนเดิมทุกประการไม่ใช่เหรอ แต่ทำไม คาตา พอให้หน่อใหม่ ดอกอาจเปลี่ยนเพศได้ ---------------------------------------------------------------------- A: ลองไปค้นเรื่องดอกของ Catasetum เปลี่ยนเพศ พอจะแปลสรุปตามความเข้าใจได้ความดังนี้น่ะครับ - ปกติกล้วยไม้ทั่วๆ ไป มีดอกที่สมบูรณ์เพศ (มีทั้งเกสรตัวผู้ตัวเมียในดอกเดียวกัน) แต่ Catasetum, Mormodes, Cynoches ถือเป็นกล้วยไม้ที่ออกดอกแยกเพศแต่อยู่ร่วมต้นเดียวกัน (Monoecious - แยกดอกตัวผู้ ดอกตัวเมีย แต่เกิดในต้นเดียวกัน) - แต่ในการออกดอกแต่ละครั้ง คาตาแต่ละต้นมักจะออกดอกเพียงเพศใดเพศหนึ่ง ไม่ได้ออกดอกทั้งสองเพศมาพร้อมกัน จึงทำให้ดูเหมือนว่าคาตาเป็นต้นไม้ที่มีดอกแยกเพศอยู่ต่างต้นกัน (Functionally Dioecious) - ในธรรมชาติและในการปลูกเลี้ยง สามารถพบคาตาต้นที่ออกดอกตัวผู้ได้มากกว่า ขณะที่พบต้นที่ออกดอกตัวเมียน้อยกว่ามาก การออกดอกแต่ละครั้งจะออกมาเป็นเพศใดมีปัจจัยเรื่องสภาพแสงและความสมบูรณ์ของหัวเข้ามาเกี่ยวข้อง - ถ้าความเข้มของแสงมาก และหัวใหญ่สมบูรณ์ มีโอกาสที่คาตาต้นนั้นจะออกดอกตัวเมีย แต่ถ้าความเข้มแสงต่ำ มีโอกาสที่คาตาต้นนั้นจะออกดอกตัวผู้ จึงเสมือนว่าคาตาสามารถเปลี่ยนเพศดอกได้ (Gender Diphasy) ตามปัจจัยแวดล้อม **(ความเห็นส่วนตัว - คงเหมือนไข่เต่า ไข่จระเข้มั้งครับ ถ้าอุณหภูมิในการฟักอยู่ในช่วงนึงก็จะฟักออกมาเป็นตัวผู้ ถ้าอุณหภูมิอีกช่วงหนึ่งก็จะฟักมาเป็นตัวเมีย) - แต่ก็มีโอกาสที่คาตาจะออกดอกที่มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างสองเพศได้ (Intermediate)  โดยดอกที่มีลักษณะค่อนข้างคล้ายไปทางตัวเมียมากหน่อย อาจให้ติดฝักได้ แต่เกสรตัวผู้ใช้งานไม่ได้  ส่วนดอกที่มีลักษณะค่อนข้างคล้ายไปทางตัวผู้มากหน่อย เกสรตัวเมียก็จะใช้ไม่ได้ แถมยังมีน้อยดอกที่เกสรตัวผู้สามารถใช้งานได้ ส่วนใหญ่แล้วดอกคาตาที่ก้ำกึ่งระหว่างสองเพศมักจะเป็นหมัน ---------------------------------------------------------------------- เพื่อป้องกันการแปลผิด/คลาดเคลื่อน อ่านต้นฉบับดั้งเดิมจากที่นี่นะครับ 1)  Daniel Fulop, Evolution of flower sexual dimorphism in Catasetum L.C. Rich. (Orchidaceae) http://www.ubcbotanicalgarden.org/conferences/adaptation2002_abstracts.php 2) Romeo Gustavo A., Non-functional flowers in Cataseturn orchids (Catasetinae, Orchidaceae), Botanical Journal of the Linnean Society, 109(2), P. 305-313 http://www3.interscience.wiley.com/journal/119321373/abstract  (See Abstract) 3) Jess K.Zimmerman, Role of Pseudobulbs in Growth and Flowering of Catasetum viridiflavum (Orchidaceae), American Journal of Botany, 77(4), P.533-542 1990 http://www.jstor.org/pss/2444388 (See Abstract) จากคุณ : Magnificum - [ 27 พ.ย. 51 00:32:07 ]

ความคิดเห็นที่ 39 พวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอย่าง ปลาดาว, หนอนตัวแบน, ไฮดรา พอจะเข้าข่ายไหมครับ เพราะตัดให้ขาดฉับๆ แต่ละชิ้นส่วนก็งอกเป็นตัวใหม่ได้ จากคุณ : Magnificum - [ 27 พ.ย. 51 00:44:19 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณมากค่ะ คุณ Magnificum จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 27 พ.ย. 51 11:44:00 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เมื่ออ่านคำตอบของคุณ Magnificum ในคห. 38 ทำให้นึกถึงสมการนี้เลยครับ P = G + E Phenotype = ลักษณะที่แสดงออกมาของสิ่งมีชวิต ถูกกำหนดด้วย Genotype (ลักษณะที่ถูกกำหนดไว้แล้วตายตัวในสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ ด้วยสารพันธุกรรม...กล่าวอีกนัยยะคือ gene นั่นเอง) แต่ยังต้องอยู่กะอีนี้ด้วย (Environment) นึกอะไรไม่ออก เอาสมการนี้ไปตอบโจทย์ได้เกือบหมด (มีข้อยกเว้นบางอย่าง.....อีกแล้ว) เช่น โรคมะเร็ง...ในปัจจุบันพบว่ามะเร็งบางชนิดถ่ายทอดทางพันธุกรรมด้วย (กำหนดโดย G นั่นเอง) แต่จะแสดงออกหรือไม่ (P) ยังมี ...อีนี้ (E) มากระตุ้นด้วย อันได้แก่ ทานอาหารไม่ถูกสุขอนามัย อยู่ในสภาพแวดล้อมไม่ถูกต้อง เป็นต้น เอาอีก...พวก homosexual ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พบว่าเป็น gene ที่เป็นสาเหตุสำคัญ (จำไม่ได้แล้วว่า gene อะไร) แต่บางคนไม่แสดงออกจนตายไปจากโลกนี้ แต่บางคน ..โฮสภาพแวดล้อมอำนวย เช่นการเลี้ยงดู แฟชั่น เพื่อนฟูง ....ทำให้การแสดงออกออกมาอย่างเด่นชัด หรือการก้าวร้าว ....นึกไม่ออกเอาสมการนี้ไปใส่ดู แล้วคิดเดะครับ... สงสัยเป็น G แน่ๆ ถูกกำหนดมาให้ก้าวร้าวแน่ๆ พออากาศร้อนเข้าหน่อย (E)...โฮ...ต่อยเลย (P) เป็นต้น จากคุณ : appendiculata191 - [ 27 พ.ย. 51 11:52:36 ]

ความคิดเห็นที่ 42 มีหลายชนิดของพืชและสัตว์สามารถเปลี่ยนเพศได้ เมื่อใช้สารเคมี อุณหภูมิ แสงสว่าง ความสั้นยาวของวัน และอื่นๆ (จำเจ้า E ไว้ก่อนเลยนะครับ) ยกตัวอย่างเช่น มะละกอ มีทั้งต้นที่เป็นแต่ต้นตัวผู้ (ก้านยาวๆ ผลเล็กๆ ยาวๆ) บางต้นมีแต่ต้นตัวเมีย(ผลกลมๆ) บางต้นเป็นต้นกระเทย (ดอกสมบูรณ์เพศ) มีงานวิจัยหนึ่งระบุว่า เมื่ออุณหภูมิเย็นลง เจ้าต้นตัวผู้จะเปลี่ยนเป็นต้นตัวเมียทั้งหมด (หรือสลับกันจำไม่ได้แล้วครับ) เป็นต้น มีหลายกรณีนะครับที่พืชแยกเพศได้ จำได้ตอนนี้คือต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ก็ใช่ครับ แต่ไม่รู้ว่าสลับเพศได้ไหมเมื่ออีนี้ (E) เปลี่ยนไป ปลาการ์ตูนครับเป็นปลาทะเลที่เปลี่ยนเพศได้ แล้วแต่สภาพแวดล้อม... ปกติในฝูงจะมีเจ้าพ่อคือมีตัวผู้ตัวเดียว นอกนั้นเป็นตัวเมียทั้งหมด หากตัวผู้ตัวนี้ตายลง.... จะมีตัวเมียตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นตัวผู้และแสดงพฤติกรรมเป็นตัวผู้เลย มีสเปริม์ และชอบผสมพันธุ์อีกต่างหาก เป็นต้น ยังมีอะไรอีกเยอะในธรรมชาติ..ที่ยังไม่ค้นพบ..น่าสนใจทีเดียว พอนักวิชาการรู้จุดนี้แล้ว...ก็จะมีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ละทีนี้ เช่นปลาทับทิมที่มีแต่ตัวผู้ ...เจริญเติบโตเร็ว และอื่นๆ คนที่อยากขายคาตาในแง่การสร้างลูกผสม คงนำข้อคิดจากคห. 38 ไปทดสอบและลองดูครับ จากคุณ : appendiculata191 - [ 27 พ.ย. 51 12:11:21 ]

ความคิดเห็นที่ 43 "พวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอย่าง ปลาดาว, หนอนตัวแบน, ไฮดรา พอจะเข้าข่ายไหมครับ เพราะตัดให้ขาดฉับๆ แต่ละชิ้นส่วนก็งอกเป็นตัวใหม่ได้" ของคุณ Magnificum ในคห. 39 อันนี้ผมไม่แน่ใจจริงๆ ครับว่าส่วนตัดฉับๆๆ จะเป็นปลาดาว หนอนตัวแบน ไฮดรา อีกจำนวนที่เท่ากับสับๆๆ นะครับ ต้องรอผู้เรียนทาง Zoology มายืนยันข้อมูลครับ แต่ที่แน่ๆ พวกนี้ ไอ้ตัวที่โดนสับจนเละ แต่ยังไม่ตาย สามารถงอกอวัยวะจนครบ ไอ้ตัวเดิมตัวเดียวไม่ใช่หรือครับ ถ้ามันทำได้ แสดงว่ามีสัตว์จำนวนหนึ่งมีความสามารถ "totipotency" เช่นเดียวกับพืช หรืออาจจะค้นพบ "X, Y และอื่นๆ" ที่ทำหน้าที่ "totipotency" ได้แล้วกระมั้ง...ผมไม่แน่ใจนะครับ แก้ไขเมื่อ 27 พ.ย. 51 12:26:15 จากคุณ : appendiculata191 - [ 27 พ.ย. 51 12:21:30 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ตั้งแต่ คคห.35 ยังไม่ได้นั่งอ่านจริงจัง คืนนี้ หรือ พรุ่งนี้เช้าจะนั่งอ่าน แล้วจะมาคุยด้วยค่ะคุณ appendiculata191 และ คุณ Magnificum จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 27 พ.ย. 51 14:19:31 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คราวนี้มาดูข้อที่เหลือในคห. 28 จะพบว่าว่าคุณเหมียวสินธร...กังวลกับความเป็นหมันที่อยู่ในไม้ปั่นตา..ใช่หรือไม่ครับ ที่บอกว่าความเป็นหมันแฟงอยู่ในต้นปกติหรือไม่ แล้วความเป็นหมันเปลี่ยนแปลงจากหมันเป็นไม่หมัน...หรือไม่หมันแล้วหมัน... หากเข้าใจที่คุณเสือเจ้าถิ่นบอกให้ดูเรื่อง cell cycle ในการแบ่งเซล..สำหรับ mitosis (เซลร่างกาย) และ meiosis (เซลสืบพันธุ์) และจุด check point ที่ไม่ยอมให้เซลเปลี่ยนแปลง...หากมีกรณีใดก็ตามที่ทำให้รูปแบบเปลี่ยนแปลงไป สิ่งมีชีวิตนั้นๆ จะมีขบวนการกำจัดทิ้งทั้งหมด แต่หากมีการเปลี่ยนแปลง..แต่ไม่สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตนั่นล้มหายตายจากไป (lethal) สิ่งมีชีวิตนั่นจะปรับตัว....ให้นึกถึงทฏษฎีวิวัฒนาการของชาร์ดาวินท์เลยครับ และสามารถถ่ายทอดได้ (มี Genotype ถาวร) แล้วลองเอาสมการ P = G + E ไปตอบในคำถามที่เหลือดูครับ ว่าได้คำตอบหรือไม่ แต่ไม่ใช่เท่านั้น...การผันแปร การแปรปรวน การกลายพันธุ์มีอยู่หลายระดับ ..ลองหาเสริช์คำว่า mutation อีกรอบครับ ในไม้ปั่นตา...เราสร้างเงื่อนไขให้เซลพืช (ให้ E นั่นเอง)... ให้กลุ่มเซลพืช ...แล้วบังคับสิ่งเหล่านี้...ให้มีการขยายเพิ่มปริมาณ บังคับให้มีการเปลี่ยนแปลง ...จนได้พืชต้นเดิมเป็นจำนวนมาก ลักษณะผิดปกติทั้งหลายที่เกิดขึ้น ถือเป็นความบกพร่องทั้งหมดของการแบ่งเซล.... ส่วนใหญ่ขั้นตอนนี้...ไม่ว่าลักษณะใดๆ จะถูกกำจัดทิ้ง (ตาย หรื่อไม่เจริญเติบโตเป็นต้นพืชใหม่) ที่เหลือแสดงว่าเปลี่ยนแปลงในระดับ gene แล้วครับ  เมื่อเปลี่ยนแปลงในระดับ gene ...การแสดงออก (Phenotype) จะแสดงออกมา ...ไม่เปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา (แต่อาจไม่จริงทั้งหมด...อีกแล้ว) คราวนี้มีศัพท์คำว่า "somaclonal variation" เป็นความแปรปรวนที่ยังไม่ถาวร ยกตัวอย่างเราปลูกไม้ด่างอยู่ดีๆ วันนี้คืนดี กลับมาเขียวเหมือนเดิม..ประมาณนี้ ลองไปคิดคำตอบก่อนนะครับ...และถ้ามีข้อโต้แย้งก็จะเป็นการดีครับ แก้ไขเมื่อ 27 พ.ย. 51 15:20:24 จากคุณ : appendiculata191 - [ 27 พ.ย. 51 14:59:50 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คือว่าก่อนหน้านี้ ไม่เคยนึกถึงประเด็นที่ว่า ไม้ปั่นตา คือ เอาไม้ที่เป็นหมันมาปั่น นึกแต่มุมที่ว่า ก่อนปั่นไม่หมัน แล้วพอปั่นจะเป็นหมัน หรือ มักจะเป็นหมัน น่ะค่ะ ก็เลยงงว่าการปั่นตา มีอะไรทำให้ไม้จากไม่หมัน มาเป็นหมัน พอได้มาอ่านคำตอบจากหลายท่าน เลยทราบว่า อ๋อ..ไม้ส่วนใหญ่ที่นำมาปั่น มันมักเป็นหมันอยู่แล้วนี่เอง น่ะค่ะ จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 27 พ.ย. 51 15:32:46 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ท่าจะยาว.....ประเด็กแตกไปเรื่อยๆ....หัวก็พลอยจะแตกไปด้วย...อิอิ จากคุณ : เสือเจ้าถิ่น - [ 27 พ.ย. 51 17:10:41 ]

ความคิดเห็นที่ 48 มาแล้วค่ะ  1. คุณ appendiculata191 คคห.35 1.1 เซลผู้ให้ กับ เซลผู้รับ เป็นอย่างไร 1.2 เซลผู้ให้ และ เซลผู้รับต้องเป็นสัตว์ที่เป็นตัวเดียวกันใช่ไหม จึงจะเรียกว่า clonning  2. คุณ Magnificum  คคห.38 2.1 Catasetum, Mormodes, Cynoches หรือ... ที่เป็นไม้สไตล์นี้ แต่ละตัวต่างกันอย่างไรคะ 2.2 ในข้อย่อยที่ 2 เห็นบอกว่า "แต่ในการออกดอกแต่ละครั้ง คาตาแต่ละต้นมักจะออกดอกเพียงเพศใดเพศหนึ่ง " เนื่องจากเห็นมีคำว่า "มัก" ซึ่งอาจแปลว่าไม่เสมอไป ดังนั้นเป็นไปได้ใช่ไหมที่ต้นเดียว จะออกดอกทั้งตัวผู้และตัวเมีย ซึ่งในชีวิตจริง ของเพื่อน ๆ ที่เลี้ยงคาตา เคยมีใครเห็นดอกตัวผู้ และ ตัวเมีย ในต้นเดียวกัน รึไม่ ขอชมว่ายกตัวอย่างได้เห็นภาพมาก ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับไข่เต่า และชมเพิ่มอีกว่า คคห.38 นี้เป็นความคิดเห็นที่มีความรู้ดีมาก ๆ โดยเฉพาะคนไม่รู้เรื่องคาตาเล๊ยอย่างเราเป็นต้น คุณ appendiculata191 คคห.41 ทั้งเรื่องมะเร็ง และ  homosexual  อธิบายได้เข้าใจง่าย อีกคนแล้ว อิ ๆ... คุณ appendiculata191 คคห.42 เรื่องมะละกอ และปลาการ์ตูน ไม่เคยได้ยินเลย ดูน่าตื่นเต้น เลยนับว่าได้ความรู้ใหม่ ขอขอบคุณมาก ๆ  3. คุณ appendiculata191 คคห.45 3.1 ยังไม่ค่อยเข้าใจตรงที่บอกว่า "check point ที่ไม่ยอมให้เซลเปลี่ยนแปลง...หากมีกรณีใดก็ตามที่ทำให้รูปแบบเปลี่ยนแปลงไป สิ่งมีชีวิตนั้นๆ จะมีขบวนการ กำจัดทิ้งทั้งหมด" ใช่หมายถึงว่า ที่เราปั่นหรือแตกเซลให้ได้มาก ๆ แล้วบางเซลที่ได้ ไม่เป็นแบบเซลแม่ ประมาณว่าไม่ครบองค์กระกอบ หรือ พิการ เซลนั้นจะตายไปในที่สุด เหมือนถูกกำจัดโดยธรรมชาติ เข้าใจอย่างนี้ถูกไหมคะ 3.2 "somaclonal variation" เป็นความแปรปรวนที่ยังไม่ถาวร กรณีไม่ด่าง ต่อมาไม่ด่างอีกต่อไป กรณีนี้ เกิดจาก E ทำให้เป็นแบบนั้นรึเปล่า แล้วกรณีพวกปุ๋ย หรือแร่ธาตุต่างๆ เรียกว่าเป็น E ด้วยไหม เช่น ไฮเดรนเยีย เมื่อมีธาตุอาหารบางตัวในปริมาณที่ต่างกัน ทำให้สีเปลี่ยนไป เป็น ชมพู หรือ ฟ้า คุณเสือเจ้าถิ่น กระนั้นเลยรึ จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 28 พ.ย. 51 20:20:42 ]

ความคิดเห็นที่ 49 จาก คห.48 นะครับ - 2.2 ในข้อย่อยที่ 2 เห็นบอกว่า "แต่ในการออกดอกแต่ละครั้ง คาตาแต่ละต้นมักจะออกดอกเพียงเพศใดเพศหนึ่ง " เนื่องจากเห็นมีคำว่า "มัก" ซึ่งอาจแปลว่าไม่เสมอไป ดังนั้นเป็นไปได้ใช่ไหมที่ต้นเดียว จะออกดอกทั้งตัวผู้และตัวเมีย ซึ่งในชีวิตจริง ของเพื่อน ๆ ที่เลี้ยงคาตา เคยมีใครเห็นดอกตัวผู้ และ ตัวเมีย ในต้นเดียวกัน รึไม่ ---------------------------------------- ออกตัวก่อนครับ ว่าไม่ได้เลี้ยงคาตาหรือไม้ในกลุ่มนี้เป็นเรื่องเป็นราว มีคาตาของชาวบ้านอยู่แค่ต้นสองต้นเองครับ : ) ประโยคอาจจะเขียนชวนให้สับสนด้วยน่ะครับ - โดยทั่วไป/ส่วนใหญ่ (Generally) เวลาออกดอกแต่ละครั้ง คาตาจะออกดอกเพียงเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้นนั้น คือทั้งช่อจะมีแต่ดอกตัวผู้ หรือดอกตัวเมียเพียงอย่างเดียว - เท่าที่เคยได้ยินและอ่านเจอ ยังไม่เคยมีกรณีว่าใน 1 ช่อมีทั้งดอกตัวผู้และดอกตัวเมีย  ถ้าจะมีก็คือเป็นดอกสมบูรณ์เพศไปเลย ซึ่งก็พบได้น้อยครั้งกว่ามาก (Occasionally) ยังไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองเหมือนกันครับ - แต่จากที่ Gustavo A. Romeo เขียนไว้ (ลิงค์ที่ 2 ในคห.38 ครับ) ถึงจะเป็นดอกคาตาที่สมบูรณ์เพศ แต่ก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของทั้งสองเพศได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าดอกนั้นแอ่งเกสรตัวเมียใช้ได้ เกสรตัวผู้ก็จะเสียใช้ผสมไม่ได้  หรือถ้าดอกนั้นเกสรตัวผู้ใช้ได้ แอ่งเกสรตัวเมียก็ใช้ไม่ได้ แถมส่วนใหญ่ดอกสมบูรณ์เพศมักจะเป็นหมันไปซะงั้น จากคุณ : Magnificum - [ 29 พ.ย. 51 21:57:29 ]

ความคิดเห็นที่ 50 จาก คห.45 "Somaclonal Variation" พี่แอพเพนยกตัวอย่างเรื่องไม้ด่างไว้  มีตัวอย่างเรื่องนี้ในฟาแลนเหมือนกันครับ ใน Orchid Digest (Vol.70-3) Howard S. GINSBERG อ้างถึงความเห็นของ Robert Griesbach ว่าฟาแลนประเภทที่เรียกว่า Harlequins เช่น Phal.Ever Spring Fariy ที่แต่ละดอกในช่อเดียวกัน มีลวดลาย จุดประ ตำแหน่ง ไม่ซ้ำกับเลยซักดอกเดียว และออกดอกแต่ละครั้งลวดลายดอกก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ  ก็น่าจะเป็นผลจาก Somaclonal Variation ที่การปั่นตาชักนำให้เกิดขึ้น โดยน่าจะเกิดขึ้นที่ Regulatory Gene  ไม่ใช่ Structural Gene และ A.Dean Stock ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่านอกจาก Somaclonal Variation แล้วยังเป็น Interstitial Chromosome Deletion ด้วย ต้นกำเนิดของฟาแลนประเภท Harlequins มาจากการนำ Golden Peoker "Brother" AM/AOS ซึ่งเป็นไม้เมล็ด ไปปั่นตา แล้วลูกที่ได้ออกมา มีต้นที่เกิดการกลายพันธุ์ขึ้น กลายเป็น Golden Peoker "E.S." JC/AOS หลังจากนั้นก็มี Golden Peoker ต้นกลายพันธุ์ต้นอื่นๆ เกิดขึ้นตามมา เช่น ต้น "Nan Cho" AM/AOS, "S.J." HCC/AOS และ "B.L." HCC/AOS  บ้างก็ว่า 3 ต้นหลังนี้กำเนิดจากการนำต้น "E.S." ไปปั่นตาต่อ บ้างก็ว่ามาจากการ Self ต้น E.S.  โดย Howard ลงความเห็นว่า 3 ต้นหลังนี้น่าจะมาจากการ Self ต้น E.S. มากกว่า   จากนั้นเมื่อนำ Golden Peoker 'E.S.' ไปผสมกับ Chih Shang's Stripes ก็เกิดเป็น Ever Spring Fairy ที่มีดอกแบบ Harlequins ฉะนี้แล  ส่วน Golden Peoker "Brother" ซึ่งเป็นต้นที่มีดอกปกติ ก็ให้ลูกออกมาแบบปกติ ทั้งหมดนี้ลอกเขามาพิมพ์นะครับ ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ศัพท์แสงทั้งหลายต้องให้พี่แอพเพนหรือคุณเสือเจ้าถิ่นหรือคนอื่นๆ มาอธิบายล่ะครับ  : ) จากคุณ : Magnificum - [ 29 พ.ย. 51 22:50:42 ]

ความคิดเห็นที่ 51 กระทู้นี้ต้องเก็บเข้าคลัง จากคุณ : ปุ้ม ครับ - [ 1 ธ.ค. 51 22:32:39 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอตอบแบบคร่าวๆ ในส่วนที่เหลือแบบรวดรัดนะครับ เพราะกระทู้ยาวแล้ว และประเด็นจะแตกไปเรื่อยๆ อย่างที่คุณเสือเจ้าถิ่นบอกครับ 1. การ cloning ในเซลสัตว์จะแตกต่างจากเซลพืช ด้วยหลักการของ "totipotency" 1.1 cloning เซลพืช ใช้คุณลักษณะของ "totipotency" ในเซลพืชเพียงเซลเดียว แล้วสร้างเงื่อนไข (E) ให้เซลพืชนั่นๆ ขยายเพิ่มจำนวนเซลพืช เปลี่ยนแปลงเซลพืช และเปลี่ยนแปลงเป็นต้นพืชใหม่ที่เหมือนเดิมทุกประการได้เลย โดยไม่ได้พึ่งพาการผสมเซลแต่อย่างไร (ในทุกกรณี) 1.2 cloning เซลสัตว์ ...การทำให้เซลสัตว์ ขยายเพิ่มปริมาณสามารถทำได้ แต่จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นสัตว์ตัวใหม่ที่เหมือนเดิมได้ทุกประการ (เนื่องจากขาดคุณสมบัติ "totipotency") แต่สามารถสร้างสัตว์ตัวเดิมได้ โดยการรวมเซลต้นแบบ (เซลผู้ให้)ไปยังเซลผู้รับ (ถ่ายฝากหรือเซลผู้รับนั่นเอง) เสมือนการผสมพันธุ์ ..อันนี้ต้องสืบค้นเอาเอง ..เพราะผมไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้โดยตรงครับ 2. กรณี check point ต้องหาอ่านเพิ่มเติมครับ ..พูดง่ายๆ ขั้นตอนการแบ่งเซล การเปลี่ยนแปลงเซล มีขั้นตอนการตรวจสอบความผิดผลาดที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง (QC) เพื่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ไว้ 3. อะไรที่เราบังคับ ผมถือว่าเป็น E ทั้งหมดครับ แต่จะมีอิทธิพลเพียงพอต่อ P หรือ G ต้องแล้วแต่กรณีครับ ขอจบคำตอบแบบรวบรัดเลยครับ จากคุณ : appendiculata191 - [ 2 ธ.ค. 51 11:51:54 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณค่ะ คุณ Magnificum และ คุณ appendiculata191 จากคุณ : เหมียวสินธร - [ 2 ธ.ค. 51 12:41:06 ]