ความคิดเห็นที่ 1 ....พลัมเป็นไม้ผลเขตหนาววงศ์ Rosaceae อยู่ในสกุล Prunus พลัมแยกออกเป็น 2 ชนิด คือ พลัม ยุโรป (European plum: Prunus domestica L.) และพลัมญี่ปุ่น (Japanese plum: P. salicina ) พลัมที่ปลูกในประเทศไทยเป็นพวกพลัมญี่ปุ่น ซึ่งปลูกกันมานานแต่ยังไม่แพร่หลาย ต่อมามูลนิธิโครงการหลวงได้นำเอาพลัมพันธุ์ Gulf Ruby จากรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา มาทดสอบที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขางในปี พ . ศ . 2522 และได้วิจัยและพัฒนาจนกระทั่งประสบความสำเร็จ ทำให้พลัมเป็นไม้ผลที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเป็นอาชีพชนิดหนึ่ง แหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ แม่ปูนหลวง แกน้อย และอ่างขาง จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 14:53:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ลักษณะโดยทั่งไป..       พลัมเป็นไม้ผลที่มีลักษณะทรงต้นค่อนข้างเล็กเช่นเดียวกับพีช ดอกจะออกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากได้รับความหนาวเย็นเพียงพอ ตาดอกที่อยู่บนกิ่ง Spur ซึ่งเป็นกิ่งอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไปเหมือนกับบ๊วย แต่พลัมบางพันธุ์มีตาดอกอยู่บนกิ่งอายุ 1 ปี ตาดอก 1 ตามีจำนวน 2-3 ดอก ดอกพลัมมีจำนวนมาก ขนาดเล็กและสีขาวเป็นดอกสมบูรณ์เพศ แต่ปกติผสมตัวเองไม่ติด ต้องผสมข้ามและเฉพาะเจาะจงพันธุ์กันเท่านั้น ผลเป็นประเภท Drupe จึงจัดเป็นพวก Stone fruit คือมีส่วนของ endocarp ที่แข็งเช่นเดียวกับบ๊วยและพีช แต่จะมีความหลากหลายกว่าทั้งขนาดของผล สีของผลและสีเนื้อผล จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 15:01:27 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สภาพภูมิอากาศและปัจจัยที่เอื่ออำนวย..                ...พลัมพันธุ์ที่ปลูกในประเทศไทยต้องการความหนาวเย็นในการทำลายการพักตัวยาวนานประมาณ 100 - 300 ชั่วโมง โดยพื้นที่ปลูกต้องมีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป แต่บางพันธุ์สามารถปลูกได้ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป เช่น พันธุ์จูหลี่ ในการปลูกพลัมรับประทานสด                    พื้นที่ปลูกต้องสามารถให้น้ำได้ ผลผลิตจึงจะมีคุณภาพดี สำหรับประเภทแปรรูปสามารถปลูกเป็นการค้าได้ดีในพื้นที่แห้งแล้ง และพื้นที่ปลูกไม่ควรมีปัญหาลมแรงเพื่อลดการร่วงของผล จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 15:05:26 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณสำหรับความรู้นะคร๊าบบ :D จากคุณ : raberd - [ 4 ธ.ค. 51 15:05:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สวัสดีครับ คุณraberd  สนใจหาไปปลูกมั้ยครับ ในห้างขายแพงนา...^^ __________________________________________________________- - พันธุ์พลัม ที่ปลูกในเมืองไทย          1. พลัมพันธุ์ Gulf Ruby                 เป็นพันธุ์รับประทานสดที่มีผลผลิตมากที่สุดในปัจจุบัน ผลมีขนาดโตกว่าพันธุ์อื่นๆ น้ำหนักประมาณ 60-80 กรัมต่อผล ทรงผลกลมสูง ก้นแหลมสีม่วงอมแดง เนื้อสีเหลือง รสชาติหวานอมเปรี้ยวเก็บเกี่ยวได้ประมาณเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม การติดผลต้องการพันธุ์คู่ผสม แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 51 15:32:05 จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 15:08:44 ]

ความคิดเห็นที่ 6 2. พลัมพันธุ์ Gulf Gold                          เป็นพันธุ์รับประทานสด ผลมีขนาดใหญ่และลักษณะผลคล้ายกับพันธุ์ Gulf Ruby แต่ผลมีสีเหลือง เมื่อสุกจัดจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม ผลสุกเก็บเกี่ยวได้ช้าคือประมาณปลายเดือนพฤษภาคม การติดผลผสมตัวเองได้ดี จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 15:10:46 ]

ความคิดเห็นที่ 7 3. พันธุ์เหลืองบ้านหลวง                            ลักษณะผลกลม ขนาดกลาง น้ำหนักประมาณ 40-60 กรัมต่อผล ผลมีสีเหลืองเนื้อผลสีเหลือง รสชาติหวานและมีกลิ่นหอม เก็บเกี่ยวได้ในเดือนพฤษภาคม การติดผลต้องมีพันธุ์อื่นช่วยผสมเกสรจึงจะติดผลได้ดี สามารถปลูกได้ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 900 เมตรขึ้นไป จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 15:12:28 ]

ความคิดเห็นที่ 8 4. พันธุ์แดงบ้านหลวง                       ลักษณะผลกลมแป้นมีร่องลึก เนื้อผลมีสีแดงเข้มเมื่อสุกจะมีสีแดงอมดำคล้ายเลือด และขนาดของผลมีทั้งสายพันธุ์ที่ผลใหญ่และผลเล็ก น้ำหนัก 40-70 กรัมต่อผล ผลมีรสชาติหวาน สามารถรับประทานสดได้ดีโดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ผลใหญ่ และสามารถแปรรูปได้ดีเช่นกันเพราะเนื้อค่อนข้างแข็ง ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้ช้าคือ ประมาณเดือนพฤษภาคม การติดผลผสมตัวเองได้ดี จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 15:13:28 ]

ความคิดเห็นที่ 9 5. พันธุ์จูหลี่                   เป็นพันธุ์สำหรับแปรรูป ผลมีขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร ลักษณะผลกลม สีแดง เนื้อผลสีเหลืองเข้ม เมล็ดเล็ก ผลสามารถติดอยู่บนต้นได้นาน ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตคือเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม สามารถปลูกได้ดีในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 700 เมตร ขึ้นไป การติดผลผสมตัวเองได้ดี จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 15:14:26 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ...พลัมพันธุ์อื่นที่ปลูกในประเทศไทย ที่ยังไม่สามารถปลูกเป็นการค้าได้แต่ใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ เช่น ใช้เป็นคู่ผสม ได้แก่ พันธุ์เหลืองอินเดีย และพันธุ์ขุนแจ๋ เป็นต้น ฤดูการเก็บเกี่ยวผลผลิต...           พลัมแต่ละพันธุ์มีช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตแตกต่างกัน แต่จะอยู่ในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน ตลาดและการใช้ประโยชน์...               พลัมแบ่งตามการใช้ประโยชน์ได้เป็น 2 กลุ่มคือ พลัมสำหรับรับประทานสด และพลัมสำหรับแปรรูป โดยพลัมสำหรับรับประทานสดได้แก่ พันธุ์ Gulf Ruby, Gulf Gold, เหลืองบ้านหลวงและแดงบ้านหลวง แต่พันธุ์เหล่านี้ก็สามารถนำไปแปรรูปได้ เช่น ทำแยมพลัมและน้ำพลัม ส่วนพันธุ์สำหรับแปรรูปได้แก่ พันธุ์จูหลี่ซึ่งนิยมนำไปทำ พลัมแช่อิ่ม           ในด้านประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร พลัมเป็นไม้ผลเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยกรดซัคซินิค ซิตริก มาลิกและแคทีนิคซึ่งช่วยชะลอความชราและเสริมสร้าง กระดูกและฟัน ที่มา...http://www.moac.go.th/builder/bhad/plum.php http://www.loadinglove.com/pookie/?m=20080519 จากคุณ : ดอกพลัม (คนดง คนเดิม) - [ 4 ธ.ค. 51 15:20:24 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ดอกพลัม.. จากคุณ : ดอกพลัม (คนดง คนเดิม) - [ 4 ธ.ค. 51 15:24:24 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ดอกพลัม...(พิดพลาดครับ  อิอิ) จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 15:25:43 ]

ความคิดเห็นที่ 13 บางส่วนของประโยชน์ที่มีในพลัม.. - ในลูกพรุน มีกากใยธรรมชาติ Dietary fiber จำนวนมากหลายชนิด ซึ่งเป็นทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้ และละลายน้ำไม่ได้ กากใยอาหารนี้มีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอลได้ และจากการทดลองรับประทานลูกพรุน พบว่าสามารถลดไขมันในเลือด (LDL cholesterol) ในผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูงได้ พบว่ากลไกดังกล่าวเกิดจากกากใยอาหารชนิด เซลลูโลสซึ่งละลายน้ำไม่ได้ และเพ็คตินซึ่งละลายน้ำได้ - มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงอีกจำนวนมาก นอกจากนี้น้ำลูกพรุนยังเป็นอาหารที่วิตามินซี วิตามินอี แหล่งที่ดีของธาตุเหล็ก และไฟเบอร์หรือกากใยอาหาร น้ำลูกพรุนแม้จะมีรสหวานแต่ส่วนมากประกอบไปด้วยน้ำตาลชนิด ฟลุคโตสและซอร์บิทอล ซึ่งไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญยังช่วยระบายและรักษาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งในผู้ใหญ่ และในเด็กเล็ก แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กก็ควรปรึกษาแพทย์ด้วยเสมอ - มีวิตามิน B2 (Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ช่วยในการมองเห็น ผิวหนัง เล็บ และผม จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 15:26:53 ]

ความคิดเห็นที่ 14 - มีวิตามิน C (Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์ จากการถูกทำลาย ซึ่งเมื่อเซลล์ถูกทำลายก็จะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งสูง วิตามิน C มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidant ในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดเป็นโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง และทำให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น - มีวิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดง ทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม ช่วยบำรุงสายตา - มีแคลเซียม (Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ - มีเหล็ก (Iron) เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78 มิลลิกรัม จึงเป็นแหล่งของธาตุเหล็กได้เป็นอย่างดี จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 15:27:28 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เกร็ดความรู้..        ลูกพรุน(พลัมแห้ง)       เป็นแหล่งโปแตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ ที่สำคัญลูกพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด คงความเป็นหนุ่มเป็นสาว คนเรานั้นเมื่อผ่านช่วงสดใสของ ชีวิตคือวัย 25 ปี ร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสม ตามที่ต่างๆ ใบหน้าที่เคยเอิบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณจากสีชมพูระเรื่อก็เริ่มซีดโทรม ธาตุเหล็กที่มีมาก ในลูกพรุน จะช่วยดูแลเรื่องนี้ ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสีย เลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย ที่มา..http://202.129.48.218/sar/articles.php?lng=th&pg=254 จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 15:39:38 ]

ความคิดเห็นที่ 16 น่ากินจังค่ะ แต่ว่าบ้านนู๋คงปลูกไม่ได้อ่ะ ร้อนถึงร้อนที่สุด อยากจะซื้อแต่ว่าแพงอ่ะ เสียดายกะตังค์อันน้อยนิด จากคุณ : นางมารน้อย (moopoo_1008) - [ 4 ธ.ค. 51 15:45:49 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ...วิธีทำน้ำ ลูกพรุน             วิธีทำน้ำลูกพรุน        สรรพคุณ เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยในการระบาย        ส่วนผสม    ลูกพรุน 1 ถ้วยตวง    น้ำเปล่า 8 ถ้วยตวง    น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง    เกลือ 1 ช้อนชา           วิธีทำ    - ลูกพรุนแกะเมล็ดออก ผสมน้ำนำไปต้มให้เปื่อย    - เอาเนื้อลูกพรุนยีให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ    - ผสมเกลือ น้ำตาลทราย คนให้ละลาย ตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง  - เสิร์ฟเย็นคู่กับน้ำแข็งทุบ ที่มา..http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99/ จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 15:46:41 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สวัสดีครับ คุณนางมารน้อย (moopoo_1008)    ปลูกไว้ดูเล่นก็ได้นะครับ  แต่ถ้า ว่างๆก็ทำลูกพลัมเป็นขนมของกินเล่นได้นะครับ.. ดูได้ที่นี้..http://www.pantown.com/board.php?id=5495&name=board18&topic=134&action=view จากคุณ : น่ากิน เนอะ... (คนดง คนเดิม) - [ 4 ธ.ค. 51 15:56:25 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มีทำเป็นซอสพลัม ด้วยนะครับ  ^^ เอาไว้ทำกับข้าวได้หลายชนิด จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 16:03:41 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แถม..                              ..การขยายพันธุ์พลัม..                พลัมที่ปลูกกันอยู่ในประเทศไทยปัจจุบันนี้ยังมีจำนวนพันธุ์ไม่มากนัก  และสามารถปลูกได้ดีเฉพาะ Japanese plum เท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากไต้หวัน อเมริกา ญี่ปุ่น และอินเดีย มีการสั่งพันธุ์เข้ามาทดสอบไม่น้อยกว่า 30 สายพันธุ์ ปรากฎว่ามีเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้นที่สามารถเจริญเติบโตได้ดี และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพและสามารถปลูกเป็นการค้าในที่สูงของประเทศไทย               ซึ่งได้แก่พันธุ กัลฟ์รูบี้ (Gulf Ruby) แดงบ้านหลวง เหลืองบ้านหลวง แดงอินเดีย และเหลืองอินเดีย สำหรับการขยายพันธุ์พลัม ในบ้านเรานั้นใช้วิธีการเสียบกิ่ง แต่การเสียบกิ่งจำเป็นต้องใช้ต้นตอจากการเพาะเมล็ด การเพาะเมล็ด                การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด มักใช้ในการขยายพันธุต้นกล้า เพื่อใช้เป็นต้นตอ ในต่างประเทศนิยมใช้ myrobolan plum เป็นต้นตอของพลัม หรืออาจใช้ต้นตอพันธุ์ Nemaguard เป็นต้นตอของพลัมก็ได้                     ในประเทศออสเตรเลียมีการแนะนำให้ใช้ Buck plum สำหรับเป็นต้นตอของ European plum และ Myrobolan pium โดยเฉพาะเมล็ดนั้น จะต้องทำ Stratification เมล็ดที่อุณหภูมิ 1-10  ซํ. นาน 100-120 วัน ซึ่งจะช่วยให้เมล็ดงอกได้ดีขึ้น  การเสียบกิ่ง                การปลูกพลัมในปัจจุบันนี้นิยมใช้ท้อพื้นบ้านเป็นต้นตอ โดยนำกิ่งพลัมพันธุ์ดีไปต่อบนต้นตอของท้อพื้นเมือง ซึ่งสามารถเจริญเติบโตได้ดี แต่จะมีข้อเสียตรงบริเวณโคนเหนือรอยต่อจะมีอาการบวม (Over growth)                            ทั้งนี้เนื่องมาจากว่าพลัมมีการเจริญเติบโตได้เร็วกว่าท้อซึ่งเป็นต้นตอ ทำให้ส่วนบนเหนือรอยต่อมีขนาดใหญ่กว่าส่วนล่าง แต่อย่างไรก็ตามผลกระทบอันเนื่องมาจากสาเหตุ Over growth ขณะนี้ยังไม่แน่ชัด ต้นพลัมที่มีอายุมากที่สุด 13 ปีที่สถานีเกษตรอ่างข่างก็ยังก็ยังสามารถให้ผลผลิตตามปกติ        สำหรับขั้นตอนการเสียบกิ่งกระทำเช่นเดียวกับการเสียบกิ่งท้อ โดยใช้วิธีเสียบกิ่งแบบ (Cleft grafting) ที่มา...http://72.14.235.132/search?q=cache:ct4H70le8VgJ:www.it.mju.ac.th/dbresearch/organize/extention/book-fruit/fruit02.htm+%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A1&hl=th&ct=clnk&cd=1&gl=th จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 16:18:22 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แหล่งความรู้เพิ่มเติม   ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูงจังหวัดเชียงราย http://haec04.doae.go.th/knowlage.html จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 ธ.ค. 51 16:23:14 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่ว่าจะเป็นลูกอะไร ก็น่ากินหมดเลยคร๊าบ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆน๊าคะ จากคุณ : รักนะแต่ไม่แสดงออก - [ 4 ธ.ค. 51 19:28:13 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ชอบมากเลยค่ะ แต่ก็แพงเน๊อะ จากคุณ : yanet - [ 4 ธ.ค. 51 19:31:31 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อยากลองเอามาปลูกดูบ้างจังเลย  อิอิ จากคุณ : ญี่ปุ่น35 - [ 4 ธ.ค. 51 20:13:26 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ชอบกระทู้ของคุณคนดง คนเดิม กับกระทู้ของ  ลุงแหวน เพราะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว จากคุณ : พลังจิต - [ 7 ธ.ค. 51 19:14:30 ]