ความคิดเห็นที่ 1 เป็นกำลังใจให้ค่ะ  คุณ I am soda ค่ะ เราเองติดตามกระทู้เรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่แรก เราคิดว่าดีนะ  ที่ทางการแพทย์ของเราจะมีการค้นคว้าอะไรใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ในการรักษาไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์   เราเองยังเคยสงสัยว่าในเมื่อมันใช้ได้ผลทำไมถึงไม่มีการทำวิจัย หรือทำไมไม่มีการนำมาใช้  แต่ก็นั่นแหละค่ะ  มันเป็นเรื่องยาก กับการที่คนธรรมดาอย่างพวกเราจะไปบอกให้เค้าเชื่อ หรือบอกให้เค้าทำการทดลองหรือทำวิจัยในเรื่องแบบนี้ เพราะเค้าอาจจะมองว่าเราเป็นแค่คนรักหมา  มีสิทธิ์อะไร ที่จะไปบอกหรือแนะนำให้เค้าทำวิจัยหรือทดลองเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างที่คุณโดนไล่ให้กลับไปเรียนใหม่   แต่คุณ I am soda  ทำดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ จากคุณ : kodomo2008 (phusana) - [ 4 มี.ค. 52 08:36:07 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตอบคุณ kodomo2008 (phusana) ผมว่าคุณต้องแสดงความคิดเห็นลงในเวบที่ผมให้ไปด้วยครับ เพราะไม่งั้น ถ้าน้องคนนี้ยังเป็นนักศึกษาสัตวแพทย์อยู่ ในอนาคตผมจะสงสารลูกค้าของน้องเค้ามาก ถ้าเค้ารักษาด้วยวิธีเดิมๆ โดยไม่ฟังเสียงลูกค้าเลย จากคุณ : พ่อสามถุงกะหนึ่งหนุ่ม (I am soda) - [ 4 มี.ค. 52 08:44:59 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อย่าคิดมากเลยค่ะ เป็นนิสัยปกติของคนที่ส่วนใหญ่ที่มีอัตตาในตัวเองน่ะค่ะ เขาอาจจะคิดว่าเขารู้ดีกว่าคุณ และไม่ต้องการจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในจุดนี้ และไม่เคยคิดว่า มันควรจะมีทางเลือกอื่นๆ ที่เป็นไปได้นอกจากในตำรา นี่คือผลพลอยได้ของการศึกษาในประเทศไทย (และอีกหลายๆ ประเทศ) นี่แหละค่ะ เห็นด้วยว่า คุณทำดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ จากคุณ : gluhp - [ 4 มี.ค. 52 08:48:18 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ช่างเถอะค่ะ  อย่าไปสนใจเลย จากคุณ : เรดกัส - [ 4 มี.ค. 52 08:54:50 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อย่าคิดมากเลยค่ะ คุณ I am Soda เองก็ไปโพสหลายที่ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตอบกลับมาในลักษณะนี้ คิดซะว่าเค้าเป็นจุดบอดเพียงจุดเดียวในวงการสัตวแพทย์ คนดี ๆ ยังมีอยู่เยอะ คนที่ได้อ่านข้อความของคุณและนำไปเพื่อเป็นข้อคิดในการรักษาต่อไปหน่อยก็ว่าน่าจะมีเยอะเหมือนกันค่ะ จากคุณ : jackkyjing - [ 4 มี.ค. 52 08:58:23 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เป็นกำลังใจให้ค่ะ จากคุณ : gatsy1 - [ 4 มี.ค. 52 10:05:52 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มันเป็นทางเลือกทางหนึ่งไม่ใช่เหรอคะ ในเมื่อแบบเดิม ๆ ไม่ได้ผล ก็ต้องหาทางใหม่ ลองมาเป็นหัวอกคนที่กำลังจะสูญเสียดูสิคะ นาทีนั้นอะไรที่พอมีทางรอดเราคว้าหมด เป็นกำลังใจให้นะคะ จากคุณ : iluvtravel - [ 4 มี.ค. 52 10:19:01 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เป็นกำลังใจให้ค่ะ....ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่มีวันสิ้นสุดลงค่ะ   เราเป็นครูชีวะ...เวลาพาลูกไปหาคุณหมอยังต้องซักถามแลกเปลี่ยนความรู้กับหมอเลยค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับเหตุผล + กับความรู้ที่มี  แลกเปลี่ยนกัน  ถ้าเปิดใจให้กว้างก็จะได้ความรู้ใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ จากคุณ : น้องเป็ดสัญจร - [ 4 มี.ค. 52 10:50:11 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ คนใจคอคับแคบน่ะ พวกนี้มันไม่ชอบเปิดรับอะไร เอามาใสใจไปก็เท่านั้น เป็นกำลังใจให้ค่ะ จากคุณ : ข้าวยำหมูตุ๋น - [ 4 มี.ค. 52 10:51:18 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ใจเย็นนะคะ ^^ เรื่องวิชาการนั่นเราก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน แต่ในส่วนที่มีคนมาโต้ตอบในลักษณะกวน_ นั้นอาจจะเป็นเพราะวุฒิภาวะ อีโก้ของคนคนนั้น หรืออะไรก็ว่าไป คนพวกนี้คงเป็นแค่ส่วนน้อย ส่วนที่ดีกว่ายังมีอีกเยอะค่ะ ..อย่าเอามาใส่ใจเลย เพราะมันจะสมใจเขเปล่าๆ ตอนหมาเราป่วยหนักๆ เราก็มีเข้าไปหาข้อมูลตามเวบบอร์ดคณะสัตวแพทย์ของหลายๆ ที่ ก็ได้รับคำแนะนำที่ดีมาหลายความเห็นค่ะ ^^ จากคุณ : viee - [ 4 มี.ค. 52 10:54:19 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คิดในมุมกลับว่าถ้าหมาของเราป่วยและเราลองมาทุกวีธีแล้ว วิธีนี้มันอาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายของคนที่เห็นคุณค่าในชีวิตๆหนึ่งก้อได้ ถ้าสัตวแพทย์ (หรือสัตวแพทย์ในอนาคต) บางคนจะไปคิดว่า ก้อแค่หมาตัวนึง ที่ป่วยและกำลังจะตายด้วยโรคเดิมๆ อย่างนี้ไม่ต้องมีการวิจัยอะไรใหม่ๆก้อได้ หมาตายก้อตายไป วงการก้อจะย่ำอยู่กับที่ กับเรื่องเดิมๆ หมาป่วยก้อรักษากันไปตามอาการ แค่บอกเจ้าของว่า ทำใจนะครับ แค่นั้นจบ แต่ถ้าวิธีนี้มันอาจจะต่อยอดขึ้นมา กลายเป็นการช่วยชีวิตสัตว์ที่ป่วยจากไวรัสได้ คุณประโยชน์ของมันจะมากมายมหาศาล อีกกี่หมื่นกี่แสนชีวิต ที่มันจะช่วยต่อไปในอนาคต คงไม่ต้องรอไปถามสภาหรอกมั้งคะ ว่าการทดลองในสัตว์ป่วยจริงทำได้มั้ย เพราะเจ้าของเองเค้าเต็มใจจะให้ทดลองเพื่อช่วยชีวิตหมาของเค้า เราว่านักวิจัยคนไหนทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ น่าจะได้รับการยกย่องด้วยซ้ำไป จาก คนที่เคยเสียลูกหาตัวหนึ่งด้วยไข้หัด จากคุณ : ++แขวน++ - [ 4 มี.ค. 52 10:55:57 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คนพวกนี้มันหยิ่งแล้วก็ไม่ฟังใครตั้งแต่อาจารย์ผู้สอนแล้วล่ะค่ะ ลุงแท้ๆ ของเรา เป็นอาจารย์คณะนี้ ม.นี้อยู่ จบโทจากเมืองนอก คิดว่าความคิดของตัวเองถูกที่สุด ไม่เคยฟังใคร แล้วเคยมาถามเราด้วยว่า ทำไมพวกที่เรียน นิติ จบมาจะต้องเงินเดือนเยอะกว่า พวกที่จบมาอย่างแก แกว่าอาชีพแบบแก บุคลากรควรจะได้เงินเดือนเยอะที่สุด  ว่าพ่อเราด้วยว่าแค่เศรษฐศาสตร์แกก็เรียนได้ ง่ายๆ  ฟังแล้วโมโหอ่ะนะ  ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่ชายพ่อ จะไม่ปล่อยให้แก่ตายเลย แป่ว....ขอโทษค่ะที่ระบายความในใจเยอะไปหน่อย  อ่านในกระทู้แล้วโมโหแทนอ่ะ จากคุณ : ทูน่า (ณ ศรีสะเกษ) - [ 4 มี.ค. 52 12:00:27 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อยากให้คุณจขก ใจเย็นๆนะคะ ความเจริญ ความสร้างสรร ไม่ได้มีอยู่ในทุกที่ ทุกสถาบัน ดังนั้นเรื่องการวิจัย การทดลอง ที่ที่มีประโยชน์ ที่อยู่ภายใต้การกระทำที่ถูกจริยธรรม ไม่จำเป็นต้องได้รับความสนใจ การตอบรับที่ดีจากคนทุกกลุ่ม มิฉะนั้นเราคงเห็นคนทุกกลุ่มในโลก เจริญรุ่งโรจน์ไปนานแล้ว ควมแตกต่างระหว่างภาวะผู้นำ และ ภาวะดักดานนั้น คุณต้องแยกแยะให้ออก และควรเลือกฟังและทำงานด้วยกับคนที่มีภาวะเดียวกับคุณคะ มีคนในโลกมากมายที่ประสบความสำเร็จในการวิจัย โดยที่ไม่ต้องเรียนมาในสาขานั้นๆ แต่การทุ่มเทจริงจัง  เรียนในโรงเรียนชิวิต ก็นำความสำเร็จมาให้เหมือนกัน เช่นกรณี โลเรนโซออย อันนี้รักษาคนด้วยซ้ำไป ไม่ใช่หมานะคะ สุดท้าย เราขอให้คุณได้เจอสถาบันที่สนใจในเรื่องเดียวกัน และมีความสามารถมากพอ ทั้งไอคิว+อีคิว ที่สามารถพัฒนาการรักษาสัตว์ในแนวทางได้เริ่มไว้แล้ว  ต่อไปได้นะคะ จากคุณ : น้องต๋าว - [ 4 มี.ค. 52 12:25:50 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เป็นกำลังใจให้น๊ะค๊ะ....เอาเป็นว่าเรานำความรู้มาเผื่อแผ่ใคร ใครอยากรับก็รับใครไม่เอาก็มองข้ามเค้าไปซะ จะได้สบายใจค่ะอย่าไปสนใจเค้าเลยยังมีคนที่การต้องรออ่านความรู้จากคุณที่เอามาแบ่งปันให้อีกเยอะค่ะและเป็นคนหนึ่งที่รออ่านกระทู้คุณอยู่เสมอ เรื่องลองผิดลองถูกก็พูดกันยากค่ะแต่ถ้ามันเป็นโอกาสและมีโอกาสที่จะโชคดีก็ยินดีจะลองเสี่ยงเหมือนคุณI am soda ค่ะเพราะถ้าไม่เสี่ยงยังไงโอกาสรอดก็.. 0 ..แต่ถ้าได้ลองเสี่ยงแม้โอกาสจะมีแค่0.0000001 % ก็ยอมค่ะขอออกความคิดในส่วนที่เป็นแค่เจ้าของสัตว์และไม่ได้มีความรู้ทางด้านการแพทย์เลย แต่ก็จะจำใส่ใจไว้เสมอค่ะว่าทุกอย่างมันมี 2 ด้านเสมอ...คนทุกคนเลือกที่จะนำส่วนที่ดีมาใช้ได้แต่ถ้าเค้าจะเอาด้านลบมาใช้ก็เป็นสิทธิของเค้า....ความหวังเล็กสามารถทำให้คนที่กำลังทุกข์สามารถมีกำลังใจต่อสู้กับปัญหาใหญ่ๆได้น๊ะค๊ะ.... จากคุณ : TAY_B - [ 4 มี.ค. 52 13:34:58 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พวกหมอที่มาไล่ เขาไม่เคยมองในมุมของคนไข้ครับ เขาสนแค่ทำตามตำราที่เขาเรียนมา และความเชื่อที่เขาเชื่อมาเท่านั้น ดังที่จะเห็นได้จากสุนัขหลายๆรายที่ต้องจบชีวิต เพราะหมอวินิจฉัยโรคผิด นั่นก็เพราะคนพวกนี้เขาเอาแต่เชื่อความคิดของตัวเอง เขาไม่สนที่จะดูโลกภายนอก ว่าภายนอกมีอะไรก้าวไปไกลแล้ว มีโรคอะไรใหม่ๆ หรือยาใหม่ๆที่ออกมาแล้วใช้ได้ดีกว่าความรู้ที่เขามีอยู่ครับ เพราะฉะนั้นเวลาพอสุนัขไปหาหมอ ก็ดูใบประกาศของหมอด้วยก็ดีนะครับ ว่าจบมาจากสถาบันนี้หรือเปล่า ถ้าใช่ก็วัดใจว่าเราจะเสี่ยงให้สุนัขของเราเข้าไปรักษากับหมอที่จบสัตว์แพทย์ แต่ไม่มีจิตใจของแพทย์ วินิจฉัยเอาตามแต่ความรู้ที่เรียนมา หรือย้ายไปหาหมอเจ้าอื่นที่ให้ความเอาใจใส่สุนัข และพยายามตรวจหาว่าสุนัขเป็นอะไร โดยไม่อ้างเอาแต่ตำราเรียน จากคุณ : สมาชิก(เก๊) - [ 4 มี.ค. 52 13:53:17 A:192.168.0.17 X:203.149.13.13 TicketID:192573 ]

ความคิดเห็นที่ 16 I am visky มือใหม่ Joined: 01 มีนาคม 2552 Location: Thailand Posts: 1  Posted: 01 มีนาคม 2552 เวลา 23:03 | IP Logged     -------------------------------------------------------------------------------- ผมว่าคุณวิศวะ ไปเรียนลงเรียนสัตวแพทย์ใหม่ แล้วอีก 6 ปีมาทำวิจัย topic ที่คุณสนใจก็ดีเหมือนกัน เพราะว่า topic เรื่อง Hyperimmune serum ที่คุณสนใจมันยังนำมาใช้ไม่ได้อย่างจริงจังตามที่คุณต้องการ เพราะว่าแม้แต่ผู้รู้ทางด้าน Immunology หลายๆ ท่าน แม้กระทั่งผลการวิจัยในคนก็ไม่กล้าที่จะยืนยันว่าจะได้ผลถึงขนาดที่ยอมรับให้ใช้ได้เป็นสากลในสถานพยาบาล การทำวิจัยมันต้องมีข้อมูล ทฤษฏี และองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องสนับสนุนมากพอก่อนที่จะทำวิจัย ไม่ใช่ลองในเคสจริงๆ แล้วเก็บข้อมูล แล้วบอกว่ามันใช้ได้ อย่างนั้นไม่ใช่งานวิจัยทางวิชาการ ที่จะนำไปสู่องค์ความรู้ที่เป็นมาตรฐานและปลอดภัย แต่มันเป็นการลองผิดลองถูกครับ ถ้าลองถูกก็ดีไป ถ้าลองผิดสุนัขตายก็ลองใหม่ ส่วนที่สุนัขของคุณหายก็ดีใจด้วย แต่สงสัยว่าที่คุณบอกว่าหมอของคุณกับคุณได้ร่วมกันทำการทดลอง จะต้องลองตรวจสอบกับสภาอีกครั้งว่าทำการทอลองในเคสจริงๆ ได้ด้วยหรอ เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกัน   ลองอ่านข้อความข้างต้นแบบเปิดใจดู ดิฉันว่า คุณหมอก็ไม่ได้คิดร้ายอะไรมากมายนะค่ะ ดิฉันว่า ก็มีส่วนถูกนะคะ บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ว่า ผลข้างเคียงที่จะตามมามันร้ายแรงขนาดไหน ในการวิจัยอาจจะยังไม่รับรองความปลอดภัย 100% ก็เลยยังไม่สามารถนำมาเผยแพร่ได้ ใจเย็นๆกันเถอะคะ ไม่ว่าจะทำสายอาชีพอะไร ก็เป็นคนรักสัตว์กันได้ทั้งนั้นแหละคะ จิงจิงถ้าเราชอบรักษาสัตว์จริงๆ กลับไปเรียนใหม่ ยิ่งมีประโยชน์ใหญ่เลย ดิฉันยังอยากเรียนมากเลย แต่ไม่มีโอกาส ดิฉันว่า เราบังคับตัวเราเองให้ทำอะไรก็ได้ แต่จะไปบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่เราอยากทำก็คงไม่ได้ จากคุณ : mayomay - [ 4 มี.ค. 52 14:31:34 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พ่อสามถุงอย่าถือสาเลย อย่างเรื่อง BARF นั่นไง หมอที่ไหนก็ Anti BARF ทั้งนั้น แต่น้องหมา BARF ก็โตเอาๆ แข็งแรงกว่าเป็นไหนๆ จริงไหม? จากคุณ : โทมิจัง (bayou) - [ 4 มี.ค. 52 15:00:12 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ความจริงทฤษฦีต่างๆ ที่เชื่อถือได้ในปัจจุบัน ก็เคยผ่านการไม่ยอมรับ จนกว่าจะมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้มายืนยัน บางอันก็เคยมีคนต่อต้านมาก่อน ตอนนี้ก็เห็นมาชื่นชมกัน คงต้องรอให้คนต่างชาติทำวิจัยก่อน แล้วคนไทยค่อยยอมรับล่ะมั่ง จากคุณ : moslop - [ 4 มี.ค. 52 18:34:27 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าจำไม่ผิด Hyper Immune serum ไม่มาจากการนำเลือดไปปั่นใช่รึป่าวคับ ถ้าใช่ โดยทั่วไปนั้น รพส. จุฬา และ รพส.เกษตร เค้าจะไม่ทำกัน เพราะมันอันตรายมาก เลือดหมามี antibody เหมือนเลือดคน ถ้าเลือดเข้ากันไม่ได้ มันจะมีปัญหาตาม อันตรายแพทย์จึงยังไม่ค่อยยอมรับมากนัก เพราะจะใช่สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ดังนั้นอาจเป็นไปได้ที่คุณจะโดนไล่ให้ไปเรียนสัตวแพทย์ แล้วก็จะมีวัคซีนอีกตัวนึงที่คุณพูดถึงที่ไม่ใช่เลือดปั่นอ่ะ วัคซีนตัวนี้เป็นของนอกต้องสั่งนำเข้า หลอดนึงประมาณหมื่นกว่าบาท จึงไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยคับ ฉะนั้นอย่าไปคิดมากคับ หมาของคุณโชคดีที่รักษารอด แต่ถ้าใช่วิธีเดียวกันนี้ หมาคนอื่นอาจไม่โชคดีตามก็ได้ จากคุณ : blur_blur - [ 4 มี.ค. 52 19:06:31 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นด้วยกะคุณkodomo2008 ค่ะ   และจริงๆ ด้วยค่ะมันเป็นทางเลือกหนึ่ง  ที่น่าจะลอง  และน้องหมาเราหาย  วิธีการรักษาไม่จำเป็นต้องเดิมๆ เสมอไป   อย่าคิดมากเลยนะค่ะ จากคุณ : DOGHALL - [ 4 มี.ค. 52 21:02:43 ]

ความคิดเห็นที่ 21 หุหุ ego มักทำให้ขาดการพัฒนาเสมอ ถ้าคนไหนเอา ego ปิดหูปิดตา ก็จะไม่รับรู้เรื่องอะไรจากใครเลย คิดว่าตัวเองถูกแต่เพียงผู้เดียว จริงๆน่าสงสารคนประเภทนี้นะคะ เพราะเค้าจะไม่รู้ตัวเองเลยว่า ตัวเองล้าหลังขนาดไหน การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ก็เกิดจากการสังเกตุ และพิจารณาสิ่งที่ไม่เป็นตามที่ตัวเองคิด ทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้น คนที่เก่งอาจไม่ได้จบมาทางนั้นก็ได้ ขอเพียงแค่สนใจ และไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล ปริญญาไม่ได้เป็นใบรับประกันว่าเค้าเป็นคนที่เก่งที่สุดหรอกค่ะ คุณโซดา อย่าไปสนใจเค้าเลยค่ะ เม็ดทรายว่า ความรู้แบบนี้น่าสนใจดีออก สังเกตุแนวทางการรักษาเดี๋ยวนี้มั๊ยคะ สุดท้ายก็ต้องวนกลับมาศึกษาพืชสมุนไพรกันทั้งนั้น จะบอกว่า  hyper immune เป็นวิธีโบราณ ไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้คุณโซดาอาจจุดประกายเรื่องนี้ขึ้นมาอีกรอบนึง อีก 10 ปีข้างหน้า วิธีนี้อาจเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดก็ได้ ใครจะไปรู้ การเปิดใจทำให้เกิดการพัฒนาค่ะ เม็ดทรายขอบคุณนะคะที่แนะนำวิธีที่น่าสนใจแบบนี้ค่ะ จากคุณ : เม็ดทรายในทะเล - [ 4 มี.ค. 52 23:43:46 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ตอบคุณ blur_blur ครับ ในเลือดหมามีหมู่เลือดมากกว่า 15 หมู่ ถ้าในเซรั่มที่ฉีดเข้าไปมี เม็ดเลือดคนละหมู่(เลือดที่เข้ากันไม่ได้)ก็จะเกิด antibody ขึ้นมา (แต่การปั่นเซรั่มแบบคร่าวๆที่เราทำกันได้ ก็จะแยกเม็ดเลือดออกจากเซรั่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมายังไม่พบอาการแพ้แต่อย่างใด) ซึ่งปริมาณที่เราฉีดเขาไปประมาณ 1ซีซีต่อ1กิโล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหมาหนักไม่กี่กิโล ปริมาณที่น้อยขนาดนี้ ถ้าเกิดการแพ้ ก็จะเกิดผื่นแดงขึ้น แต่ไม่ถึงตายหรอกครับ(เท่าที่หมอบอกมานะครับ) เพราะเราไม่ได้ถ่ายเลือดเป็นถุงๆแล้วแพ้ เรื่องการฉีด ตอนนี้วิธีนี้ ที่ใช้เซรั่มที่เหลือมาลองฉีดให้ หมาตัวอื่นๆที่เป็น ลำไส้อักเสบ ปรากฏว่า ช่วยชีวิตไปได้อีก 3 ตัว มีพุดเดิ้ล/โกลเด้น/หมาไทยพันธ์ผสม(เลือดที่ใช้มาปั่นเซรั่มเป็นเลือดของ อากิตะ) เรื่อง interferon เพื่อนผมที่เป็นผู้ค้าส่งยารายใหญ่ในอุดร ถามราคาให้แล้วถ้าเป็น ของคนอยู่ที่ หมื่นกว่าบาท แต่ เพื่อนๆในพันทิป แนะนำมาเป็นของสุนัข อยู่ที่ ประมาณสี่พันบาท แต่ ที่โรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่ง ถ้าอ่านในลิงค์ที่ผมให้ไปจะมีกล่าวถึงอยู่บอกว่ามีเซรั่มที่สามารถฉีดได้เลยนะคัรบ(หมอที่นั่นเค้าจะฉีดให้ทำไมถ้ามันทำให้เกิดอันตรายถึงขั้นตาย และเค้ามีไว้ในครอบครองได้อย่างไร แต่อย่างที่ว่าราคาจะแพงมากๆ) นี่คือสิ่งที่ผทรับรู้มาตลอดนะคัรบ แล้วผมก็เห็นจริงๆ มีภาพถ่ายจริงๆ รู้จักเจ้าของหมาและหมอที่ฉีดจริงๆ อยากจะให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกนะครับ สำหรับผู้ที่กำลังเกิดปัญหานี้อยู่ครับ และเราก็ต้องการข้อมูลจากหลายๆคนที่ได้นำวิธีนี้ไปใช้ครับ เพราะไม่มีใครที่เป็นองค์กรต่างๆ นำวิธีนี้ไปทดลองศึกษาเพิ่มเติม ก็ต้องอาศัยเราๆท่านๆที่ฉีดให้กับหมาของเราเองแล้วส่งข้อมูลกลับมาเป็นเคสๆไว้ครับ ลิงค์ที่เป็นหลักการทำเซรั่มคร่าวๆนะครับ http://www.udclick.com/home1/index.php?option=com_content&task=view&id=53185&Itemid=134021 แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 52 14:58:28 จากคุณ : พ่อสามถุงกับหนึ่งหนุ่ม (I am soda) - [ 5 มี.ค. 52 06:20:50 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เพราะสิ่งที่ทำ ที่คุณเรียกว่า support treatment  ในโรคลำไส้อักเสบติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส เป็นสิ่งที่มีการอ้างอิงจากตำรา และมีการใช้วิธีนี้รักษาแล้วมีเปอร์เซนต์รอดสูงสุด จากการทดลอง และประสบการณ์ จนสามารถมาเขียนเป็นตำราได้ ทำให้สัตวแพทย์ส่วนใหญ่ได้ทำต่อเนื่องกันมา เหมือนกับคุณเป็นวิศวะ เรียนมา มีการใช้ตำราอ้างอิง สูตรคำนวนในการก่อสร้าง เป็นเฉกเช่นเดียวกัน การนำวัสดุตัวใหม่มาใช้ในการก่อสร้าง ต้องผ่านการทดลองและวิจัย ในห้องแลป ไม่ใช่นำไปสร้างบ้านลูกค้าก่อนค่อยประเมินผล ฉันท์ใดฉันท์นั้น ของคุณเป็นการทดสอบที่ไม่ได้ใช้ชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ในวิชาชีพสัตวแพทย์ การที่จะนำวิธีใหม่มารักษา ใช่ว่าอยู่ดีๆจะนำสัตว์เลี้ยงมีเจ้าของมาทดลองโดยปราศจากหลักมนุษย์ธรรม มาให้การรักษาโดยใช้วิธีใหม่โดยเป็นการเสี่ยงเพื่อดูผลตอบสนอง ถ้าหายเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเสียชีวิตขึ้นมา ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบครับ ในกรณีคุณ อาจจะโอเค ที่ว่าคุณยินยอมให้หมอใช้วิธีนี้ด้วยความสมัครใจของคุณเอง แต่ในเคสอื่น ถ้าคุณหมอด่วนไปใช้วิธีนี้ ผิดแน่นอนครับ มันเหมือนแทงหวย ตาดีได้ตาร้ายเสียมากเกินไป ถ้าโชคดีหายก็โอเค ถ้าโชคร้ายตาย ก็กลายเป็นแค่สถิติข้อมูลเท่านั้นเหรอครับ มันไม่ใช่ ก่อนทำควรต้องมีการศึกษาให้ถ่องแท้ น่าจะมีที่ปรึกษาให้ข้อมูลด้าน immunology การให้แลปสกัดสารจาก serum ที่ได้มา แบบที่ได้เป็น hyper immune serum นั่นก่อน ไม่ใช่เอามาฉีดเพียวๆแบบนี้ อันตรายมากครับ การจะนำวิธีใหม่แบบนี้มารักษา อย่างน้อยต้องมีการอ้างอิงพื้นฐานวิชาการด้านภูมิคุ้มกัน การทดลองที่ต้องมีการควบคุมตัวอย่างที่ชัดเจน และต้องมีกลุ่มทดลองที่ใหญ่มากพอ และต้องใช้เวลา เพื่อให้ความผิดพลาดน้อยที่สุด อาจจะดูเหมือนใจแคบ แต่เพื่อให้ผลที่ออกมาเกิดผลเสียหายน้อยที่สุด ถึงจะใจแคบก็ต้องยอม เพราะมันเป็นเรื่องของชีวิตครับ การทดลองต่างๆ แน่นอนต้องมีตัวอย่างทดลอง และสัตว์ที่นำมาทดลองเพื่อให้ได้ผลตอบสนองที่ดี ต้องมีการควบคุมสภาพแวดล้อม ตลอดจนวิธีการอย่างดี เพื่อให้ผลที่ออกมาใช้ยืนยันได้ และสุดท้าย นั้นคือการใช้ชีวิตเข้ามาทดลองเพื่อให้ได้สิ่งที่เรียกว่าความก้าวหน้า เพื่อเปิดวิธีการรักษาแนวใหม่ เพิ่มโอกาสรอดชีวิตในสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้นสิ่งที่คุณหมอชูศักดิ์กำลังทำอยู่ คือการทดลองกับเคส ไม่ใช่การรักษา มันเป็นสิ่งที่อันตรายกับความเป็นสัตวแพทย์และในเรื่องของจรรยาบรรณเป็นอย่างยิ่ง อยากให้มีการทบทวนดูใหม่ด้วยนะครับ เพิ่มเติมอีกหน่อย การแพ้ไม่ได้แค่มีเฉพาะผื่นคันนะครับ การแพ้ที่รุนแรงสามารถทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ บางครั้งการทดลอง อาจต้องอิงวิชาการ และมีการควบคุมในเรื่องต่างๆมากกว่านี้   ด้วยความนับถือครับ แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 52 15:41:11 แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 52 15:39:15 แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 52 14:21:10 จากคุณ : เจ้ากี้ เจ้าการ ? - [ 7 มี.ค. 52 14:01:24 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ตามมาให้กำลังใจค่ะ จากคุณ : แอน (devil_anne) - [ 2 เม.ย. 52 19:48:40 ]