Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    หนังปลานิล ปัจจุบันกระเป๋า แต่อนาคตเสื้อเกราะ

    .....................นับเนื่องจากสามปีที่ผ่านมา แบรนด์จีราด้า เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะนักนวัตกรรม ที่นำเอาหนังปลานิลมาทำเป็นกระเป๋า และจากหนังปลานิลยังทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับหนังอื่นๆ ได้มากมาย

                        จากเหตุผลก็คือบริษัทในเครือทำเกี่ยวกับปลาอยู่แล้ว คือผลิตอาหารทะเลแช่แข็งส่งออกอเมริกาและกลุ่มยุโรป แต่แทนที่จะนำไปขายเป็นหนังปลากรอบเหมือนแต่ก่อน ก็นำมาพัฒนาทำสินค้าใหม่ที่เพิ่มมูลค่า  ต่างประเทศเห็นก็บอกว่าสวย ดูแปลกดี และยินดีซื้อ...

                        แต่ถ้าจะสังเกตดีๆ ที่ว่าแปลกและดีนั้นไม่ได้แปลกเกินไป เพียงแต่เกินความคาดหมายของลูกค้าที่คิดว่าน่าจะเป็นหนังงู หนังจระเข้ แต่กลับเป็นหนังปลา ความสำเร็จของความแปลกใจ ประกอบกับคุณภาพหนังที่ดีได้พัฒนาจนกลายเป็นการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์กระเป๋าในวันนี้

                        แถมทำไปทำมา...ดูเส้นใยแล้ว หนังปลาที่เราเห็นว่ากรอบอร่อยเหาะนี่แหละ... จะกลายเป็นเสื้อเกราะได้ในเร็ววันนี้ และรับรองด้วยว่าจะทำแบบไม่ให้มีตะเข็บไว้ให้ยิงทะลุ...

                        นายพงศธรณ์ รุจิรา ผู้จัดการบริหารจากบริษัท จีราด้า เลเธอร์ แอนด์ โปรดักส์ จำกัด กล่าวว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทดำเนินธุรกิจใน 2 แนวทางควบคู่ไป คือจำหน่ายหนังปลา และ OEM รับจ้างผลิตกระเป๋า ติดแบรนด์ของผู้ผลิตจากฝั่งยุโรป

                        แต่จากปัจจัยหลายๆ อย่างรุมเร้าเข้ามา ประการแรก การผลิตหนังปลา แม้ว่าจะมีรายได้จากการขายเศษหนังสดไปทำอาหาร แต่พอผลิตหนังปลาให้กับอุตสาหกรรมเครื่องหนังปั๊บ ราคาก็ขยับขึ้นมาแบบฟ้ากับเหว คือจาก 20 บาท ที่ขายออกไปทำหนังปลากรอบ ตอนนี้กลายเป็นหนังราคากิโลละเกือบร้อยบาท แต่จนถึงวันนี้ การขายหนังปลาให้กับผู้ผลิตก็ยังไม่มากเท่าที่ควร และการสร้างแบรนด์ ส่วนหนึ่งก็เป็นการกระตุ้นตลาดโดยรวมด้วย

                        ประการที่สอง ต้องการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ไลฟ์สไตล์จิราด้าให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะหลังจากรับจ้างผลิตไปได้พักหนึ่ง เหมือนกับเป็นการฝึกฝนมากกว่า และตอนนี้พร้อมที่จะสร้างแบรนด์แล้ว โดยทั้ง 2 แนวทางได้เริ่มไปพร้อมๆ กัน

    .....................ทางแรกพัฒนาเส้นใยให้มีคุณภาพ มากขึ้น

                       "ปีนี้เข้าสู่ปีที่ 3 เรามองว่า ถ้าจะสร้างแบรนด์จากหนัง มูลค่ายังน้อยและโตยาก จุดเริ่มปี 1-2 ที่ผ่านมา เราจึงยังไม่กล้าสร้างแบรนด์ แต่พยายามที่จะทำให้ลูกค้าของเราที่ซื้อหนังไปผลิต เขาสามารถทำตลาดได้เอง และไม่ต้องมากังวลว่าเราจะมาแย่งตลาดหรือมาแข่งกับเขา"

                      "แต่พอปีที่ 2 ลูกค้ามีแรงส่งน้อย เราต้องกระตุ้นทำตลาดด้วยบางส่วน จึงได้สร้างแบรนด์สินค้าในปีที่ 3

                        เรามองว่าจะไม่ได้หยุดแค่นี้ โดยได้ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯทำหนังนาโน ตัวหนังมีแอนตี้แบคทีเรีย ทำรองเท้า คนมีกลิ่นเท้าก็ไม่มีปัญหา หรือใส่กลิ่นลงไปด้วย หรือแม้กระทั่งทำเสื้อเกราะกันกระสุน ซึ่งเรากำลังศึกษาเรื่องโครงสร้างของเส้นใย รวมทั้งอาจจะมีการแกะเส้นใยออกมาทอใหม่ หรือจะนำหนังมาอัดเป็นแผ่นเดียวกันเป็นผืนใหญ่ อันนี้อยู่ในระหว่างศึกษาหาแนวทางกันอยู่"

                        นอกจากนี้หนังยังพัฒนาไปในระดับที่สามารถกันน้ำได้ คือ waterproof พัฒนาจากหนังสีเดียวเป็นสองสี สีเป็นเงาเลื่อมก็มี การย้อมแบบย้อมมัดหมี่ สีรุ้งก็มี เป็นงานที่คล้ายกับการย้อมสีของป่านศรนารายณ์ ไล่เป็นสีรุ้งได้

                        ปัจจุบันจึงมี 4 แบบที่ผลิตออกมาแล้ว คือสีธรรมชาติ เคลือบเงา หนังแก้ว และหนัง 2 สี

                        สำหรับสินค้าที่จะสร้างแบรนด์ในปีนี้ เน้นสินค้าหมวดไลฟ์สไตล์ อาทิ หมอน โคมไฟ กรอบรูป กระเป๋า

                      "ตอนนี้มีจัดแสดงคอลเล็กชั่นใหม่ อยู่ที่ห้าง ZEN ในงาน ZEN BEING THAI และจะออกวางจำหน่ายจริงๆ ในเดือนพฤษภาคมที่จะ ถึงนี้ ซึ่งใน 2 เดือนแรก เราต้องดูตลาดก่อนไม่ผลิตออกมาก การเริ่มต้นตรงนี้มีส่วนสำคัญ เราต้องมีพันธมิตรที่ดี สำหรับผู้ผลิตเครื่องหนัง เขายอมที่จะผลิตให้เราน้อยๆ ได้ ตรงนี้เป็นจุดแข็ง เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่มี จำนวนมาก เราสามารถเพิ่มกำลังการผลิต 500-1,000 ชิ้นได้ทันที"

                        ส่วนแนวทางในการดีไซน์ ไม่เน้นสินค้าที่เป็นแฟชั่น หรือแบบที่โอเวอร์ดีไซน์ พงศธรณ์กล่าวว่า ดีไซเนอร์ของจีราด้าทำร่วมกับห้างเซ็นทรัล เพื่อให้เป็นสินค้าที่จำหน่ายเฉพาะห้างของเขา

                        ห้างเดียว ส่วนใหญ่การออก แบบเน้นสีดำ น้ำตาล มีสีเศษไปแซมบ้าง เช่น สีชมพู สีสบายๆ สีพาสเตลใส่นม

                        ซึ่งคาดว่าในปีแรกจะเป็นการชิมลางไปก่อนดูความต้องการของตลาดภายในประเทศ ส่วนปีหน้าเตรียมที่จะไปเปิดตลาดอเมริกา

                      "คนไทยไม่ค่อยรู้จักผลิตภัณฑ์ และหากจะเชื่อมั่นต้องซื้อไปและใช้ไปแล้ว ที่สำคัญ ถ้าเป็นสินค้าของไทย จะให้เขาซื้อสินค้ากระเป๋าใบละหลายหมื่นบาท คงไม่มีใครซื้อ เพราะคนไม่รู้จักเรา ตอนนี้เราก็มีซับแบรนด์ ทำกระเป๋าใบละ 200 บาท เจาะตลาดร้านค้าทั่วไปให้คนทดลองใช้ก่อนน่าจะเป็นอีกแนวทางหนึ่ง"

                        จากนั้นปี 2553 วางแผนบุกทำตลาดอเมริกา ด้วยเหตุผลที่ว่าคนไทยนั้นจะนิยมสินค้าที่ได้มาตรฐาน เพราะถ้าทำที่ไทยแล้วขายที่อเมริกา แล้วค่อยกลับมาไทยก็จะมีคนยอมรับมากกว่า

                        เพราะจากประสบการณ์ที่เคยนำเอาหนังปลานิลไปโชว์ที่ลอนดอน เมื่อ 2 ปีก่อนก็มีคนฮือฮา และเป็นที่มาของออร์เดอร์ที่มีอยู่ในวันนี้

                        สำหรับในปีที่ผ่านมา พงศธรณ์กล่าวว่า บริษัทมีรายได้รวม 13 ล้านบาท และเชื่อว่าจนถึงปลายปีนี้จะมีรายได้รวม 20 ล้านบาท


    ที่มา  http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02biz01160452&day=2009-04-16&sectionid=0214

     
     

    จากคุณ : ญี่ปุ่น35 - [ 16 เม.ย. 52 01:10:20 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป


Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com