ความคิดเห็นที่ 4
เพื่อเป็นการไว้อาลัย แด่ " "รงค์ วงษ์สวรรค์" หรือ "พี่ปุ๊" ของเรา เราจะลองย้อนไปดูสำนวนเกี่ยวกับต้นไม้ 2 ชนิด ใน "กาพย์ห่อใบตองหมกไฟ" อันได้แก่ มะรุม กับ กันกุมา (?) โดยมะรุมเป็นต้นไม้ที่กำลังได้รับการกล่าวขวัญในด้านสรรพคุณของสมุนไพร ส่วนกันกุมานั้น เป็นพืชชนิดที่คนไทยรู้จักกันน้อยมาก แต่หากเอ่ยอีกชื่อหนึ่งว่า "หญ้าฝรั่น" น่าจะมีคนรู้จักมากขึ้น
"พี่ปุ๊" เขียนเรื่องมะรุมไว้ใน "ฟ้าเมืองไทย" ฉบับที่ 953 และฉบับที่ 951 ดังนี้
"มะรุม ผมก็ชอบกิน, drumstick (อังกฤษ), Shingh fali (ฮินดี), mooroongakai (ทมิฬ), murunga (สิงหลีส) และ marum (ไทย)" - (ฉบับที่ 953)
ใน "ฟ้าเมืองไทย" ฉบับที่ 951 "พี่ปุ๊" ได้พาเราไปชิมแกงกะหรี่ฝักมะรุม ดังสำนวนเขียนที่ว่า
"สิกิริยา, ศรีลังกา ผมได้รับการแนะนำให้กินแกงกะหรี่ฝักมะรุม รสถูกปากตามนิสัยของผมซึ่งเคารพในอารยธรรมการกินของผู้อื่นเสมอ
สาวใช้ในร้านยิ้มแย้มกับการจุ้มนิ้วหยิบฝักมะรุมในถ้วยเข้าปาก การกินด้วยมือเป็นกิริยาดีของสิงหลีส และในความอร่อยนั้น ผมถามถึงวิธีแกง หล่อนอธิบายและผมบันทึกไว้ว่า
"เคี่ยวกะทิ เจือน้ำพอประมาณกับผงกะหรี่ในหม้อนะคะ หม้อกลมหรือหม้อแบนก็เหมือนกัน พอเดือดแล้วเอาฝักมะรุมขูดผิวหั่นเป็นท่อนลงต้มให้สุกและหอม รอให้เดือดอีกหนเอาปลาอะไรที่คุณชอบกินลงต้มแล้วปิดฝาหม้อ คะเนว่านกบินผ่านหลังคาบ้านไปเกาะยอดเจดีย์ท้ายวัดจึงเปิดฝาหม้อ ปรุงรสด้วยพริกป่นกับเกลือ แค่นั้นค่ะ"
ภาษาสิงหลเรียกมะรุมว่า murunga
คนบนเกาะรูปหยดน้ำตานี้สังเกตว่าชอบมะรุมกัน อย่างปลูกไว้ในบ้านแทบทุกบ้าน ในวันต่อมาผมจึงได้กินอะไรอีกตำรับ ผมเรียกเอาเองว่า เมี่ยงใบมะรุม
วิธีของเขาอย่างนี้
ใบมะรุมยอดอ่อน (ลวกหรือต้มครึ่งสุก)
ปลา (ต้มแล้วยีเป็นปุย)
ผงกะหรี่ หัวหอมแดง (โขลกทั้งหัว) น้ำมันพืช น้ำส้มมะขาม น้ำตาล เกลือ
เขาผัดปลากับผงกะหรี่ หัวหอมแดง เกลือ เคล้ากันและปรุงรสเปรี้ยวเหลื่อมรสหวานพอนวลปาก บางคนแนะนำว่าถ้าผสมยอดกัญชาบ้างก็ไม่บาปปาก โชยกลิ่นหอมและกลมกล่อมแล้วตักใส่จานโรยใบมะรุมยอดอ่อน กินกับข้าวเกรียบกุ้งแบบห่อเมี่ยง แกล้มเหล้าหรือแกล้มเบียร์เพลิดเพลินเหมือนกินบุญในปาก
ผมแนะนำอาหารตำรับนี้กับเพื่อนบนสวนทูนอิน แม่ริม หนานปั๋นกับน้อยแก้วกินกันอย่างครึกครื้น และเรียกว่า เมี่ยงใบผักอีฮึม"
นั่นคือ ตำรับการกินที่ใช้วัตถุดิบใบมะรุมของชาวศรีลังกา ที่ " "รงค์ วงษ์สวรรค์ (หนุ่ม)" เขียนไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ใครมีต้นมะรุมอยู่กับบ้านก็ลองปรุงกินดู น่าจะได้ทั้งอาหารและยาไปในตัว
อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องของพืชหัวชนิดหนึ่งที่ให้ดอกและเกสร กลายเป็น "หญ้าฝรั่น" ที่มีราคาแพงลิบลิ่ว ซึ่งเป็นเรื่องของพืชที่มีแหล่งผลิตอยู่แถวทะเลอเดรียติค, ฝรั่งเศสตอนใต้, สเปนตอนใต้, กรีซ อิหร่าน และแถบภาคเหนือของอินเดีย ซึ่ง "พี่ปุ๊" เรียกชื่อพืชหัวชนิดนี้ว่า "กันกุมา" ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ทราบว่าท่านไปเอามาจากไหน เพราะไม่เคยพบชื่อนี้ในหนังสือเล่มใดมาก่อนเลย
แต่ก่อนที่จะไปพบกับข้อเขียนของ "พี่ปุ๊" เรามาสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพืชหัวชนิดนี้จากพจนานุกรม 2 เล่ม เพื่อทำความรู้จักกับพืชชนิดนี้กันก่อน
เล่มแรก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 โดยเปิดตรงคำว่า "หญ้าฝรั่น (-ฝะหรั่น) น. ชื่อเรียกยอดเกสรเพศเมียแห้งของไม้ล้มลุกมีหัว ชนิด Crocus sativus L. ในวงศ์ Iridaceae ใช้ทำยาและเครื่องหอม (อาหรับ za-faran ; อ. Saffron)"
เล่มที่สอง พจนานุกรม ฉบับมติชน/2547 ที่คำเดียวกัน "หญ้าฝรั่น น. เครื่องยาที่ได้จากส่วนปลายเกสรแห้งของพืชชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นมีหัวในดินอย่างกระเทียม ใบยาวเรียว กลางใบเป็นร่อง สีขาว ดอกใหญ่ขนาดดอกลั่นทม สีม่วงสด กลีบดอกมี 6 กลีบ เกสรตัวผู้สีเหลือง 3 ก้าน และเกสรตัวเมีย ก้านยาวสีแดง 3 ก้าน (คำอาหรับว่า jafran จึงควรเขียน ย่าฝรั่น แต่ที่เขียน หญ้าฝรั่น เป็นที่แพร่หลายมากกว่า)"
พจนานุกรมทั้ง 2 เล่ม ไม่ได้เอ่ยถึงชื่อ "ต้นกันกุมา" เลย แต่ "พี่ปุ๊" ตั้งหัวเรื่องใน "กาพย์ห่อใบตองหมกไฟ" ซึ่งตีพิมพ์ใน "ฟ้าเมืองไทย" ฉบับที่ 956 (16 กรกฎาคม 2530) ว่า "ภวตัณหาของกันกุมา" ซึ่งสรุปได้ว่า กันกุมาเป็นพืชที่ปลูกได้เฉพาะถิ่น เคยนำมาปลูกที่สวนทูนอินแล้ว ปรากฏว่าไม่ได้ผล เรามาลองอ่านสำนวนของ " "รงค์ วงษ์สวรรค์ (หนุ่ม)" ในบางตอนกันดีกว่า
"เวลาผ่านศตวรรษมาถึงนาฑีนี้ (นายหน้าที่แอ็มสเทอร์แด็มกำลังรอรายงานผลการผลิตอย่างกระวนกระวาย...) วงการพืชยอมรับกันแล้วว่าเป็นความทะเยอทะยานอย่างไร้สาระกับการปลูกกันกุมาในอาณาเขตอื่นนอกจากแถบอเดรียติค (ภาคกลางของอิแทลีล่วงถึงยูโกสลาเวีย) ภาคใต้ของฝรั่งเศส ภาคใต้ของสเปน กรีศ (ผู้เป็นโคตรพันธุ์) อิหร่าน และภาคเหนือของอินเดียในแถบแคฌเมียร์
ลำเนาอื่น อาทิ อังกฤษ เยอรมนี ออสเตรีย ล่วงถึงแถบตะวันออกกลางบางประเทศ อิจิปต์ และจีน (ผู้อ้างการเป็นปราชญ์แทบทุกแขนงจากดินปืนถึงเข็มทิศและการพบพันธุ์ผักกาด) คงพยายามปลูกกันกุมากันอย่างไม่ลดรา แต่ไม่ได้ผลงดงามตามคาดหมาย
ครับ-ผมเองกับความโง่เขลาก็เคยนำเอาหัวกันกุมมาจากลอนดอนมาปลูกเล่นบ้าง เหมือนกับบนสวนทูนอิน บางพันธุ์งอกงามแต่ยกเว้นพันธุ์ที่ปลิดเกสรตากแห้งเป็นหญ้าฝรั่น ความเย็นแบบแห้งในบางเดือนบนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลหลายพันฟุตนั้น อะไรก็ปลูกได้ไม่ยากโดยไม่ต้องใช้ความชำนัญพิเศษ นาร์ซีสสัส แด็ฟโฟดิล แลทิวลิพ สวยแทบว่า อยากฉีกกลีบกิน..."
ในตอนท้ายของบทความ "พี่ปุ๊" ได้เล่าถึงการเก็บเกสรของดอกกันกุมา จนกลายมาเป็นหญ้าฝรั่นที่มีราคาแพงถึงกรัมละ 7.5 ดอลลาร์ (200 กว่าบาท) น่าสนใจมากทีเดียว ลองอ่านดูเถิด
"...แต่ในกลางถึงปลายตุลาคม ฤดูใบไม้ร่วงเวลาของการนัดหมาย กันกุมาผลิก้านใบเรียวปลายแหลมโอบอุ้มทรวดทรงต้านทานการระเนนเอนราบ บานดอกบนก้านกลีบสูงเคียงเกียกเหนือผืนดิน อวลกลิ่นตำบลไกลกว่าการบินของผึ้งและนก เกสรยาวแค่องคุลี (2 เซนติเมตร) ไกวแผ่วเบากับแรงลมในห่อของกลีบนั้น
กันกุมา 1 หัว ผลดอกอย่างมาก 3 ดอก
1 ดอก ผลิกลีบ 5 ถึง 9 กลีบ (สีม่วง)
1 ดอก เปล่งเกสร 3 เกสร (สีแดง)
เวลาสองสัปดาห์ ชาวไร่ต้องระดมแรงงานกันทั้งตำบลเก็บดอกกันกุมาจำนวนอสงไขยและบานในช่วงเวลาเดียวกัน"
ดอกกันกุมาจะบานในเวลาเช้าตรู่ ต้องเก็บดอกให้ทันภายใน 24 ชั่วโมง ปลิดเกสรให้ทันภายใน 36 ชั่วโมง เกสรที่ตูมจะวิเศษกว่าเกสรบาน (ปลายเกสร) จากนั้นก็ต้องนำไปตากแดด ผิงไฟ หรืออบแห้ง กล่าวว่า แถบยุโรป ดอกกันกุมา ประมาณ 55,000 ดอก ถึง 82,000 ดอก บดเป็นผงจะได้น้ำหนักราวๆ 1 ปอนด์ ส่วนแถบอนุทวีป (อินเดีย ที่แคชเมียร์) ประมาณ 75,000 ดอก หรือ 225,000 เกสร จึงจะได้ผงในปริมาณที่เท่ากัน ในขณะที่ราคาขายตกกรัมละ 7.5 ดอลลาร์ หรือ 200 กว่าบาท ซึ่ง "พี่ปุ๊" ได้สรุปไว้ท้ายบทความว่า
"ผมไม่มีปัญญาคิดตัวเลขเป็นเงินบาท แต่บอกตัวเองว่า ถ้าหุงข้าวหมกแพะอบร่ำ หญ้าฝรั่นอย่างถูกตำรับกินกันสองหม้อ คงจนนานกว่าสองเดือน!"
เรื่องราวของ " "รงค์ วงษ์สวรรค์" เกี่ยวกับต้นไม้มีอยู่มากมาย แต่ผู้เขียนขอเลือกมานำเสนอไว้เพื่อเป็นการรำลึกถึงและไว้อาลัยแต่เพียงแค่นี้
ขอปิดท้ายด้วย "ข่าวสั้น" เรื่อง "บรรจุศพ "รงค์ วงษ์สวรรค์" ที่ว่า
"เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 23 มีนาคม นางสุมาลี นายวงศ์ดำเลิง นายสเริงรงค์ วงษ์สวรรค์ ภรรยา และลูกชาย "รงค์ วงษ์สวรรค์ ศิลปินแห่งชาติ (สาขาวรรณศิลป์ ปี 2538) พร้อมญาติและเพื่อนจากหลากหลายวงการ ร่วมกันเคลื่อนศพ "รงค์ วงษ์สวรรค์ จากศาลาสหัส-หงส์ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ไปยังสุสานชั่วคราววัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อบรรจุรอการฌาปนกิจต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับต้นไม้กว่า 70 ชนิด จำนวน 390 ต้น ที่มีผู้นำมามอบให้แทนพวงหรีด ครอบครัววงษ์สวรรค์ได้ส่งมอบต้นไม้ใหญ่ให้กับอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ไปดูแล ก่อนนำกลับคืนสู่ป่า ส่วนดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมนำขึ้นไปปลูกไว้ที่สวนทูนอิน ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านพักของ "รงค์ วงษ์สวรรค์ (มติชนรายวัน, วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2552)
ข้อมูลจาก:หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับ 453 หน้า 61 http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05061150452&srcday=&search=no
จากคุณ :
C.KURT
- [
28 เม.ย. 52 12:32:47
]
|
|
|