กลลวงของชื่อและส่วนผสมของอาหาร
ทำไมอาหารปรุงสำเร็จที่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ร้อยละ 25 จึงมีปริมาณโปรตีนเพียงร้อยละ 4-5
-ตามกฎหมายควบคุม โรงงานผลิตอาหารสัตว์ต้องแสดงรายชื่อส่วนผสมทั้งหมดก่อนเข้ากระบวนการผลิตที่ใช้ความร้อน(การหุงต้ม) โดยจะต้องเรียงลำดับตามน้ำหนักจากมากไปหาน้อย ดังนั้น เนื้อสัตว์ที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบสูงอาจจะปรากฏอยู่ในรายการส่วนผสมลำดับต้นๆ ทำให้ความเข้าใจผิดว่า ส่วนผสมดังกล่าวเป็นส่วนผสมหลักมีปริมาณมากอยู่ในอาหาร
โดยทั่วไปเนื้อสัตว์หรือเนื้อสดมีปริมาณน้ำ ร้อยละ75 ดังนั้น อาหารแห้งที่มีเนื้อแกะอยู่ร้อยละ25ก่อนผ่านกระบวนการผลิต จะมีโปรตีนจากแกะจริงเพียงร้อยละ 6-7เมื่อผ่านกระบวนการผลิตเป็นอาหารสำเร็จรูปแบบแห้งแล้ว
ลองนึกภาพค่ะ อาหารสูตรเดียวกันนี้ยังประกอบด้วย ข้าวโพดร้อยละ20 ข้าวเจ้าร้อยละ20 ปลาป่นแห้งร้อยละ15 น้ำมันพืชร้อยละ15 โรงงานก็ยังได้รับการอนุญาตให้ตีพิมพ์คำว่า เนื้อแกะ ด้วยตัวอักษรใหญ่ราวกับว่าแกะเป็นส่วนผสมหลัก ทั้งที่จริงแล้ว เมื่อปรุงสำเร็จมีปริมาณโปรตีนเพียงร้อยละ 4-5เท่านั้น ในขณะที่ปริมาณ พืชที่มีเมล็ด เช่น ข้าว ถั่ว กลับมีมากกว่าเป็นอับดับแรกเมื่อปรุงสำเร็จ
การควบคุมชื่อเรียกของส่วนผสมอาหาร อาหารจะถูกตีค่าส่วนผสมเป็น 100
Contain...ประกอบด้วย หมายถึง มีส่วนผสมของวัตถุดิบดังกล่าวน้อยกว่าร้อยละ 4
With...ปรุงด้วย หมายถึง มีส่วนผสมของวัตถุดิบดังกล่าวร้อยละ4-14
Rich in.....อุดมไปด้วย หมายถึง มีส่วนผสมของวัตถุดิบดังกล่าวร้อยละ14-26
...paste เคลือบด้วย หมายถึง มีส่วนผสมของวัตถุดิบดังกล่าวร้อยละ26-100
Full....ทำจาก...ล้วนๆ หมายถึง .มีส่วนผสมของวัตถุดิบดังกล่าวร้อย 100 นั่นหมายถึงไม่มีการปรับสมดุลของอาหาร
อาหารชนิดเดียวกันอาจเรียกได้ 3 ชื่อ เช่น มีส่วนผสมของเนื้อโคร้อยละ 4หรือ
มีส่วนผสมของเนื้อแกะร้อยละ 4 หรือ
มีส่วนผสมของเนื้อไก่ร้อยละ 4 และส่วนผสมอื่นๆอีกมากมาย แต่เมื่อผ่านกระบวนการผลิตต่างๆจนเรียบร้อย จะถูกนำมาบรรจุในถุง เรียกแตกต่างกันได้ 3 ชื่อ คือ ปรุงด้วยเนื้อโค หรือ ปรุงด้วยเนื้อแกะ หรือ ปรุงด้วยเนื้อไก่ ทั้งที่อาหาร 3 อย่างนี้ไม่ได้มีส่วนผสมหลักที่แตกต่างกัน แต่บ่อยๆก็ได้ยินเจ้าของสัตว์บอกว่า สัตว์แพ้ไก่ หรือชอบ แกะมากกว่าไก่
ประเมินคุณภาพของอาหารจาก
-ระยะสั้น จากความน่ากินและการยอมรับ
-ระยะปานกลาง จากพัฒนาการของน้ำหนักตัวและคุณภาพของเส้นขน
-ระยะยาว จากพัฒนาการด้านสุขภาพ ความสามารถในการออกกำลังกาย ความสมบูรณ์ของระบบสืบพันธุ์
คุณภาพ ของอาหารปรุงสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัตถุดิบเป็นสำคัญ และสูตรอาหารที่ดีต้องประกอบด้วยวัตถุดิบมีอัตราการย่อยได้สูงและมีสารอาหาร ต่างๆครบถ้วนตามความต้องการของสัตว์เลี้ยง
นอกจากนี้คุณภาพของอาหารยังขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิต วิธีเก็บรักษาด้วย
แมว เป็นสัตว์กินเนื้อ มีฟัน 30ซี่ ไม่มีฟันบดมีแต่ฟันฉีก กินแบบไม่มีการเคี้ยว มีปุ่มรับรส 500ปุ่ม ซึ่งน้อยกว่าหมา หมามีถึง 1700ปุ่ม และแมวไม่สามารถรับรู้รสหวาน น้ำลายแมวปราสจากน้ำย่อย กระเพาะอาหารของแมวมีกรดไฮโดรคลอริคมากกว่ามนุษย์ถึง 6เท่า แมวมีลำไส้เล็กที่เหมาะกับการย่อยอาหารพวกโปรตีนและไขมันแต่ไม่เหมาะที่จะ ย่อยพวกแป้ง พืชที่มีเมล็ด
แมวจะกินอาหรมือเล็ก แต่บ่อยๆ แมวต้องการพลังงาน 200-300 กิโลแคลลอรี่ต่อวัน
ความเป็น กรด-ด่าง ในกระเพาะอาหาร ของแมว 1-2
ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ควรได้รับเมื่อโตเต็มไวของแมว--น้อยมากๆ
ปริมาณโปรตีนที่ควรได้รับเมื่อโตเต็มไวของแมว--ร้อยละ 25-40 ของน้ำหนักวัตถุแห้ง
ปริมาณไขมันที่ควรได้รับเมื่อโตเต็มไวของแมว--ร้อยละ15-45 ของน้ำหนักวัตถุแห้ง
แมวและสุนัขกลืนอาหารโดยไม่ใส่ใจรสชาติ
อาหารที่กลืนลงกระเพาะยังคงมีลักษณะเป็นก้อน
การย่อยอาหารจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นอาหารที่ไม่เหมาะสมกับสัตว์กินเนื้อจะถูกขับออกในปริมาณมาก
แมวและสุนัขสามารถย่อยแป้งที่ผ่านความร้อนจนสุกได้ที่แล้วเท่านั้น แป้งที่ไม่ถูกย่อยอาจถูกหมักในลำไส้ใหญ่และเกิดการบูดเน่า ทำให้สัตว์ถ่ายเหลวได้ แม้แต่แป้งที่สุกได้ที่ แต่หากอาหารนั้นมีปริมาณแป้งสูงเกินความสามารถในการย่อยของน้ำย่อยที่สัตว์สร้างขึ้น ก็สามารถทำให้ถ่ายเหลวได้ (อันนี้จะพบในแมวบางสายพันธุ์)
แมวและสุนัขไม่ต้องการน้ำตาล และน้ำตาลก็ไม่มีบทบาทในการป้องกันหรือบำบัดความผิดปกติใดๆ และถ้าได้รับน้ำตาลมากเกินไปก็ทำให้เป็นเบาหวานได้
เซลลูโลสหรือ ใยอาหารทั้งหมด อันนี้จะสามารถป้องกันและบำบัด พวกโรคอ้วน เบาหวาน ท้องผูก ท้องร่วงได้ ถ้าได้รับจากส่วนผสมของอาหารที่มีคุณภาพที่เหมาะสมในปริมาณที่พอเหมาะ
ไขมัน โดยมากก็มาจาก ไขมันสัตว์เช่น เนย ไขมันวัว ไขมันไก่ ไข่มันหมู ไข่ น้ำมันปลา ไขมันพืช เมล็ดพืชที่มีน้ำมัน
กรดไขมันไม่อิ่มตัวมีอยู่มากในอาหารประเภทไขมัน และจะเสื่อมเมื่อโดนอากาศ ความร้อน แสง ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดกลิ่นหืน ซึ่งมันจะกลายเป็นพิษต่อสุขภาพด้วย
กรดไขมันไลโนเลอิก (omega6) ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น ขนไม่บางและไม่ขาดง่าย
ซึ่งถ้าขาดจะให้ให้ผิวหนังสูญเสียน้ำและติดเชื้อง่าย
กรดแกมมาไลโนเลอิก ช่วยต่อต้านการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้เป็นที่ยอมรับและนิยมนำมาใช้แก้ปัญหาสัตว์เลี้ยงที่เป็นภูมิแพ้
กรดโอเมก้า3 จะช่วยบำรุงรักษาสุขภาพสัตว์ที่มีอายุมาก ตลอดจนสัตว์ที่เป็นโรคกระดูกและข้อต่อ โรคไตวายเรื้อรัง การถ่ายเหลวแบบมีการอักเสบ โรคผิวหนังต่างๆ
EPA, DHA มีฤทธิ์ต่อต่านการอักเสบ ช่วยให้หัวใจทำงานปกติ ลดภาวะเลือดข้นและลดความดันเลือด ลดความเสี่ยงของการเกิดเนื้องอกและ ช่วยในการมองเห็นของลุกสัตว์
โปรตีน หมาแมวต้องการโปรตีนสูง
ถ้าขาดโปรตีน และพวกกรดอะมิโนจะทำให้เส้นขนขาดหลุดร่วงง่ายเปราะบาง และทำให้สัตว์สังเคราะห์โปรตีนไม่ได้ แล้วอาจจะทำให้สัตว์ไม่สามารถนำโปรตีนมาซ่อมแซมร่างกายได้
ทอรีน ถูกนำมาใช้ในการป้องกันรักษาความผิดปกติอย่างรุนแรงของหัวใจและยังจำเป็นสำหรับแมวในเรื่องการมองเห็นและการทำงานของระบบสืบพันธุ์
แร่ธาตุหลัก
แคลเซียม-การสร้างกระดูก
ฟอสฟอรัส-การส่งผ่านพลังงาน (ในสัตว์อายุมากต้องลดเพราะอาจเพิ่มความรุนแรงของการเกิดภาวะไตเรื้อรัง)
โพแทสเซียม/โซเดียม - สมดุลของอิเลคโตรไลท์ที่ระดับเซลล์
แมกนีเซียม - การรับรู้ของประสาทสัมผัส การขาดแมกนีเซียมจะทำให้เกิดอาการทางประสาท
(ในแมว ถ้าเป็นนิ่วแบบสตูไวท์ต้องจำกัดปริมาณแมกนีเซียมแต่ตรงข้ามจะช่วยยับยั้งการเกิดก้อนนิ่วแบบออกซาเลต)
แร่ธาตุรอง
เหล็ก -สังเคราะห์ฮีโมโกบิลในเม็ดเลือดแดง ป้องกันและรักษาดลหิตจาง
สังกะสี - สุขภาพผิวหนัง จะช่วยในเรื่องการหายของบาดแผลและลดเลือนแผลเป็น ตลอดจนช่วยความงามของเส้นขน แต่การขาดสังกะสีจะพบได้เมื่อใช้อาหารคุณภาพต่ำๆ
หรืออาหารที่มีส่วนประกอบของรำข้าวและแร่ธาตุบางชนิดก็ยังขัดขวางการดูดซึมของสังกะสีในภาวะปกติด้วย
แมงกานีส -การสร้างกระดุกอ่อนและผิวหนัง อันนี้ลูกสัตวืและสัตว์แก่ต้องได้รับในปริมาณที่เพียงพอ อย่างสัตว์แก่ก็ลดปัญหาข้อเสื่อม
ทองแดง - การสร้างสารสีหรือรงควัตถุที่ผิวหนัง
ไอโอดีน - การทำงานของต่อมไทรอยด์
ซีลิเนียม -การต่อต้านอนุมูลอิสระ
Vitamin
วิตามินเอ การมองเห็น ซ่อมแซมฟื้นฟูผิวหนัง
วิตามินดี ช่วยกระบวนการเมตาบอลิสมของแคลเซียมและฟอสฟอรัส
วิตามินอี การปกป้องเซลล์จากการเกิดปฎิกริยาออกซิเดชั่น
วิตามินเค การแข็งตัวของเลือด
วิตามินบี1 ระบบประสาท
วิตามินบี2 ผิวหนัง
วิตามินบี5 การเจริญเติบโต ผิวหนัง
วิตามินบี 6 การสังเคราะห์พลังงานที่ระดับเซลล์
วิตามินบี12 การสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
วิตามินบี8 เส้นขนผิวหนัง
วิตามินบี9 การพัฒนาเนื้อเยื่อระบบประสาท
วิตามินซี การต่อต้านอนุมูลอิสระ
และด้วยยุคสมัยที่ก้าวหน้าก็ได้มีการพัฒนาอาหารสัตว์ที่ดีขึ้นโดยจะมีการนำคำว่า
Health Nutrition, Nutraceutic มาใช้ ซึ่งเป็นสารอาหารที่ไม่จำเป็นแต่สามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
By-products = ผลพลอยได้ต่างๆทีี่คนกินไม่ได้
Ash = เถ้า
moistช =ความชื้น
และสุดท้าย
holistic เป็นอาหารปราศจากการปนเปื้อนและเป็นธรรมชาติทั้งหมด100%,
ผลิตจากอาหารที่ให้โปรตีนคุณภาพสูง ปราศจากไขมัน ได้แก่ เนื้อไก่ล้วน เนื้อปลาล้วน และไข่ รวมทั้งให้คุณค่าทางอาหารอื่นๆ โดยใช้อาหารจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีตกค้าง กระบวนการผลิตในขั้นตอนการถนอมอาหารใช้วิตามิน E และ D และสาหร่ายทะเล สารเคมีใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดการสะสมสารพิษในร่างกาย
ทั้งนี้ ทั้งหมดเป็นเพียงแค่คำแนะนำในการอ่านฉลากอาหารบนถุงค่ะ
ไม่ควรไปหาซื้อต่างหากมาให้ทานเช่น เห็นว่า วิตามินบางตัวบำรุงขนก็ไปหาซื้อของคนมาให้ ไม่ได้นะคะ ถ้าแพ้หรือได้รับมากไป อาจจะสะสม และในบางตัวอาจถึงชีวิตได้ค่ะ (ย้ำๆนะคะ)
ปล เอาเก็บลงคลังกระทู้ด้วยจะดีมากเลยค่ะ ขี้เกียดพิมพ์ใหม่อะคะ
แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 01:27:26
จากคุณ :
เฉาก๋วยอินเตอร์
- [
13 พ.ค. 52 01:24:39
]