ความคิดเห็นที่ 2
ใส่แล้วงามครับแต่อย่าใส่มากหรือบ่อยเพราะมันจะตรึงไนโตรเจนไว้ นอกนั้นยังใช้จับสารพิษหรือดับกลิ่น อึ๊แมว-หมาด้วยครับ อ่านข้อมูลทางวิขาการหน่อยนะครับ
หินแร่ภูเขาและประโยชน์ในการที่จะนำไปใช้ในการเกษตร ( 1 ) By tree2520
หิน แร่ภูเขาไฟ หรือ ชื่อในทางภาษาวิชาการเรียกกันว่า ซีโอไลท์ (Zeolite) คือกลุ่มของหินเดือด, หินที่ผ่านความร้อนเป็นล้าน ๆ องศา หินลาวา หินที่ผ่านความร้อนจนสุกและพองขยายตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มิใช่หินดิบที่ระเบิดออกมาจากภูเขาแล้วนำมาบดขายกัน ซึ่งหินดังกล่าวนี้ส่วนมากแล้วจะเป็นกลุ่มของหินปูนบดเสียมากกว่า แต่ก็มักจะกล่าวอ้างกันว่าเป็นซีโอไลท์ เช่น ซีโอไลท์เนื้อเบา (Diatomite)บ้าง ซีโอไลท์เนื้อหนัก (Kaolinite) บ้าง เพราะชื่อนี้ทำให้ซื้อง่ายขายคล่องนั่นเอง ดังนั้นเกษตรกรควรต้องระวังให้ดี มิฉะนั้นก็จะได้หินดิบหรือซีโอไลท์ปลอม ทำให้นำไปใช้ประโยชน์ในการเกษตรไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ เพราะกลุ่มของหินปูนบด และหินดิบเหล่านี้ไม่มีความสามารถในการจับหรือแลกเปลี่ยนประจุบวกได้ (C.E.C.) เพราะไม่มีความโปร่งพรุน ทำให้ไม่สามารถที่จะจับตรึงปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกให้เป็นปุ๋ยละลายช้า ได้ (Slow release Fertilizer) และยังมีซิลิก้า, ซิลิคอน, หรือซิลิสิค แอซิด ที่ละลายน้ำได้ในปริมาณที่น้อยมาก ๆ จึงไม่เพียงพอที่จะนำไปเป็นประโยชน์ต่อพืช ดิน หิน ทราย แกลบดิบ เมื่อยังไม่ผ่านความร้อนก็ไม่มีความโปร่งพรุน ขยายและพองตัว ดังนั้นเมื่อพืชเจอกับซีโอไลท์ปลอมหรือหินปูนบด ซึ่งมิใช่หินลาวาหรือหินภูเขาไฟ จึงทำให้พืชไม่สามารถที่จะดูดกินได้ เพราะซิลิก้านั้นเขาเป็นซิลิก้าที่อยู่ในรูปของโครงสร้างเคมี Sio2 เป็นซิลิก้าที่ไม่ละลายน้ำหรือละลายได้ก็น้อยมาก พืชจึงไม่มีความสามารถที่จะดูดกินซิลิก้าขึ้นไปสะสมได้อย่างเพียงพอจนสามารถ ทำให้เซลล์ของพืชนั้นแข็งแกร่ง ต้านทานโรคและแมลงได้ ถ้าเป็นหินแร่ภูเขาไฟ หินลาวา ซีโอไลท์ หรือหินเดือด (หินเดือดเราเรียกว่า ซีโอไลท์ ซึ่งเป็นภาษากรีกโบราณ ซีโอ = เดือด, lite มาจากคำว่า lithose = หิน) หินในกลุ่มนี้เขาจะผ่านความร้อนเป็นล้าน ๆ องศา อุณหภูมิใต้พื้นผิวโลกที่สูงและร้อนจัดทำให้หินหลอมเหลวเป็นตมเดือดพล่าน เกิดพลังงาน แรงกด แรงอัด แรงบีบ และแรงดันอย่างมหาศาลทำให้มีความสามารถที่จะผลักดันขึ้นสู่พื้นผิวของเปลือก โลกในโซนหรือแอเรียที่บางเบาหรือตะเข็บรอยร้าว จนทะลักหลั่งไหลออกมาแล้วเราเรียกกันว่า ภูเขาไฟ ซึ่งรูปแบบการระเบิดมีทั้งแบบที่เหมือนกับที่ภูเขาไฟเขากระโดงที่จังหวัด บุรีรัมย์, หรือรูปแบบที่เป็นลาวาเหลวไหลออกมา เหมือนกับเทือกเขาฝาละมี, เขาพนมฉัตร ที่จังหวัดลพบุรี (เมื่อ 22 ล้านปีก่อน) หินที่หลอมเหลวหรือแม็กม่าเมื่อโผล่พ้นจากใต้พื้นภิภพมาสู่ชั้นบรรยากาศที่ เบาบางกว่าเพียงหนึ่งชั้นบรรยากาศ จึงทำให้เกิดการพองตัวอย่างฉับพลัน ทำให้มีหินเดือด, หินเบาที่มีโครงสร้างภายในเป็นอลูมิโนซิลิเกตที่มีความโป่งพรุนจากการระเหิด หายไปของน้ำและก๊าซต่าง ๆ ขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงความดันลงฉับพลันและอุณหภูมิเย็นลงทันที. รูพรุนเหล่านี้ให้กำเนิดพื้นที่ผิวมากมายมหาศาลต่อหน่วยเล็ก ๆ ของหินเดือด มีความโปร่งพรุนสูงและมีแร่ธาตุที่ละลายน้ำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซิลิก้าที่มีโครงสร้างเคมีอยู่ในรูปของ H4sio4 จึงเป็นประโยชน์ที่สำคัญอย่างยิ่งกับพืช พื้นที่แต่ละแห่งบนพื้นผิวโลกที่ได้กำเนิดเกิดขึ้นเป็น ภูเขาไฟ จะมีความแตกต่างทางด้านหินและแร่ธาตุอย่างมากมาย ทำให้มีหินแร่ภูเขาไฟในโลกนี้เท่าที่นักธรณีวิทยาเขาได้ทำการสำรวจและศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูลจนเป็นที่ประจักษ์แล้วก็มีอยู่ประมาณ 52 ชนิด ส่วนในประเทศไทยที่นำมาใช้และเผยแพร่จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางใน ด้านการเกษตรโดยอาจารย์ดีพร้อม ไชยวงศ์เกียรติ ก็มีอยู่สามหรือสีชนิด เช่น ภูไมท์ สเม็คไทต์ ม้อนโมริโลไนท์ และไคลน็อพติโลไลท์ ซึ่งแต่ละชนิดก็มีประโยชน์และคุณสมบัติแตกต่างกันไป มนตรี บุญจรัส www.thaigreenagro.com
ตอนที่ 2 การใช้ประโยชน์ทางการเกษตรของสารดังกล่าวในกลุ่มนี้มีดังนี้. 1.ใช้ฉีดพ่นเพื่อทำให้พืชแข็งแรง ใช้ภูไมท์ผง, สเม็คไทต์, ไคลน็อพติโลไลท์ประมาณ 200-300 กรัมละลายในน้ำ 20 ลิตร กวนให้ละลายหมด ทิ้งไว้หนึ่งคืนแล้วกรองแยกตะกอนไปใส่ต้นไม้ เอาแต่น้ำมาฉีดพ่นพืชให้เปียกทั่วถึงทุกส่วน หรือจะใช้ซิลิสิค แอซิด (ซึ่งเป็นซิลิคอน (H4Sio4) ที่สกัดออกมากจากกลุ่มของหินแร่ภูเขาไฟแล้วเพียวเรียบร้อยแล้ว) ประมาณ 5-10 กรัมละลายกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้เปียกชุ่มโชกทุก 5 – 7 วัน ถ้าพบว่าพืชชนิดนั้น ๆ มีอาการแพ้และเกิดใบไหม้ก็ให้เปลี่ยนมาใช้ ภูไมท์, สเม็คไทต์และ ไคลน็อพติโลไลท์ 200-300 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรแทน การทำดังนี้ทำให้ซิลิก้าในรูปที่ละลายน้ำได้ (หรือซิลิซิค แอซิด,หรือ โมโนซิลิค แอซิด,หรือโซลูเบิ้ล ซิลิก้า) ซึมเข้าในเซลล์พืชที่มีชีวิต แล้วตกผลึกเปลี่ยนรูปเป็นซิลิก้าและซิลิเกตที่ละลายน้ำไม่ได้ ทำให้เซลล์ผิวพืชโดยเฉพาะอย่างยิ่งผนังเซลล์แข็งแกร่ง จนเพลี้ย หนอน ไร รา เข้าทำอันตรายได้ยาก โดยเฉพาะหนอนวัยหนึ่ง วัยสอง ที่กัดกินแทะเล็มพืชแล้วฟันจะสึก หรอ จนกินพืชไม่ได้ เพลี้ยและไรจะใช้ปากแทงพืชไม่เข้า ส่วนราจะเจริญได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อพืชเจริญต่อไปคือมียอดและใบอ่อนหรือส่วนอื่นเจริญออกมาอีก ส่วนนี้จะขาดซิลิก้าที่ช่วยคุ้มครอง เพราะไม่มีการเคลื่อนย้ายซิลิก้าจากที่ฉีดพ่นไปคราวก่อน เนื่องจากแปรรูปไปแล้ว ถ้ายังใช้วิธีเดิมก็จะต้องฉีดพ่นทุกสัปดาห์ แม้จะเป็นผลดี แต่ก็สิ้นเปลืองแรงงานที่มาฉีดพ่นนี้ การใส่สารปลดปล่อยซิลิก้าลงทางดินจะประหยัดแรงงานได้มากกว่า ส่วนวิธีฉีดพ่นนั้นถือว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า. เนื่องจากพอฉีดพ่นเสร็จไม่กี่นาทีก็ป้องกันเพลี้ย หนอน ไร รา ได้ทันที แต่ป้องกันใบที่แตกใหม่ภายหลังไม่ได้.
2.ใช้หว่านลงดินก่อนปลูก เพื่อให้พืชที่จะปลูกบนดินได้รับซิลิก้าที่ละลายน้ำได้ทันทีตั้งแต่เริ่มดูด น้ำหรือเริ่มการเจริญ หรือเริ่มงอก ใช้ภูไมท์, สเม็คไทต์ หรือไคลน็อพติโลไลท์ หว่านลงผิวดินแล้วพรวนกลบ หรือจะหว่านลงในแปลงนาทำการลูบหรือคราดให้จมแล้วจึงหว่านเมล็ด หรือใส่รองก้นหลุม เคล้ากับดิน หินฟอสเฟต ปุ๋ยอินทรีย์ แล้วจึงปลูกพืชหรือหยอดเมล็ด.
3.ใส่หลังปลูก ใช้วิธีโรยเป็นแถวข้าง ๆ ต้น เช่นข้าวโพด หรือหว่านบริเวณใต้ทรงพุ่มต้นของพืช พืชผักต้นเล็กปลูกติดกันแน่นให้หว่านด้วยชนิดเม็ด เช่น ภูไมท์เม็ดหรือ สเม็คไทต์เม็ด หรือไคลน็อพติโลไลท์ชนิดเม็ดเป็นต้น.
4.ใช้คลุกผสมใส่ลงไปพร้อมกับปุ๋ย โดยใช้ปุ๋ยเคมี 5 ส่วนพรมน้ำพอชื้น แล้วเอาภูไมท์ผง, สเม็คไทต์ผง 1 ส่วน คลุกผสมให้ผงติดเม็ดปุ๋ยทุกเม็ด จะช่วยทำให้ปุ๋ยกลายเป็นปุ๋ยละลายช้า. ถ้าใส่ปุ๋ยด้วยเครื่องหยอดปุ๋ยให้ใช้ ภูไมท์เม็ด, สเม็คไทต์เม็ด หรือไคลน็อพติโลไลท์เม็ดคลุกผสมปุ๋ยแล้วใส่ในเครื่องหยอด ซึ่งจะหยอดไปพร้อมกับปุ๋ย ใช้ 1 ส่วนต่อปุ๋ย 5 ส่วน
5. กลไกทำให้พืชแข็งแกร่ง ภูไมท์, สเม็คไทต์, และไคลน็อพติโลไลท์ เมื่อลงดิน เปียกน้ำจะปลดปล่อยซิลิก้าที่ละลายน้ำได้ออกมา ถูกพืชดูดไปพร้อมกับน้ำ น้ำระเหยออกทางเซลล์ผิวแต่ซิลิก้าไม่ระเหย สะสมมากขึ้นทุกทีจนตกผลึกเป็นโอปอล,ควอร์ทซ์ อยู่ตามผนังเซลล์, และผิวเซล์ แม้จะเป็นอนุภาคเล็กมากจนจะเห็นได้จากกล้องจุลทรรศน์อีเล็กตรอน, แต่ก็นับว่าเพียงพอที่จะทำให้ปากเพลี้ย และไร เจาะผิวพืชไม่สะดวก, หนอนวัยหนึ่งกัดพืชแล้วฟันจะสึกจนกัดพืชไม่ได้ ไส้เดือนฝอยเข้าพืชไม่ได้ ราเจริญไม่สะดวก. การดูดน้ำขึ้นทางรากอย่างต่อเนื่อง ทำให้ใบอ่อนมีการสะสมซิลิกาที่ผิวได้อย่างรวดเร็ว.
6.ลดการสูญเสียปุ๋ย ปรกติปุ๋ยเคมีที่ขายในไทยถูกกำหนดให้ละลายทันทีทั้ง 100 % ดังนั้นถ้าฝนตกมาก รดน้ำมาก ปุ๋ยละลายออกมาหมด เมื่อน้ำไหลไปที่อื่นก็พาปุ๋ยไปด้วย ประมาณว่าปุ๋ยอาจถูกชะพาไปถึง 90 % พืชได้ใช้จริง ๆ เพียง 10 % แต่เมื่อใส่สารกลุ่มนี้ลงไป สารจะมีความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุบวก (แค็ทไออ้อนเอ๊กซ์เช้นจ์คาพาซิตี้ C.E.C.) ที่สูงมาก จะจับปุ๋ยประจุบวกไว้ทั้งแอมโมเนียม และโปแตสเซียมให้กลายเป็นปุ๋ยละลายช้า จึงทำให้ใช้ประโยชน์จากปุ๋ยได้ถึง 90% และถูกชะพาไปกับน้ำสูญเปล่าเพียง 10 %
7.ทำลายสารพิษในดินและในน้ำ สารพิษตกค้างที่มีผลในการลดการเจริญของพืชมักเป็นสารกำจัดวัชพืช เมื่อใส่ภูไมท์หรือสารในกลุ่มหินแร่ภูเขาไฟนี้แล้วสารพิษจะถูกทำลายหรือถูก จับตรึงจนออกฤทธิ์ไม่ได้ แม้สารชะลอการเติบโตชองพืช เช่น สารพาโคลบิวทราโซลที่ตกค้างในดินก็ถูกทำลายเช่นกันจึงทำให้พืชโตดีเป็นปรกติ
8. ช่วยปรับ C:N ratio ให้พืช ดินที่มีไนโตรเจนตกค้างมาก ละลายน้ำง่าย พืชดูดง่าย ทำให้เจริญทางใบมาก หรือเผือใบ เป็นโรคง่าย ออกดอกยาก ผลแก่ช้า รสฝาด หรืออมเปรี้ยว ถ้าหว่านภูไมท์หรือไคลน็อพติโลไลท์หรือสารในกลุ่มนี้จะจับไนโตรเจนไว้กลาย เป็นปุ๋ยละลายช้า พืชดูดไนโตรเจนได้น้อยลง ทำให้ซีเอ็น เรโช กว้างขึ้น พืชมีสัดส่วนคาร์โบฮัยเดรทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ออกดอกง่ายและผลผลิตคุณภาพดีขึ้นลดอาการเผือใบได้มาก
จากคุณ :
เน็ต ตจว.
- [
22 พ.ค. 52 12:07:58
]
|
|
|