ความคิดเห็นที่ 91

1 เสียงโลก สื่อโลก ลูซิอาโน พาวารอตติ เสียงสวรรค์ สู่สวรรค์ โดย อานันท์ นาคคง เสียงขับร้องที่เปล่งออกมาจากมนุษย์นั้นคือเครื่องดนตรีธรรมชาติที่สุด ในเสียงร้องคือเสียงลม พัดผ่านจากภายในสู่ภายนอก แล้วสะท้อนย้อนกลับมาสู่ภายใน ลมหายใจ จุดบรรจบพบกันของชีวิตกับธรรมชาติ เมื่อดำเนินไปต่อเนื่องคือการดำรงคงอยู่ เมื่อลมนั้นยุติลง จบเพลง จบเสียง จบการเคลื่อนไหวใดๆ ในชีวิต หวนคืนสู่ธรรมชาติ เสียงไพเราะของเขาคนนั้นที่กล่อมฝันให้คนทั้งโลกมานานปี ก็ไม่อาจหลีกหนีกฎธรรมชาติได้เช่นกัน เช้ามืด ๖ กันยายน ๒๕๕๐ ลูซิอาโน พาวารอตติ (Luciano Pavarotti) นักร้องโอเปร่าเสียงเทเนอร์ที่สร้างผลงานมากมายในโลกดนตรีคลาสสิก ลาลับดับสังขาร จากไปด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน (pancreatic cancer)ที่บ้านเกิด เมืองโมเดนา ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ด้วยอายุขัย ๗๑ ปี ในศตวรรษที่ ๒๐ นักร้องโอเปร่าที่มีความสามารถนั้นมีมากมาย หากแต่นักร้องที่ยิ่งใหญ่ในใจของคนรักเพลงมีเพียงไม่กี่คน ถ้าจะเริ่มต้นศตวรรษด้วยเอนริโก คารูโซ (Enrico Caruso) เทเนอร์อัจฉริยะผู้วางมาตรฐานการขับร้องให้หลายคนได้เดินก้าวตาม ก็คงจะมิผิดหากจะกล่าวว่าศตวรรษนี้ปิดฉากลงด้วยลูซิอาโน พาวารอตติ นักร้องที่เป็นยิ่งกว่าที่รักของคนฟังเพลงโอเปร่า บุคลิกภาพที่น่าประทับใจ ภาพที่คุ้นเคยของคนรักเพลงคลาสสิกทั้งโลก นักร้องชายร่างอ้วนท้วน เคราครึ้ม แต่งทักซิโด้ดูสะอาดตา พกผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดในมือเสมอเวลาอยู่บนเวที ยิ้มแย้มร่าเริง สายตาอ่อนโยนแต่เข้มแข็งอยู่ลึกๆ เอ่ยเอื้อนลำนำของเหล่าอดีตบรมครูดุริยกวีโอเปร่าด้วยพลังเสียงแหลมสูง กังวานหวานมีเสน่ห์ ก้าวเดินจากเวทีโอเปร่าอย่างขนบธรรมเนียมไปสู่เวทีหลากหลาย เคล้าคลุกชีวิตและเสียงเพลงไปกับสิ่งแวดล้อมสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างอย่างไม่มีข้อจำกัด เวทีฟุตบอล เวทีกีฬาโลก เวทีเพลงป๊อป เวทีดนตรีร็อค จอภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ อนิเมชั่น ฯลฯ เป็นความกล้าที่ท้าทายกับผู้คนร่วมวงการขับร้องโอเปร่าอีกมากมายให้ทบทวนใคร่ครวญคิดว่า ที่สุดแล้วเกณฑ์กรอบขอบขีดเวทีโอเปร่ามีจริงแท้หรือไม่ พาวารอตติไม่ต้องการถกเถียง ไม่แก้ตัว แต่เดินหน้าทำให้ประจักษ์และพิสูจน์คุณค่างามบริสุทธิ์นั้นด้วยวันเวลาที่ผ่านไป ลูซิอาโน พาวารอตติ เกิดเมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๘๘ บิดาชื่อเฟอร์นันโด พาวารอตติ เป็นคนทำขนมปัง และนักร้องเสียงเทเนอร์ มารดาชื่ออาเดล เวนตูรี เขาเริ่มร้องเพลงกับพ่อที่โบสถ์ตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ ในวัยเด็กเขาใฝ่ฝันจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่แม่อยากให้เป็นครู ในขณะที่พ่ออยากให้เป็นนักร้อง เขาเริ่มหัดร้องเพลงอย่างจริงจังตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๗ เมื่ออายุ ๑๙ ปี เขาชนะการประกวดขับร้องประสานเสียง และขึ้นเวที 2 การแสดงครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ รับบท Rodolfo ในเรื่อง La bohème ที่โรงอุปรากรแห่งเมือง Reggio Emilia พาวารอตติเป็นที่ชื่นชมของแฟนเพลงตั้งแต่นั้นมา และมีผลงานที่ต่อเนื่อง เขาก้าวสู่สถานะนักร้องอาชีพเต็มตัวเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ ที่ไมอามี โดยขึ้นเวทีขับร้องเรื่อง Lucia di Lammermoor คู่กับโจน ซุทเทอร์แลนด์ (Joan Sutherland) ซึ่งกลายเป็นนักร้องคู่ขวัญกับเขามานานปี และตอกย้ำความสำเร็จมากขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๑๕ ในการขับร้องเพลงจาก La Fille du Regiment กับคณะนิวยอร์คเมโทรโพลิแทนโอเปร่า เมื่อเขาสามารถร้องโน้ตโดตัวสูงสุด (nine high Cs) ออกไปได้อย่างน่าทึ่งและทรงพลัง ท่ามกลางความตื่นเต้นพิศวงของผู้ชมที่พร้อมใจกันลุกขึ้นยืนปรบมือให้เขาเป็นเวลายาวนานหลังสิ้นสุดการแสดง เพลงที่คนจดจำเขามากที่สุดคือ Nessun Dorma จากโอเปร่าเรื่อง Turandot ของจาโคโม ปุชชินี ซึ่งถือว่าเป็นงานประวัติศาสตร์ของวงการการขับร้องอย่างแท้จริง ต่อมากลายเป็นเพลงประจำสถานีวิทยุ BBC และเพลง Nessun Dorma นี้เอง เป็นเพลงสุดท้ายที่พาวารอตตีใช้ในการแสดง เมื่อเขาไปร้องเพลงนี้ที่พิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลีเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙ หลังจากคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบครั้งสุดท้ายของเขาผ่านไปที่กรุงไทเป ประเทศไต้หวันเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ เขามักออกคอนเสิร์ตเพื่อการกุศลบ่อยๆ สลับกับสวมบทพระเอกในโอเปร่าจริงจังหลายๆ เรื่อง เดินทางไปทั่วโลกเพื่อขับขานบทเพลงในตำนาน เคยสร้างปรากฏการณ์ให้คนฟังดนตรีรุ่นใหม่หลงใหลมากมายเหลือเชื่อ ความไพเราะของเสียงร้องทุกโน้ต ทุกลมหายใจ ผสมผสานกับท่าทีที่เป็นมิตรและลีลาการแสดงบนเวทีที่สะกดจิตใจผู้ชม ทำให้พาวารอตติเป็นตำนานสำคัญในโลกโอเปร่า ผลงานสาธารณะที่คนนอกวงการเพลงคลาสสิกรู้จักพาวารอตติอย่างกว้างขวางคือ "The Three Tenors" ซึ่งเป็นการขับร้องเพลงโอเปร่าในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ ๑๔ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี ร่วมกับเพื่อนนักร้องชายเสียงเทเนอร์อีกสองคนคือ พลาซิโด โดมิงโก (Placido Domingo) และโฮเซ คาเรลราลส์ (Jose Carreras) โดยมีสุบิน เมธา (Zubin Mehta)เป็นวาทยกร ในข้ามคืนที่ The Three Tenors ได้รับการถ่ายทอดผ่านเครือข่ายโทรทัศน์ข้ามโลกไปให้ผู้ชมหลายพันล้านได้เห็นได้ยินได้ฟังนั้น ก็กลายเป็นงานประวัติศาสตร์อีกชิ้นของการดนตรีที่ถูกนำมาเล่าขานเป็นตำนานอย่างน่าอัศจรรย์ และกลายเป็นธรรมเนียมต่อมาว่าทั้งสามจะได้ทำหน้าที่ต่อเนื่องทุก ๔ ปี ในวาระฟุตบอลโลกที่อื่นๆ คือ พ.ศ. ๒๕๓๗ ที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่หอไอเฟล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ที่โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ เขายังร่วมงานกับนักดนตรีสายร็อค-ป๊อปอีกหลายเวที เช่น U2, Spice Girls งานวิดีโอคอนเสิร์ตที่คนทั่วไปรู้จักเช่น "The Three Tenors", "Pavarotti and Friends" ปี ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา แพทย์ตรวจพบว่าพาวารอตติมีเชื้อมะเร็งที่ตับอ่อน ถือเป็นหนึ่งในโรคที่ร้ายแรงที่สุดของกลุ่มมะเร็ง เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลในนิวยอร์ก และทนทรมานกับการรักษา-ฉายแสงมาโดยตลอด แต่ก็พยายามที่จะต่อสู้ด้วยการผลิตงานเพลงที่ตนเองรัก และการล้มป่วยของเขาก็เป็นที่ห่วงใยของบรรดาเพื่อนพ้องศิลปินตลอดจนแฟนเพลงทั่วโลก แม้จะเจ็บป่วยทรมานกระนั้นก็ตาม ด้วย 3 วิญญาณความเป็นผู้ให้ เขาก็ยังอุทิศเวลาสอนร้องเพลงให้กับเด็กๆ ผู้โชคดีกลุ่มหนึ่งในละแวกเมืองเมโดนาและเมืองเปซาโร ซึ่งเป็นรีสอร์ทส่วนตัวของเขาย่านคาบสมุทรอาเดรียติก ในช่วงฤดูร้อนของปี ๒๕๔๙ นอกจากนี้ ด้วยอุตสาหะ เขาก็ยังรวบรวมกำลังทำงานบันทึกเสียงเพลงศาสนาเพื่อออกจำหน่ายในปีหน้า (คาดว่าจะออกเผยแพร่ พ.ศ. ๒๕๕๑) ต้นปี ๒๕๕๐ นี้เอง อาการเจ็บป่วยทวีมากขึ้น พาวารอตติตัดสินใจพักผ่อนอย่างสงบที่เมโดนา หลังจากเหน็ดเหนื่อยด้วยการเดินทางไปขับขานบทเพลงกล่อมคนทั้งโลกให้มีความสุขสนุกสนาน เขาเลือกที่จะอยู่ตามลำพังกับครอบครัวที่เขารัก ผู้ดูแลใกล้ชิดคือนิโคเล็ตตา มันโตวาดี ภรรยาคนที่ ๒ และอลิซ ลูกสาวคนเล็ก ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๐ กระทรวงวัฒนธรรมของอิตาลีได้ประกาศมอบรางวัลเชิดชูเกียรติในฐานะเป็นผู้ส่งเสริมวัฒนธรรมของชาติ 'Premio per l'Esccellenza nella Cultura Italiana' (for outstanding contribution to Italian culture) นอกจากนี้ รัฐบาลก็มีดำริที่จะจัดการประกวด Pavarotti International Voice Competition เช่นเดียวกับโรงโอเปร่า ลา สกาลาแห่งเมืองมิลานกับเทศบาลเมืองโมเดนาก็ตกลงใจว่าจะจัดงาน Luciano Pavarotti Award เพื่อสนับสนุนนักร้องโอเปรารุ่นใหม่ให้ดำเนินรอยตามความสำเร็จของพาวารอตติ งานประกวดยังไม่ได้เริ่มต้น พิธีรับมอบรางวัลยังไม่อาจกระทำได้ เมื่อทุกอย่างสายเสียแล้ว วาระสุดท้ายของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ จบลงอย่างปกติสามัญ เรียบง่าย ที่บ้านเกิด ในพื้นที่ที่เขาเคยอยู่ระหว่างทางเลือกของชีวิตว่าโตแล้วจะทำอะไรดี? เป็นนักฟุตบอลหรือเป็นนักร้อง? มนุษย์อาจมีทางเลือกได้หลายทาง แต่ปลายทางสุดท้าย ธรรมชาติได้เลือกแล้ว เป็นทางที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ เสาร์ ๘ กันยายน ๒๕๕๐ สุสานเมืองเมโดนา เป็นที่พำนักกายปลายทางของพาวารอตติ ส่วนใจนั้น พำนักอยู่ที่สรวงสวรรค์มาเนิ่นนานแล้ว ท้ายบท: ขอไว้อาลัยกับเสียงไพเราะที่กล่อมฝันให้คนทั้งโลกมานานปี ด้วยคำคมของพาวารอตติ (Quotes by Luciano Pavarotti) ผมมันแค่คนธรรมดา ไม่ว่าใครจะยกย่องสรรเสริญเยินยอเพียงใด ผมก็ยังพอใจอยู่กับจุดเริ่มต้นของผม นั่นคือความธรรมดา "I am a very simple person. In spite of all that has happened to me, I have tried to remain the simple person I started out." ทุกๆ วัน ผมมักเตือนตนเองอยู่เสมอ ว่าพรวิเศษสุดที่ผมได้รับคือ การได้ร้องเพลง 4 คุณไม่อาจล่วงรู้ได้หรอกนะว่าเมื่อไรคุณจะสูญเสียความสามารถในการร้อง ร้องไม่ได้อีกต่อไป และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้คุณประทับใจในช่วงเวลาที่ยังเหลืออยู่ เมื่อคุณยังร้องเพลงได้ดีอยู่ ผมมักจะขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงอำนวยพรให้ผมได้ร้องเพลงต่อไป อีกครั้ง อีกสักคอนเสิร์ต "Every day I remind myself of all that I have been given. ... With singing, you never know when you are going to lose the voice, and that makes you appreciate the time that you have when you are still singing well. I am always thanking God for another season, another month, another performance." ในฐานะที่เป็นงานศิลปะ โอเปร่าคือการสร้างสรรค์ที่หายากและน่าทึ่ง สำหรับผมแล้ว มันคือการสะท้อนออกถึงแง่มุมต่างๆ ของละครชีวิต ซึ่งไม่อาจจะเปรียบเทียบกับแนวทางอื่นได้ และไม่อาจมีสิ่งใดเทียบความงดงามกับโอเปร่าได้ "As an art form, opera is a rare and remarkable creation. For me, it expresses aspects of the human drama that cannot be expressed in any other way, or certainly not as beautifully." ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องคาดหวังการปรบมือโห่ร้องกึกก้องยาวนานหรือการแสดงที่เป็นตำนาน บางทีแค่ขอให้มีความสุขกับการพ้นผ่านเวทีโอเปร่านี้ไปโดยไร้ปัญหาก็พอ "It is not always a matter of wild ovations and legendary performances. Sometimes you are just happy to get through an opera without trouble." ไม่มีสิ่งใดที่อาจทำให้หมองเศร้ากังวลหรือกดดันได้ต่อไป เพียงเพราะผมรู้ว่านี่คือชีวิตที่ผมรัก "Nothing that has happened has made me feel gloomy or remain depressed. I love my life." ชีวิตที่ใช้อยู่ในโลกดนตรีคือชีวิตที่งดงาม และนี่คือทั้งหมดที่ผมอุทิศให้ “I think a life in music is a life beautifully spent and this is what I have devoted my life to” อ้างอิง 1. Quotes by Luciano Pavarotti, taken from his 1995 autobiography: "Pavarotti: My World," by Luciano Pavarotti and William Wright. 2. http://edition.cnn.com/2007/SHOWBIZ/Music/09/06/pavarotti.statement/ 5 ภาพประกอบจากในวารสาร www.lacoctelera.com http://www.lucianopavarotti.com www.milenecristina.wordpress.com www.blogs.elcorreodigital.com www.whatstrikesmyfancy.wordpress.com www.nytimes.com www.dallasnews.com www.amcostarica.com
จากคุณ :
ขอบคุณ อานันท์ นาคคง (KatZyBoy)
- [
15 มิ.ย. 52 18:00:19
]
|
|
|