ความคิดเห็นที่ 1 ในการพิจารณาว่าลูกผสมที่เราซื้อมาจะมีความทนร้อนมากพอที่จะให้ดอกในพื้นราบเขตร้อนอย่างกรุงเทพฯ ผมเสนอไว้ว่าควรจะได้คะแนนไม่น้อยกว่า 4 ตัวอย่างเช่น C. Lilliputเป็นลูกผสม C. ensifolium subsp. haematodes x C. lowianum (นั่นคือมีสายเลือด C. ensifolium subsp. haematodesอยู่ 50% และมีสายเลือด C. lowianumอยู่ 50%) C. ensifolium subsp. haematodesมี Heat Index = 10 C. lowianumไม่มีคะแนน Heat Index จึงเท่ากับ 0 คะแนนความทนร้อน (Heat Tolerance) ของ C. Lilliputจึงเท่ากับ 50%x10 + 50%x0 = 5 คะแนน 5 สูงกว่า 4 ทำให้เราเชื่อว่าลูกผสมชุดนี้จะสามารถให้ดอกได้ในเมืองร้อนๆอย่างกรุงเทพฯได้ค่อนข้างแน่นอน จากคุณ : สำเภางาม เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 16:40:20

ความคิดเห็นที่ 2 ตัวอย่างต่อไป... C. Golden Elf เป็นลูกผสมของ C. ensifolium subsp. ensifolium x C. Enid Haupt C. ensifolium subsp. ensifoliumมี Heat Index = 8.5 C. Enid Haupt (เมื่อสืบค้นไปเรื่อยๆจนถึงต้นสายไม่พบสายพันธุ์แท้ทนร้อนใน Enid Hauptเลย) Heat Index = 0 คะแนนความทนร้อน (Heat Tolerance) ของ Golden Elf จึงเท่ากับ  50%x8.5 + 50%x0 = 4.25 คะแนน 4.25 สูงกว่า 4 ทำให้เราเชื่อว่าลูกผสมชุดนี้จะสามารถให้ดอกได้ในเมืองร้อนๆอย่างกรุงเทพฯได้ค่อนข้างแน่นอน จากคุณ : สำเภางาม เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 16:41:37

ความคิดเห็นที่ 3 ลองดู Miss Taipei Unveiled กันบ้าง C. Miss Taipei Unveiled เป็นลูกผสมของ C. Super Baby x C. sinenseและเมื่อสืบค้นต่อไปพบว่า C. Super Baby คือ C. ensifolium subsp. ensifolium x C. Babylon และ C. Babylon เป็นไม้หนาว100% (คือไม่มีเลือดเมืองร้อนอยู่เลย) สรุปว่า C. Miss Taipei Unveiled มีสายเลือด C. sinense 50%, C. ensifolium subsp. ensifolium 25% และเมืองหนาว  25% คะแนนความทนร้อน (Heat Tolerance) ของ Miss Taipei จึงเท่ากับ  50%x5.5 + 25%%x8.5 + 25%x0 = 4.875 คะแนน 4.875 สูงกว่า 4 ทำให้เราเชื่อว่าลูกผสมชุดนี้จะสามารถให้ดอกได้ในเมืองร้อนๆอย่างกรุงเทพฯได้ค่อนข้างแน่นอน จากคุณ : สำเภางาม เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 16:43:12

ความคิดเห็นที่ 4 คำนวนง่ายๆใช่ป่ะ  งั้นมาดู Golden Vanguard กันต่อ C. Golden Vanguard เป็นลูกผสมของ C. Golden Elf x C. Vanguard (C. Vanguard  เป็นสายเลือดหนาว 100% ) นั่นคือ Golden Vanguard มีสายเลือด C. ensifolium subsp. ensifolium  25% และอีก 75% เป็นสายเลือดหนาว คะแนนความทนร้อน (Heat Tolerance) ของ Golden Vanguard จึงเท่ากับ  25%x8.5 + 75%%x0 = 2.125 คะแนน 2.125 ต่ำกว่า 4 ทำให้เราเชื่อว่าลูกผสมชุดนี้ส่วนใหญ่จะไม่สามารถให้ดอกได้ในเมืองร้อนๆอย่างกรุงเทพฯ  แต่ผมก็ซื้อมา 4  เมล็ดเพราะคิดว่ามีลุ้นซึ่งในที่สุดก็มี 1 ต้นที่สามารถให้ดอกได้และตั้งชื่อเมล็ดนั้นว่า ‘Emperor’ ในทางกลับกันถ้ากลับคู่ผสมของ Golden Vanguard  เป็น Vanguard x Golden Elf ถึงแม้คะแนนความทนร้อนที่คำนวนจะเท่าเดิม แต่โอกาสลุ้นจะหดหายไปมากเพราะอิทธิพลไม้หนาวจากต้นแม่จะกลบความทนร้อนไปมาก    ที่เป็นแบบนี้เพราะต้นอ่อนที่เกิดขึ้นใหม่จากการปฎิสนธิ ไม่เพียงได้รับการถ่ายทอดโครโมโซมใหม่จากการรวมโครโมโซมของเซลสืบพันธุ์ของพ่อกับของแม่กันคนละครึ่งเท่านั้น แต่ยังได้รับถ่ายทอดโครโมโซมในไมโตคอนเดรียของแม่มาด้วย ทำให้อิทธิพลที่ถ่ายทอดลักษณะต่างๆจากแม่จะมีมากกว่าพ่อ จากคุณ : สำเภางาม เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 16:46:28

ความคิดเห็นที่ 5 สภาพภูมิอากาศของสถานที่ที่ติดฝักก็มีผลต่อการคัดเลือกความทนร้อนหรือทนหนาวในซิมบิเดียมอย่างมากเช่นคู่ผสม C. madidum  x C. tracyanumเหมือนๆกันแต่ติดฝักคนละสถานเช่นที่หนึ่งทำที่กรุงเทพฯกับอีกที่หนึ่งทำอยู่บนดอยทางเหนือจะให้ผลลัพท์ที่ต่างกัน   คือเมล็ดอ่อนในฝักที่พัฒนาขึ้นในสภาพอากาศร้อนจะกดดันให้ต้นอ่อนที่ไม่ชอบอากาศร้อนตายไปเหลือแต่ที่ชอบอากาศร้อน และเมล็ดอ่อนในฝักที่ีพัฒนาขึ้นในสภาพอากาศหนาวเย็นจะทำให้ต้นอ่อนที่ชอบอากาศร้อนไม่เจริญหรือตายไป เหลือแต่ต้นอ่อนที่ชอบอากาศหนาวเย็น นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาถึงจำนวนโครโมโซม (ploidy)ของคู่ผสมว่าเป็นกี่เอ็น (n) เช่น 2n, 3n, 4n จากคุณ : สำเภางาม เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 16:47:51

ความคิดเห็นที่ 6 ตัวอย่างเช่น C. Autumn Princess เป็นลูกผสมของ C. Diane Falk x C. Miss Taipei Unveiled พบว่ามีสายเลือด C. ensifolium subsp. ensifolium 37.5% และ C. sinense 25% และที่เหลือ 37.5% มาจากเมืองหนาว คะแนนความทนร้อน (Heat Tolerance) ของ Autumn Prinecessจึงเท่ากับ  37.5%x8.5 + 25%%x5.5 + 37.5%x0 = 4.56  ซึ่งก็เป็นคะแนนที่สูงกว่า 4 น่าจะมีความทนร้อนสูงพอควร แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่ต้องคำนึงและมีผลให้ความทนร้อนไม่สูงเท่าที่คำนวน ได้แก่ C. Diane Falk มีจำนวนโครโมโซมเป็น 4n แต่ C. Miss Taipei เป็น 2n เพราะฉะนั้นไม้ลูกผสมชุดนี้น่าจะมีความโน้มเอียงไปทาง Diane Falk อยู่มากแถมยังใช้ Diane Falk เป็นแม่อีก ไม้ชุดนี้ติดฝักเพาะและปลูกเลี้ยงจนถึงขนาด 3 นิ้วใน Santa Barbara ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น แต่ก็ยังมีปัจจัยอีกอย่างที่ทำให้มีโอกาสเพิ่มความทนร้อนคือ Autumn Princess เป็นการผสมระหว่างซิมบิเดียมสองชนิดที่มีสายเลือดทนร้อนแฝงอยู่ทั้งสองฝั่ง ทำให้มีโอกาสที่บางต้นในชุดนี้จะมีความทนร้อนสูงโดดกว่าคะแนนที่คำนวนจริง   เพราะ C. Diane Falk เป็นลูกของ Peter Pan ‘Greensleeves’ 4n ที่จัดเป็นไม้กึ่งทนร้อน (WTC)ที่มีสายเลือดensifolium     กับ Miss Taipei ที่มีสายเลือด sinense และ ensifolium ผลที่ออกมาคือมี 1 เมล็ดจาก 3 เมล็ดที่ซื้อมาสามารถให้ดอกในกรุงเทพฯในเดือนพฤศจิกายนได้ จากคุณ : สำเภางาม เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 16:50:55

ความคิดเห็นที่ 7 ขอคาราวะ จานท๊อป แล้วเมื่อไร จะทำ รองเท้าฯ คอมเพล็คซ์ ทนร้อน จากคุณ : ลุงหนวด (ลุงหนวด๒๕๔๗) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 18:28:30

ความคิดเห็นที่ 8 มาเก็บความรู้ด้วยคน จากคุณ : วาสุกรี เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 18:38:07

ความคิดเห็นที่ 9 สอบถามเพิ่มเติมครับ ประสาคนขี้สงสัย คำว่า "ทนร้อน" ในความหมาย คืออะไรครับ เช่น สามารถโดนแดดจัดๆได้ตลอดเวลา หรือต้องอยู่ภายใต้โรงเรือนพรางแสง 50% เปอร์เซนต์ อะไรแบบนี้ครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับผม จากคุณ : ขนอุย เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 18:48:53

ความคิดเห็นที่ 10 มาเก็บความรู้ ยังมีเรื่องคาใจที่เคยคุยกัน ซิมฯ ลูกผสมช่อยาวที่ให้ดอกทางอีสานใต้พวกนี้อยู่ในกลุ่มใหนครับ จากคุณ : บัวเชด (บัวเชด) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:22:17

ความคิดเห็นที่ 11 นี้อีกตัว พวกนี้ถือเป็นพวกทนร้อนได้หรือเปล่า ขอบคุณครับ จากคุณ : บัวเชด (บัวเชด) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:23:44

ความคิดเห็นที่ 12 ด้วยความเคารพ ผมเชื่อว่า heat tolerance gene เป็น gene แบบ quatitative gene ไม่ได้ควบคุมด้วยยีนเพียงคู่เดียว และอาจอยู่บนคนละตำแหน่งของแท่งโครโมโซม มีหลายกรณี ที่นักวิทยาศาสตร์พบว่า การแสดงออกของยีนไม่อาจคาดเดาการแสดงออกได้เมื่อนำพ่อแม่มาผสมกัน เช่น ถั่วต้นเตี้ย ไม่ได้หมายความว่า มี gene ต้นเตี้ยเท่านั้น ยังคงมี gene ต้นสูงแฝงอยู่ด้วย...แต่สัดส่วนที่ผสมกันต่างหากที่ทำให้มีการแสดงออกให้เห็นด้วยสายตา ความเห็นส่วนตัว ซิมบิเดียมทนร้อน ไม่ได้หมายความว่าไม่มียีนหนาวอยู่เลย ทางกลับกัน ซิบบิเดียมที่มีนิสัยชอบอากาศเย็น ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มียีนทนร้อนแฝงอยู่ ฉะนั้น ค่าที่จะได้จาก heat tolerance น่าจะมี cool index มาเกี่ยวข้องด้วย นอกเหนือจาก heat index และอาจไม่ใช่สมการเชิงบวกล้วนๆ เป็นความเห็นแย้งครับ แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 22:06:54 จากคุณ : appendiculata191 เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:31:54

ความคิดเห็นที่ 13 มาเก็บความรู้คะ ขอบคุณคะ จากคุณ : betaro (หนูบู้บี้) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:36:51

ความคิดเห็นที่ 14 เข้ามาเก็บความรู้เหมือนกันครับ จากคุณ : ลูกหนาม (ลูกหนาม) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 21:19:12

ความคิดเห็นที่ 15 มาเก็บความรู้ครับ จากคุณ : หมอกฝน เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 22:20:10

ความคิดเห็นที่ 16 Cymbidium Ming 'Emperor' ที่เคยเล่าให้พี่ฟัง ว่ามันออกได้ในกรุงเทพ แต่คุณภาพเป็นอีกเรื่อง (ดอกปลายช่อฝ่อก่อนบาน ได้แค่ 2-3 ดอกที่โคน) มันก็ไม่มีบรรพบุรุษที่เป็นสายเลือดทนร้อนเลยครับ ไม่รู้ว่าต้นพ่อที่เป็น unknown ของ Cym.Oiso จะมีส่วนรับผิดชอบต่อความทนร้อนหรือเปล่า Cymbidium Ming = Oiso x Rusper Oiso = pumilum x unknown Rusper = Pearl x Veronique Pearl = Alexanderi x hookerianum Alexanderi = (eburneum x lowianum) x insigne Veronique = lowianum x Vesta Vesta = Alexanderi x insigne จากคุณ : Magnificum เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 23:25:21

ความคิดเห็นที่ 17 ส่วนตัวยังงงว่า Tolerance Index มีหลักการค่าตั้งค่าอย่างไร เท่าที่เดาเอาเองคือประมาณว่าถ้าเลี้ยง กล้วยไม้ชนิดดังกล่าว 10 ต้น เมื่อได้กอและลำต้นสมบูรณ์ จะออกดอก ทุกต้น ที่ ปากเกร็ด นนทบุรี อิๆ แอบเแซว แซวน้าแอพเพน ตกลงสะกด  quantitative gene ใช่ปะครับ ตกตัว n ไปแล้วงงนิดหน่อย ยังลักษณะการทนร้อนหรือเย็นจริงๆก็ช่วง ภูมือากาศ หรืออุณหภูมิ ที่พืชสามารถเติบโตและออกดอก ได้ ซึ่ง มันก็ multigenic trait อยู่แล้วครับ เพราะ มันก็หมายถึง ช่วงที่ ยีน เกือบท้ังหมดที่เก่ียวข้องกับการเจริญเติบโต จนถึงออกดอก สามารถทำงานได้ ซึ่งพืช และกล้วยไม้แต่ละชนิดก็จะมี  ช่วง อุณหภูมิ ที่เหมาะสม ซึ่งในแต่ละประชากรก้จะมีพันธุกรรม ที่ปรับเข้ากับอุณหภูมิที่แตกต่างกัน หรือแม้แต่ความแตกต่างกันในแต่ละประชากรเอง หรือแม้ แต่ในต้นเดียวกัน ยีนที่ทำงานขณะ้ต้นกำลังเจริญเติบโต ก็อาจจะมีอุณภูมิ แตกต่างกับ ยีนที่ควบคุมการออกดอก ครับ แต่ว่าแต่ละชนิดก็จะมีช่วง Median พอจะเป็นแนวทางในการพิจารณาอย่างที่ พี่ท็อปได้พยายามทำ Index แต่อย่างที่น้าแอพเพนบอก มันก็มีพวก เบ้ขวาหรือเบ้ซ้ายอยู่ กลุ่มประชากรไม้ด้วย และการผสมลูกผสม เองก็ก่อใ้ห้เกิด gene recombination ด้วย ทำให้ Heat Tolerance Index Rule อาจจะไม่จริงเสมอไป แต่ก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ดีและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง เพราะมีผลการทดลอง empirical ยืนยันจากสวนปากเกร็ดของพี่ท็อปแล้ว มันคงเป็นคำตอบที่ดีและง่ายกว่า หลักพันธุกรรมล้ำลึก สมการอันวุ่นวาย  ตัวแปรที่ไม่สามารถวัดได้ หรือทฤษฎีที่วุ่นวายและสับสนครับ ปล. พี่ท็อปมาอธิบายด้วย Heat Tolerance Index ว่า ตกลง กำหนดอย่างไรครับ อยากรู้ครับ แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 52 00:41:10 จากคุณ : Paphmania เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 23:49:04

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ จากคุณ : เจ้าชายเคโระ เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 09:16:01

ความคิดเห็นที่ 19 มาเก็บความรู้เช่นกันครับ จากคุณ : ชนินทร์ (Gua Chin) เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 09:42:28

ความคิดเห็นที่ 20 Heat Tolerance Index เป็นแนวทางที่เข้าใจง่าย ใช้ได้จริง และมีประโยชน์มาก วันนึงแนวคิดนี้ จะเหมือนกับกฏหลายๆกฏ  ที่เป็นแนวโน้มที่ ถูกต้องเสมอ ๆ เมื่อพิจารณาร่วมกับ "ข้อยกเว้น" ที่เกิดเสริมขึ้นภายหลัง ข้อยกเว้นบางข้ออาจเกิดจากแนวคิดดังนี้ เรื่อง heat shock protien หรือ ยีนเดียว ที่เป็น quali อาจจะมีอยู่ หรือ ทำให้เกิดขึ้นมาได้ การผสมหลายๆชั้น   โดยคัดต้นที่ทนร้อนจากประชากร ทุกรุ่น ย่อมได้ต้นที่ทนร้อนมากกว่า การผสมโดยมองแต่การบวกสะสมของ ความ(ยีน)ทนร้อน โดยไม่คัดลักษณะทนร้อนภายในประชากรแต่ละรุ่น มองไกลไปถึง พันธุ์แท้จากป่า ของแต่ละสปีชี่ ก็ย่อมมีความทนร้อน และพันธุกรรม ต่างกันตามแหล่งที่มา จุหลันดอยสุเทพ อาจจะทนร้อนน้อยกว่าจุหลันศรีษะเกษ หรือเปล่า ? จากคุณ : เสือเจ้าถิ่น เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 11:20:11

ความคิดเห็นที่ 21 อิอิ....มากันเยอะแยะเลย เดี๋ยวขอตัวไปทำงานก่อนแล้วจะมาตอบตอนเย็นๆ จากคุณ : สำเภางาม เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 13:35:31

ความคิดเห็นที่ 22 ลุงหนวด .ปล่อยให้คนอื่นเขาทำไปเถอะ ขนอุย......ไม่ใช่ครับ  คำว่าทนร้อนหมายถึงว่าเลี้ยงได้ในสภาพอากาศเมืองร้อน ไม่ใช่เอาไปตากแดดร้อนๆ อย่างนั้นตายแน่ ถ้าเลี้ยงในภาคกลางควรจะใช้สะแรน 70% บัวเชด (บัวเชด) .ลูกผสมอะไรไม่ทราบครับ แต่หน้าตาเป็นไม้หนาว ถ้าเลี้ยงครบ 3 ปีแล้วยังให้ดอกได้อย่างในรูปละก็ แบ่งมาให้ผมทดลองบ้างนะ (เน้นว่าต้องให้ครบ 3 ปีซะก่อนนะครับ) Magnificum.....แสดงว่า Ming มี C. pumilum (floribundum) อยู่ 25% ที่เหลือเป็นไม้หนาว  so that ได้คะแนน heat tolerance 25%x5 = 1.25 ต่ำกว่า 4 ก็ไม่น่าให้ดอกได้ แต่ที่ยังอุตส่าห์ แทงช่อดอก แต่ปลายดอกร่วง ก็แสดงถึง heat stress คือยังมีความทนร้อนไม่สูงพอ ถ้าส่งไปสุรินทร์ ละก็ได้ชัวร์ น่าจะจัดเป็น WTC นะ อีกอย่าง ต้นเกือบเผือก (album)ของ C. pumilum (floribundum) จะมีความทนร้อนมากกว่าต้น normal ที่มีสีน้ำตาล และพนันได้ว่า Ming ต้นนี้ใช้ C. pumilum 'Album' ชัวร์ C. Ming ตัวนี้ออกได้ดีเต็มทั้งช่อที่กรุง Caracas ของ Venezuela ซึ่งตั้งอยู่ที่ละติจูด 10.5 N  ใต้กว่ากรุงเทพฯเสียอีก แต่สูงจากระดับน้ำทะเล 800 เมตร แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 52 18:17:28 จากคุณ : สำเภางาม เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 15:38:06

ความคิดเห็นที่ 23 สำหรับความเห็นของจานแอ๊พเพน  ผมต้องขอบรรจงตอบหน่อย (ด้วยความเคารพ) “ฉะนั้น ค่าที่จะได้จาก heat tolerance น่าจะมี cool index มาเกี่ยวข้องด้วย นอกเหนือจาก heat index และอาจไม่ใช่สมการเชิงบวกล้วนๆ” เรื่อง cold-index เพื่อนำมาคำนวน ลดทอน Heat Tolerance ก็ได้คิดไว้ในใจเหมือนกัน แต่ว่ามันยาก เพราะผมอยู่เมืองไทย ปลูกเลี้ยงที่ปากเกร็ด ไม่มีโอกาสและไม่มีสิทธิ์ที่จะเสนอ cold index แบบที่ผมเสนอใน heat index ได้        แต่จากประสบการณ์ตรงก็พอจะตอบคำถามเกี่ยวกับ cold index ได้บ้างเช่นหากลูกผสมนั้นๆมีสายเลือด C. erythrostylum, C. insigne และ C. hookerianum อยู่มากจะทำให้คะแนนความทนร้อนลดลงไปมาก คำถามต่อไปก็เคยถามตัวเองว่าเราต้องการความละเอียดถึงแค่ไหน กล้วยไม้คืออะไร เราสามารถสร้างแบบจำลองในการคำนวนคะแนนความทนร้อน (Heat Tolerance) ที่ซับซ้อนแบบนั้นได้หรือเปล่า ถ้าจะเอาให้ครบที่สุดแบบจำลอง 2 มิติไม่พอแน่นอน สำหรับกล้วยไม้จัดเป็นของเอาไว้ดูสวยงาม ไม่ใช่ยาหรืออาหารที่ต้องทานเข้าไปแล้วดูดซึมเข้ากระแสเลือด และอย่างไรซะ  ปลายทางสุดท้ายก็ต้องอยู่ที่ผู้ปลูก ที่ต้องเลี้ยงดูและรอจนออกดอก จึงจะเป็นการตอบข้อสงสัยแบบ 100% แบบไม่มีที่เหลือสำหรับการคาดเดา “ผมเชื่อว่า heat tolerance gene เป็น gene แบบ quatitative gene ไม่ได้ควบคุมด้วยยีนเพียงคู่เดียว และอาจอยู่บนคนละตำแหน่งของแท่งโครโมโซม” ผมก็เชื่อว่าเป็นแบบ quantitative gene เช่นกัน ทำให้หลายๆคนส่ายหน้าเรื่องการหา  marker ทนร้อน “มีหลายกรณี ที่นักวิทยาศาสตร์พบว่า การแสดงออกของยีนไม่อาจคาดเดาการแสดงออกได้เมื่อนำพ่อแม่มาผสมกัน เช่น ถั่วต้นเตี้ย ไม่ได้หมายความว่า มี gene ต้นเตี้ยเท่านั้น ยังคงมี gene ต้นสูงแฝงอยู่ด้วย...แต่สัดส่วนที่ผสมกันต่างหากที่ทำให้มีการแสดงออกให้เห็นด้วยสายตา” แต่ส่วนใหญ่คาดเดาได้นะ  มีเพียงส่วนน้อยที่จะหลุดออกจากการคาดคะเนอย่างมีหลักการ แต่แน่นอนว่าลูกผสมแต่ละชุดไม่จำเป็นว่าทุกเมล็ดหรือทุก clone จะมีความทนร้อนเท่ากัน “ความเห็นส่วนตัว ซิมบิเดียมทนร้อน ไม่ได้หมายความว่าไม่มียีนหนาวอยู่เลย ทางกลับกัน ซิบบิเดียมที่มีนิสัยชอบอากาศเย็น ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มียีนทนร้อนแฝงอยู่” อันนี้ก็ใช่นะ หลายตัวที่ซิมบิเดียมลูกผสมทนร้อนเมื่อปลูกในที่อากาศเย็นกว่าหรือหนาวกว่าก็จะ perform ได้ดีกว่า จนบางทีแทบจำไม่ได้ว่าเป็นไม้ของผมเอง เช่น Lilliput ที่ปลูกที่ California กับ Netherlands มีหัวอวบอ้วนใหญ่กว่าเกือบสองเท่า และให้ดอกใหญ่หนา สีเข้ม จำนวนดอกมาก และก้านช่อตั้งมากกว่าที่นี่ซะอีก ออกมาทีละ 9-10 ช่อ พวก species ที่ทนร้อนได้ดี บางตัวก็มีความทนหนาวดีพอใช้เช่น C. dayanum และ C. canaliculatum หรือ species หนาวบางตัวที่ไม่สามารถเลี้ยงร้อนได้ แต่ส่งเสริมความทนร้อนในระดับลูกผสมก็ได้แก่ C. floribundum และ C. devonianum และบาง species เช่น C. hookerianum ที่ชอบหนาวมากๆ เลี้ยงร้อนไม่ได้ ลูกผสมออกมาส่วนใหญ่ติดนิสัยหนาว แต่บางครั้งเมื่อนำไปผสมกับไม้ร้อน ลูกที่ออกมาบางต้นมีความทนร้อนสูงโดดกว่าเพื่อน .....อันนี้ชวนให้สงสัยว่า ยีนที่คุมความทนร้อนทนหนาวน่าจะอยู่บนแท่งเดียวกัน จากคุณ : สำเภางาม เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 15:42:53

ความคิดเห็นที่ 24 ดีจัง.....เลย จากคุณ : ลูกปืน เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 16:43:44

ความคิดเห็นที่ 25 มาเก็บกระทู้เข้าคลัง จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 17:36:44

ความคิดเห็นที่ 26 “ยังลักษณะการทนร้อนหรือเย็นจริงๆก็ช่วง ภูมือากาศ หรืออุณหภูมิ ที่พืชสามารถเติบโตและออกดอก ได้ ซึ่ง มันก็ multigenic trait อยู่แล้วครับ เพราะ มันก็หมายถึง ช่วงที่ ยีน เกือบท้ังหมดที่เก่ียวข้องกับการเจริญเติบโต จนถึงออกดอก สามารถทำงานได้ ซึ่งพืช และกล้วยไม้แต่ละชนิดก็จะมี  ช่วง อุณหภูมิ ที่เหมาะสม ซึ่งในแต่ละประชากรก้จะมีพันธุกรรม ที่ปรับเข้ากับอุณหภูมิที่แตกต่างกัน หรือแม้แต่ความแตกต่างกันในแต่ละประชากรเอง หรือแม้ แต่ในต้นเดียวกัน ยีนที่ทำงานขณะ้ต้นกำลังเจริญเติบโต ก็อาจจะมีอุณภูมิ แตกต่างกับ ยีนที่ควบคุมการออกดอก ครับ” อืม....ผมเห็นด้วยกับข้อความนี้มาก ใช่เลย แต่ผมไม่สามารถบรรยายแบบนี้ได้เพราะเกินความรู้ที่มี จากคุณ : สำเภางาม เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 18:05:55

ความคิดเห็นที่ 27 Paphmania....คำถามสั้นๆนะ แต่ทำให้ผมต้องตอบยาววววว ความร้อนหรือความทนร้อนเป็นสิ่งสัมพัทธ์ มันไม่ใช่ตัวเลข 1,2,3,4 . ที่สามารถนำเสนอได้ทันที แต่ก็สามารถมองเห็นระดับต่างๆที่สัมพัทธ์กัน คือมันมี pattern ของมัน แต่การจะนำ pattern นั้นมาใช้งานก็ต้องหาวิธีแปลงระดับทนร้อนลงมาเป็นค่า/ตัวเลข ที่มองเห็น เปรียบเทียบได้ การจะให้ค่าดัชนีความทนร้อนแต่ละชนิดเพื่อการคำนวนความทนร้อนในลูกผสม ผมพิจารณาจากหลายๆอย่าง ได้แก่ ฤดูที่ดอกบาน ฤดูหลัก และฤดูรอง อาการของดอกที่บานว่าแสดง heat stress มากน้อยเพียงใด (ได้แก่ เกสรดีหรือไม่ดี แล้วดีเมื่อฤดูไหน ไม่ดีในฤดูไหน กลีบแอ่นไปด้านหลังหรือไม่ ฯลฯ) สภาพแวดล้อมใน habitat เป็นอย่างไร อุณหภูมิ ระดับความสูง  สามารถเจริญเติบโตดีหรือไม่ดีในสถาพแวดล้อมที่ปากเกร็ดหรือเปล่า คะแนนเต็ม 10 จะอ้างอิงจากช่วงเวลาที่อากาศบ้านเราร้อนอบอ้าวที่สุดคือช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม และกรุงเทพฯก็จัดเป็นเมืองใหญ่ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีสูงมาก หรืออาจจะสูงที่สุดก็ว่าได้ (ไม่รู้ว่าคนกรุงเทพฯทนอยู่กันไปได้ยังไง) ดูว่ามี species ไหนให้ดอกในช่วงนี้และคุณภาพดอก รวมถึงเกสร เป็นอย่างไร แสดงอาการ heat stress มากน้อยแค่ไหน จากนั้นก็ค่อยๆไล่เรียงไป รวมถึงรอดูลูกผสม F1 hybrid ว่าผลที่ออกมาเป็นอย่างไร แล้วนำไปขัดเกลาค่าดัชนีที่เราทำไว้ ที่จริงตารางนี้ก็ได้คิดขึ้นมาพร้อมๆกับการวางแผนเขียนหนังสือเมื่อ 8 ปีก่อน และค่อยๆขัดเกลาปรับแต่งจนคิดว่าน่าจะตกผลึกแล้วจึงนำเสนอ  ที่นานก็เป็นเพราะว่าต้องการเห็นผลของ species ต่างๆในระดับ F1 hybrid ด้วย ก็ไม่เคยมีการจดบันทึกเป็นหลักเป็นฐานถึงตัวแปรต่างๆที่นำเข้ามาประกอบเป็นดัชนีหรอกเพราะไม่ได้จะเอาไปขอปริญญาที่ไหน   ทุกอย่างดูดซึมเข้าสมองด้วยการสังเกตทุกวัน ทุกฤดู  จับทุกอย่างมาประมวลจนตกผลึกกลายเป็นอะไรบางอย่างที่คล้ายสัญชาตญาน มีบางอย่างที่อาจไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ในใจเราบอกว่ามันน่าจะอยู่ประมาณนี้ นอกจากความทนร้อนแล้ว ความหอมในซิมบิเดียมลูกผสมด้วย มันมี pattern ของมัน อาจจะไม่เป๊ะๆ 100% แต่ก็เชื่อมั่นว่าคาดเดาได้ รวมถึงบอกได้ว่าจะหอมมากหอมน้อย หรือไม่หอม เอาไว้ถ้าว่างจะเรียบเรียงมานำเสนอให้ถกเถียงกันหนุกๆ แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 52 18:15:44 จากคุณ : สำเภางาม เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 18:11:28

ความคิดเห็นที่ 28 ลูกปืน .....อะไรกัน ยังไม่ทันจะอ่านเลย มาบอกว่าดีซะงั้น เสือเจ้าถิ่น.....ตอนนี้มีอาจารย์ท่านหนึ่งกำลังทำ PhD เกี่ยวกับ DNA Markers ของสกุลซิมบิเดียมที่พบในเมืองไทย  เห็นบอกว่าเบื้องต้น banding ของจุหลันจากเชียงใหม่ พนมดงรัก ยะลา อินโดนีเซีย แทบไม่มีความต่างเลย จากคุณ : สำเภางาม เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 18:29:45

ความคิดเห็นที่ 29 ดีจริงๆครับ ใครพอมีเรี่ยวแรง ก็ต่อยอด เทคโนโลยี ไปเรื่อยๆ จากคุณ : ลุงหนวด (ลุงหนวด๒๕๔๗) เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 19:14:49

ความคิดเห็นที่ 30 สุดยอดครับ จานทอป จานแอ๊พ จานpaphmania เป็นกระทู้ในตำนานแน่ๆครับ ไม่กระทู้แนวๆนี้มานานมาก จากคุณ : บานกู๊ก เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 20:02:23

ความคิดเห็นที่ 31 มาเก็บความรู้ อันมีค่าด้วยคน ครับ จากคุณ : ชายหยก เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 20:25:26

ความคิดเห็นที่ 32 มาเก็บความรู้จนหัวปริเลย............ จากคุณ : friedericksianum เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 21:21:33

ความคิดเห็นที่ 33 อย่างนี้ต้องทำดัชนีความทนมือทนไม้เมื่ออยู่ในมือผู้ปลูกเลี้ยงด้วยครับ เลี้ยงทิ้งเลี้ยงขว้าง หรือแม้กระทั่งขว้างทิ้งไปแล้วก็ยังไม่ยอมตาย - 10 .. .. .. ตั้งใจเลี้ยงสุดชีวิต รักยิ่งกว่าลูก ก็ยังตาย - 0 "ทุกอย่างดูดซึมเข้าสมองด้วยการสังเกตทุกวัน ทุกฤดู จับทุกอย่างมาประมวลจนตกผลึกกลายเป็นอะไรบางอย่างที่คล้ายสัญชาตญาน มีบางอย่างที่อาจไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ในใจเราบอกว่ามันน่าจะอยู่ประมาณนี้" ^ !! !! เห็นด้วยครับ จากคุณ : Magnificum (Magnificum) เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 21:48:49

ความคิดเห็นที่ 34 ก็ไม่เคยมีการจดบันทึกเป็นหลักเป็นฐานถึงตัวแปรต่างๆ ที่นำเข้ามาประกอบเป็นดัชนีหรอกเพราะไม่ได้จะเอาไปขอปริญญาที่ไหน   ทุกอย่างดูดซึมเข้าสมองด้วยการสังเกตทุกวัน ทุกฤดู  จับทุกอย่างมาประมวลจนตกผลึกกลายเป็นอะไรบางอย่างที่คล้ายสัญชาตญาน มีบางอย่างที่อาจไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ในใจเราบอกว่ามันน่าจะอยู่ประมาณนี้ จากพี่ท็อป ผมว่าจริงๆ ถ้าจะนั่งวิเคราะห์ดูสามารถทำได้นะ ผมว่า แบะมันอาจจะประยุกต์ใช้กับกล้วยไม้สกุลอื่นได้ด้วยครับ โดยอาจจะใช้ข้อมูล ทาง ชีววิทยา ตามธรรมชาติและในที่เลี้ยง มาวิเคราะห์คับ คงไม่ต้องถึงกับ Integrate หรือหาความสัมพันธุ์ของสมการยากๆครับ จริงแล้ว ผลของอุณภูมิ ก็จะมีผล ต่อพืช อยู่หลายอย่างที่เข้าใจกันแม้จะไม่ท้ังหมดก็ตามนะครับ คือในระดับ gene transcription เพราะ มีหลายอยู่ ที่อุณภูมิ เป็นเหมือน ตัวลั่นไกให้เกิด การทำงานของยีน หรือในระดับ Enzyme ซึ่งมีความจำเพาะต่อช่วงอุณหภูมิที่ มันสามารถทำงานเร่งปฎิกิริยาเคมีได้ หากสูงหรือต่ำกว่ามันจะไม่ทำงาน หรือผลของอุณภูมิที่มีผลต่อ สารอนินทรีย์ใน Cell Matrix เช่นน้ำหรือ gas solution ต่าง ตัวอย่าง อุณภูมิที่ส่งผล เช่น พืชแต่ละชนิด จะมีช่วง ที่เหมาะสมสำหรับการสังเคราะห์แสง คือเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการ Enzyme in Dark cycle ซึ่งพืชจากประชากรที่ทนร้อนจะมีพันธุกรรม ที่สามารถทำให้ Enzyme สามารถทำงานได้ดีใกล้เคียงกับอุณภูมิที่มันจะถูก inactivated ครับ หรือกล้วยไม้ หลายชนิด ที่จะออกดอกก็ต่อเมื่อ มีอุณภูมิกลางคืนที่เย็นต่ำกว่า critical Temperature อย่างน้อย 3 สัปดาห์ อย่างที่พบใน สกุลรองเท้านารีครับ จากคุณ : Paphmania เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 23:50:08

ความคิดเห็นที่ 35 ไม่รู้ว่าผมเข้าใจผิดหรือเปล่านะครับ ด้วยความเคารพ(และอยากแจมต่อ เพราะเป็นแฟนกระทู้แนวนี้) ขออนุญาตแตกประเด็น สักนิดครับ ต้นไม้ต่างแหล่ง มันต่างกันแน่ๆ เพราะแค่แหล่งเดียวก็มีลักษณะดอกที่หลากหลายแล้ว ดอกต่างกันจะบอกว่าพันธุกรรมเหมือนกันก็กระไรอยู่ แต่จะทนร้อนต่างกันหรือไม่อีกเรื่องนึง band ไม่มีความแตกต่าง ก็แสดงว่า Marker ไม่มี polymorphic ไม่ได้หมายความว่า ต้นไม้ไม่แตกต่างกัน แต่หมายถึง marker แยกไม้ไม่ได้ marker นั้น เป็น marker ชนิดไหนเป็นส่วนของยีนหรือไม่ และ เกี่ยวกับยีนทนร้อนหรือไม่ ซึ่งไม่น่าเกี่ยว เพราะยีนทนร้อน ไม่ได้เป็น single gene เหมือนกับถ้าเราเอาการมีจมูกเป็น morpholgical marker หยาบๆ ของคน แล้วคนทุกคนมีจมูก marker นี้ก็จะบอกว่าคนทุกคนคือคนคนเดียวกัน   แต่ถ้าเอาสีผมเป็นmarkerอาจจะแยกความแตกต่างของคนเป็นกลุ่มๆได้ จากคุณ : เสือเจ้าถิ่น เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 09:26:12

ความคิดเห็นที่ 36 พูดถึง marker ทุกคนคิดว่าเป็นวิชาการลึกเกินไป แต่จริงๆ แล้วการแยกความแตกต่างด้วยสายตาเรารู้จักกันมานานแล้ว..ใครคิดไม่ออกคือวิชา morphology= สัญฐานวิทยานั่นเอง ทำให้เราแยกหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิตออกจากกัน เหมือนกันมากก็อยู่ในชนิดเดียวกัน ในกลุ่มเดียวกัน หรือบอกว่ามันน่าจะมีเลือดใกล้กันมาก และเป็นหลักการการผสมกันได้ของสิ่งมีชิวิตตามมา ปัจจุบันพอพูดถึง marker ทุกคนจึงมุ่งไปที่ระดับดีเอ็นเอเท่านั้น ซึ่งถูกไม่หมด พอเราจับ marker กับยีนแบบ quantitative gene จึงมีการศึกษา QTL (quantitative trait loci) ตามมา (ผสมผสานระหว่าง morphology, conventinal breeding, DNA technology, statistic, computer) โดย marker ที่ดีคือวางในตำแหน่งของยีนพอดีเลย แต่การหา marker ที่วางบนตำแหน่งของยีนเลยมีขั้นตอนซับซ้อน และใช้เงินมากๆ ตัวอย่างเช่นการค้นพบยีนความหอมของข้าว ใช้การหาแบบ QTL ที่ไม่ได้อยู่บนตำแหน่งของยีนแต่ใกล้ยีนความหอมมากๆ ยีนหลายตัวที่ถูกค้นพบ ส่วนใหญ่ใช้วิธี QTL ทั้งสิ้น และเชื่อว่ายีนทนร้อน น่าจะให้วิธีหาแบบ QTL เช่นกัน จากคุณ : appendiculata191 เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 10:28:25

ความคิดเห็นที่ 37 ได้ความรู้ใหม่อีกแล้วครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : Dendmax เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 12:47:46

ความคิดเห็นที่ 38 รบกวน จานแอพเพนนำเสนอผลงาน และช่วยอธิบาย หน่อยซิครับ ว่า DNA Markers สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในทาง Horticulture ได้อย่างไร แต่ต่างจาก GMO อย่างไำรครับ จากคุณ : Paphmania เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 23:28:46

ความคิดเห็นที่ 39 มาเก็บความรู้คะ จากคุณ : All roses are red เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 52 12:21:30

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณมากครับ สำหรับคำตอบ ชัดเจนมากเลยครับ จากคุณ : ขนอุย เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 52 19:02:27