ความคิดเห็นที่ 1 |
ตามที่เข้าใจ ภูไมท์ซัลเฟต ใช้ปรับสภาพดินแข็งให้ร่วน-โปร่ง มีความเป็นกรดด่างสูงให้เป็นกลาง(6.0-6.5) ช่วยให้พืชแข็งแรง ต้านทานโรคและแมลง ข้อเสียคือ ถ้าใช้มากเกินไป จะทำการตรึงไนโตรเจนจนพืชไม่มีใช้ ใบจะเหลือง แก้โดยใส่ 16-0-0
เพอร์ไลท์ นี่จะช่วยให้ดินโปร่งและมีความชื้นนานขึ้น ลดการเก็บความร้อนในดิน ต้านทานความร้อนสะสมของดิน กรองและเก็บธาตุที่พืชต้องการไว้ปลดปล่อยยามขาดแคลน
ส่วนที่ค้นในGoogle
ภูไมท์ซัลเฟต คือ สารปรับปรุงสภาพดินที่มีการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพขึ้นมาเพื่อให้เป็นประโยชน์ แก่เกษตรกรโดยทั่วถึงกัน เพราะการใช้งานสามารถนำไปใช้งานได้กับพืชเกือบทุกชนิด และยังสามารถใช้ได้กับดินทุกพื้นที่ไม่ว่าสภาพดินนั้นจะเป็นกรดหรือด่าง ภูไมท์ซัลเฟตช่วย ปรับปรุงสภาพดินให้โปร่ง ร่วน ซุย มีการระบายถ่ายเทน้ำได้ดีขึ้น ทำให้น้ำไม่ท่วมขังหรือแฉะ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้รากเน่าตายได้ ภูไมท์ซัลเฟต ยังมีความสามารถในการช่วยปลดปล่อยแร่ธาตุซิลิก้า และธาตุอาหารเสริมอื่นๆ ออกมาเป็นประโยชน์ให้แก่พืชอย่างช้า ๆ ทำให้พืชได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ภูไมท์ซัลเฟต มี แร่ธาตุฟอสฟอรัส ที่ช่วยทำให้รากพืชมีการเจริญเติบโตที่ดี หาอาหารได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มขนาดใบให้ใหญ่ขึ้น ปริมาณใบก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้พืชสะสมอาหารได้ในปริมาณที่มาก ภูไมท์ซัลเฟตยัง มีแคลเซียม ที่ชวยทำให้ผนังเซลล์ของพืชแข็งแรง ช่วยส่งเสริมการยืดเซลล์ได้อย่างดีเยี่ยมทำให้ในสภาพวะที่ฝนตกชุก พืชได้รับไนโตเจนมากเกินไปและปริมาณของคาร์โบไฮเดรทลดน้อยลง ผลหรือผิวของพืชก็จะไม่แตกหักง่าย มีแมกนีเซียม ช่วยสังเคราะห์โปรตีนให้แก่พืช ช่วยสร้างแป้งให้แก่หัวมันสำปะหลัง ช่วยสังเคราะห์แสงเพิ่มพลังงานในการเคลื่อนย้ายปัจจัยการสังเคราะห์แสงจาก แหล่งจ่ายไปยังแหล่งที่รับ เช่น ราก ผล และหัวของพืชต่างๆ ทำให้ได้รับผลผลิตเพิ่มสูงขึ้น มีซัลเฟอร์ ช่วยในการสร้างโปรตีนให้แก่พืช ช่วยให้พืชมีการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ ช่วยสังเคราะห์ซีสเทอีน และเมไทโอนีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์อินทรีย์สารหลาย ๆ ชนิดให้แก่เนื้อเยื่อพืช ดังนั้นในการเตรียมแปลงเพาะปลูก อ้อย ปาล์ม และมันสำปะหลัง เพื่อเป็นการเตรียมแปลงหรือสภาพดินให้พร้อมต่อการเจริญเติบโตของพืชเหล่านี้ เกษตรกรควรใช้ ภูไมท์ซัลเฟต หว่านรองพื้นลงไปในแปลงเสียก่อน เพื่อเป็นการปรับปรุงสภาพดิน และเตรียมดินให้พร้อมต่อการเจริญเติบโตของพืชเสียก่อน ซึ่งจะเป็นการช่วยให้พืชมีการเจริญเติบอย่างสมบูรณ์แข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อม รวมทั้งโรค แมลง รา และไร ได้เป็นอย่างดี เพราะในภูไมท์ซัลเฟต เขามีซิลิก้าที่อยู่ในรูปที่พืชสามารถดูดกินหรือนำไปใช้ได้ง่าย ทำให้เซลล์ของพืชแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าพืชที่ไม่ได้รับซิลิก้า หรือจะใช้ภูไมท์ซัลเฟตหว่านรอบพื้นที่ทรงพุ่มหลังจากที่ได้ปลูกพืชลงไปแล้ว ก็ได้ ยิ่งหว่านในช่วงต้นฝนหรือในช่วงหน้าฝนได้ก็จะยิ่งดี เพราะฝนจะเป็นตัวทำละลายแร่ธาตุอาหารต่าง ๆ ให้พืชสามารถนำไปใช้ใด้รวดเร็วขึ้น เมื่อพืชดูดกินเข้าไปก็จะช่วยเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้เกสรของพืชอุดมสมบูรณ์ไม่เป็นหมัน ลดการเป็นกระเทย และสุดท้ายคือช่วยเพิ่มผลผลิตได้เป็นอย่างดี
มนตรี บุญจรัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ (www.thaigreenagro.com)
คุณสมบัติของธาตุประกอบต่างๆ ในเพอร์ไลต์ เมื่อดูผลวิเคราะห์องค์ประกอบของธาตุต่างๆ และคุณสมบัติทางกายภาพของแร่เพอร์ไลต์ สามารถสรุปแยกประโยชน์ได้ดังนี้
เพอร์ ไลต์มีธาตุซิลิก้า(Si) ซึ่งจะมีคุณสมบัติเด่นในการดูดซับความชื้นได้ดี ทำให้สภาพข้างเคียงโดยรอบชุ่มชื้นสะสมอยู่ในรากพืชมากช่วยทำให้พืชแข็งแรง ต้านทานต่อความแห้งแล้งมีอยู่ในโครงสร้างของผนังเซลล์ ช่วยลดการสูญเสียน้ำ และทนทานต่อการติดโรคช่วยเพิ่มความเจริญเติบโต ลดความเป็นพิษของธาตุแมงกานีส เหล็ก อะลูมิเนี่ยม ที่มีอยู่ในสารละลายดินมากเกินไป ช่วยเพิ่มความหวานให้อ้อยและมีลำต้นแข็งแรงลดอัตราการระเหยของน้ำ ทำให้ต้นข้าวมีใบตั้งตรงรับแสงได้ดี รากสามารถรับอ๊อกซิเจนได้เพิ่มมากขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนดีขึ้น ช่วยดูดซับธาตุฟอสฟอรัสและไนโตรเจน
เพอร์ไลต์มีธาตุอะลูมิเนียม (Al)และมีธาตุโซเดียม(Na) ธาตุจำพวกโซเดียมอะลูมิโนซิลิเกต มีคุณสมบัติในการปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่าง และยังสามารถดูดซึมก๊าซหรือสารประกอบอินทรีย์ต่างๆ ได้ดี
เพอร์ ไลต์มีธาตุเหล็ก(Fe) ช่วยในขบวนการหายใจ และช่วยในการสร้างคลอโรฟิลล์ในการปรุงอาหารของพืช และเป็นอาหารเสริมซึ่งพืชต้องการปริมาณน้อย
เพอร์ไลต์มีธาตุ โพแทสเซียม(K) ทำให้เปลือกลำต้นแข็งแรง ไม่หักโค่นหรือล้มง่าย ช่วยกระบวนการสร้างน้ำตาลและแป้งที่สะสมในพืช ช่วยในการเคลื่อนย้ายแป้ง และน้ำตาลไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช ช่วยในการแบ่งเซลล์ ช่วยให้พืชมีความต้านทานต่อโรคดีขึ้น ผลที่ตามมาคือออกดอกติดผลดี แต่หากมีการเร่งดอกเร่งผลมากก็จะทำให้ต้นไม้นั้นทรุดโทรมและตายเร็ว
เพอร์ ไลต์มีน้ำ(H2O) เป็นตัวประสานธาตุต่างๆ ให้อิ่มตัว ทำละลายแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ทั้งยังให้ความชุ่มชื้นแก่พืชและบริเวณใกล้เคียง
สภาพทางกายภาพ
มี ความโปร่งรูพรุนเป็นธรรมชาติ และเมื่อได้รับความร้อนเพิ่มขึ้นก็จะขยายตัว 5 - 20 เท่า ทำให้มีความโปร่งและเป็นโพรง เมื่อเข้าไปผสมอยู่ในดินก็จะทำให้ดินมีสภาพโปร่ง สามารถดูดซับกลิ่นโดยเฉพาะแอมโมเนียและไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งจะเป็นปุ๋ยที่ดีของพืช
ความแข็งแรงทำให้สามารถพยุงเนื้อดินในการกดทับได้ดี
เนื่อง จากมีเม็ดผลึกที่สม่ำเสมอขนาดเท่าๆ กัน ประมาณ 1-2 มม. ทำให้ความโปรงและร่วนซุยของดินดีและสม่ำเสมอ เสมือนตัวกรองสารต่างๆ ทางธรรมชาติ
มีสภาพเป็นฉนวนกันความร้อนทางธรรมชาติเป็นการผ่อนคลายความร้อนที่สะสมตลอดวันให้แก่ต้นพืชและรากพืชที่อยู่ใต้ดิน
ข้อมูลจากที่ทำงานครับ
ส่วนตัว ขอให้ปรับปรุงโดยใช้ดินบริเวณนั้นผสม ใบก้ามปู 2ส่วน กาบมะพร้าวสับ 1ส่วน แกลบและแกลบเผาในอัตราส่วนที่เท่าๆกัน 2ส่วน ภูไมท์ซัลเฟต 1ส่วน หรือ1กิโลกรัม/ปริมาณดิน1คิว หรือ50กิโล/1ไร่ ปุ๋ยขี้ไก่อัดเม็ด 1ส่วน - ไม่มีไม่ต้อง คลุกหรือพรวนให้เข้ากัน รดด้วยem1แก้วผสมน้ำ20ลิตร (ถ้ามีต้นไม้ให้ใช้2ช้อนโต๊ะ/น้ำ15-20ลิตร) - ไม่มีไม่ต้อง ทิ้งผึ่งลมตากแดดไว้1อาทิตย์ แล้วทยอยเอามาใช้ได้ครับ ถ้าเป็นดินที่อยู่กับที่ ให้พรวนและคลุกส่วนผสมดังกล่าว แล้วใช้em2ช้อนโต๊ะ/น้ำ15-20ลิตรพ่น สูตรที่ว่า ใช้ในระดับบ้านๆนะครับ เพราะค่อนข้างจะสิ้นเปลืองถ้าใช้ในระดับเกษตรกร
ดินที่ว่าแข็งๆ แบบตอนแห้งๆนี่จอบฟันไม่เข้า เปียกก็เอามาปั้นตุ๊กตาเล่นได้ แนะนำให้รดด้วยน้ำผสมยาสระผม เจือจาง1ช้อนโต๊ะ/น้ำ10ลิตร ทุกๆ1อาทิตย์ 4อาทิตย์ติดต่อกัน ทิ้งไว้1เดือนค่อยปรับปรุงตามข้างบนครับ
จากคุณ |
:
พฤหัสที่12
|
เขียนเมื่อ |
:
1 ต.ค. 52 16:31:59
|
|
|
|