ความคิดเห็นที่ 1 ... คราวนี้ เลือกน้ำบาดาลชนิดเดียว เนื่องจากว่า น้ำบาดาลผ่านเครื่องกรองอยู่ไกล ไม่สะดวกต่อการใช้งาน ส่วนน้ำฝนก็ไม่มีให้นำมารดกล้วยไม้แล้ว.. และจากการใช้น้ำบาดาล รดกล้วยไม้..สังเกตุได้ว่า..ใบของกล้วยไม้จะมีสีขาว ๆ ลักษณะคล้ายผลึกเกลือติดอยู่ที่ใบ ซึ่งเป็นบางใบ และบางต้น ...หมายความว่า..ใน หนึ่งกอ..จะมีบางใบที่เป็น..ไม่ได้เป็นทั้งหมด จากคุณ : ภัสสรา เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 16:21:16

ความคิดเห็นที่ 2 ... และผลที่ตามมาคือ...กล้วยไม้ ไม่ยอมให้ดอก..เมื่อถึงฤดูกาล ขนาดตระกูลหวาย ที่ว่าให้ดอกง่ายตลอดปี..ยังไม่ค่อยมีเลย จะเป็นไปได้ไหมว่า...เหตุเกิดจากน้ำบาดาล... รวมถึงแคทด้วย... แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 53 16:28:01 จากคุณ : ภัสสรา เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 16:25:07

ความคิดเห็นที่ 3 ... มาดูคุณสมบัติน้ำบาดาล..กันค่ะ              น้ำบาดาลเกิดจากน้ำฝนที่ตกลงมายังพื้นผิวดินแล้วไหลซึมลงไปกักเก็บตามรอยแตก รอยแยก ของชั้นดินชั้นหิน ขณะที่ไหลผ่านชั้นดินชั้นหินจะละลายแร่ธาตุต่างๆ จึงทำให้น้ำบาดาล         มีปริมาณแร่ธาตุแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ แร่ธาตุที่ละลายในน้ำเหล่านี้จะแตกตัวเป็นธาตุที่มีประจุไฟฟ้าเรียกว่าไอออน มีคุณสมบัติในการนำไฟฟ้า ถ้ามีสารละลายอยู่มากก็จะมีค่าการนำไฟฟ้าสูง จากคุณ : ภัสสรา เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 16:29:09

ความคิดเห็นที่ 4 ... คุณลักษณะทางกายภาพเป็นลักษณะทั่วๆ ไปที่สามารถสังเกตได้ เช่น ดูด้วยตา   ดมกลิ่น ชิมรส แต่บางลักษณะต้องใช้เครื่องมือในการตรวจวัด ได้แก่  สี ความขุ่น ความเป็นกรด-ด่าง (pH)  และการนำไฟฟ้า (Conductivity) จากคุณ : ภัสสรา เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 16:31:57

ความคิดเห็นที่ 5 ปาดไปด้วย...เก็บสาระไปด้วย จากคุณ : ม้าบิน (ม้าบิน) เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 16:34:40

ความคิดเห็นที่ 6 ... คุณลักษณะทางเคมีของน้ำบาดาล เป็นคุณลักษณะของแร่ธาตุ หรือสารประกอบทางเคมีต่างๆที่ละลายอยู่ในน้ำ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าต้องใช้วิธีตรวจวิเคราะห์ทางเคมีในห้องปฏิบัติการ คุณลักษณะทางเคมี  ที่สำคัญได้แก่ แคลเซียม (Ca)                             ซัลเฟต (SO42- ) แมกนีเซียม (Mg) คลอไรด์  (Cl- ) โซเดียม (Na) คาร์บอเนต  (CO32- ) โพแทสเซียม(K) ไบคาร์บอเนต  (HCO3- ) เหล็ก (Fe) ฟลูออไรด์  (F- ) แมงกานีส (Mn) ไนเทรต  (NO3- ) ทองแดง     (Cu) สังกะสี (Zn) ความกระด้างทั้งหมด  (Total hardness as CaCO3 ) ความกระด้างถาวร  (Noncarbonate hardness as CaCO3 ) ปริมาณสารทั้งหมดที่ละลายได้  (Total dissolved solids) จึงได้นำตัวอย่างน้ำมาตรวจวิเคราะห์ทางกายภาพและทางเคมี... ซึ่งผลการตรวจวิเคราะห์น้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานน้ำบาดาล แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่า..ปริมาณ เกลือแคลเซียม (Ca)     และ ความกระด้างทั้งหมด  (Total hardness as CaCO3 )    ค่อนข้างสูง  และสูงกว่าน้ำปะปาทั่วไปมาก แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 53 16:36:27 จากคุณ : ภัสสรา เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 16:34:51

ความคิดเห็นที่ 7 ... สวัสดีค่ะคุณม้าบิน...ม้าที่บ้านวิ่งกลับนางเลิ้งไปหมดแล้วค่ะ..อิอิ ต่อค่ะ... ความกระด้างทั้งหมด หมายถึง ความกระด้างชั่วคราวและความกระด้างถาวรรวมกัน น้ำกระด้าง เมื่อทำปฏิกิริยากับสบู่แล้ว ทำให้สบู่เกิดฟองได้ยาก ดังนั้นน้ำที่มีความกระด้างสูงทำให้เปลืองสบู่หรือผงซักฟอกในการซักล้าง  เกิดตะกรันในหม้อหรือกาต้มน้ำ  ทำให้รู้สึกมีรสเมื่อใช้ดื่ม (เกณฑ์กำหนดที่เหมาะสมของมาตรฐานน้ำบาดาลที่จะใช้บริโภคได้ กำหนดให้มีความกระด้างทั้งหมดไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อลิตร) ระดับความกระด้างของน้ำ  (mg/L)      ลักษณะน้ำ                            0 – 75                           น้ำอ่อน                       76 – 150                           น้ำกระด้างปานกลาง          151 – 300                            น้ำกระด้าง           >  300                                น้ำกระด้างมาก แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 53 16:59:01 แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 53 16:57:56 แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 53 16:56:42 จากคุณ : ภัสสรา เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 16:40:59

ความคิดเห็นที่ 8 ... ซึ่งความกระด้างของน้ำที่มีเกลือแคลเซียมและแมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบ จัดเป็นความกระด้างชั่วคราว หรือความกระด้างคาร์บอเนต แคลเซียมไบคาร์บอเนต (Ca(HCO3)2)  สามารถละลายน้ำได้ ทำให้น้ำมีสภาพเป็นด่าง และสามารถสลายตัวให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (C02) และสารประกอบคาร์บอเนตเมื่อน้ำได้รับความร้อน Ca(HCO3)2   +   heat (O2)                                      CaCo3  +   H2O  +  CO2 ซึ่งเราสามารถรกำจัดความกระด้าง ได้โดยการต้ม (วิธีนี้กำจัดได้เฉพาะความกระด้างชั่วคราว และเหมาะที่จะใช้ในครัวเรือนเท่านั้น ภาชนะที่ใช้ต้มน้ำจะมีตะกรันเกิดขึ้นเมื่อใช้ไปนานๆ) หรือโดยการพักน้ำไว้ในถังพักเพื่อให้ Ca2+ ทำปฏิกริยากับ O2 เพื่อตกตะกอนเป็น CaCO3 แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 53 16:51:07 จากคุณ : ภัสสรา เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 16:45:19

ความคิดเห็นที่ 9 ... จากผลที่ได้ข้างต้น จึงพอจะประเมินได้ว่า...น้ำบาดาล ซึ่งมีเกลือแคลเซียมละลายอยู่ เวลานำไปรดกล้วยไม้ จึงไปอุดตาดอก ทำให้กล้วยไม้ไม่ยอมออกดอก  และเกลือเหล่านี้ยังมีผลทำให้ฟอสเฟตบางชนิดตกตะกอนภายในรากกล้วยไม้และทำให้รากกล้วยไม้ผุง่ายอีกด้วย... จากคุณ : ภัสสรา เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 16:47:07

ความคิดเห็นที่ 10 บอกตรงๆ ผมเห็นสูตรแล้วมึน 555555555555555 น้ำบาดาลบางแหล่งก็ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก บางแหล่งถ้าไปเจอพวกเหล็กผสมอยู่มาก สูบขึ้นมาแดงมากๆนี่เลิกกันเลย จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 18:37:02

ความคิดเห็นที่ 11 น้ำบาดาล......อยู่ที่..ชั้นหินใต้ดิน ถ้าเป็น พวกหินลูกรังแดงๆ แบบทางอีสาน  มีเหล็กและแมงกานีส มาก เมื่อ ละลายมากับน้ำ และสัมผัสกับอากาศ เมื่อเข้าสู่พืชมากเกินไป จะไปยับยั้งการดูดซึม ไนโตรเจน... ถ้าเป็นหิน ปูน ก็เป็นด่างจัด ให้ปุ๋ยเท่าไหร่ก็ใช้ไม่ได้ ถ้าเป็นน้ำบาดาลดีๆ.....ถือว่าโชคดีไป น้ำบาดาลเอา ไปกรอง ถ้ากรองด้วยสารที่มีประจุลบ บางคนใช้ของถูกๆ เช่น ถ่านแกลบ หรือ สารกรองอื่นๆ ที่มีขายทั่วไป...ก็จะช่วยได้มาก ถ้ากรองแบบเอาตะกอนออกเฉยๆสารละายก็อยู่อย่างเดิม... น้ำฝน...ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมใน แหล่งนั้นๆ....โดยเฉพาะฝนแรก และฝนเทียม...ควรล้างทิ้งเสีย...อย่าเอามารถต้นไม้ จากคุณ : เสือเจ้าถิ่น เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 19:15:40

ความคิดเห็นที่ 12 โอ้วววว มายก๊อด จากคุณ : น้าโหด เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 19:27:43

ความคิดเห็นที่ 13 ข้อมูลเพียบ มึนตึบเลย ว่าแต่ทีเงี๊ยะคุณเสือเจ้าถิ่นยอมออกมานะ จากคุณ : betaro (หนูบู้บี้) เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 20:25:59

ความคิดเห็นที่ 14 คราบสีข่าวที่จับอยู่ตามใบของกล้วยไม้ก็คือ ไบคาร์บอเนต HCO3 หินปูนนั้นเอง โดยค่ามาตรฐาน <1.5 meg/l ไม่มีปัญหา, 1.5-8.5 meg/l มีปัญหาเพิ่มขึ้น,>8.5 meg/l เป็นอันตรายต่อพืช การสังเกตุง่ายๆในการใช้น้ำบาดาล เมื่อเราใช้น้ำบาดาลลดกล้วยไม้ถ้าไม่เกิดคาบขาวจับที่ใบก็สามารถใช้น้ำได้แต่ถ้าจะให้ปลอดภัยก้ต้องผ่านการกรองด้วยเรซิ่น  ผมเองก็ใช้น้ำบาดาลโดยน้ำบาดาลที่ผมใช้มีค่าของ HCO3  4.5 meg/l ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีปัญหาอาการที่แสดงก็เหมือนในภาพที่คุณภัสสราลงนั้นแหละครับ ลักษณะแบบนี้เจ้าหน้ากรมวิชาการเกษตร แนะนำว่าให้ปรับสภาพน้ำด้วยกรดไนตริก หรือใช้เครื่องกรองเรซิ่น ยิ่งช่วงนี้อากาศร้อนการระเหยของน้ำเร็วขึ้นก็จะทิ้งคราบหินปูนขาวติดอยู่ตามใบ เมื่อเราใช้ไปนานๆคราบหินปูนก็จะจับหนาขึ้น เพื่อนที่ใช้น้ำบาดาลลองเอามือบีบที่ปลายหรือตรงกาบใบกอนลดน้ำถ้ามีคราบหินปูนเกาะอยู่ก็จะร่อนหลุดออกมา นั้นก็แสดงว่าน้ำที่ใช้มีหินปูนปะปนอยู่ จากคุณ : ซิก้า (ซิก้า) เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 21:06:00

ความคิดเห็นที่ 15 ได้ความรู้อีกแล้วครับ จากคุณ : Dendmax เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 21:16:10

ความคิดเห็นที่ 16 มาเอาความรู้บ้านไร่ก็ใช้น้ำบาดาล  เกาะใบเพียบ แก้ไงดีเนี่ยยย จากคุณ : jeabnun เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 21:39:22

ความคิดเห็นที่ 17 เป็ดน่ารักคับ เอ้ยไม่ใช่ ได้ความรู้อีกแล้ว จากคุณ : winpa เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 21:41:46

ความคิดเห็นที่ 18 อึม.... ได้ความรู้ด้วย เราก็มีปัญหาอย่างนี้เหมือนกัน ขอบคุณมากจ้า... จากคุณ : ก้อย (koi2829) เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 21:47:39

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าดูจากราก จะห็นชัดมากครับ เรื่องน้ำกระด้างนี่ ยังดีกว่าน้ำที่มีโลหะหนัก ละลายอยู่ โดยเฉพาะ โซเดียม ผมเคยปรับสภาพกรดด่างซะมือเหลือง ใช้ได้หน่อยเดียว ไม่ได้ผล (กรดไนตริก(เข้มข้น) เหลือเกือบเท่าเดิม ( ๒๐ลิตร) โชคดี หาแลปตาม มหาวิทยาลัยฯ เอาไปใช้) ต้องบรรทุกน้ำประปา ใช้ ช่วงไหน บรรทุกไม่ทัน ผมซื้อน้ำดื่มเป็นถังๆ มาใช้ บ้าไหมล่ะ จากคุณ : ลุงหนวด (ลุงหนวด๒๕๔๗) เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 21:52:14

ความคิดเห็นที่ 20 ชอบกระทู้แบบนี้จังเลยค่ะ จากคุณ : มดแดงน้อย เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 07:16:38

ความคิดเห็นที่ 21 ผมเคยเห็นสวนพี่องอาจรดด้วยน้ำบาดาล พวกรองเท้าทางใต้ ออกดอกเยอะนะครับ ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นด้วยประเภทกล้วยไม้หรือเปล่า ขอบคุณครับกระทู้ดีดีได้ความรู้ จากคุณ : ลิงเล เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 08:08:58

ความคิดเห็นที่ 22 มารับความรู้จาก จารย์ภัส น้ำในคลองหลังบ้าน จารย์ภัส เป็นน้ำแฟนต้าเขียวหรือครับ จากคุณ : นายอิสระ เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 08:31:49

ความคิดเห็นที่ 23 กระทู้ล่อเสือออกจากถ้ำ...อิอิ.. จากคุณ : แดงอุบล เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 08:54:40

ความคิดเห็นที่ 24 เก็บๆๆๆๆๆ เก็บความรู้ จากคุณ : ชอบกินลาเต้ เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 09:34:03

ความคิดเห็นที่ 25 ...ขอบคุณ Commentator...ทุกท่านที่เข้ามาร่วมสรุป..สมมุติฐาน..ค่ะ             น้ำบาดาลที่บ้านสีก็ยังใสอยู่นะคะคุณปุ้ม...แต่ภายในสีใส ๆ มีเกลือละลายอยู่เพียบค่ะ             ส่วนน้ำบาดาลผ่านเครื่องกรอง...ก็กรองด้วยเรซิ่น...เท่าที่เคยนำน้ำตัวอย่างน้ำมาตรวจวิเคราะห์คุณภาพ...ผลที่ได้ไม่ค่อยแตกต่างกับน้ำบาดาลที่ไม่ได้ผ่านเครื่องเท่าไร..ที่เห็นชัดก็จะเป็นตะกอน..เท่านั้นค่ะคุณเสือเจ้าถิ่น...            เนื่องจากทำการตรวจวัดความกระด้างทั้งหมด  (Total hardness as CaCO3 ) เลยไม่ได้ทำการตรวจวัดไบคาร์บอเนต( HCO3 ) อย่างคุณซิก้า....แต่ผลความกระด้างก็ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานนะคะ                       ลุงหนวดปรับสภาพน้ำซะมือเหลือง ...แนะนำให้ใช้ถุงมือค่ะ...อิอิ สภาพเกลือที่เกาะที่ก๊อกน้ำค่ะ...แล้วกล้วยไม้จะไปเหลืออะไร... จากคุณ : ภัสสรา เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 10:17:48

ความคิดเห็นที่ 26 ...จากสภาพผลึกเกลือที่เห็นดังภาพมีผลทำให้น้ำมีความเค็ม (Salinity)       ความเค็มของน้ำ หมายถึง ปริมาณของแข็ง (Solid) หรือเกลือแร่ต่าง ๆ โดยเฉพาะโซเดียมคลอไรค์ (NaCL) ที่ละลายอยู่ในน้ำ โดยมีหน่วยเรียกว่า (parts per thousand) ppt ค่าความเค็มของน้ำจะสัมพันธ์กับค่า Chlorinity ประกอบด้วยปริมาณ คลอไรค์, โบรไมค์และไอโอไดด์ และความนำไฟฟ้า(conductivity) ที่มีอยู่ในน้ำหนักหนึ่งกิโลกรัม       ความเค็มของน้ำจะแตกต่างตามสถานที่และประเภทของดิน โดยมีผู้แบ่งประเภทน้ำตามระดับความเค็มดังนี้          - น้ำจืด (fresh water) ความเค็มระหว่าง 0-0.5 ppt          - น้ำกร่อย (brackish water) ความเค็มระหว่าง 0.5-30 ppt          - น้ำเค็ม (sea water) ความเค็มมากกว่า 30 ppt ขึ้นไป            เนื่องจากน้ำบาดาลที่บ้านมีปริมาณเกลือแร่ ละลายอยู่มาก..จึงมีผลต่อการกรัดกร่อนทำลายพวกโลหะ..แม้แต่ ก๊อกน้ำ SANWA...ก็ไม่เหลือ....ฟ้องด้วยภาพค่ะ.. จากคุณ : ภัสสรา เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 10:31:21

ความคิดเห็นที่ 27 ...สำหรับกล้วยไม้ตระกูลรองเท้านารี...ที่บ้านก็เลี้ยงไว้ 1 ต้นค่ะคุณลิงเล..เท่าที่สังเกตุ..เขาอึดมาก...ไม่ว่าน้ำจะเค็ม หรือเกลือจะเยอะแค่ไหน..ก็ยังรับได้..ไม่ละคายเคืองเลยค่ะ.. จากคุณ : ภัสสรา เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 10:35:07

ความคิดเห็นที่ 28 โอ้.......กระทู้นี้ต้องเก็บความรู้ล้วนๆ ขอบคุณครับ จากคุณ : เด็กคลอง เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 10:43:13

ความคิดเห็นที่ 29 ...ขอบคุณอีกครั้งที่มาร่วมฟัง..สมมุติฐานกันค่ะ..           น้าโหด.....ไม่ร่วมอภิปรายหน่อยหรอคะ..           หนูบี..... อัศวิน...มักจะมาปรากฏตอนที่มีคนต้องการความช่วยเหลืออย่างนี้แหละค่ะ..อิอิ           คุณDendmax ,คุณjeabnun ,คุณwinpa ,คุณก้อย(ชื่อนี้การันตีต้องสวยแน่เลยค่ะ..) ,คุณมดแดงน้อย  ,คุณชอบกินลาเต้และคุณเด็กคลองแปด  ขอบคุณที่เข้ามาชมค่ะ           นายอิสระ ....ภายใต้แฟนต้าน้ำเขียว...ที่เป็นอาหารของเป็ดนั้น..หาปริมาณ DO (ออกซิเจนละลายในน้ำไม่ได้เลยค่ะ) จึงไม่สามารถนำมารดกล้วยไม้ได้ไงคะ..           คุณแดงอุบล ....รวมถึงเสือจากถ้ำแถว ๆ สวนผึ้งด้วยป่าวคะ...อิอิ แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 53 10:54:28 จากคุณ : ภัสสรา เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 10:53:12

ความคิดเห็นที่ 30 มาสายครับ อ.ภัสสรา จากคุณ : na_nin เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 11:04:00

ความคิดเห็นที่ 31 ว้าวรองเท้าที่เลี้ยงไว้ดูท่าจะเผือกด้วยนะนั้น จากคุณ : ลิงเล เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 12:03:20

ความคิดเห็นที่ 32 ดีจัง.... จากคุณ : ช้างเมืองชล เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 14:46:11

ความคิดเห็นที่ 33 เข้ามาติดตามชม ขอบคุณนะคะ จากคุณ : เหมียวสินธร เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 19:11:38

ความคิดเห็นที่ 34 ยอดมากครับ จาน จากคุณ : Pic-s เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 21:26:53

ความคิดเห็นที่ 35 คุณภัสสราอยู่จังหวัดอะไรครับ ผมเคยทำงานแถวแปดริ้ว พบว่าน้ำบาดาล หรือแม้แต่น้ำประปา มีเกลือปนสูงมาก (น้ำกร่อย) ทำให้โครงสร้างเหล็กเป็นสนิมเร็วมากๆ บางจังหวัด น้ำบาดาลไม่เค็มอาจเลี้ยงได้ดีป่าวครับ จากคุณ : raruen เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 23:30:30

ความคิดเห็นที่ 36 คห.๒๗ แคทฯ ปลายรากยังดีนะครับ ปล. พวกที่ใช้น้ำบาดาล(กทม.)เลี้ยงพอได้ ก็มีพวก แคทฯ ช้าง ฟาแลนฯ ไม่ค่อยงาม แต่ให้ดอก เห็นชาวบ้านเขาเลี้ยงกัน      ดีแอส ที่เห็นต้นยาวๆ เจอน้ำบาดาลเพียวๆ ต้นอ้วนกลมป๊อกดูไม่ออกเลย คงรอฝนชะ ปีละครั้ง ดังนั้นช่วงแล้งนี่ ถ้าไม่มีน้ำที่เหมาะ น่าจะทำให้โรงเรือนชื้นๆ แบบที่เขาทำน้ำให้ไปไอพอไหวไหม จากคุณ : ลุงหนวด (ลุงหนวด๒๕๔๗) เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 53 01:21:32

ความคิดเห็นที่ 37   เรือนนี้วิชาการล้วนๆ ดีจังค่ะ จากคุณ : ศรีเบ็ญจา เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 53 12:12:45

ความคิดเห็นที่ 38 ส่งน้ำให้ที่ ม เกษตรเขาตรวจให้เลย ว่าขาดอะไรบ้าง อะไรเกินบ้าง มีวิธีกำจัดและแต่ให้ กรด ด่างพอดีได้   ทดลองเอาเองไม่รู้หรอก จากคุณ : ไม่รู้เป็นไร เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 53 22:25:32

ความคิดเห็นที่ 39 .......ขอบคุณทุกท่าน สำหรับคำแนะนำค่ะ..จะลองนำไปปรับใช้ดู...ได้ผลยังไง...จะรายงานความคืบหน้าต่อไปนะคะ... จากคุณ : ภัสสรา เขียนเมื่อ : 6 พ.ค. 53 09:23:32

ความคิดเห็นที่ 40   ยอดเยี่ยมเลยค่ะคุณภัสสรา   จากคุณ : S-cool เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 53 13:06:14