ตอนที่หลับไม่ตื่นนอนไปก็หลายวันอยู่ พอฟื้นมาแม่ถามว่าเป็นไงบ้าง จำได้ว่าตอนนั้นก็ยังงงว่าที่นี่ที่ไหน แม่ พ่อ คุณสามี และทุก ๆ คนที่เป็นห่วง ก็ยืนดาหน้าถามเราว่าจำพวกเค้าได้ไหม เพราะคงเห็นเราทำท่างง ๆ
จำได้ว่าตอนจะผ่าตัด คุณหมอชวนคุยโน่นนี่นั่นแล้วให้หลับตา จากนั้นก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกเลยค่ะ
มีความรู้สึกว่ามันมืดมากพอดู ตัวเราเบา ๆ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่ระหว่างทางมีคนหลายคนเดินตามกันไปที่จุดหมายเดียวกัน อุโมงค์มืด ๆ มีเพียงแสงสลัว ๆ ให้พอมองเห็นทางเดินแบบเลือนรางเท่านั้น สองข้างทางบางจุดมีคนนั่งอยู่ บางคนก็คลาน บางคนก็ร้องไห้ บุ๋มไม่ได้หันไปมองแต่ใช้หางตาชำเรืองเท่านั้น ตลอดเส้นทางแห่งความืดนั้น มีกลิ่นธูปโชยมาตลอดเวลา แต่หาที่มาไม่ได้ ระหว่างทางได้เอ่ยปากถึงจุดหมายปลายทางที่ทุกคนกำลังมุ่งหน้าไป กับยายแก่ๆที่เดินอยู่ข้าง ๆ แต่ยายไม่ตอบเลยอะไร ยังคงก้มหน้าก้มตาอย่างเดียว เหมือนไม่ได้สนใจสิ่งที่เราพูดเลย ถามใครก็ไม่มีใครพูดด้วย ด้วยความอยากรู้ ที่มีอยู่ในสันดานก็เลยเดินตามเค้าไปด้วย
ตรงปลายอุโมงค์นั่นมีแสงสว่างเป็นสีเหลืองนวล ๆ เหมือนพระอาทิตย์ตอนเช้า พอเดินออกไปจากปากอุโมงค์ มันเหมือนเป็นเนินเขามีบ้านปลูกอยู่ในบริเวณนั้นหลายหลัง บางหลังใหญ่โตสวยงาม บางหลังก็ธรรมดา บางหลังโทรม เก่า เกือบฟัง
ที่นั่นมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น มีดอกไม้สวย ๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว สะอาดสะอ้าน อากาศดี เย็นสบาย
ที่นั่นบุ๋มได้เจอ อ้อ โอม คุณลุง รักเดียว และตาหวาน ความเป็นมาก็ตามลิงค์นี่นะคะ แต่ว่าตอนนี้อ้อบุคคลที่บุ๋มกล่าวในกระทู้ได้จากไปอย่างสงบ ด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด แล้วค่ะ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=mamadog&month=11-2009&date=12&group=6&gblog=5 ที่มาที่ไปของคนที่กล่าวถึงค่ะ
บ้านของอ้อหลังใหญ่สวยงามทุกคนอยู่ด้วยกัน เวลาพูดคุย ปากเค้าไม่ขยับกัน แต่กลับฟังรู้เรื่อง มีแต่บุ๋มค่ะที่ขยับปากพูด ในตอนนั้นเราคุยกันหลายเรื่องค่ะเหมือนคนคิดถึงไม่ได้คุยกันมานาน มีความสุขมาก เพราะในความเป็นจริง ทุกคนเสียชีวิตหมดแล้ว และทุกคนก็ต่างเป็นคนที่บุ๋มรักค่ะ
คุยกันได้สักพักอ้อก็หยิบตะกร้าเดินออกจากบ้านไป ก่อนไปบอกว่า เอาไปใส่กับข้าวมีคนส่งกับข้าวมาให้แล้ว ด้วยความอยากรู้อีกเหมือนเดิม บุ๋มจึงเดินตามอ้อออกมาข้างนอกเห็นคนอื่นต่างพากันถือตะกร้าเดินไปในทิศทางเดียวกันเป็นแถวยาว สักพักอ้อก็เดินกลับมา พร้อมกับข้าวในตะกร้า แต่ก็มีบางคนที่เดินก้มหน้ากลับมาด้วยตะกร้าที่ว่างเปล่า
หลายคนร้องไห้ เพราะไม่มีของในตระกร้า อ้อบอกว่ามีคนทำบุญมาให้ บางคนก็ไม่มีคนทำมาให้เลยต้องหิ้วตระกร้าเปล่ากลับบ้าน ก่อนจะเดินตามอ้อเข้าไปในบ้าน บุ๋มอดที่จะหันกลับไปมองคนที่เดินถือตระกร้าเปล่ากลับบ้านอย่าเสียมิได้
บางทีคนที่อยู่บนโลกมนุษย์ อาจจะหลงลืมพวกเค้าเหล่านั้นไปแล้วก็ได้
กาลเวลาที่ผ่านเลยไปคงทำให้คนเราหลงลืมคนที่เคยรักไป
แต่กับคนอีกโลกหนึ่งนั้น มีแต่คำว่ารอ
วันนี้การรอของบางคนสมหวัง
แต่คนที่ผิดหวังนั้น มีมากมายกว่าที่คิดไว้
ระหว่างที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ มีคุณตาแก่ ๆ คนนึง เดินถือตระกร้าเปล่ากลับมา แกร้องไห้เสียงดัง พอที่จะทำให้บุ๋มได้ยินคำที่ฟูมฟายจากปากได้ แกพร่ำพรรณาถึงลูก ๆ ที่อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ลูกที่กำลังจะลืมเลือนแกไปตามกาลเวลา จึงเดาเอาว่าลูก ๆ ของแก คงไม่ได้ทำบุญตักบาตรให้แกมานานแล้ว
บุ๋มหันหลังกลับ เดินเข้ามาในบ้าน ไม่รู้สิ บุ๋มคิดว่าคงมีคงจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องทำบุญตักบาตรกัน บ่อยครั้งเวลาที่บุ๋มตักบาตรตอนเช้า ทุกครั้งจะมองลงไปในบาตรพระ สิ่งที่ได้เห็นประจำก็คือมีภัตรตราหารน้อยมาก บางวันก็ไม่มีเลย เป็นเพราะว่าเดี๋ยวนี้คนเราไม่มีเวลา หรือเป็นเพราะว่าเรากลายเป็นคนห่างไกลศาสนากันไปแล้วหนอ
ระหว่างทานอาหารซึ่งมีน้ำพริกกระปิ ปลาทูทอด ชะอมชุปไข่ ทุกคนนั่งทานกัน แต่บุ๋มทานไม่ได้ค่ะ เอื้อมมือไปหยิบก็หยิบไม่ได้ไม่รู้ทำไม แต่ในความรู้สึกตอนนั้นก็ไม่ได้หิวอะไร แต่เป็นนิสัยส่วนตัวค่ะ เห็นใครเค้ากินอะไรไม่ได้เป็นต้องขอแจม ชีวิตจึงอยู่กับการลดน้ำหนักเสมอมา และแล้วบุ๋มจึงนั่งมองเค้ากินกันค่ะ แต่แปลกเค้ากินกันแบบไม่อ้าปากค่ะใช้มือจับอาหารกัน พอหยิบอาหารมาถึงปาก อาหารก็หายไปเลย เหมือนเล่นกล
หลังจากนั้นบุ๋มก็ออกมาเดินเล่น จำได้ว่าบุ๋มเดินไปบริเวณสวนดอกไม้ เดินด้วยเท้าเปล่า แต่รู้สึกสบายเท้ามาก พื้นทางเดินมันเรียบเนียนมาก บุ๋มไม่ได้ใส่รองเท้า แต่กลับเดินได้อย่างสบายเท้า มีกลิ่นหอมของดอกไม้โชยมาอ่อน ๆ ไม่รู้ว่าดอกอะไร แต่กลิ่นมันชื่นใจดีแท้ จนอดไม่ได้ที่ต้องสูดกลิ่นนั้นเข้าปอดแรง ๆ
เดินไปเรื่อย ๆ จึงได้เจอกับทุ่งหญ้ากว้าง ในทุ่งนั้นมีบรรดาสิงห์สาราสัตว์มากมายเลย มองไปสุดลูกหูลูกตา วัว ควาย ฯลฯ กำลังกินหญ้ากันอยู่
สิ่งที่บุ๋มนึกไม่ถึงก็คือที่นั่นได้เจอหมามากมาย และบุ๋มได้เจอตาหวาน เรามองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง เค้าเดินเข้ามาบุ๋ม สภาพดูดีกว่าตอนตายมากค่ะ ดูมีสุขภาพดี ไม่เหมือนเป็นหมาป่วยหนักเลยสักนิดเดียว ตาหวานพูดภาษาคนได้ด้วยค่ะ เราคุยกันหลายเรื่อง ในเรื่องที่ไม่เคยได้พูดได้บอกกัน เราได้จับต้องตัวกัน บุ๋มได้กอดเค้าด้วยดีใจจริง ๆ ค่ะ ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันอีก เรื่องราวของตาหวานนั้น อยู่ในความทรงจำของบุ๋มเสมอค่ะ ทุกที่ในบ้าน และช่วงเวลาที่ผ่านมา เค้าเป็นส่วนสำคัญในครอบครัวบุ๋ม ถึงแม้ว่าวันนี้เค้าไม่อยู่แล้ว แต่ของใช้ของเค้ายังอยู่ที่เดิมทุกอย่าง เหมือนตอนที่เค้ายังอยู่กับเรา
ระหว่างนั้นก็สอดส่ายสายตาหาหมาตัวอื่นที่เราเคยมีความทรงจำดี ๆ ด้วยแต่หาไม่เจอ ตอนแรกก็คิดว่า จำนวนหมาคงเยอะเกินที่จะหาเจอค่ะ แต่ตาหวานบอกว่า ดวงวิญญาณที่บุ๋มมองหา ได้ไปชดใช้กรรมที่ภพและภูมิอื่นแล้วไม่ได้อยู่ที่นี่ ตาหวานเองอีกไม่นานนักก็คงต้องไปเหมือนกัน แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา
ตาหวานบอกว่าได้รับทุกอย่างที่บุ๋มส่งมาให้และขอบคุณมาก ๆ ที่นี่เงินไม่สำคัญ บุญเท่านั้นที่สำคัญที่สุด ความทุกข์ของคนที่นี่ก็คือผลกรรมที่ทำมา อยู่ด้วยกันซักพักเค้าเดินกลับไป บุ๋มจะเดินตามเข้าไปในทุ่งหญ้านั้น ก็ก้าวเท้าไปเหยียบไม่ได้ มันเหมือนมีกำแพงกั้น แต่เป็นกำแพงที่มองไม่เห็น ใครบางคนที่เรามองไม่เห็นคงอนุญาตให้เราอยู่ได้แค่ตรงนี้
ตอนนั้นบุ๋มเดินกลับไปที่บ้านอ้ออีกครั้ง แต่ต้องหยุดเดินเพราะได้ยินเสียงสวดมนต์ เสียงคนมากมายเรียกให้ กลับบ้าน อีกใจหนึ่งก็จะเดินตามเสียงไป อีกใจอยากอยู่ต่อ เพราะที่นั่นน่าอยู่มาก ทุกอย่างมันดูสงบไปหมด
พอบุ๋มกลับมาถึงอ้อและทุกคนก็มายืนรวมกันอยู่หน้าบ้านแล้วบอกว่า มีคนมาตามแล้ว บุ๋มอยู่ที่นี่ไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลาของบุ๋ม และคงถึงเวลาที่บุ๋มจะต้องกลับแล้ว
อ้อชี้ไปที่ทางซึ่งมันดูมืดและน่ากลัวมาก จนบุ๋มลังเลว่าจะไปดีไหม อ้อบอกว่าให้บุ๋มรีบไปอย่าหันหลังกลับมามองเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นให้เดินไปข้างหน้าอย่างเดียว อย่าหยุด อย่าลังเล บุ๋มบอกลาทุกคน
อ้อจับมือบุ๋มแน่น จนบุ๋มรับรู้ความรู้สึกของเธอที่ส่งผ่านมายังมือบุ๋มได้เป็นอย่างดี มิตรภาพและน้ำใจที่เรามีให้กันเสมอมา แม้วันนี้เธอจะดับสูญไปแล้ว แต่เธอก็ยังระลึก และรู้สึกกับบุ๋มไม่เคยเปลียน บุ๋มเองก็คิดไม่ต่างไปจากเธอหรอกค่ะ แม้วันนี้อ้อจะไม่อยู่แล้ว แต่อ้อก็ยังคงเป็นเพื่อนที่บุ๋มรักและไว้ใจมากที่สุดในชีวิตคนหนึ่ง เพื่อนที่เราสามารถบอกได้ทุกเรื่อง ระบายได้ทุกอย่าง เพื่อนที่ไม่เคยแทงข้างหลัง ฉันรักแกนะอ้อ ฉันรักแก
ระหว่างที่บุ๋มเดินทางกลับก็ได้เจองูตัวใหญ่มาก ดูรู้เลยว่าไม่ใช่งูธรรมดา มีอะไรบางอย่างบอกบุ๋มว่า ต้องเดินตามงูไป สักพักมีเสียงเรียก เสียงสวดมนต์ดังมาเป็นระยะ บุ๋มเดินตามเสียงนั้นไป ข้างทางมืดหน้ากลัวมาก มีต้นไม้แห้งและกลิ่นสาบสาง ไม่มีกลิ่นธูปเหมือนตอนเราเดินเข้ามาเลย มีคนเดินสวนเข้ามามากมาย ระหว่างทางมีบุ๋มเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดินกลับออกไป (ขามาเพื่อนเยอะเลยค่ะ ขากลับฉายเดี่ยว) บุ๋มเดินไปเรื่อย ๆ จนเห็นแสงสว่างอยู่ไกล ๆ แล้วแสงสว่างนั้นมันก็สาดเข้ามาจนบุ๋มต้องหลับตาปี๋
นั่นแหละค่ะบุ๋มลืมตามาเจอหน้าแม่ แม่ร้องไห้ และจับมือบุ๋มไว้แน่น ตอนนั้นบุ๋มพูดอะไรไม่ได้เพราะสายอะไรต่อมิอะไรมันเต็มไปหมดรู้สึกหิวน้ำมากเลย
หลังจากที่อาการดีขึ้นและเริ่มพูดคุยได้ แม่เล่าว่าตอนบุ๋มหลับไป แม่เครียดมากทำบุญใส่บาตรทุกวัน เมื่อวานทำน้ำพริกกระปิ ปลาทูทอด ชะอมชุปไข่ไปให้อ้อ และทุก ๆ คน ให้ช่วยส่งบุ๋มกลับที ตอนนั้นขนลุกซู่ คิดถึงตอนที่อ้อเอาตระกร้าออกไปรับอาหารมา เมนูในตอนนั้น เหมือนกับที่แม่บุ๋มใส่บาตรไปเปี๊ยบเลยค่ะ
พอหายดีขึ้นมาอีกหน่อยก็ได้คุยพี่รี(gatsy1) พี่รีบอกว่าไปบนนางพญางูเอาไว้ คราวนี้คิดไปถึงงูตัวใหญ่ที่นำเรากลับมา เราเดินตามหลังงูใหญ่นั้นมาตลอดทาง
ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ข้าพเจ้าขอกราบขอบคุณทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นำทางให้ได้กลับบ้านในครั้งนี้ และขอบคุณทุกเสียงเรียก และเสียงสวดมนต์ ซึ่งแน่ใจเหลือเกินว่าส่วนหนึ่งเป็นของเพื่อนในห้องนี้ค่ะ ขอบคุณใจจริง
จากนั้น บุ๋มก็รู้สึกว่าอยากทำบุญมาก ๆ เวลาถึงจุดนั้น อะไรก็ไม่สำคัญเท่าบุญกุศลที่ทำมา
จริง ๆ แล้วก่อนหน้าที่จะผ่าตัด บุ๋มเพิ่งไปทำบุญสร้างพระ สร้างวัดมาค่ะ อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ได้มีโอกาสกลับมาอีกครั้ง
ทุกวันนี้บุ๋มสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิทุกวัน แต่ก่อนใส่บาตรอย่างเดียวไม่ได้ทำกิจพวกนี้เป็นประจำ พูดกันตรง ๆ เลย ทำเฉพาะตอนไม่สบายใจ แต่ตอนนี้รู้สึกดีมากเลยค่ะ รู้สึกว่าจิตมันนิ่ง ได้คิดทบทวนถึงสิ่งต่างที่เราได้ทำไปในแต่ละวัน ๆ จนตอนนี้ติดสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิไปเสียแล้ว และบุ๋มเองก็ยังทำบุญต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอค่ะ ทำบุญทำทาน ทำหมดทุกอย่าง
เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง บุ๋มจึงได้ทราบว่า เงินช่วยอะไรไม่ได้เลยค่ะ บุญเท่านั้นที่สำคัญที่สุด บุญนั้น ไม่มีใครแย่งหรือขโมยไปจากเราได้ค่ะ ไม่เหมือนสิ่งมีค่าอย่างอื่น อยากได้ต้องหมั่นสร้างเองค่ะ พอถึงเวลานั้น จะไปกราบกานต์สิ่งศักดิ์สิทธิใด ๆ ก็คงยากเพราะอย่างน้อยเราต้องมีบุญเดิมเป็นต้นทุนไว้ด้วย ถ้าหากไม่มีบุญเก่าเลย เทวดา หรือสิ่งศักดิ์ใด ๆ ก็ช่วยไม่ได้ค่ะ คือ เราต้องช่วยตัวเองก่อน
แต่ในขณะเดียวกันความตายหรือการดับสูญนั้น ก็เป็นสัจจะธรรมในโลกใบนี้ค่ะ แต่การเดินทางไกลนั้นจำเป็นต้องมีเสบียง หากทุกคนสะสมเสบียงเอาไว้ให้พร้อม การเดินทางก็จะราบรื่นไม่ลำบาก
ไม่มีใครรู้วันตาย บางคนอาจคิดว่าเหมือนเราจะเตรียมตัวตาย แต่ความจริงแล้วเป็นการสร้างบารมีต่างหากค่ะ เราสามารถสร้างได้เต็มที่และดีที่สุดก็ตอนเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นี่แหละค่ะ (แหมมาคราวนี้ ทำตัวแก่ก่อนวัยไปหรือเปล่าค่ะเนี่ย)อยากให้ทุกคนทำบุญทำทานเยอะๆค่ะ บริจาคเงินช่วยหมาช่วยแมวอันนี้ดีเลยค่ะ หรือช่วยกันประมูลของก็ดีค่ะ ได้ทั้งบุญและของที่ถูกใจ
บุ๋มไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเปล่า แต่บุ๋มขอเรียกมันว่าความฝันค่ะ ความฝันที่มีความสุขเมื่อได้เจอกับคนที่เรารัก ซึ่งไม่มีวันได้เจอกันอีกแล้วในโลกความเป็นจริง เป็นความฝันที่ได้ไปเที่ยวสนุกในที่ ที่เราหาซื้อแพ๊กเก็ตทัวร์นี้ไม่ได้ค่ะ
พอตื่นขึ้นมา บอกกับตัวเองเลยว่าฉันอยากทำบุญ และฉันจะทำความดี ทุกวัน ทุกครั้งที่ชีวิตนี้ยังมีลมหายใจเข้าออก
บุญสิ่งที่มิมีใครขโมยไปจากฉันได้ ถ้าหากว่าฉันไม่หยิบยื่นให้เอง
เรื่องนี้เป็นแค่ความฝันค่ะ ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นความฝันที่จะจดจำไว้ตราบนานเท่านาน
แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 16:44:29
แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 16:38:13
แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 16:36:10
แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 16:35:14
แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 16:24:16
แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 16:23:19
แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 16:22:24
แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 16:21:39
แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 16:21:00
แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 16:20:03
แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 16:19:19