หมอดินอาสา"พงษ์ จันทร์เขียว" กับชีวิตที่ต้องปราศจากเคมี
|
 |
..........................หลังเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากพิษของสารเคมีทาง การเกษตร ที่ใช้จำนวนมากในไร่ยาสูบ นายพงษ์ จันทร์เขียว รู้ดีว่าหากยังทำต่อไปวันข้างหน้าอาจถึงเสียชีวิต จึงเลิกทำการเกษตรที่ปลูกพืชชนิดเดียวเพราะต้องใช้สารเคมีจำนวนมากในการดูแล รักษาและเพิ่มผลผลิต จึงหันมาทำเกษตรผสมผสานที่มีผลผลิตหมุนเวียนให้เก็บเกี่ยวตลอด เพื่อลดการใช้สารเคมีจนสามารถเข้าสู่การทำเกษตรอินทรีย์ ได้ในที่สุด
นายพงษ์ เล่าว่า ตอนแรกที่ไปปลูกยาสูบอยู่ที่จังหวัดเชียงราย ต้องใช้สารเคมีทางการเกษตรจำนวนมากและใช้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ถูกละอองของสารเคมีต่างๆ ซึมเข้าสู่ร่างกายจนเกือบเสียชีวิต ดังนั้นจึงกลับมาทำสวนผสมผสานที่จังหวัดสระแก้ว เมื่อปี 2530 โดยในช่วงแรกก็ยังใช้สารเคมีอยู่บ้างแต่จะใช้ในปริมาณน้อยเนื่องจากกลัวจะ ป่วยเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งก็จะลดปริมาณการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเรื่อยมาจนกระทั่งปี 2537 ก็เลิกใช้สารเคมีโดยเด็ดขาดและตั้งใจที่จะทำเกษตรอินทรีย์
สวนผสมผสานแห่งนี้ จะมีทั้งปลูกข้าว แปลงผัก ปลูกไม้ผล พืชสมุนไพร สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนประมาณวันละ 300 กว่าบาท ซึ่งการทำเกษตรอินทรีย์ของนายพงษ์ เป็นที่ยอมรับของเกษตรกรในพื้นที่ จนได้เข้าร่วมกับคณะทำงานหลายหน่วยงานในการทำโครงการเกษตรอินทรีย์ และได้สมัครเข้าเป็นหมอดินอาสาของกรมพัฒนาที่ดินเมื่อปี 2548 เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ ตลอดจนงานพัฒนาที่ดินในรูปแบบต่างๆ ไปสู่เพื่อนเกษตรกรในละแวกบ้าน ให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ
และด้วยความตั้งใจในการทำเกษตรอินทรีย์อย่างจริงจัง สวนของนายพงษ์ จึงได้รับการคัดเลือกให้เป็น ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาที่ดินตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ของสถานีพัฒนาที่ดินสระแก้ว ให้เกษตรกรและผู้สนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์ปราศจากสารเคมี ทางการเกษตรทุกชนิด ด้วยการใช้สารเร่งพด.ของกรมพัฒนาที่ดิน ที่เขาแจกฟรีตามสถานีพัฒนาที่ดินในจังหวัด ในการทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ และสารไล่แมลงศัตรูพืชไว้ใช้เอง
"ในภาวะที่ปุ๋ยเคมีมีราคาสูงขึ้นมาก จนถึงขั้นวิกฤติของเกษตรกรที่อาศัยปุ๋ยเคมีเป็นปัจจัยหลักในการทำการเกษตร นี้ ในความคิดเห็นของตนเองกลับมองว่านี่คือโอกาสที่เกษตรกรจะรู้จักหันมาเรียน รู้การทำปุ๋ยไว้ใช้เอง โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นผู้ผลิตที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีที่มีพิษภัยจึงต้อง คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองก่อน อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงผู้บริโภคที่จะต้องกินของที่มีสารเคมีตกค้าง ในทางตรงข้ามถ้าเราใช้ปุ๋ยอินทรีย์และสารอินทรีย์จะไม่เกิดอันตรายใดๆ ที่สำคัญวัตถุดิบที่ใช้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ในประเทศเรามีมหาศาล อยู่ในพื้นที่ของเราเองเพียงแค่รู้จักนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์เท่า นั้นเอง" นายพงษ์ กล่าว
และในโอกาสนี้ นายพงษ์ ยังได้แนะนำสูตรปุ๋ยที่เขาคิดค้นแปลงจากหลักวิชาการเรียกว่า ปุ๋ยชีวภาพแห้ง โดยมีส่วนผสมหลักประกอบด้วย มูลสัตว์ 1 ส่วน รำ 1 ส่วน แกลบเผา 1 ส่วน เสริมด้วยเปลือกไข่ เมล็ดผลไม้ เปลือกถั่วบดละเอียด นำมาคลุกเข้าด้วยกัน จากนั้นใช้น้ำ 20 ลิตร ผสมด้วยน้ำหมักชีวภาพ 2 ช้อน กากน้ำตาล 2 ช้อน คนให้เข้ากันนำไปรดกองปุ๋ย แล้วตักใส่ถุงปุ๋ยมัดปากถุงแล้ววางไว้ในที่ร่ม ทิ้งไว้ให้ความร้อนลดลงประมาณ 1 สัปดาห์
อัตราการใช้ในสวนแห่งนี้ซึ่งพื้นที่เป็นดินทราย ในนาข้าวใช้ 500-1,000 กก./ไร่ แปลงผักหากไม่เคยปรับปรุงบำรุงดินเลยให้ใช้ 3-4 กก./1 ตร.ม. ใส่ลงในแปลง รดด้วยน้ำผสมน้ำหมักชีวภาพ โดยผสมในบัวรดน้ำ ใส่น้ำหมักชีวภาพ 3 แก้ว กากน้ำตาล 1 ช้อน รดลงแปลงและคลุกดินให้เข้ากัน คลุมด้วยฟางหรือพลาสติกไม่ให้ถูกแสงแดด 1 สัปดาห์ เพื่อบ่มดินให้จุลินทรีย์เจริญเติบโต
ถึงแม้จะมีรายได้ไม่มากนักแต่ นายพงษ์ จันทร์เขียว สามารถพึ่งตนเองได้ โดยการน้อมนำแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ด้วยการใช้จ่ายแต่พอเพียง กินอยู่อย่างพอเพียง มีการประหยัดและอดออม มีเหตุผลในการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ที่รอบคอบ ดำเนินชีวิตด้วยความอดทนมีความเพียร และมีสติปัญญาเพื่อให้สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ นายพงษ์ฝากไว้ว่า "ในยุคที่น้ำมันแพง ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต เราต้องถอยหลังกลับมาก่อน ถอยไปดูว่าในอดีตเขาอยู่ได้อย่างไร แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม"
สนใจเยี่ยมชม ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาที่ดินตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงของ พงษ์ จันทร์เขียว ติดต่อได้ที่ 26 หมู่ที่ 4 บ.หนองหัวช้าง ต.ช่องกุ่ม อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว
ที่มา http://www.naewna.com/news.asp?ID=235123
จากคุณ |
:
ญี่ปุ่น35
|
เขียนเมื่อ |
:
5 พ.ย. 53 01:46:10
|
|
|
|