 |
อาหารต้านมะเร็ง
11 เมษายน 2548 | ฉบับที่ 30 "มะเร็ง" หรือ "Cancer" เป็นความผิดปรกติที่ใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ไม่ว่าเกิดกับคนใกล้ชิดหรือสัตว์เลี้ยงใกล้ตัวก็ตาม มะเร็งเป็นความผิดปรกติที่สามารถเกิดกับสุนัขและแมวได้ทุกเพศทุกวัย และส่วนใหญ่มักจบลงด้วยการเสียชีวิต มะเร็งถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของสาเหตุสำคัญที่ทำให้สัตว์เลี้ยงเสียชีวิตก่อนถึงเวลาอันควร ด้วยเหตุผลที่ยังไม่ทราบแน่ชัดหากแต่พบว่าปัจจุบันอัตราการเกิดมะเร็งในสัตว์เลี้ยงเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต อาจเป็นเพราะสัตว์เลี้ยงทั้งหลายมีอายุยืนขึ้น หรือเทคโนโลยีทางสัตวแพทย์มีความก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้มีการตรวจวินิจฉัยพบมะเร็งได้มากขึ้น
การรักษามะเร็งในสุนัข อาศัยหลักการเดียวกันกับมนุษย์ กล่าวคือประกอบไปด้วยการรักษาทางยา การผ่าตัด การใช้เคมีบำบัด (chemotherapy) และการฉายรังสี (radiation therapy) ส่วนผลการรักษานั้นก็อย่างที่เราๆ ท่านๆ ทราบกัน คือว่าถ้าโชคดีก็หายเป็นปรกติ โชคดีน้อยหน่อยก็หายแต่เกิดขึ้นได้อีก หากโชคไม่เข้าข้างเลยก็อาจไม่สามารถทำอะไรได้
ดังนั้น สิ่งที่สัตวแพทย์และเจ้าของสัตว์ควรให้ความสำคัญคือ ทำอย่างไรจึงสามารถยืดเวลาที่สัตว์เลี้ยงจะอยู่กับเราให้นานที่สุด และทำให้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของพวกเขานั้นเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดทรมานน้อยที่สุด จากการค้นคว้าวิจัยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาพบว่า วิธีการหนึ่งที่สามารถทำได้นั้นอยู่ไม่ไกลตัวเราเลยนั่นก็คือ การจัดการเรื่องอาหาร ซึ่งหมายความถึงการเปลี่ยนแปลงอาหารให้แตกต่างไปจากอาหารสำเร็จรูปทั่วๆ ไปเพื่อช่วยชะลอความรุนแรงหรือการแพร่กระจายของมะเร็งที่ตรวจพบ
การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นกับร่างกายของสัตว์เลี้ยงที่ป่วยเป็นมะเร็ง ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของขบวนการทางเคมีที่มีความสัมพันธ์กับโภชนาการ (Metabolism) โดยทั่วไปสัตว์ตัวที่ป่วยเป็นมะเร็งมีการใช้ประโยชน์จากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันจากอาหารที่กินเข้าไปได้แตกต่างจากสัตว์ตัวที่มีสุขภาพสมบูรณ์ และการเปลี่ยนแปลงนี้ยังคงมีอยู่ถึงแม้ว่าสัตว์ได้รับการรักษาจนหายแล้ว
การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้สัตว์ป่วยส่วนใหญ่แสดงอาการที่เรียกว่า "cachexia" หมายถึงการขาดสารอาหาร ทั้งๆที่สัตว์ยังกินอาหารได้ในปริมาณปรกติ ดังนั้น สัตว์เลี้ยงจะมีน้ำหนักตัวลดลง สัตว์ป่วยที่มีอาการ "cachexia" นี้มีการตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีใดๆก็ตามน้อยกว่าสัตว์ป่วยที่ไม่มีอาการ "cachexia"
ขบวนการเผาผลาญพลังงานของคาร์โบไฮเดรต นับเป็นขบวนการที่ถูกรบกวนมากเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากเซลล์มะเร็งใช้กลูโคสที่ได้จากการย่อยคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานหลัก และผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นหรืออีกนัยหนึ่งอาจถือว่าเป็นของเสียที่เกิดขึ้นคือ แลคเตด (lactate) ซึ่งร่างกายของสัตว์จำเป็นต้องใช้พลังงานอีกจำนวนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนแลคเตดให้เป็นสารชนิดอื่นที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ผลรวมที่เกิดขึ้นคือเซลล์มะเร็งได้รับพลังงานไปเต็มๆ ในขณะที่ร่างกายสัตว์สูญเสียทั้งกลูโคสและพลังงานอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นเสมอๆก็คือ กรณีที่เจ้าของสัตว์ไม่ทราบว่าสัตว์เลี้ยงของตนป่วยเป็นมะเร็ง ดังนั้น เมื่อสัตว์เริ่มมีน้ำหนักตัวลดลงก็ยังพยายามชดเชยน้ำหนักเหล่านั้นโดยการเพิ่มปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ ซึ่งอาหารสำเร็จรูปทั่วไปรวมทั้งอาหารว่างชนิดต่างๆ นั้นมีส่วนประกอบสำคัญคือคาร์โบไฮเดรต ฉะนั้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือการเพิ่มแหล่งพลังงานให้กับเซลล์มะเร็ง
"มะเร็ง" ทำให้ร่างกายของสัตว์มีอัตราการย่อยสลายโปรตีนสูงกว่าอัตราการสังเคราะห์โปรตีน ผลที่เกิดขึ้นก็คือการสูญเสียโปรตีนโดยเฉพาะมวลกล้ามเนื้อ ส่งผลให้น้ำหนักตัวยิ่งลดลงมากขึ้น นอกจากนี้การสูญเสียโปรตีนยังมีผลในทางลบต่อระบบการสร้างภูมิต้านทานโรค การทำงานของอวัยวะในระบบทางเดินอาหารและการหายของแผล ภาวะ "cachexia" ยังทำให้ร่างกายสูญเสียไขมันที่สะสมไว้ หากโชคยังดีอยู่บ้างที่เซลล์มะเร็งมีความสามารถต่ำในการใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานทำให้การปรับเพิ่มปริมาณไขมันในอาหารมีผลกระทบไม่มากนักต่อเซลล์มะเร็ง
การจัดอาหารเพื่อต่อสู้กับมะเร็ง จึงยึดหลักที่ว่า ต้องให้อาหารซึ่งร่างกายสัตว์สามารถนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ในขณะเดียวกันก็ให้เซลล์มะเร็งได้ประโยชน์น้อยที่สุดด้วย เพราะเมื่อสัตว์ป่วยมีร่างกายอยู่ในสภาพที่ได้รับสารอาหารและพลังงานเพียงพอกับความต้องการ พวกเขาจะมีการตอบสนองต่อการรักษาและปฏิบัติการต่างๆ โดยสัตวแพทย์ดีขึ้น รวมถึงความสามารถของร่างกายในการสร้างภูมิต้านทานโรคที่ดีขึ้นด้วย อาหารต้านมะเร็งนี้จึงควรเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตที่ระดับต่ำ เหตุผลที่ต้องมีการจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตนั้น นอกเหนือจากที่ได้อธิบายไปแล้วข้างต้นยังมีเหตุผลอื่นอีกด้วย ได้แก่การที่ร่างกายสัตว์ป่วยมักไม่มีการตอบสนองต่อปริมาณอินซูลินในกระแสเลือด หมายความว่าความสามารถของร่างกายในการใช้คาร์โบไฮเดรตหรือกลูโคสเป็นแหล่งพลังงานนั้นลดลง
ดังนั้น หากยังคงให้อาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตในระดับสูง ผลเสียที่อาจพบตามมาได้ก็คือ การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง การมีน้ำตาลในปัสสาวะ และยังอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับการทำงานของตับและระบบหายใจ
อาหารต้านมะเร็ง ควรมีส่วนประกอบของโปรตีนที่ระดับสูง วัตถุดิบที่ใช้เป็นแหล่งของโปรตีนต้องเป็นวัตถุดิบคุณภาพดีที่ร่างกายสัตว์สามารถย่อยและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่ายเพื่อชดเชยการสูญเสียโปรตีนดังกล่าวข้างต้น และที่สำคัญอาหารต้านมะเร็งควรมีส่วนประกอบของไขมันที่ระดับปานกลาง เนื่องจากไขมันจัดเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญสำหรับสัตว์ป่วยดังที่กล่าวแล้วว่า เซลล์มะเร็งมีความสามารถต่ำในการใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงาน และที่ควรพิจารณาให้ความสำคัญเป็นพิเศษด้วยก็คือกรดไขมันในกลุ่มโอเมกา 3 ซึ่งมีงานวิจัย (ส่วนใหญ่ทำการศึกษาในสุนัข) ที่ยืนยันได้ว่ากรดไขมันเหล่านี้มีคุณสมบัติช่วยระงับการเติบโตของเซลล์นื้องอก ช่วยลดปริมาณแลคเตดในน้ำเลือดและช่วยลดการอักเสบ
นอกเหนือจากคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีนแล้ว พบว่าวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิดสามารถมีผลช่วยชะลอการแพร่กระจายหรือการเติบโตของเซลมะเร็งบางชนิดได้ เช่น สารในกลุ่มวิตามินเอทั้งจากธรรมชาติและสารสังเคราะห์ วิตามินซี วิตามินอี ส่วนแร่ธาตุก็ได้แก่ ซีลีเนียม เหล็ก และสังกะสี การบำบัดมะเร็งในสัตว์เลี้ยงให้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ
ควรเริ่มตั้งแต่การวินิจฉัยความผิดปรกติเบื้องต้นว่า 1. น้ำหนักตัวที่ลดลงนั้น มีสาเหตุมาจากมะเร็งหรือการกินอาหารลดลงหรือสาเหตุอื่นๆ ทั้งนี้สามารถทำได้โดยอาศัยข้อมูลจากการซักประวัติสัตว์ป่วย ชนิดของอาหาร ปริมาณอาหารและพลังงานในอาหาร ตลอดจนวิธีการให้อาหาร ต้องมีการทำความเข้าใจกันระหว่างสัตวแพทย์และเจ้าของสัตว์ว่าขณะนี้เกิดอะไรขึ้นกับสัตว์เลี้ยง มีการทำนายโรคและอธิบายให้เจ้าของสัตว์เข้าใจโดยเฉพาะระดับความรุนแรงและผลโดยตรงตลอดจนผลข้างเคียงจากการรักษา 2. จากนั้นจึงทำการวางแผนการให้อาหารซึ่งมีความแตกต่างกันไปสำหรับสัตว์ป่วยแต่ละตัว เนื่องจากมีปัจจัยเกี่ยวข้องหลายปัจจัย เช่น ชนิดหรืออวัยวะที่เกิดมะเร็ง ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ประวัติการเจ็บป่วยและสภาพร่างกายที่ผ่านมาในอดีต อาการผิดปรกติที่สัตว์ป่วยแสดงออก (เบื่ออาหาร อาเจียน น้ำหนักตัวลด ฯลฯ)
การวางแผนการจัดการเรื่องอาหารต้องทำควบคู่ไปกับแผนการรักษาไม่ว่าจะเป็นการรักษาทางยา การผ่าตัด การใช้เคมีบำบัดหรือการฉายรังสี ในปัจจุบันมีอาหารสำเร็จรูปหลายยี่ห้อที่ผลิตขึ้นสำหรับสัตว์ป่วยเป็นมะเร็งโดยเฉพาะเจ้าของสัตว์สามารถสอบถามข้อมูลหรือขอคำปรึกษาได้จากสัตวแพทย์ที่มีความชำนาญ
กรณีที่คุณไม่อยากใช้อาหารสำเร็จรูป หากแต่ต้องการปรุงอาหารด้วยตนเองก็อาจทำได้โดยยึดหลักที่ว่า จำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรต ใช้โปรตีนคุณภาพดี ให้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลักในสูตรอาหารและทำการเสริมกรดไขมันในกลุ่มโอเมกา 3 ในอาหาร
แต่การปรุงอาหารเองนั้นต้องคำนึงด้วยว่า อาหารที่ปรุงเองมีสารอาหารต่างๆ ครบถ้วนตามความต้องการของสัตว์ หากจะว่ากันตามตรงก็ต้องยอมรับว่า ค่อนข้างยุ่งยากพอสมควรและต้องปรึกษาสัตวแพทย์ที่มีความชำนาญโดยเฉพาะ ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจอย่างไร ก็ขอให้พิจารณาให้รอบคอบและแน่ใจด้วยว่า สัตว์ป่วยจะได้รับประโยชน์สูงสุด ข้อความต่อไปนี้ รวบรวมมาจากผู้ใจดีทุกท่าน ที่ส่งมาแนะนำมิ้งค์ ทางหลังไมค์ค่ะ
1. ยาที่ใช้รักษามะเร็ง เป็นยาชื่อว่า "ยาประดง" : - เป็นยาแก้น้ำเหลืองเสีย ผลิตโดยบริษัทกรุงเทพทิพโอสถ จำกัด - เป็นยาแผนโบราณมีลักษณะเป็นผง บรรจุในแคปซูล ขายเป็นกล่อง กล่องละ 100 แคปซูล (กล่องละ 10 แผงๆ ละ 10 แคปซูล) - ราคาขายกล่องละ 800.-บาท (เป็นราคาเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ตอนนี้อาจจะขึ้น ราคาอีกนิดหน่อย) - มีขายที่ร้านสวัสดิการของกรมราชองครักษ์ บริเวณสนามเสือป่า ข้างๆ พระบรมรูปทรงม้า ตรงข้ามกับวัดเบญจฯ และร้านจิตรลดาภายในสวนจิตรฯ
อันนี้ก็รวบรวมมาจาก กระทู้วันที่พี่เอ (Kantakart)
วันที่พา น้องบียอนเซ่ ไปพบคุณหมอเฉพาะทางเพื่อรักษาโรคมะเร็ง เมื่อได้พบกับคุณหมอธีรภัทร คุณหมอก็ได้ให้คำแนะนำว่า
การรักษามะเร็งชนิด ที่ น้องเซ่เป็นนี้ ทำได้เพียง 3 ประการเท่านั้น คือ 1 กินอาหารชีวจิต และวิตามินชนิดต่างๆ ที่จำเป็น 2 ให้น้ำเกลือผสมวิตามิน C ชนิดเข้มข้น และยา อาทิตย์ละ 1 ครั้ง 3 ผ่าตัด ในกรณีที่เกิดเนื้อร้ายเพิ่มขึ้น และเนื้อก้อนนั้นเป็นอุปสรรคต่อคุณภาพการดำรงชีวิต
นอกเหนือจากนั้น คุณหมอบอกว่ายังไม่มีหนทางค่ะ .... คุณหมอได้แนะนำให้นำบียอนเซ่กลับไปดูแลที่บ้าน เพราะอาหารที่เค้าควรจะได้รับต้องทำเอง ถ้าเรายังฝากเลี้ยงที่ รพส. มีแต่จะทำให้มะเร็งของเค้าเจริญเติบโตเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากตาม รพส. ส่วนใหญ่มักให้อาหารเม็ดและอาหารกระป๋อง ซึ่งไม่เหมาะสำหรับสุนัขที่เป็นโรคนี้ค่ะ
คุณหมอได้แนะนำสูตรน้ำผัก ที่ จำเป็นต้องกินทุกวัน คือ - ใบหญ้านาง - ใบบัวบก - ผักอ่อมแซ่บ (ผักเบ็ญจรงค์ หรือ ตำลึงหวาน) นำผักทั้ง 3 ชนิดมาปั่นสดรวมกัน แล้วคั้นเอาแต่น้ำ กรองด้วยกระชอนหรือผ้าขาวบาง แล้วให้ น้องเซ่ ทานวันละ 1 แก้วค่ะ
รวมไปถึงหญ้าปักกิ่ง แบบสดและแค็ปซูลด้วย
เราถามถึงยาประดง คุณหมอบอกว่าเคยได้ยิน แต่ยังไม่เคยลอง เราเลยเล่าเรื่อง เจ้าเหยินกับลุงทอม ให้คุรหมอฟัง คุณหมอสนใจมากและขอให้เราใช้กับเซ่ เผื่อจะได้นำมาเป็นยามาตรฐานให้กับน้องหมาตัวอื่นๆ ที่เป็นโรคร้ายนี้ด้วย
นอกเหนือจากสูตรน้ำผักแล้ว อาหารชนิดอื่นก็ได้รับคำแนะนำดังนี้
อาหารจำพวกโปรตีน ให้เป็นเนื้อปลาทะเล ไก่บ้าน เต้าหู้ ไข่ (อาทิตย์ละ 2 ฟอง) ผัก ให้เป็น ผักบุ้ง ใบบัวบก ฟัก แครอท ฯลฯ ข้าว ควรให้เป็นข้าวกล้องเท่านั้น มีบทความแนะนำว่า
" หากสุนัขเป็นโรคมะเร็ง ไม่ควรให้อาหารประเภทธัญพืชค่ะ หรืออาหารที่มีส่วนประกอบของธัญพืชค่ะ "
ที่มา http://www.pantown.com/group.php?display=content&id=560&name=content9&area ก็เป็นหนึ่งยา แนะนำ สำหรับน้องเซ่ ที่ได้รับมาจากหลังไมค์ค่ะ
ขอแนะนำให้ทาน Vegi-Vera (เครื่องดื่มสกัดจากต้นอ่อนข้าวสาลี) แค่ละลายกับน้ำเย็น (กลิ่นมันจะเหมือนหญ้าที่โดนฝนใหม่ ๆ ) แล้วใช้หลอดฉีดยาดูดแล้วป้อนใส่ปากเค้าคะ
Vegi-Vera มีประโยชน์มากมายดังนี้ 1.กระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต 2.รักษาแผลที่ถูกของมีคมบาดและแผลถลอกให้หายเร็วขึ้น 3.ช่วยฟื้นฟูพลังงานให้กลับคืนสู่ปกติ 4.ทำให้ระบบลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น 5.บำรุงเลือด 6.กำจัดสารโลหะหนักที่ร่างกายได้รับ เช่น แค็ดเมี่ยม เมอคิวรี่ 7.ต่อต้านสารก่อมะเร็ง 8.ป้องกันท้องผูก 9.ช่วยการหายของแผลในกะเพาะอาหาร 10.ช่วยแก้ปัญหาของโรคผิวหนัง 11.ช่วยลดการระคายเคืองของโลกลำไส้ 12.ช่วยรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด 13.ช่วยควบคุมะดับความดัน 14.เพิ่มความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน 15.เพิ่มความแข็งแรงของการทำงานของหัวใจ 16.ช่วยรักษาสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ 17.ช่วยกำจัดกลิ่นปากและป้องกันฟันผุ 18.ช่วยป้องกันการเพิ่มของเม็ดสีในผิวหนัง และทำให้ผิวพรรณผ่องใส ดูเยาวว์วัย 19.กำจัดไขมันส่วนเกิน
ส่วนประกอบ * ว่านหางจระเข้ มีวิตามินและเกลือแร่จำนวนมากรวมทั้งแคลเซียม แมกนีเซียม แมงกานีส โปรตัสเซียม สังกะสี โรโบฟลาวิน ไธอะมิน และ วิตามิน A B6 C D E K และกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว 12 ชนิด
* น้ำผึ้ง เป็นแหล่งกำเนิดที่ดีที่สุดของน้ำตาลกลูโคสและฟรุคโตส และประกอบไปด้วย แอนตี้ออกซิเดนท์ (สารต้านอนุมูลอิสระ)
* ฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรด์ เป็นคาร์โบไฮเดรต ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก ให้เส้นใยอาหารมีประโยชน์ต่อแบคทีเรียในลำไส้
* แคลเซียม คุณค่าของสารอาหารที่ได้รับ คลอโรฟิลด์, แอคทีฟเอนไซม์, ไฟเบอร์, เบต้าแคโรทีน, โคลีน, โพแทสเซียม, โซเดียม, เหล็ก, แคลเซียม, แมงกานีส, แมกนีเซียม, ฟอสฟอรัสม วิตามินเอ--ซี --บี --อี --และเค ขอเพิ่มข้อมูลรายละเอียดค่ะ Vegi-Vera เวกิ-เวร่า
เครื่องดื่มผงสกัดจากใบอ่อนข้าวสาลี
ใบอ่อนข้าวสาลีเป็นแหล่งของสารอาหารที่มีคุณค่าสูงสุด ประกอบไปด้วย
ใบอ่อนข้าวสาลี ช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนของเลือด สมานบาดแผลให้หายเร็วขึ้น บำรุงเลือด กำจัดสารโลหะที่ร่างกายได้รับ เช่น เมอคิวรี่ แค๊ดเมี่ยม ต่อต้านสารก่อมะเร็ง ป้องกันท้องผูก ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยแก้ปัญหาของโรคผิวหนัง ปรับระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยควบคุมความดันเพิ่มความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มความแข็งแรงการทำงานของหัวใจ ช่วยรักษาสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ช่วยกำจัดกลิ่นปาก และป้องกันฟันผุ ปัองกันการเพิ่มของเม็ดสีในผิวหนัง และทำให้ดูอ่อนวัย และกำจัดไขมันส่วนเกิน
ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera Gel Power) ประกอบด้วย เกลือแร่ ไวตามิน เอนไซน์ กรดอมิโน น้ำตาลธรรมชาติ และโมโนโพลีแซคคาไรด์ โปรตีนในว่านหางจระเข้ ประกอบด้วย กรดอะมิโน 18 ชนิด จาก 20 ชนิด ที่พบในร่างกายของเรา
เกสรดอกไม้ (Bee Pollen) มีไวตามินและเกลือแร่จำนวนมาก รวมทั้งแคลเซียม แมกนีเซียม แมงกานีส โปแตสเซียม สังกะสี ไรโบฟลาวิน ไธอมีน และวิตามินเอ บี6 ซี ดี อี เค และกรดไขมันที่ ไม่อิ่มตัว 12 ชนิด
น้ำผึ้ง (Bee Honey) เป็นแหล่งกำเนิดที่ดีที่สุดของน้ำตาลกลูโคส และฟรุคโตส ประกอบไปด้วย แอนตี้ออกซิเดนท์ (สารต้านอนุมูลอิสระ) ที่มีบทบาทสำคัญช่วยป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจ
ฟรุคโตโอลิโกแซคคารไรด์ (Fructooligosacchairde) เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก ฟรุคโตโอลิโกแซคคารไรค์ ให้คุณค่าทางอาหารและเส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อแบคทีเรียในลำไส้
แคลเซียม (Calcium) มีบทบาทสำคัญช่วยป้องกันและรักษาโรคความดัน ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ป้องกันหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยงฉับพลัน ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ และนิ่วในไต
ผสมกับน้ำธรรมดา หรือน้ำเย็น 250 มล. 1 ซองผสมให้เข้ากันแล้วดื่มทันที
จากคุณ |
:
yestagon
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ม.ค. 54 16:12:01
|
|
|
|
 |