ความคิดเห็นที่ 1 การปฐมพยาบาลสุนัขเบื้องต้น           ในสภาพการเลี้ยงสุนัขในปัจจุบันนี้ ทำให้สุนัขมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ (เช่น รถชน ช็อก ไฟฟ้าดูด ตกน้ำ และปวดท้องอย่างเฉียบพลันเป็นต้น หรือได้รับสารพิษได้ง่าย เจ้าของจึงมีความจำเป็นต้องให้การปฐมพยาบาลก่อนที่จะส่งต่อให้สัตวแพทย์ทำการรักษาต่อไป ดังนั้นเจ้าของหรือผู้เลี้ยงสุนัขจึงควรรู้ถึงวิธีการปฐมพยาบาลสุนัขที่ถูกวิธี เพื่อลดความเจ็บปวดและโอกาสที่จะทำให้สุนัขตายได้ การช่วยหายใจและการปั๊มหัวใจ           การช่วยหายใจก็เพื่อช่วยเหลือให้สุนัขหายใจในขณะที่หมดความรู้สึก ส่วนการปั๊มหัวใจเป็นการช่วยเหลือเมื่อไม่ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจหรือรู้สึกว่าหัวใจหยุดเต้น เมื่อหยุดหายใจจะทำให้หัวใจหยุดเต้นตามมา การช่วยหายใจร่วมกับการปั๊มหัวใจจะช่วยทำให้สุนัขมีชีวิตต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อจะได้ทำการช่วยเหลืออื่น ๆ ต่อไปได้ การปั๊มหัวใจจะทำให้อากาศถ่ายเทเข้าสู่ปอดและยังช่วยปั๊มเลือดด้วย แต่เพื่อที่จะให้ได้ผลดีที่สุด ควรปั๊มหัวใจร่วมกับการช่วยหายใจแบบปากต่อจมูกด้วย ซึ่งต้องอาศัย 2 คนช่วยเหลือกัน โดยที่คนหนึ่งช่วยปั๊มหัวใจ ส่วนอีกคนช่วยหายใจแบบปากต่อจมูก           กรณีฉุกเฉินที่ต้องช่วยหายใจและ/หรือปั๊มหัวใจ ได้แก่ ช็อก ได้รับสารพิษ ชักเป็นเวลานาน โคม่า อุบัติเหตุที่หัว ไฟฟ้าดูด และ การอุดตันทางเดินหายใจ เป็นต้น แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 54 17:37:01 จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 16:57:47

ความคิดเห็นที่ 2 การช่วยหายใจ           วิธีการช่วยหายใจมี 2 วิธี คือ แบบกดที่หน้าอก และแบบปากต่อจมูก การกดที่อกเป็นวิธีการที่ใช้แรงกดไปที่ผนังช่องอก เพื่อให้อากาศออกมาและจากนั้นจึงผ่อนแรงเพื่อให้อากาศเข้าไป จึงเป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ส่วนวิธีการปากต่อจมูกนั้นจะเป็นวิธีที่ทำเมื่อใช้วิธีกดช่องอกไม่ได้ผล หรือเมื่อช่องอกทะลุมีรูเกิดขึ้น วิธีการกดช่องอก 1.คลำชีพจรหรือสังเกตการณ์เต้นของหัวใจ 2. เปิดปากสุนัขและทำความสะอาดเพื่อไม่ให้มีน้ำลายหรือเสมหะ 3.วางสุนัขบนที่ราบโดยให้ด้านขวาของสุนัขอยู่ด้านล่าง 4.วางมือข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างลงบนหน้าอกแล้วกดลงอย่างแรง จากนั้นปล่อยมืออย่างรวดเร็ว ถ้าทำอย่างถูกต้องจะได้ยินเสียงอากาศผ่านเข้าและออก ถ้าไม่ได้ยินเสียงอากาศผ่านเข้าออกให้ใช้วิธีปากต่อจมูก 5. ปฏิบัติจนกระทั่งสุนัขหายใจได้เอง หรือตราบเท่าที่หัวใจยังเต้นอยู่ วิธีการปากต่อจมูก 1. ในตอนแรกทำเหมือนขั้นตอนที่ 1 และ 2 ของวิธีการกดช่องอก 2.ดึงลิ้นออกมาและปิดปาก จากนั้นใช้มือปิดริมฝีปาก 3.จากนั้นใช้ปากของท่านปิดจมูกสุนัขแล้วเป่าติดต่อกันเป็นเวลา 3 วินาที จะทำให้ช่องอกขยายออก จากนั้นเอาปากออกจะทำให้อากาศออกมา 4. ปฏิบัติจนกระทั่งสุนัขหายใจได้เอง หรือตราบเท่าที่หัวใจยังเต้นอยู่ จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 16:59:15

ความคิดเห็นที่ 3 การปั๊มหัวใจ ปั๊มหัวใจสุนัขขนาดเล็ก 1. ในตอนแรกทำเหมือนขั้นตอนที่ 1 และ 2 ของวิธีการกดช่องอก 2.จับสุนัขนอนตะแคง วางนิ้วโป้งลงบนข้างใดข้างหนึ่งของกระดูกอก (sternum) และนิ้วมืออื่น ๆ อยู่ด้านตรงข้ามหลังข้อศอกเล็กน้อย 3.กดช่องอกแรง ๆ 6 ครั้ง จากนั้นพักนาน 5 วินาทีเพื่อให้ช่องอกขยายตัว แล้วจึงกดซ้ำอีก 4.ปฏิบัติการซ้ำจนกระทั่งหัวใจเต้นได้เอง หรือจนกระทั่งหัวใจไม่เต้นเป็นเวลานาน 5 นาที ปั๊มหัวใจสุนัขขนาดใหญ่ 1. ในตอนแรกทำเหมือนขั้นตอนที่ 1 และ 2 ของวิธีการกดช่องอก 2.ให้สุนัขนอนบนพื้นราบโดยให้ด้านขวาอยู่ด้านล่าง 3.วางผ่ามือบนกระดูกหน้าอกด้านหลังข้อศอกเล็กน้อย ซึ่งเป็นด้านบนหัวใจ 4.กดช่องอกแรง ๆ 6 ครั้ง จากนั้นพักนาน 5 วินาทีเพื่อให้ช่องอกขยายตัว แล้วจึงทำซ้ำอีก 5.ปฏิบัติการซ้ำจนกระทั่งหัวใจเต้นได้เอง หรือจนกระทั่งหัวใจไม่เต้นเป็นเวลานาน 5 นาที จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:00:19

ความคิดเห็นที่ 4 การห้ามเลือด           เลือดออกเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ได้แก่ จากบาดแผล (เช่นสังกะสีบาด) และโรคติดเชื้อ (เช่น โรคลำไส้อักเสบติดต่อ เป็นต้น และเกิดขึ้นได้ตามตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกายสุนัข เช่น ที่ขา หาง จมูก ใบหู อก และท้อง เป็นต้น เมื่อเกิดเลือดออกสิ่งที่ต้องรีบทำคือ การห้ามเลือด ถ้าเลือดออกที่ไม่ได้เป็นผลมาจากหลอดเลือดใหญ่ฉีกขาด จะสามารถห้ามเลือดได้โดยการใช้ผ้าก๊อซ หรือผ้าสะอาดกดบริเวณที่เลือดออกสักพักหนึ่ง เลือดก็จะหยุดได้ อย่างไรก็ตามวิธีการห้ามเลือดจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เลือดออก           ถ้าเลือดออกบริเวณปลายเท้า นอกจากจะใช้ผ้าก๊อซกดบริเวณเลือดออกแล้ว ยังอาจจะต้องใช้วิธีขันชะเนาะช่วยด้วย เพื่อให้เลือดหยุดไหล โดยใช้เชือกหรือเศษผ้ารัดเหนือบาดแผล แต่ต้องคลายออกเป็นระยะ ๆ ทุก 30 นาที นาน 2-3 นาที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะและเนื้อเยื่อส่วนปลายลงไปได้บ้าง ป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อเหล่านั้นตายได้       ถ้าเลือดออกที่ช่วงอกและช่วงท้อง หากมีบาดแผลเลือดออกต้องใช้ผ้าก๊อซกดที่แผลแล้วพันรัดให้แน่น จากนั้นรีบนำส่งโรงพยาบาลสัตว์หรือคลินิกรักษาสัตว์โดยด่วน เพราะอาจจะมีการฉีกขาดของอวัยวะภายในได้           ถ้าเลือดไหลออกจากจมูก (หรือที่เรียกว่า เลือดกำเดาไหล) ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากพยาธิในเม็ดเลือดชนิดหนึ่ง หรือหลอดเลือดฝอยในรูจมูกแตกเนื่องจากอากาศร้อนจัด ต้องพยายามให้สุนัขอยู่นิ่ง ๆ แล้วใช้น้ำแข็ง (อาจจะห่อผ้าหรือใส่ถุงพลาสติก) โปะดั้งจมูกไว้สักระยะหนึ่งจะช่วยทำให้เลือดหยุดไหลได้ แต่ถ้าเลือดออกในกระเพาะและลำไส้จะทำให้สุนัขอาเจียนและถ่ายเป็นเลือด ควรรีบนำส่งสัตวแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาอย่างถูกต้องและฉับพลัน จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:03:14

ความคิดเห็นที่ 5 การทำแผล           ในสุนัขบริเวณที่บาดเจ็บเป็นแผลมักจะเป็นแผลสกปรกและมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย จึงต้องมีการระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้มีการติดเชื้อ ดังนั้นก่อนที่จะทำแผลจึงควรล้างมือและเครื่องมือที่จะใช้ทำแผลให้สะอาดเสียก่อน           หลักการในการทำแผลสุนัขมีดังนี้คือ 1.ถ้าเลือดออกให้ทำการห้ามเลือดก่อน 2.ตัดขนรอบแผลเพื่อให้เห็นแผลได้ชัดและทำให้บริเวณสะอาดขึ้นด้วย 3.ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดเพื่อชะล้างเศษสิ่งสกปรกออกไป แล้วเช็ดให้แห้ง 4.ขัดถูแผลให้มีเลือดออกเล็กน้อยด้วยผ้าก๊อซชุบทิงเจอร์ไอโอดินเจือจาง 5. ใส่ยาเช่น ทิงเจอร์ไอโอดิน ยาแดง และขี้ผึ้งที่มียาปฏิชีวนะอยู่ด้วย 6.ปิดแผลด้วยผ้ากอซ หรือพันแผล 7.ใส่ปลอกคอกันเลีย เพื่อป้องกันกัดผ้าก๊อซและเลียแผล           ในกรณีที่เป็นแผลเรื้อรังมีหนองและสะเก็ดอยู่ด้วยต้องทำความสะอาดก่อน ด้วยสารละลาย ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้น 3% หรือสบู่ที่มีส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อ จากนั้นเช็ดให้แห้ง ขัดถูแผล แล้วจึงใส่ยาและปิดแผลหรือพันแผล จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:04:42

ความคิดเห็นที่ 6 แผลไหม้           แผลไหม้ในสุนัขมักจะเกิดจากความร้อน สารเคมี ไฟฟ้าดูด และรังสี แผลไหม้จากแสงแดดเป็นตัวอย่างหนึ่งของแผลไหม้ที่เกิดจากรังสี มักจะเกิดที่จมูกของสุนัขที่มีเม็ดสีไม่เพียงพอ และสุนัขที่มีขนสีขาว           การเป็นแผลจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความรุนแรงของสาเหตุ ถ้าเกิดแผลไหม้แบบตื้นๆจะพบว่าผิวหนังมีสีแดง บางครั้งจะมีเม็ดตุ่มและบวมขึ้นเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นแผลไหม้แบบลึก ผิวหนังจะเป็นสีขาว และขนจะหลุดง่ายถ้าดึงและเจ็บปวดมาก ถ้าครึ่งหนึ่งของร่างกายเกิดเป็นแผลไหม้ จะทำให้มองดูน่ารังเกียจ และอาจจะทำให้สุนัขช็อกได้ถ้ามีน้ำหนองและเลือดไหลออกมามาก           ทำการปฐมพยาบาลโดยปฏิบัติดังนี้           1. ตัดขน ล้างบริเวณที่เกิดแผลไหม้ให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง           2. ถ้าสุนัขแสดงอาการเจ็บปวดบริเวณที่เกิดแผลไหม้ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือกระเป๋าน้ำแข็งโปะเพื่อลดความเจ็บปวด           3. ทาด้วยขี้ผึ้งที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ แล้วปิดด้วยผ้าก๊อซ           4. ในกรณีที่เกิดแผลไหม้เนื่องจากสารเคมี ให้ฉีดล้างด้วยน้ำปริมาณมาก ถ้าเกิดจากกรด ให้ล้างซ้ำด้วยเบกกิ้ง โซดา (หรือชื่อทางเคมีว่า โซเดียม ไบคาร์บอเนต)   (ขนาด 4 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1/2 ลิตร) เพื่อทำลายฤทธิ์ของกรด แต่ถ้าเกิดจากด่าง ให้ล้างซ้ำด้วยน้ำส้มสายชูเจือจาง (ขนาด 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1/2 ลิตร) เช็ดให้แห้ง และทาด้วยขี้ผึ้งที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ แล้วจึงพันหลวม ๆ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 54 17:07:06 จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:06:50

ความคิดเห็นที่ 7 การเข้าเฝือกชั่วคราว           บางครั้งสุนัขโดนรถชนทำให้ขาหัก เจ้าของมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าเฝือกชั่วคราว ก่อนที่จะพาไปหาสัตวแพทย์ วิธีการเข้าเฝือกชั่วคราวที่แนะนำให้เจ้าของปฏิบัติคือ ใช้วัสดุพื้นบ้าน เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์ ม้วนเป็นท่อนจนแข็งพอประมาณ นำมาดามกับขาส่วนที่หักแล้วใช้ผ้าเทปพันรัดเอาไว้เพื่อไม่ให้หลุดหรือขยับ นอกจากนี้ยังอาจใช้ไม้ไผ่ เศษไม้อันเล็ก ๆ หรือท่อพลาสติกแทนกระดาษหนังสือพิมพ์ก็ได้ หลักการเข้าเฝือกคือ เพื่อไม่ให้เกิดการขยับเขยื้อนของกระดูกส่วนที่หัก และจะต้องไม่บีบรัดหลอดเลือดจนไม่สามารถหมุนเวียนตามปกติ ซึ่งสังเกตได้จากการที่ปลายเท้าจะบวมเพราะเลือดคั่งไหลกลับไม่ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เฝือกขยับควรพันเฝือกให้พ้นข้อที่อยู่บนและล่างตำแหน่งกระดูกที่หัก ตำแหน่งการเข้าเฝือกชั่วคราวต้องคลุมข้อบนและข้อล่างของกระดูกท่อนที่หัก แต่ถ้ากระดุกหักทะลุออกนอกเนื้อควรใช้ยาใส่แผลสดทา และใช้ผ้าก๊อซสะอาดปิดแผลไว้ชั่วคราวพร้อมกับดามกระดูกส่วนที่หักตามแบบกระดูกหักธรรมดา หลังจากเข้าเฝือกชั่วคราวแล้วรีบส่งสัตวแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:09:17

ความคิดเห็นที่ 8 การทำให้สุนัขอาเจียน เรามักจะทำให้สุนัขอาเจียนเมื่อสุนัขกินสารพิษเข้าไป แต่ไม่ควรทำให้สุนัขของท่านอาเจียนในกรณีที่           1. สุนัขกินกรด ด่าง และน้ำยาทำความสะอาด           2. สุนัขซึมมากและขาดออกซิเจน           3. กินยากล่อมประสาทและยาซึม           4. กินของที่มีคม           5. สุนัขกินสารพิษเข้าไปนานเกินกว่า 2 ชั่วโมง           6. การทำให้สุนัขอาเจียนนั้นค่อนข้างยาก แต่อาจทำได้โดยการให้           7. กินน้ำอุ่นละลายเกลือจนออกรสเค็ม โดยให้ขนาด 1-2 ลิตร           8. กินเกลือโดยตรง โดยให้ขนาด 1/2 -1 ช้อนชา วางไว้บนโคนลิ้น           9. กินสารละลายไฮโดรเจน เปอร์ออกไซด์ ความเข้มข้น 3% ขนาด 1-3 ช้อนชาทุก ๆ 10 นาที ให้ซ้ำได้ไม่เกิน 3  ครั้ง จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:10:02

ความคิดเห็นที่ 9 ช็อก                 ช็อกเป็นภาวะที่เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ การที่เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายอย่างพอเพียงนั้น หัวใจต้องสูบฉีดเลือดได้ดี หลอดเลือดต้องปกติไม่ฉีกขาดหรือตีบตัน และปริมาณเลือดต้องมากพอ ที่จะให้เลือดไหลเวียนและมีความดันเลือดที่คงที่ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับหัวใจ หลอดเลือด หรือปริมาณเลือดจะทำให้เกิดการช็อกขึ้นได้ ในตอนแรก ร่างกายพยายามที่จะชดเชยการไหลเวียนของเลือด ที่ลดลงโดยหัวใจเต้นเร็วขึ้น หลอดเลือดหดตัว และทำให้มีเลือดไหลเวียนอย่างเพียงพอ โดยการปัสสาวะลดลง แต่ถ้าสุนัขอยู่ในสภาวะช็อกเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้อวัยวะที่สำคัญของร่างกาย เช่น หัวใจและตับขาดออกซิเจน มีผลให้หน้าที่การทำงานลดลง จนถึงขนาดทำให้สุนัขตายได้ สาเหตุที่ทำให้เกิดการช็อก ได้แก่ ขาดน้ำ (จากการอาเจียนเป็นเวลานาน ๆ หรือท้องเสียเป็นเวลานาน ๆ) มีไข้สูง ติดเชื้ออย่างรุนแรง กินสารพิษ และ เลือดออก เป็นต้น แต่สาเหตุที่มักจะทำให้เกิดการช็อกที่พบได้บ่อย ๆ คือ โดนรถชน                 อาการของการช็อกที่เกิดขึ้นจากการไหลเวียนของเลือดไม่เพียงพอ คือ อุณหภูมิของร่างกายลดลง สั่น ซึม อ่อนเพลีย เท้าเย็น ผิวหนังและเยื่อชุ่มซีด และชีพจรเต้นอ่อนลง สำหรับการรักษานั้น ในตอนแรกต้องพิจารณาสุนัขก่อนว่า หายใจหรือไม่ หัวใจเต้นหรือไม่ การบาดเจ็บรุนแรงหรือไม่ สุนัขเกิดการช็อกจริงหรือไม่ ถ้าเกิดการช็อกจริงให้ปฏิบัติดังนี้                 1. ถ้าหยุดหายใจ ต้องทำการช่วยหายใจ                 2. ถ้าหัวใจหยุดเต้น ต้องทำการปั๊มหัวใจ                 3. ถ้าสุนัขไม่รู้สึกตัว ต้องพยายามทำให้ทางเดินหายใจไม่อุดตัน พยายามเอาเสมหะและน้ำลายออกจากปากโดยใช้นิ้ว ดึงลิ้นออกมาเพื่อให้อากาศผ่านเข้าและออกได้สะดวก และพยายามให้ส่วนหัวต่ำกว่าส่วนร่างกาย                 4. ห้ามเลือด                 5. ป้องกันไม่ให้สภาพช็อกแย่ลงโดย                                  5.1 ทำให้สุนัขอยู่อย่างสงบ และไม่ส่งเสียงดัง                                  5.2 ให้สุนัขอยู่ในท่าที่สบาย เพื่อที่จะทำให้สุนัขเจ็บปวดน้อยที่สุด อย่าบังคับให้สุนัขนอนลง จะทำให้หายใจลำบาก                                  5.3 ถ้าขาหักต้องใส่เฝือกชั่วคราว                                  5.4 คลุมร่างกายด้วยผ้าห่ม อย่าห่มโดยการรัดให้แน่น                                  5.5 เคลื่อนย้ายสุนัขขนาดใหญ่โดยใส่ในผ้าห่มหรือผ้าใบ แต่ถ้าเป็นสุนัขขนาดเล็กต้องอุ้มโดยไม่ให้เกิดอันตรายมากขึ้นต่อส่วนที่ได้รับบาดเจ็บ                                  5.6 ผูกปากเฉพาะในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เพราะจะทำให้หายใจลำบากมากยิ่งขึ้น จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:13:06

ความคิดเห็นที่ 10 รถชน                 ในปัจจุบันนี้พบได้บ่อยที่สุนัขโดนรถชน เพราะจำนวนรถเพิ่มขึ้นมาก ความรุนแรงของการบาดเจ็บจะขึ้นอยู่กับชนิดรถที่ชน และตำแหน่งของร่างกายที่โดนชน ถ้าเป็นรถมอเตอร์ไซค์จะได้รับบาดเจ็บน้อยกว่าถูกรถยนต์ชน สุนัขที่ถูกรถยนต์ชนอาจพบว่ากระดูกขาหัก ตับแตกมีเลือดออกในช่องท้อง ปอดแตกมีเลือดออกในช่องอก หรืออาจจนถึงขั้นหัวน็อกพื้นตายก็มี                 การปฐมพยาบาลก็ให้ปฏิบัติดังนี้                 1. ทำให้สุนัขสงบ                 2. ห้ามเลือดในกรณีที่เลือดออก                 3. เข้าเฝือกชั่วคราวในกรณีที่กระดูกหัก                 4. อย่าเคลื่อนย้ายสุนัขโดยไม่จำเป็น และนำส่งสัตวแพทย์โดยด่วน จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:14:08

ความคิดเห็นที่ 11 กินสารพิษ                 สารพิษเป็นสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายคนและสัตว์ สารพิษที่มักจะนำมาใช้เป็นยาเบื่อสุนัข ได้แก่ ยาฆ่าแมลง และยาเบื่อหนูชนิดต่าง ๆ โดยใส่หรือผสมกับเหยื่อที่สุนัขชอบกิน ได้แก่ ก้อนเนื้อ ลูกชิ้น และข้าวปลา เมื่อสุนัขได้รับสารพิษจะแสดงอาการพิษต่าง ๆ ตามชนิดของสารพิษที่ได้รับ เช่น ยาฆ่าแมลงพวกดีดีที จะมีอาการอาเจียน น้ำลายไหล สั่น หรือชัก แต่ถ้าได้รับยาเบื่อหนูชนิดสตริกนิน จะแข็งเกร็ง และขาทั้งสี่เหยียดออก                 ดังนั้นเมื่อสุนัขของท่านมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะได้รับสารพิษ เช่น อาเจียน น้ำลายไหล ชัก ตัวแข็งเกร็ง และขาทั้งสี่เหยียดออก ก่อนนำส่งสัตวแพทย์ให้ท่านปฏิบัติดังนี้                 1. ทำให้สุนัขอาเจียน เพื่อกำจัดสารพิษที่มีอยู่ในกระเพาะอาหาร และล้างปากและเช็ดออกให้สะอาด 2. ดูดซับพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ เพื่อไม่ให้ดูดซึมเข้ากระแสเลือดต่อไป โดยการใช้สารที่สามารถดูดซับพิษ เช่น ถ่านและไข่ขาว ในทางปฏิบัตินิยมให้กินไข่ขาว เพราะป้อนได้ง่ายกว่าถ่าน สุนัขขนาดเล็กให้กินประมาณ 1-2 ฟอง ส่วนสุนัขใหญ่ในกินสัก 3-5 ฟอง 3. เก็บสิ่งที่สุนัขอาเจียนออกมา พร้อมทั้งฉลากขวดยาหรือสารพิษที่สุนัขกินเข้าไป นำมาให้สัตวแพทย์เมื่อนำสุนัขที่สงสัยว่ากินสารพิษนั้นมาหาสัตวแพทย์ (รีบนำสุนัขมาหาสัตวแพทย์อย่างรีบด่วน) ทั้งนี้เพื่อที่สัตวแพทย์จะได้ทราบว่าสุนัขเกิดอาการพิษจากสารพิษชนิดใด เพื่อให้ยาแก้พิษได้ถูกต้อง จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:15:58

ความคิดเห็นที่ 12 งูกัด           สุนัขที่เลี้ยงไว้ในบริเวณที่เป็นสนามหญ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นพงรก มีโอกาสที่จะถูกงูกัดได้ง่าย สุนัขอาจจะเกิดอันตรายถึงตายได้หรือไม่เป็นอันตรายมากก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับว่างูนั้นมีพิษหรือไม่ ถ้างูที่ไม่มีพิษกัดจะพบว่า บริเวณที่ถูกกัดจะมีลักษณะของฟันเป็นรูปเกือกม้า แต่ถ้าถูกงูมีพิษกัดตรงที่ถูกกัดจะมีลักษณะเป็นรอยเขี้ยวลึก                 การที่จะคิดว่าสุนัขของท่านถูกงูมีพิษกัดได้นั้น จะต้องพบรอยเขี้ยวตรงบริเวณที่ถูกกัด ร่วมกับอาการพิษที่แสดงออกมา (เช่น อยู่ไม่สุข หอบ อาเจียน ท้องเสีย ชัก ช็อก อัมพาต และโคมา) จากนั้นต้องพยายามค้นหาว่าโดนงูชนิดใดกัด                 ถ้าสุนัขของท่านถูกงูมีพิษกัดต้องรู้ว่าถูกงูชนิดใดกัด และต้องหาบริเวณที่ถูกกัดให้ได้ และปฏิบัติดังนี้                 1. บังคับสุนัขให้อยู่นิ่ง เพราะสุนัขที่ถูกงูพิษกัดจะเจ็บปวดมาก 2. มัดเหนือบริเวณที่ถูกกัด มัดไม่ให้แน่นมากเหมือนขันชะเหนาห้ามเลือด แต่ต้องมัดให้แน่นพอที่ไม่ให้เลือดไหลกลับหัวใจได้ 3. ใช้มีดเปิดตรงบริเวณที่ถูกกัดให้กว้างขึ้นเพื่อที่จะให้เลือดไหลออก ทำให้พิษงูออกจากร่างกาย แต่ถ้าเลือดไม่ไหลออกต้องหาเครื่องดูดมาช่วยดูดออก ถ้าจำเป็นจริงๆต้องใช้ปากดูด ซึ่งพิษงูจะถูกทำให้หมดฤทธิ์ในกระเพาะอาหาร 4. ปล่อยที่รัดไว้ให้หลวมบ้างเป็นเวลานานสัก 30  วินาทีทุกครึ่งชั่วโมง 5. พยายามให้สุนัขอยู่อย่างสงบ เพราะถ้าสุนัขตื่นเต้น และดิ้นรนจะทำให้มีโอกาสดูดซึมพิษงูได้มากยิ่งขึ้น 6. จากนั้นรีบนำส่งสัตวแพทย์ เพื่อทำการฉีดเซรุ่มแก้พิษต่อไป จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:17:46

ความคิดเห็นที่ 13 แมลงกัดต่อย           มีแมลงหลายชนิดที่กัดแล้วทำให้สุนัขมีอาการเจ็บปวดและบวมตรงบริเวณที่กัด แมลงเหล่านั้นได้แก่ ผึ้ง มด แมงป่อง ต่อ แตน และตะขาบ เป็นต้น อาการที่เกิดขึ้นจากแมลงกัดนั้นจะขึ้นกับชนิดของแมลงที่กัด ถ้าถูกผึ้งต่อยจะบวมและเจ็บปวดมากตรงบริเวณที่ถูกต่อย แต่ถ้าถูกแมงป่องหรือตะขาบกัด จะเจ็บปวดมากและอาจจะมีไข้ รวมทั้งแผลที่ถูกกัดจะหายช้ามาก                 เมื่อสุนัขของท่านถูกแมลงกัดต่อยให้ปฏิบัติดังนี้                 1. ต้องรู้ว่าถูกแมลงชนิดใดกัดต่อย 2. ให้สุนัขอยู่อย่างสงบ และสังเกตดูรอยเขี้ยว และรอยฟันตรงบริเวณที่ถูกกัด ในกรณีที่ถูกผึ้งต่อย ถ้ามีเหล็กไนก็ต้องดึงออก 3. ใช้น้ำสะอาดล้างบริเวณแผล เพื่อล้างเอาพิษออกไปบ้าง 4. ใช้น้ำแข็งประคบเพื่อลดการบวมและความเจ็บปวด 5. ทาคาลาไมน์ถ้าสุนัขคันบริเวณที่ถูกกัด 6. นำส่งสัตวแพทย์พร้อมทั้งบอกด้วยว่าถูกแมลงชนิดใดกัดเพื่อให้การรักษาได้ถูกต้อง จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:18:55

ความคิดเห็นที่ 14 อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ           สภาวะที่อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติมักจะเกิดขึ้นเมื่อสุนัขเปียก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาบน้ำสุนัขในวันที่อากาศหนาว พบบ่อยในสุนัขพันธุ์เล็กที่มีขนสั้น นอกจากนี้ยังพบว่าเกิดสภาวะแบบนี้ ได้เมื่อสุนัขช็อก ได้รับยาสลบ และลูกสุนัขเกิดใหม่                 อาการที่พบได้เมื่ออุณหภูมิของร่างกายต่ำกว่าปกติ ได้แก่ สั่น แล้วต่อมาจะเซื่องซึม อุณหภูมิร่างกายต่ำลงถึง 97 องศาฟาเรนไฮน์ แสดงว่าสุนัขอยู่ในขั้นโคม่า ให้การปฏิบัติดังนี้                 1. ในกรณีที่ตัวเปียก ต้องเช็ดตัวให้แห้ง                 2. เปิดไฟกกหรือห่มคลุมตัวเพื่อเพิ่มอุณหภูมิของร่างกาย                 3. ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตรงบริเวณรักแร้ ขาหนีบ อก และท้อง หมั่นเปลี่ยนผ้าบ่อยๆ เช็ดจนกระทั่งอุณหภูมิของร่างกายเพิ่มขึ้นสูงกว่า 100 องศาฟาเรนไฮน์ บางกรณีจำเป็นต้องใช้เครื่องเป่าผมช่วย                 4. เมื่อสุนัขรู้สึกตัวและสามารถกลืนได้ ให้กินน้ำผึ้งหรือกลูโคสเพื่อเพิ่มพลังงาน จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:20:20

ความคิดเห็นที่ 15 ร่างกายขาดน้ำ           สภาวะที่ร่างกายขาดน้ำเกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำและอีเลกโตไลด์อย่างมาก ในขณะที่สุนัขป่วย อาจจะเกิดขึ้นได้เนื่องจากกินน้ำไม่เพียงพอ และยิ่งถ้าสุนัขมีไข้สูงจะยิ่งทำให้เสียน้ำมากขึ้น แต่สาเหตุที่มักทำให้สุนัขขาดน้ำคือ อาเจียนเป็นเวลานาน และท้องเสีย                 อาการเด่นชัดเมื่อสุนัขอยู่ในสภาพขาดน้ำ คือ ผิวหนังจะไม่ยืดหยุ่น เมื่อลองจับผิวหนังที่หลังยกขึ้น จะเป็นสันนูนขึ้นไม่ค่อยกลับสู่สภาวะเดิม หรือต้องใช้เวลานานมากกว่าจะกลับสู่สภาวะเดิม อาการอื่นที่พบได้คือ ปากแห้ง ส่วนอาการในขั้นสุดท้ายที่พบได้คือ ตาลึก และระบบหมุนเวียนโลหิตล้มเหลว                 ถ้าสุนัขอยู่ในสภาพขาดน้ำอย่างรุนแรง หรืออาเจียน ต้องนำส่งสัตวแพทย์เพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป แต่ถ้าไม่อยู่ในขั้นรุนแรงและไม่อาเจียน ต้องให้กินสารน้ำ (หรือที่เรียกว่า เกลือแร่ซองนั่นเอง) แต่ถ้าไม่ยอมกินเองก็ต้องป้อนให้กินโดยใช้ขวดหรือกระบอกฉีดยา จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:21:19

ความคิดเห็นที่ 16 จมน้ำและหายใจไม่ออก           สาเหตุที่ทำให้ออกซิเจนไม่เข้าไปในปอดและในเลือด ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนไปหล่อเลี้ยง สาเหตุต่าง ๆ เหล่านั้นได้แก่ ความเป็นพิษจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ หายใจเอาก๊าซพิษเข้าไป จมน้ำ สิ่งแปลกปลอมเข้าไปอุดตันทางเดินหายใจ และเกิดบาดแผลที่ช่องอกจนทำให้หายใจลำบาก เป็นต้น                 อาการที่พบได้เมื่อร่างกายขาดออกซิเจน คือ หายใจหอบ อ้าปากหายใจ (มักจะยื่นหัวด้วย) ตื่นเต้นตกใจ อ่อนเพลีย ถ้าเกิดสภาพนี้อยู่นานจะทำให้สุนัขหมดความรู้สึก และโคม่า ม่านตาขยาย ลิ้นและเยื่อชุ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง ยกเว้นในรายที่เป็นพิษจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จะพบว่าลิ้น และเยื่อชุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ให้การปฏิบัติดังนี้                 1. ให้สุนัขหายใจอากาศที่บริสุทธิ์ 2. ถ้าสุนัขหายใจตื้นหรือไม่หายใจ ให้ช่วยทำการหายใจทันทีโดยวิธีปากต่อจมูก 3. ถ้าเกิดบาดแผลที่ช่องอกซึ่งจะสังเกตได้โดยได้ยินเสียงเมื่อหายใจเข้าออก ให้ปิดที่บาดแผลโดยดึงกล้ามเนื้อและผิวหนังที่ฉีกขาดมาปิดแล้วปิดทับด้วยผ้าก๊อซ แล้วพันด้วยผ้าเทป 4. เมื่อสุนัขมีสภาพที่ดีขึ้นบ้างแล้ว รีบนำส่งสัตวแพทย์ เพื่อทำการแก้ไขให้ตรงกับสาเหตุ                 ในกรณีที่สุนัขตกน้ำ ต้องจับสุนัขห้อยหัวลงโดยยกขาหลังขึ้นตรงตำแหน่งข้อเข่าแล้วเขย่าแรง ๆ เพื่อให้น้ำไหลออกมาจากปอด เมื่อน้ำไหลออกจากปากและจมูกจนหมดแล้ว ค่อย ๆ วางสุนัขนอนตะแคงลงกับพื้นดึงลิ้นออกมาจากปาก เพื่อป้องกันไม่ให้อุดทางเดินหายใจ จากนั้นช่วยหายใจ และถ้าหัวใจหยุดเต้นต้องช่วยปั๊มหัวใจด้วย จากนั้นจึงนำส่งสัตวแพทย์ต่อไป จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:23:04

ความคิดเห็นที่ 17 ไฟฟ้าดูด           ไฟฟ้าดูดพบได้บ่อยกับลูกสุนัข เพราะลูกสุนัขชอบกัดสายไฟ หรือบางครั้งพบได้ในสุนัขที่สัมผัสกับสายไฟที่ขาด นอกจากนี้ยังอาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากฟ้าผ่า ในรายที่กัดสายไฟจะพบแผลไหม้ในปากได้ สัตว์ที่ถูกไฟฟ้าดูดจะเกิดแผลไหม้ตรงบริเวณที่ถูกไฟดูด ระบบหมุนเวียนโลหิตล้มเหลว และหายใจลำบาก กระแสไฟฟ้าจะทำลายหลอดเลือดฝอยในปอด จึงทำให้เกิดการสะสมของของเหลวในถุงลม เกิดสภาพที่เรียกว่าปอดบวมน้ำได้                 ก่อนที่จะให้การช่วยเหลือต้องถอดปลั๊กไฟออกก่อน เพื่อความปลอดภัยของเจ้าของ ถ้าสุนัขไม่รู้สึกตัวหรือไม่หายใจ ต้องช่วยหายใจ ทายาบริเวณแผลไหม้ ถ้าเกิดอาการรุนแรงและมีแนวโน้มว่าจะเกิดปอดบวมน้ำให้รีบนำสุนัขส่งสัตวแพทย์ จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:24:07

ความคิดเห็นที่ 18 อุณหภูมิร่างกายสูงเกินไป           อุณหภูมิของร่างกายสูงเกินไปเป็นภาวะฉุกเฉินที่เจ้าของสุนัขต้องรู้โดยด่วน และต้องให้การรักษาทันที ทั้งนี้เพราะสุนัขไม่สามารถทนต่อสภาพที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงได้เช่นเดียวกับคน สุนัขจะพยายามหายใจเร็วขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนลมหายใจที่ร้อนกับอากาศภายนอกร่างกายที่เย็นกว่า แต่ถ้าอุณหภูมิของอากาศภายนอกสูงเท่า ๆ กับอุณหภูมิของร่างกาย การหายใจเร็ว ๆ ก็จะไม่มีผลในการระบายความร้อน และสุนัขที่มีปัญหาในเรื่องโรคทางเดินหายใจก็จะมีความลำบากในเรื่องการระบายความร้อนโดยการหายใจ               สุนัขมีโอกาสที่จะอยู่ในสภาวะที่อุณหภูมิร่างกายสูงเกินไปได้ ถ้า                 1. ทิ้งไว้ในรถยนต์ที่มีอากาศร้อน 2. ขังไว้ในคอกที่เป็นพื้นซีเมนต์ในวันที่มีอากาศร้อน หรือผูกไว้ในบริเวณที่อากาศร้อนโดยไม่มีร่ม 3. สุนัขพันธุ์จมูกสั้น เช่น บูลด๊อก หรือปั๊ก 4. มัดปากและในขณะเดียวกันใช้ที่เป่าผมเพื่อทำให้ขนแห้ง 5. เกิดปัญหาโรคทางเดินหายใจ หรือภาวะที่ทำให้หายใจลำบาก เช่น เนื้องอกในโพรงจมูก                 อาการของการที่ร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงเกินไปจะเริ่มขึ้นโดยสุนัขจะหายใจเร็วและมีเสียงดัง ลิ้นและเยื่อชุ่มมีสีแดงเข้ม มีน้ำลายมากและเหนียว และสุนัขมักจะอาเจียน อุณหภูมิของร่างกายจะสูง (มักจะสูงเกิน 106 องศาฟาเรนต์ไฮน์)                 ถ้าสุนัขยังมีอุณหภูมิร่างกายสูงเป็นเวลานานโดยไม่ได้ทำการช่วยเหลือ จะทำให้สุนัขนั้นเดินโซเซหรือยืนไม่ได้และมึนงง อุจจาระออกมามีเลือดปน จึงยิ่งทำให้สุนัขอ่อนเพลียมากยิ่งขึ้น โคม่า และตายในที่สุด ให้การช่วยเหลือดังนี้                 1. ในรายที่มีอาการไม่มากนัก ให้เคลื่อนย้ายสุนัขไปอยู่ในที่เย็นกว่า เช่น อยู่ในห้องแอร์ เป็นต้น 2. ถ้าอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 104 องศาฟาเรนต์ไฮน์ หรือไม่สามารถยืนได้ ต้องทำให้สุนัขมีอุณหภูมิลดลงโดยจับแช่ในอ่างน้ำเย็น หรือฉีดด้วยน้ำเย็น 3. ถ้าอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 106 องศาฟาเรนต์ไฮน์หรือสุนัขอยู่ในขั้นโคม่า ต้องสวนทวารด้วยน้ำเย็น เพื่อให้อุณหภูมิของร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว 4. เมื่อสุนัขมีสภาพที่ดีขึ้น ต้องรีบนำส่งสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและให้การรักษาต่อไป                 สามารถป้องกันการเกิดภาวะอุณหภูมิร่างกายสูงเกินไป โดย                 1. พยายามไม่ให้สุนัขเกิดปัญหาโรคทางเดินหายใจ หรือแก้ไขภาวะที่ทำให้สุนัขหายใจลำบาก 2. พยายามให้สุนัขออกกำลังกายอย่างจำกัดในวันที่มีอากาศร้อน 3. ผสมพันธุ์สุนัขในห้องแอร์ 4. ขังสุนัขในกรงที่ไม่ทึบ ควรเป็นตาข่าย 5. ควรมีร่มเงาและน้ำเย็นให้สุนัขในรายที่ปล่อยไว้นอกบ้าน จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:26:39

ความคิดเห็นที่ 19 อาเจียน           มักจะพบสุนัขแสดงอาการคลื่นไส้ และขย้อยอาหารได้บ่อย ๆ ในบางรายที่เป็นรุนแรงอาจอาเจียนออกมาเลย สาเหตุที่ทำให้สุนัขเกิดอาการเช่นนี้ ได้แก่ โรคติดเชื้อ (เช่น โรคลำไส้อักเสบติดต่อ และโรคตับอักเสบ) โรคที่เกิดในช่องท้องอย่างเฉียบพลัน (เช่น ตับอ่อนอักเสบ ช่องท้องอักเสบ ลำไส้อุดตัน และกระเพาะอาหารทะลุ) อาหารไม่ย่อย (เนื่องจากกินอาหารเร็วเกินไป กินมากไปหรืออาหารเป็นพิษ) ยาหรือสารพิษบางชนิด (เช่นยารักษาโรคหัวใจ และสารหนู) และมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปทำให้เกิดการระคายเคืองในบริเวณลำคอ (เช่น กระดูกติดคอ) เป็นต้น เมื่อสุนัขแสดงอาการอาเจียน ให้ปฏิบัติดังนี้                 1. สังเกตดูว่าสิ่งที่อาเจียนออกมามีลักษณะอย่างไร ระยะความถี่เป็นอย่างไร ซึ่งจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้ทราบถึงสาเหตุและความรุนแรงของการอาเจียนนั้น ๆ เช่น อาเจียนเป็นเศษอาหารที่ยังไม่ย่อยอาจมีสาเหตุจากกินอาหารเร็วเกินไป หรืออาเจียนเป็นเลือดสด ๆ อาจเนื่องจากกระเพาะอาหารทะลุ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าจำเป็นต้องนำส่งสัตวแพทย์หรือไม่ และยังเป็นข้อมูลที่ช่วยให้วินิจฉัยได้ถูกต้องยิ่งขึ้น 2. งดน้ำและอาหารชั่วคราว เพื่อให้ระบบย่อยอาหารได้พักตัวไม่มีสิ่งใดไปกระตุ้นการอาเจียนอีก ถ้าสุนัขหิวน้ำมากอาจให้กินได้บ้างเล็กน้อย แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิด 3. หากอาการอาเจียนรุนแรง และไม่หยุดอาเจียนหรือไม่ดีขึ้น ต้องนำส่งสัตวแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาต่อไป จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:28:08

ความคิดเห็นที่ 20 ท้องเสีย           สุนัขจะมีโอกาสท้องเสียได้บ่อย บางครั้งจะมีการอาเจียนร่วมด้วย และอุจจาระที่ถ่ายออกมาก็มีลักษณะต่าง ๆ กัน อาจพบถ่ายเหลวเป็นน้ำ เป็นมูกเลือด หรือบางครั้งเป็นเลือดสด ๆ ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้ท้องเสีย                 สาเหตุที่ทำให้สุนัขท้องเสียมี 2 แบบ คือ การติดเชื้อ (จากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อโปรโตซัว) และไม่ใช่การติดเชื้อ (เช่นการเปลี่ยนอาหารทันทีทันใด ภาชนะใส่อาหารไม่สะอาด และความเครียด)                 เมื่อสุนัขท้องเสียควรปฏิบัติดังนี้                 1. งดอาหารชั่วคราว 2. สังเกตดูว่าอุจจาระมีรูป กลิ่น สี อย่างไร รวมทั้งความถี่บ่อยในการถ่ายอุจจาระ 3. ถ้าสุนัขขาดน้ำต้องให้สารน้ำช่วย ถ้าขาดน้ำไม่รุนแรงและไม่อาเจียน ช่วยได้โดยการให้กินเกลือแร่ซองผสมน้ำ แต่ถ้าขาดน้ำอย่างมากต้องรีบพาไปหาสัตวแพทย์เพื่อให้การรักษาทันที 4. เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง ควรรีบนำส่งสัตวแพทย์โดยด่วน จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:29:12

ความคิดเห็นที่ 21 กระดูกและสิ่งแปลกปลอมติดปากและคอ           ธรรมชาติของสุนัขเป็นสัตว์ที่อยากรู้และชอบขบเคี้ยว จึงมีโอกาสที่จะเกิดเศษกระดูก หรือสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ จะติดอยู่ระหว่างฟันด้านบนได้ โดยที่สุนัขจะแสดงอาการดิ้นรน ร้องครวญคราง และใช้เท้าตะกุยตะกายบริเวณปากบางตัวตะกุยจนปากฉีกและเลือดออก แต่โอกาสที่จะมีสิ่งแปลกปลอมติดคอหรือหลอดอาหารนั้นจะพบได้น้อยมาก ซึ่งถ้าเกิดของติดคอจริงสุนัขจะสำรอกอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะให้สิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา                 เมื่อมีกระดูกหรือสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ในปาก ให้ปฏิบัติดังนี้คือ                 1. ทำให้สุนัขอยู่อย่างสงบ 2. อ้าปากสุนัขให้กว้าง แล้วใช้ปากคีบปลายมนคีบออกมา ไม่ควรใช้นิ้วมือล้วงเข้าไป เพราะมีโอกาสถูกกัดได้ 3. ในรายที่ไม่ยอมอยู่นิ่งและไม่ยอมให้จับปากเลย ต้องพาไปหาสัตวแพทย์ เพื่อฉีดยากล่อมประสาทหรือบางรายต้องให้ยาสลบ จากนั้นจึงดึงกระดูกหรือสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา ในรายที่สิ่งแปลกปลอมเข้าไปติดในคอ (บริเวณหลอดอาหาร) จริง ๆ ต้องรีบนำส่งสัตวแพทย์โดยด่วน เพื่อทำการเอ็กเรย์และผ่าตัดเอาออก จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:30:23

ความคิดเห็นที่ 22 ชัก           อาการชักในสุนัขเป็นการแสดงออกซึ่งการขาดการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ สุนัขจะไม่รู้สึกตัวหรือควบคุมตัวเองไม่ได้ ลักษณะการชักก็แตกต่างกันไป เช่น เหยียดเกร็งสี่ขา คอพับไปข้างหลัง กล้ามเนื้อกระตุกเป็นระยะๆ ตาเหลือก และลิ้นห้อย เป็นต้น                 สาเหตุที่ทำให้สุนัขชักมีอยู่มากมาย ได้แก่ โรคลมบ้าหมู ผิดปกติในสมอง แคลเซียมในกระแสเลือดต่ำ (เช่น ไข้น้ำนมในแม่สุนัขที่เลี้ยงลูกหลายตัว) กระทบกระเทือนต่อสมอง (เช่น โดนตีที่หัว) ไข้สูง และกินสารพิษ เป็นต้น                 สิ่งที่ต้องปฏิบัติเมื่อสุนัขชักคือ                 1. พยายามควบคุมอย่าให้หัวของสุนัขไปฟาดสิ่งหนึ่งสิ่งใด 2. ป้องกันไม่ให้สุนัขกัดลิ้น โดยใช้ไม้หรือผ้าม้วนเป็นก้อนยัดระหว่างฟันกรามบนและล่าง 3. ในรายที่ชักเนื่องจากมีไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัวและใช้กระเป๋าน้ำแข็งประคบที่หัวเพื่อช่วยลดความร้อน 4. จากนั้นรีบนำส่งสัตวแพทย์ จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:31:17

ความคิดเห็นที่ 23 คลั่ง           สุนัขก็มีสิทธิที่จะคลั่งได้เช่นเดียวกับคน โดยสุนัขที่คลั่งอาจจะวิ่งเปะปะกัดทุกสิ่งที่ขวางหน้า แต่บางตัวแสดงอาการคลั่งโดยการเกาหูอย่างรุนแรงพร้อมทั้งร้องโหยหวน หรือสุนัขที่คลั่งบางตัววิ่งไปร้องไปตลอดเวลา                 สาเหตุที่ทำให้สุนัขคลั่ง ได้แก่ โรคพิษสุนัขบ้า มีเห็บอยู่ในรูหู โดนสุนัขด้วยกันรุมกัด หรือมีคนจิตวิตถารเอาประทัดไปผูกหาง เป็นต้น                 เมื่อสุนัขของท่านคลั่งให้ปฏิบัติดังนี้                 1. ถ้าคลั่งและดุร้ายก็ต้อนเข้ากรงเพื่อกักไว้ดูอาการ และห้ามใครแหย่ หรือทำร้าย 2. กรณีที่คลั่งแบบระแวงหรือตกใจให้เจ้าของค่อย ๆ พูดปลอบ และต้องจัดให้สุนัขอยู่ในที่สงบปราศจากการรบกวน 3. อย่าให้คนแปลกหน้าต้อนหรือไล่จับสุนัขที่คลั่งอยู่ เพราะยิ่งทำให้สุนัขกลัวและยิ่งจะคลั่งมากขึ้น 4. หาสาเหตุของการคลั่ง และแก้ไข เช่น ถ้ามีเห็บในรูหูก็ทำการกำจัดออกเสีย เป็นต้น 5. ถ้ามีปัญหาหนักใจเจ้าของสุนัขต้องรีบปรึกษาสัตวแพทย์ จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:32:14

ความคิดเห็นที่ 24 เฮ้อออออ.....ฟู่ สุดท้ายละครับ (เป็นทู้ที่ยาวที่สุดที่เคยตั้งมาเลยนะเนี่ย เอิ๊กๆๆ) เรามาจัดตู้ยาประจำตัวสำหรับลูกๆเรากันดีกั่ว ตู้ยาสุนัข           เพื่อที่จะให้การปฐมพยาบาลและการรักษาแบบช่วยเหลือก่อนนำสุนัขส่งสัตวแพทย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เจ้าของควรที่จะจัดตู้ยาสำหรับการบำบัดรักษาปฐมพยาบาลไว้ โดยหาซื้อยาได้จากคลินิกสัตวแพทย์หรือโรงพยาบาลสัตว์ ตู้ยานี้ควรประกอบไปด้วย                                 1. ยาแก้ท้องเสีย ทั้งชนิดน้ำและเม็ด                 2. ยาลดไข้ แก้ปวด ทั้งชนิดน้ำและชนิดเม็ด                 3. ยาน้ำแก้ไอ                 4. ยาแก้หวัดแก้แพ้                 5. ยาทาแก้แพ้ ชนิดครีม และชนิดโลชั่น                 6. น้ำยาล้างตา                 7. ขี้ผึ้งป้ายตา และยาหยอดตา                 8. น้ำยาล้างแผลและฆ่าเชื้อโรค เช่น เดทตอล                 9. แอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ สำหรับเช็ดแผล                 10. ยาใส่แผลทั้งชนิดน้ำและผงโรยแผล เช่น ทิงเจอร์ไอโอดิน                      ยาเหลือง ยาแดง และผงบาโนซิน                 11. เกลือป่น สำหรับทำให้อาเจียน                 12. เกลือแร่ซอง สำหรับป้อนสุนัขที่ขาดน้ำ                 13. ผ้ากอซและสำลีสะอาดสำหรับปิดแผล                 14. พลาสเตอร์                 15. เชือกฟางหรือแถบผ้ากว้างสัก 1 นิ้วยาว  2  ฟุต สำหรับผูกปาก                 16. สายยางห้ามเลือด                 17. ผ้ายืดชนิดม้วน                 18. กรรไกร                 19. ปากคีบ                 20. ปรอทวัดไข้                 21. ไฟฉายพร้อมถ่าน                 22. กระบอกฉีดยาพลาสติก ขนาด 2, 5  และ 10  ซีซี สำหรับป้อนยา                 นอกจากนี้เราควรต้องจดหมายเลขโทรศัพท์คลินิกสัตวแพทย์ หรือโรงพยาบาลสัตว์ที่พาสุนัขไปหาเป็นประจำ รวมทั้งโรงพยาบาลสัตว์ของมหาวิทยาลัยด้วย เพราะบางครั้งเป็นอุบัติเหตุที่รุนแรงต้องใช้เครื่องมือพิเศษหรือให้เลือดซึ่งจำเป็นต้องพาไปที่โรงพยาบาลสัตว์ของมหาวิทยาลัย แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 54 17:35:36 จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:35:14

ความคิดเห็นที่ 25 หวังว่าจะเกิดประโยชน์กับเพื่อนๆทุกคนนะครับ ขอให้เหล่าลูกๆของท่านทั้งหลาย จงมีสุขภาพแข็งแรง ไร้เหตุทุกข์ พ้นโรคภัย กันนะครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 54 17:40:48 จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:39:31

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณค่ะ เยอะมากอ่านไม่ไหว ขอเซฟไว้ก่อน จากคุณ : พะแนงหมูไข่ดาว เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:57:44

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณคะ ขอเซฟเก็บไว้นะคะ จากคุณ : น้องวี (น้องวี : we-wee) เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 17:59:15

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณมากมายค่ะ จากคุณ : mamagiant เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 18:28:30

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณ ความรู้ดีๆ  และมาก จากคุณ : น้าช่าง เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 18:35:13

ความคิดเห็นที่ 30 เป็นกระทู้ที่ให้ความรู้ดีจริงๆ ขอบคุณค่ะ ^^ จากคุณ : กลัวนักวิจัยอึ้ง!! เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 19:53:40

ความคิดเห็นที่ 31 เยอะมากเลยค่ะ  แต่ที่กลัวที่สุด คือการปั๊มหัวใจค่ะ  ไม่เคยทำด้วยกลัวทำเค้าอาการหนักกว่าเดิม จากคุณ : นิวมาม่า2011 เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 20:06:29

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ จากคุณ : ลักษมณ์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 20:41:58

ความคิดเห็นที่ 33 มาลงชื่อก่อนค่ะ ค่อยอ่านทีหลัง ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : BuaKwan เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 21:40:45

ความคิดเห็นที่ 34 ^^ขอบคุณค่ะ อยากให้คนเลี้ยงสุนัขทุกคนมีความรู้เยอะๆจัง จากคุณ : ยัยน่าแกล้งแก้มป่อง เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 21:52:59

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณนะคะ จากคุณ : ปอนด์ กะ เป้ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 22:00:03

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณสำหรับบทความดีดีนะคะ จากคุณ : แก่ม แก๊ม เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 22:03:39

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณที่แบ่งปันข้อมูลดีๆ ครับ ว่าแต่เรื่องดูดพิษงูแล้วพิษจะถูกย่อยในกระเพาะเนี่ยจริงเหรอครับ? ผมเคยได้ยินแต่หมอบอกว่าหากถูกงูกัด ห้ามดูดพิษงูเหมือนในหนังจีนไม่ว่าจะแผลตัวเองหรือคนอื่น เพราะพิษอาจจะเข้าปากหรือแผลในปากที่เราไม่รู้ได้ แถมหมอยั้งย้ำว่าห้ามทำเลยทีเดียว เพราะอันตรายมาก!!! ปล.ผมสงสัยจริงๆ นะครับไม่ได้เจตนาขัดแย้งแต่อย่างใด จากคุณ : ประตูบานเล็ก เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 22:54:19

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณมากนะคะ (จขกท.เป็นสัตวแพทย์หรือเปล่าคะเนี่ย? ข้อมูลเพียบจริงๆ) จากคุณ : collection team เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 54 02:54:12

ความคิดเห็นที่ 39 ขออนุญาต จขกท.แนบลิงค์การดูแลสุนัขตั้งท้องทั้งก่อนคลอดและหลังคลอดนะคะ เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ http://www.thaidogcenter.com/showthread.php?t=17236 จากคุณ : พะแนงหมูไข่ดาว เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 54 05:19:06

ความคิดเห็นที่ 40 @37คุณประตูบานเหล็ก เรื่องดูดพิษงูให้ใช้เครื่องมือดูดเอาครับ ผมเคยเห็นเป็นเครื่องดูดสูญญากาศ หรือแบบง่ายๆก็ใช้ลูกยางดูดเอา บางท่านก็จะใช้มีดกรีดเพื่อเปิดปากแผล แล้วดูดเลือดออกทิ้ง ในบทความบอกว่าถ้าจำเป็นจริงๆให้ใช้ปากดูด แต่ผมว่าอย่าเสี่ยงดีกว่า เพราะพิษสามารถเข้าตามแผลในปากเราได้เหมือนแบบที่คุณบอกนั่นแหละ ถ้าไม่เชี่ยวชาญหรือไม่เคยทำ วิธีนี้หลีกเลี่ยงไปดีกว่าครับ @38 ไม่ได้เป็นสัตวแพทย์ครับ แต่เป็นนักออกแบบครับ (หัวไม่ถึง อิอิ) จากคุณ : 35 Single Period เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 10:22:09

ความคิดเห็นที่ 41 กด...เก็บเข้าคลังกระทู้ และมาช่วยเพิ่มลิงค์ความรู้ และวิดีโอการช่วยชีวิตของจริงค่ะ จากคุณ : ครอบครัวตัว ม เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 11:23:29

ความคิดเห็นที่ 42 อ้าวลืมลิงค์ไปอันนึง http://www.vet.ku.ac.th/library-homepage/db_directory/dog/firstaid/firstaid.htm จากคุณ : ครอบครัวตัว ม เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 11:24:36

ความคิดเห็นที่ 43 ดีค่ะ เผื่อว่ามีเพื่อนๆที่ถามปัญหาน้องหมาเข้ามา จะได้ไม่ต้องเขียนบอกอีก แค่แนะนำกระทู้นี้ของคุณ 35 Single Period ก็ละเอียดพอในเบื้องต้นแล้ว ขอบคุณ จขกท.อีกทีนะคะ เพราะเราก็ตอบกระทู้ที่เข้ามาถามหรือประสบปัญหา เนื่องจากขาดความรู้ ความเข้าใจน้องหมา(เพราะหมาพูดไม่ได้) ด้วยการลิงค์กระทู้นี้ให้เข้ามาดูหน่ะค่ะ จากคุณ : พะแนงหมูไข่ดาว เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 16:54:13