ความคิดเห็นที่ 1 การเปลี่ยนอาหารควมโรคนิ่วทุกครั้งต้องตรวจฉี่ค่ะ อาหารแต่ละตัว จะต่างกันที่ ค่า กรด เบส กลาง ของฉี่แมวนะคะ และไม่สามารถกินติดต่อกันนานๆเองด้วยค่ะ ต้องหมั่นเช็คค่าPHคะ จากคุณ : เฉาก๋วยอินเตอร์ เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 17:08:24

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณค่ะคุณเฉาก๋วย พอดีหมอที่เคยไปรักษา เค้าบอกว่า C/D กินได้ตลอด แล้วให้กินไปตลอดด้วยอะค่ะ  เลยไม่เคยคิดเอาฉี่ไปตรวจเลย แล้วถ้าจะตรวจฉี่แมว ปกติทำไงกันเหรอคะ  เพราะมันก็ฉี่ลงทรายตลอด หรือว่าต้องรอตอนมันฉี่แล้วอุ้มมันขึ้นมากลางคันเลย ^^'' จากคุณ : เผือกหางหงอก เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 17:43:42

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าอาหารเรื่องนิ่วของ Hill's ตอนนี้จะมี 2 รุ่นคือ - s/d อาหารสำหรับละลายนิ่วสตูไวท์ (ปรับ pH ปัสสาวะให้ค่อนข้างเป็นกรด เพื่อช่วยในการละลายนิ่วสตูไวท์) - c/d อาหารเพื่อการป้องกันนิ่วสตูไวท์ (ปรับ pH ปัสสาวะเป็นกรดอ่อน  ค่อนข้างไปทางกลางๆ) (อาหาร x/d สำหรับนิ่วแคลเซี่ยมออกซเลต ยู่ในระหว่างปรับปรุงสูตร ส่วนของ Royal Canin อาหาร Urinary s/o (High Dilution) จะค่อนข้างใกล้เคียง s/d ครับ กินนานๆ อาจจะเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วชนิดตรงกันข้ามได้ (นิ่วแคลเซี่ยมออกซาเลต) (เมื่อก่อน มี  urinary s/o แบบธรรมดา  รุ่นนี้จะสูตรเหมือนกับ c/d แต่ปัจจุบันทางตัวแทนจำหน่ายไม่นำเข้าครับ แต่อย่างที่ คุณเฉาก๋วยอินเตอร์  บอกครับควรตรวจปัสสาวะก่อนครับ ว่าตอนนี้สภาพปัสสาวะเป็นอย่างไร จากคุณ : kittyob เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 17:47:12

ความคิดเห็นที่ 4 จากความเห็น #2 อาหาร c/d จะปรับปัสสาวะค่อนข้างกลางๆ (เป็นกรดอ่อน)ครับ ประมาณ pH 6.6 - 6.8 ดังนั้นเป็นรุ่นที่กินได้ค่อนข้างนานครับ ในขณะที่ s/d และ Urinary s/o High dilution จะปรับ pH ปัสสาวะค่อนข้างเป็นกรด ประมาณ pH5.9 - 6.1 ซึ่งการกินระยะยาวอาจจะเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วชนิดตรงข้าม อย่างนิ่วแคลเซี่ยมออกซาเลตได้ แต่ในการใช้อาหารประกอบการรักษาโรคนั้นให้ดูที่ตัวสัตว์เป็นหลักครับ  กรณีโรคนิ่ว  ก็คือการติดตามผลด้วยการตรวจปัสสาวะ (Urinalysis) เพื่อติดตามผลครับ แมวบางตัวที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่ว  ก็อาจจะจำเป็นต้องกินอาหารประกอบการรักษาโรคตลอดชีวิต ส่วนจะต้องใช้อาหารรุ่นไหนก็แล้วแต่ผลการตรวจครับ     ในขณะที่ตัวไหนตรวจแล้วผลตรวจค่อนข้างปกติ หลังจากกินอาหารประกอบการรักษาโรคนิ่วมาได้ระยะนึง   ปกติจะมีการเปลี่ยนให้กลับมากินอาหารปกติได้  แต่ต้องมีการตรวจปัสสาวะเพื่อเป็นการติดตามผลเป็นระยะครับ    ซึ่งแมวหลายๆตัวก็หายขาด กลับมากินอาหารตามปกติได้ครับ จากคุณ : kittyob เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 17:54:35

ความคิดเห็นที่ 5 แล้วจะเอาฉี่มันมาได้ไงอะคะ  >_< จากคุณ : เผือกหางหงอก เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 18:07:25

ความคิดเห็นที่ 6 การตรวจปัสสาวะจริงๆวิธีที่ดีที่สุดคือการเจาะดูดผ่านหน้าท้องครับ ถ้าทำอย่างถูกต้องจะไม่มีการปนเปื้อน สามารถตรวจได้แทบทุกอย่างรวมไปถึงการเพาะเชื้อด้วย วิธีทำตามในคลิปวิดีโอครับ ปล. เชื่อว่าปกติทั้งหมอและเจ้าของในไทย  ไม่นิยมวิธีนี้ครับ กลัวแมวเจ็บ กลัวพลาดกระเพาะปัสสาวะรั่ว หรือกลัวเนื่องจากไม่ชำนาญ จากคุณ : kittyob เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 18:09:10

ความคิดเห็นที่ 7 รองลงมาคือการสวนท่อปัสสาวะแล้วดูดเอาปัสสาวะไปตรวจ  กรณีนี้ถือว่า OK ดีครับทำไม่ยาก และตวอย่างที่เก็บไม่ค่อยมีการปนเปื้อนหรือคุณลักษณะเปลี่ยน ส่วนสุดท้าย  ที่อาจจะเป็นที่นิยมมากที่สุด  คือการรองเก็บครับ  เจ้าของเก็บเอง รองเก็บไปให้หมอ  หรือหมอบีบท้องบีบกระเพาะปัสสาวะให้แมวฉี่ออกมาแล้วรองเก็บ จริงตามทฤษฏีไม่ค่อยแนะนำ แต่ในทางปฏิบัติน่าจะใช้วิธีนี้กันมากที่สุดครับ  เนื่องจากง่าย ไม่ค่อยเกิดปัญหาหรืออันตรายต่อสัตว์ ไม่มีปัญหาเรื่องการจับบังคับเหมือนการเจาะท้องหรือสอดท่อ ปล.ยังไงดีที่สุดให้ปรึกษาคุณหมอเจ้าของไข้ครับ  ทั้งเรื่องการตรวจ การปรับเปลี่ยนอาหาร edit แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 54 18:18:38 แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 54 18:18:17 จากคุณ : kittyob เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 18:13:00

ความคิดเห็นที่ 8 ถามอีกนิดนึงอะค่ะ  >_< ถ้าเรารองฉี่ไปเอง  จะต้องเอาไปส่งตรวจภายในระยะเวลากี่ชม. อะไรอย่างงี้รึเปล่าคะ  หรือว่าต้องมีการแช่เย็นอะไรยังไงก่อนด้วยรึเปล่าคะ ขอบคุณมากๆๆ ค่ะ _/|\_ จากคุณ : เผือกหางหงอก เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 18:33:11

ความคิดเห็นที่ 9 ดีสุดปรึกษาหมอเจ้าของไข้นะครับ  เนื่องจากหมอเค้าจะเลือกวิธีการเก็บตัวอย่างก่อนว่าจะเก็บตัวอย่างวิธีไหน จะเก็บเองหรือให้เจ้าของเก็บ จากคุณ : kittyob เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 18:39:10

ความคิดเห็นที่ 10 อ๋อ รับทราบค่ะ ^o^ ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : เผือกหางหงอก เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 19:47:44