 |
มาต่อเรื่องการขายพลาสม่าเป็นเรื่องแรกก่อนแล้วกันครับ...อันนี้ผมก็ไม่ทราบข้อมูลครับ แต่รู้ว่าทำอย่างไร จะพยายามอธิบายง่ายๆนะครับ
ยังจำเครื่อง Apheresis ที่ผมกล่าวในกระทู้ต้นๆได้ไหมครับ เครื่องนี้อ่ะน่าสนใจและก็ทำประโยชน์ได้มากมาย ก่อนอื่นมารู้จักคำนี้ก่อนครับ มันมีความหมายว่า to remove ดังนั้นเครื่องนี้จึงมีไว้ใช้สำหรับเก็บเซลล์อะไรก็ได้ที่เราต้องการจากเลือด เช่น เก็บพลาสมา เก็บเม็ดเลือดแดง เก็บเกล็ดเลือด เก็บสเต็มเซลล์ เป็นต้น เรียกว่าเพียงแค่กดปุ่มเลือกว่าต้องการเก็บอะไร มันก็เก็บให้อย่างนั้น อย่างอื่นก็ใส่คืนกลับเข้าร่างกายตามเดิม
ในอดีต....หากมีคนต้องการเกล็ดเลือด จะต้องหาคนมา 6 คนเพื่อให้เพียงพอ แต่ตั้งแต่มีเครื่องที่ว่า เราใช้เพียงแค่คนเดียวเป็นผู้ให้ (donor) ก็เพียงพอ
แล้วเครื่องนี้มันใช้หลักการอะไร....ทำไมมันถึงเก็บแยกเซลล์ชนิดต่างๆได้ถูกต้อง....??
ก็หลักการเครื่องปั่นแยกที่เราเรียกว่า Centifuge นี่แหละครับ หลักการที่ว่าเซลล์แต่ละชนิดมีความหนาแน่นไม่เท่ากัน เซลล์ที่หนักก็จะตกอยู่ชั้นล่าง เซลล์ที่เบากว่าก็จะอยู่ชั้นบน.........ลองนึกดูหากมีเขื่อนมากั้นชั้นต่างๆอย่างเป็นระดับ แล้วมีท่อดูดเอาเซลล์ชั้นนั้นๆออกไปไงล่ะครับ (ผมพยายามเปรียบเทียบให้เห็นภาพนะ มันมีไรที่มากกว่านี้เยอะ) หลักการก็มีแค่นี้ครับ ดังนั้นแค่เก็บพลาสม่านี่สบายมากครับ เกล็ดเลือดที่เป็นชั้นบางๆตรงกลาง ยังเก็บได้แบบว่าไม่มีการปนเปื้อนเม็ดเลือดแดงเลย หากมีก็น้อยมากจนไม่ต้องซีเรียสในการใช้ครับ
ลองนึกตามผมนะ...มีบางโรคที่เชื้อโรคอาศัยในน้ำเลือด หรือพลาสม่า หากคนไข้ปั่นแยกเอาพลาสม่าออกจากร่ายกาย ก็เท่ากับว่า เค้าได้เจือจางโรคที่เค้าเป็นอยู่ มีรายงานว่าหากเค้าทำแบบนี้หลายๆรอบเชื้อจะลดลงเหลือต่ำมากครับ แต่เมื่อแยกเอาพลาสม่าออกจากร่างกายแล้ว หมอเค้าก็ต้องเอาพลาสม่าเทียม หรือน้ำเกลือใส่เข้าไปแทนที่เช่นกันครับ ไม่งั้นจะเสียระดับน้ำในร่างกาย ช็อคได้ครับ วิธีที่ผมว่านี้เรียกว่า Theraputic Plasma Exchange (TPE)
แล้วคนที่จะทำ Apheresis ที่ว่านี่ต้องทำอย่างไร เจ็บไหม??
ก็แค่เจาะแขน 2 ข้างครับ ข้างนึงไว้ดูดออก อีกข้างไว้ใส่คืน หมายความว่าเลือดจะออกจากแขนข้างหนึ่งแล้ววิ่งไปปั่นแยกที่เครื่องที่ว่านี้ เครื่องก็จะเก็บส่วนที่เราต้องการ อะไรที่ไม่ต้องการก็จะส่งคืนไปยังแขนอีกข้างหนึ่ง....หากแขนมีเส้นเลือดที่เล็กไป อันนี้อาจเจาะที่คอแทนครับ...
เรื่องที่ 2 เบาหวาน....กะสเต็มเซลล์ อันนี้ขอไม่กล่าวประวัติ หรือการปลูกถ่ายเซลล์อื่นๆนะครับ
สเต็มเซลล์ (SC) นั้นเราคิดว่าในอนาคตจะรักษาให้หายเลย น่าจะเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 นั่นหมายความว่า SC จะไปสร้างตับอ่อนให้ใหม่....คนเป็นเบาหวานชนิดนี้ คือคนที่เป็นมาแต่กำเนิดครับ ตับอ่อนมีปัญหา
แต่คนเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ก็อย่าน้อยใจ มีการทดลองการนำ sc ไปทำให้มันสร้างอินซูลินได้ครับ แต่ทั้งนี้อย่างที่บอกยังอยู่ในขั้นทดลอง
การรักษาแผลเบาหวานด้วย SC ก็คือ การเหนี่ยวนำให้ร่างกายหลั่ง SC ออกมาจากไขกระดูกสู่กระแสเลือด แล้วก็ใช้เครื่อง Apheresis เก็บ SC ที่ได้ ซึงมันก็คือ Hematopoietic Stem cells นั่นเองซึ่งมันก็ได้ทั้ง Endothelial SC มันก็เลยช่วยทำให้แผลเบาหวานซึ่งปกติไม่ค่อยมีเลือดมาเลี้ยงก็มีมาเลี้ยง เกิดการสร้างหลอดเลือดบริเวณรอบๆแผลนั่นเอง
SC ที่หมอได้มา หมอเค้าก็ฉีดส่วนนึงรอบบาดแผล อีกส่วนก็ฉีดเข้าที่เส้นเลือดดำปกติ มันก็จะ Homing (ยังจำคำนี้ได้ไหม หาดูกระทู้บนๆ) ไปหาบาดแผลเอง...
แล้วถ้าคนไข้มีแผลหลายที่ล่ะ???
มันก็วิ่งไปทุกที่เลยครับ ดังนั้นคนที่อยากรักษาด้วย SC ก็ควรจะดูแลตัวเองให้มีแผลน้อยๆหน่อย เช่นจะรักษาหัวใจ แต่ดันมีแผลที่ก้น SC มันก็แบ่งกันไปทำงานนะครับ
แล้วต้องให้ SC มากแค่ไหน...??
เท่าที่รู้ให้มากเท่าไร ยิ่งดี ยิ่งทำงานเร็ว แต่ปัญหาคือ บางที่มีบริเวณที่เล็ก ฉีดไปนิดเดียวก็แย่แล้ว
เรื่องที่ 3 เรื่องเลือด-สเต็มเซลล์ ...กะน้องหมา...และความฝันของผม
สัตวแพทย์เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจครับในเรื่องเลือดของน้องหมาแมว ผมเองก็อยากเห็นวันนั้นมาถึงเร็วๆ ....ขอบอกตามตรงนะ ที่ผมมาทำในคนเพราะผมคิดว่าในหมาต้องใช้กำลังทรัพย์ที่ค่อนข้างสูงในการรักษาด้วย SC หากในคนไปได้ด้วยดี ผมเชื่อว่ามันจะทำให้ราคาลดลงและหมาก็สามารถที่จะทำได้เช่นกัน (ถ้าผมไม่ถูกเค้าเตะออกจากบริษัทนะ ฮ่า....ฮ่า....) ผมเชื่อว่าหลายๆมหา'ลัยก็พยายามด้วยกันทั้งนั้น ผมคุยกับอาจารย์ที่จุฬา ท่านก็จะช่วยครับ แต่หลายๆท่านรวมทั้งผมก็งานยุ่ง แต่ยังไงก็จะพยายามทำให้ได้ครับ.....มาต่อที่หมาดีกว่า
ในอนาคตแน่นอนครับ SC จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น หลายๆโรคที่ไม่สามารถรักษาได้ อนาคต "ยา" อาจใช้น้อยลง คนหรือสัตว์ จะหันมารักษาตัวเอง ด้วยเซลล์ของตัวเอง ซึ่งเราเรียกว่า Autologous เพราะว่าวิธีนี้จะตัดปัญหาเรื่องการแพ้ออกไป การเข้ากันได้ของเซลล์ก็จะมากด้วย
ที่ผมหวัง (ฝัน) ในน้องหมาก็เรื่อง มะเร็ง กับ พยาธิในเม็ดเลือด หากเป็นไปได้ในอนาคต เมื่อหมาเลือดแดงจาง เกล็ดเลือดต่ำ ...หมอก็จะฉีด Hematopoietic SC ให้กับหมา ซึ่งมันก็จะวิ่งปรู๊ด..ไปที่ไขสันหลัง และเริ่มการผลิตเม็ดเลือดชนิดต่างๆ และเกล็ดเลือดออกมา....หมาก็รอด...อ้อ...แต่อย่าลืม ต้องรักษาที่ต้นตอของโรคด้วยนะครับ อิอิ...
มะเร็งตับ....ตัดตับทิ้งเลย เดี๋ยวฉีด SC ที่เปลี่ยนเป็นเซลล์ตับรอไว้แล้ว ฉีดไปที่โคนตับที่โดนตัด 6-7 สัปดาห์ ตับใหม่ก็งอกออกมา.....เอ๊ะ Doggy มันเพ้อเจ้อไรเนี่ย ...สิ่งที่ผมพูดมาตรงนี้มีโอกาสเป็นจริงได้ครับ ทุกวันนี้เราเปลี่ยน SC ให้เป็นเซลล์ตับได้ครับ โลกใบนี้ทำได้แล้ว แต่ก็อย่างว่า อยู่ขั้นทดลองครับ แต่เครื่องล้างตับมีแล้วนะครับ ฟันชุดที่ 3 ตอนนี้ก็ทำได้แล้วที่อังกฤษ แต่เท่าที่รู้ มันไม่ทน พอไปปลูกมันอยู่กะเหงือกเราได้ไม่นาน แล้วมันก็ตายครับ
ถึงแม้ว่าที่พูดวันนี้ในหมามันเป็นความฝัน แต่เชื่อเถอะครับอีกไม่นานเกินรอ มันสามารถเป็นความจริงได้เช่นกัน
แล้วเลี้ยง SC ยังไงให้กลายเป็นเซลล์ชนิดต่างๆได้...??
เขียนง่ายนิดเดียวครับ...เอา SC มา ใส่สภาพแวดล้อมที่เหมาสมกะเซลล์นั้นๆเข้าไป ใส่ตัวกระตุ้นเข้าไปเหนี่ยวนำให้เซลล์กลายเป็นเซลล์ที่เราต้องการ แค่นี้มันก็เปลี่ยนแล้วครับ ....การเปลี่ยนแบบนี้เราเรียกว่าการ Differentiation ครับ ทุกวันนี้หลายๆเซลล์ในร่างกายนักวิทยาศาสตร์รู้แล้วว่าจะเหนี่ยวนำให้เป็นเซลล์นั้นๆด้วยสารอะไร ใช้อะไรเลี้ยงมันให้โต มันควรอยู่ในสภาวะแวดล้อมแบบไหน...แต่การทำจริงๆมันยากมากก...กกครับ
รูปจากไหนไม่รู้ จำไม่ได้ครับ จะเห็นว่าในรูปนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงสเต็มเซลล์ อันนี้เป็น สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนนะครับ โดยจะเปลี่ยนให้เป็นเซลล์ชนิดต่างๆ เรียงจากซ้ายไปขวาดังนี้ครับ เซลล์ตับอ่อนส่วนที่เป็น Islets ที่ผลิตอินซูลิน , เม็ดเลือดต่างๆ , กล้ามเนื้อหัวใจ , เส้นประสาท , เซลล์ตับ
แต่อย่าคิดว่าของสเต็มเซลล์จากตัวอ่อน (Embryonic SC) เท่านั้นที่ทำได้นะครับ Adult SC ที่ได้จากเลือดจากสายรก สายสะดือ ก็ทำได้ครับ....ผมมี paper ที่เปลี่ยน SC ที่ได้จากเลือดจากสายรก สายสะดือ เปลี่ยนเป็น เซลล์หลอดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจ กระดูกอ่อน เซลล์ตับ เส้นประสาท สร้างอินซูลิน และช่วยเสริมการรักษาทำให้ผู้ป่วยโรคไตมีโอสรอดมากขึ้นครับ.....ดังนั้นถึงบอกว่า Adult SC เช่น เลือดจากสายรกนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า SC ที่ได้จากตัวอ่อนเท่าใดนัก
ถามว่าทาง รพ. หรือเอกชน เป็นผู้จัดเก็บ
ตอบว่า....เราทำการจัดเก็บตอนคนคลอดลูกใน รพ.ครับ หมอสูติเป็นคนแทงเข็มเจาะเลือดจากสายรกครับ ส่วน บ. จะเป็นผู้ช่วยเหลือครับ รวมทั้งจัดส่งไปยังห้องแล็บครับ....แล็บเป็นของเอกชนครับ
กล่องเก็บของผมมีฝังชิพด้วยนะครับ เพื่อตรวจสอบอุณหภูมิตลอดการขนส่งให้ได้มาตรฐานครับ
จากคุณ |
:
Pecan
|
เขียนเมื่อ |
:
31 พ.ค. 54 18:34:07
|
|
|
|
 |