ความคิดเห็นที่ 1 1. ให้ความรู้แก่เกษตรกรในการขายสินค้าโดยตรงแก่ผู้บริโภค โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง 2. ภาครัฐควรให้การสนับสนุนการซื้อการขายโดยตรงระหว่างเกษตรกรและผู้บริโภค เช่น การจัดให้มีตลาดเกษตรกร (Farmers' market) 3. สนับสนุนการบริโภคสินค้าท้องถิ่น (local produced) จากคุณ : MissLillyRose เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 05:16:46

ความคิดเห็นที่ 2 1.ทุกวันนี้ลูกหลานเกษตรกรมีความรู้สูงแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำเกษตรกรเลย แม้แต่หลักสูตรการเรียนการสอนก็สอนให้แย่ชิงกันเป็นผู้นำในด้านต่างๆ ทั้งสื่อ ทั้งละคร ไม่มีความเหมาะสมแต่ก็ดันทุรังสร้างสรรค์ขึ้นมา มีแต่สิ่งลวงๆ น่ะว่ามั๊ย จากคุณ : ckoson เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 05:33:50

ความคิดเห็นที่ 3 สิ่งที่สำคัญที่สุด คือต้นทุนการผลิตมีการถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรัฐไม่เคยให้ความสำคัญอย่างจริงจัง บอกว่าเป็นเรื่องกลไกการตลาด แต่ราคาขายกลับมีการขยับตัวน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกัน อีกซึ่งก็ขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลางก็เป็นผู้กำหนดราคาเด็ดขาด อย่างที่เป็นอยู่ จากคุณ : dansivilai เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 08:03:39

ความคิดเห็นที่ 4 จริงๆ ประเทศไทยคือประเทศที่เหมาะกับการทำกสิกรรม แต่รัฐไม่ได้สนับสนุน ส่งเสริม มากนัก ทั้งๆที่น่าจะสร้างรายได้จากสินค้าเกษตรกรรมได้มากมาย เคยเห็นบางที่มีน้ำพร้อม มีพื้นที่เหมาะกับการทำนาปีหนึ่งทำได้ 3 ครั้ง แต่รัฐกลับสนับสนุนให้จัดตั้งโรงงานเป็นเขตอุตสาหกรรมแทน อีกอย่างลูกหลานเกษตรกร ส่วนใหญ่พ่อแม่ก็ไม่สนับสนุนให้เรียนทางเกษตร เพื่อกลับมาพัฒนาอาชีพดั้งเดิม อยากให้ลูกหลานได้ไปทำงานดีดี แข่งขันกันอยู่ในเมืองใหญ่มากกว่า หากเกษตรกรส่วนใหญ่ในบ้านเรายึดหลัก พอเพียง อย่างที่พ่อหลวงบอกไว้ แม้จะมีเงินน้อยนิด แต่ก็กินอิ่ม นอนหลับ ไร้ซึ่งหนี้สิน ที่สำคัญได้อยู่กันพร้อมหน้าครอบครัว น่าจะเป็นความสุขที่แท้จริงได้ เป็นกำลังใจให้เกษตรกรไทยทุกคน อยู่ดี กินดี มีความสุขแบบพอเพียง (เพราะตัวเองก็เป็นหนึ่งในอาชีพนี้เหมือนกัน) จากคุณ : นอเก้น เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 10:03:35

ความคิดเห็นที่ 5 ปัญหาสวนดิฉันคือ ขโมยค่ะ ขโมยเก็บผักหวานป่าในสวน ขโมยข้าวของเครื่องใช้การเกษตร ขโมยต้นผักหวานเล็กๆ ทีงอกแทงตามราก จากคุณ : สหายนก เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 10:06:09

ความคิดเห็นที่ 6 งานนี้ต้องแก้ไขหลายๆ เรื่องแบบพร้อมๆ กันนะครับ  จะมาแก้ไขทีละเรื่องไม่ได้  และหลายๆ เรื่องผมไม่ขอวิจารณ์นะครับ  เพราะจะทำให้หลายๆ กลุ่มไม่พอใจกัน  เลยจะเน้นแก้ไขในรูปแบบการประยุคในพื้นที่ๆ จำกัดแทน  เช่น   ....การปลูกข้าวนาปี เป็นที่รู้กันว่าในที่นาต้องมีน้ำขังอยู่ทุกปีในช่วงเวลาไม่กี่เดือน  เกษตรกรที่ขยันๆ ควรจะนำเอาผักบุ้งหรือผักกระเฉด มาลงปลูกในแปลงนาด้วย  และยังสามารถเลี้ยงปลาบางชนิด  ผสมลงไปด้วยระยะเวลาสั้นๆ 2-3 เดือน  จะทำให้มีรายได้มากขึ้นกว่าเดิม  (...ทุกอย่างมีข้อจำกัดในการดูแล  จึงควรปรับปรุงวิธีการจัดการให้เหมาะสม ) ปล. รูปแบบนี้เป็นการนำเอาเกษตรพอเพียงต้นแบบเดินตามรอยเท้าพ่อหลวงของเรา  ที่มีการแบ่งพื้นที่อย่างชัดเจน ...แต่เราจะใช้พื้นที่มาซ้อนกัน  เพื่อให้ประหยัดพื้นที่มากขึ้น จากคุณ : ญี่ปุ่น35 เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 12:02:37

ความคิดเห็นที่ 7 เกษตรกรต้องรวมตัวกัน มีอะไรก็ช่วยเหลือแบ่งปันกัน  ทำอะไรที่เคยล้มเหลวก็คอยเตือนคนรุ่นหลังเพื่อเป็นบทเรียน อะไรที่ประสบความสำเร็จก็บอกต่อเพื่อเป็นหลักปฎิบัติและต่อยอดต่อไป แต่ทุกวันนี้อย่างที่กล่าวมาหาได้ยากเต็มที จากคุณ : ตี๋หยก เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 20:36:37

ความคิดเห็นที่ 8 อยากเห็นเกษตรกรไทยรักสามัคคีกันให้มากๆ จะได้มีพลังในการต่อรองราคากับพ่อแม่ค้าคนกลางได้ จากคุณ : ckoson เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 54 04:40:03

ความคิดเห็นที่ 9 เกษตรกรไทยต้องตั้ง จุดมุ่งหมายว่าจะ "รวย" และเดินทางสู่จุดหมายนั้นๆ แม้กระนั้น ก็ไม่ใช่ว่า แต่ละคนจะ ไปถึงจุดนั้น      ติดอาวุธทางปัญญา ให้มากที่สุด เพราะจะทำงานคลุกคลีอยู่กับการใช้แรงงานและปัญหาแบบไม่ซับซ้อนนัก ขาดความช่ำชองการต่อรอง(ขายข้าวปีละครั้งสองครั้ง พ่อค้าซื้อปีละเป็นพันๆครั้ง รวมถึงการซื้อปุ๋ยและยาด้วย) และห่างไกลจากข้อมูลที่จำป็น      ทำเพื่อตัวเองบ้าง เช่น เกษตรอินทรีย์ดี แต่ผู้บริโภคทั่วไป "ไม่อยากจ่ายเงินในสิ่งที่ ดีดีนั้น" (อินทรีย์เป็นสิ่งที่ดี แต่ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้น)      ระมัดระวัง กับคำแนะนำบ้าง เช่น มันสำปะหลังอินทรีย์ ผมคิดว่า เราเกษตรกรเอง ต้องมีส่วนอย่างมาก และขนขวายที่จะ "เป็นผู้มีอันจะกิน" จากคุณ : Turk14857 เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 54 08:22:28

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่มีทาง เคยได้ยินมัยเรียนจบเกษตรมา ปลูกต้นไม้ไม่เป็น จบเกษตรมา หางานทำไม่ได้เเบบผมไง วิชาการ หับการทำสวนทางกัน พวก นัก การเมืองต้องกดหัวไว้ ไม่งันไม่.... จากคุณ : กล้วยน้ำไท เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 54 16:07:15

ความคิดเห็นที่ 11 ใช่ครับ ประเทศนี้มันเป็นแบบนี้แหละครับ คนที่คิดให้เกษตรกรเป็นอาซีพที่มีอันจะกินเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศนี้มีไม่ถึง 1%หรอกครับ วงการเกษตรไทยมีแต่นายทุนเท่านั้นแหละครับ เงินคือทุกอย่างในประเทศนี้ ทำใจประเทศไทย จากคุณ : ตะวันขึ้นทิศตะวันตก เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 19:08:53

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าเรายังวังวนอยู่ในระบบทุนนิยม ก็ต้องยอมรับกติกาสิครับ เมื่อเอาเงินเป็นตัวตั้ง ก็ต้องยอมทุกอย่างเพื่อเงิน แล้วคนที่เอาเงินมาให้จะเอาสินค้าเราไปทำอะไรก็ต้องตามใจเขา แต่ถ้าเอาความสุขเป็นตัวตั้ง เงินจะทำอะไรเราไม่ได้ วันๆขอแค่มีเงินเล็กน้อยมาพอซื้อสิ่งที่ทำเองไม่ได้จริงๆก็พอแล้ว อาจได้จากการเก็บผักหญ้าริมรั้วขายให้รถพุ่มพวงที่มารับซื้อตามบ้าน ข้าวปลาก็หาได้จากแผ่นดินของตนเอง แค่นี้ชีวิตก็เหลือเวลาเยอะแยะไปทำประโยชน์ให้กับตัวเองและสังคมได้มากมาย เช่นอยากวาดรูป แกะสลัก อยากสอนหนังสือเด็กยากจน ฯลฯ ก็ทำได้อย่างอิสระมีความสุข แต่ถ้าความสุขของท่านเกษตรกรคือ ไอโฟน ไอแพด เบียร์ช้าง ไฮโล หวยใต้ดินบนดิน กระเป๋าหลุยส์ ฮอนด้าฟีโน่ และ ฯลฯ ก็คงต้องก้มหน้าก้มตาเป็นลูกไล่ในเกมที่ชื่อว่า "ทุนนิยม" ต่อไป เลือกกันเอาเองตามอัธยาศัยครับ จากคุณ : โซว เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 16:39:28

ความคิดเห็นที่ 13 1 ต้องมีความคิดที่จะพอก่อนครับ คือ ไม่มุ่งที่จะได้อะไรที่มีค่าใช้จ่ายสูงๆเกินรายได้ตัวเอง 2 ต้องมีความคิดว่าเราเป็นเกษตรกรสิ่งที่เรากินอยู่ทุกวันนี้เราต้องผลิตได้เองหาได้เองจากการเพาะปลูก,เลี้ยง 3 ทำเกษตรผสมผสาน ใฝ่รู้ ชั่งสังเกต ต้องรู้ว่าพื้นที่ที่หนึ่งสามารถปลูกพืชได้หลายอย่างในที่เดียวกันและเอื้ออำนวยซึ่งกันและกันได้ 4 หลังจากนั้นนายทุนต่างๆ หรือพ่อค้าคนกลางหรือผู้ซึ่งอยากจะหารายได้จากผลิตผลของเกษตรกรก็จะวิงเข้ามาหาคุณเอง แต่คุณต้องมีความคิด รู้ทันราคาและเล่เหลี่ยมของคนเหล่านี้ จากคุณ : อ่านดูแล้วชอบ เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 54 13:50:11

ความคิดเห็นที่ 14 ผมว่าอย่าทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยว ก็น่าจะไปรอดนะครับ ให้คิดทำ  ปลูกพืช หลายๆอย่าง  ทำปุ๋ยหมักเอง ปลูกให้หลากหลายเข้าไว้ เหลือกินเก็บขายตลาดนัด พยายามไม่ให้มีรายจ่าย ให้มีแต่รายรับ ทุกอย่างมีกินเองหมด ซื้อและจ่าย แต่สิ่งที่จำเป็น ไม่รวยแต่คิดว่าน่าจะอยู่ได้ ครับ จากคุณ : กา...คาบพริก เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 13:20:40