PANTIP.COM : J10743034 ขนแมวมีอันตรายมากเลยเหรอครับ อยากทราบข้อเท็จจริงครับ [แมว]

ความคิดเห็นที่ 13

เล่าจากประสบการณ์จริงของตัวเองนะคะ เราเป็นคนหนึ่งที่เลี้ยงแมว ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน จนกระทั้งท้องและคลอดค่ะ (มีแมว 2 ตัว และเราเลี้ยงแบบตามสบาย คือ เดินได้ทั่วบ้าน นั่ง นอน ตามโซฟา ห้องนอน) ... ยาวนิดนึง แต่เผื่อมีประโยชน์นะคะ

1. ตอนช่วงท้อง
ก็มีคนพูดเยอะมาก เรื่องแมวกับเด็กอ่อน ไม่ควรเลี้ยงด้วยกัน เหมือนกันกับคุณเจ้าของกระทู้
เราสอบถามสัตวแพทย์ และหมอที่ฝากท้อง ได้คำตอบคือ หากเราเลี้ยงตั้งแต่เราท้อง เด็กในท้องจะมีภูมิคุ้มกัน ถ้าเราไม่แพ้ ลูกก็จะไม่แพ้ เราก็สบายใจนิดนึง และยึดตามนั้นมา แต่ก็มีเตรียมตัว เรื่องสถานที่ เช่น ห้องเด็กยกสูงกว่าพื้นห้องปกติ มีเครื่องฟอกอากาศ ฯลฯ

2. หลังคลอด - ลูกอายุ 1 ปี
ตอนช่วงแรกเกิด ลูกมีผดที่หน้า ค่อนข้างมากค่ะ ตอนแรกเข้าใจว่าแพ้ขนแมว ก็พาไปหาหมอ แต่หมอบอกว่า ไม่ใช่ น่าจะเกิดจากแพ้อากาศทั่วไป ไม่ได้ให้ยาอะไรค่ะ แต่เราก็เริ่มมีกังวล ก็พยายามไม่ให้แมวมาเข้าใกล้ รวมถึงเปลี่ยนชนิดของทรายแมว เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงที่จะแพ้ เดิมเป็นทรายแมวที่เป็นเม็ดแบบทรายทั่วไปเป็นทรายแมวแบบสังเคราะห์ที่เป็นเหมือนเม็ดยา สีขาวๆ เพื่อไม่ให้มีฝุ่นน่ะค่ะ
ช่วงปีแรก ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ

3. ลูกอายุ 2 ขวบ
ปกติแมว จะชอบนอนที่โซฟา ค่ะ และลูกเราชอบไปเล่นที่โซฟา เล่นกับแมว ช่วงนี้เป็นช่วงที่เค้าพูดรู้เรื่องขึ้นมาก เค้าเริ่มบอกว่าคัน คันหลัง คันตา ... เราก็สังเกต เจอว่า พอเค้าไปอยู่ที่โซฟาปุ๊บ จะมีผื่นขึ้นที่หลัง เหมือนลมพิษ เลยพาไปหาหมอ หมอแนะนำให้ทำ Skin Test เพื่อดูว่าแพ้อะไร แต่ตอนนั้นเรายังไม่ทำ เพราะกลัวว่าลูกจะเจ็บ ส่วนหมอภูมิแพ้ บอกว่า อาจเป็นไปได้ว่าเด็กแพ้แมว เราก็ถามว่า เห็นคุณหมอเคยบอกว่า ถ้าแม่ไม่แพ้ และเลี้ยงแมวตั้งแต่เด็กอยู่ในท้อง ก็ไม่น่าจะแพ้ ... หมอบอกว่า ปกติแล้ว ภูมิจะมีอยู่ซัก 1-2 ปี หลังจากนั้น อยู่ที่ว่าเด็กจะสร้างภูมิ ได้เองหรือไม่
สรุปในช่วงนั้น ใจเราค่อนข้าง 100% ว่าลูกแพ้แมว เพราะเราอยู่กับลูกตลอดและเห็นว่า เค้ามีอาการเวลาอยู่ใกล้กับแมว หรือ บริเวณโซฟา แต่แฟนเราไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
การแก้ปัญหาคือ จัดห้องนอนให้แมวใหม่ 1 ห้อง เพื่อให้แมวเข้าไปนอนตอนกลางคืน เพื่อลดเรื่องขนแมว กลางวันก็ปล่อยเค้าออกมาเดินเล่น ดูดฝุ่นให้บ่อยขึ้น เพิ่มเครื่องฟอกอากาศ
ลูกไม่ได้มีอาการแย่ลง หรือดีขึ้นชัดเจน มีเป็นๆ หายๆ

4. ลูกอายุ 3 ขวบ - ปัจจุบัน
เมื่อเดือน เมษา ที่ผ่านมา มีอาการคันตาอย่างมาก เราเลยพาไปพาหมอ หมอเลยขอทำ Skin Test เพื่อดูว่าแพ้อะไร ผลออกมาชัดเจนค่ะ ว่า แพ้ไรฝุ่น และ แพ้แมว ไม่ใช่แพ้ขนแมว แต่แพ้แมว น้ำลายแมว ขนแมว หมอบอกว่า น้ำลายแมว จะมีเอนไซส์ ซึ่งลูกแพ้ ทำให้เกิดอาการแพ้ ซึ่งแต่ละคน จะลูกเกิดอาการที่ตา เราถามหมอเรื่องภูมิที่น่าจะมี หากเราเลี้ยงแมวตั้งแต่เราท้อง คุณหมอท่านนี้บอกว่า เป็นแค่ความเชื่อ ไม่ใช่งานวิจัยทางการแพทย์จริงๆ

คำแนะนำของคุณหมอ คือ ให้เอาแมวไปปล่อย ให้คนอื่น สรุปคือ ห้ามอยู่ใกล้กัน ถ้าปล่อยไว้ อาการแพ้จะหนักขึ้นเรื่อยๆ
... สำหรับเรา มันยิ่งกว่าเครียดอีกค่ะ เพราะเราเลี้ยงแมวทั้ง 2 ตัวมา ตั้งแต่เกิด เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ลูกเราก็รัก และติดแมวมาก ให้ทำแบบที่หมอพูดก็คงไม่ได้ ก็ถามว่า ให้แยกโซน พอได้มั้ย หมอบอกว่า ไม่ได้ เพราะอยู่บ้านเดียวกัน ละอองขน น้ำลาย ฯลฯ ยังไงมันก็กระจายอยู่ในบ้าน

... เราเลยคุยกับแฟนว่า เราขอแก้ปัญหากันเอง อีกซักครั้งก่อน ... แน่นอนว่าใครก็รักลูก แต่ให้เราเอาแมวไปปล่อย ก็คงทำไม่ได้
สิ่งที่เราพยายามแก้ไขกันอยู่ตอนนี้คือ 1.เนื่องจากตอนนี้ลูกโต และคุยรู้เรื่องแล้ว เราจะบอกเค้าค่ะ ว่าเค้าแพ้แมว ให้เค้าเข้าใจ และหัดระวังตัวเองก่อน โดยบอกเค้าว่าห้ามกอดแบบซุกไซ้แมว แบบที่เค้าชอบทำ แต่ไม่ได้บอกให้เค้าเกลียด แต่ให้เค้าระวังให้มากขึ้น
2.แยกโซนให้ชัดเจน เช่นโซนที่แมวจะชอบเล่น กับที่ลูกชอบเล่น ให้อยู่คนละชั้น 3.ห้ามแมวเข้าห้องนอนและเตียง เด็ดขาด 4.เปลี่ยนเครื่องฟอกอากาศใหม่ เป็นแบบที่เน้นเรื่องแพ้สัตว์ และสัตว์ 5.ซักผ้าคลุมโซฟาให้บ่อยขึ้น วันเว้นวัน 6.มีเครื่องซักผ้าเฉพาะ สำหรับซักผ้าที่เกี่ยวกับแมว เช่นผ้ารองนอน ผ้าคลุมโซฟา ไม่ซักรวมกับของลูก 7.แปรงขนแมวให้ถี่ขึ้น 8.ซักผ้าด้วยน้ำร้อน ...

ตอนนี้ก็ยังคงแก้ปัญหาแบบนี้อยู่ค่ะ ณ วันนี้ ลูกก็ยังมีอาการบ้าง ในบ้างครั้ง แต่อาการเรื่องคันตา ดีขึ้นมาก แทบไม่มีเลย คิดว่า เพราะเครื่องฟอกอากาศแบบช่วยเรื่องแพ้สัตว์นะคะ ส่วนคันตามตัว มีบ้าง เช่น เวลาเค้าลืมตัวไปกอดแมว

ถามว่าเราห่วงลูก รักลูกรึป่าว แน่นอนค่ะ เราห่วง และรักลูกมากกว่าอะไรทั้งหมด แต่เราก็คิดในมุมหนึ่งว่า แมวทั้ง2ตัว ก็คิดว่าเราคือแม่ และเราก็คิดว่า มันคือลูก อีกอย่างแมวของเราก็ไม่ใช่แมวเด็กๆ อายุก็มากพอควรแล้ว และลูกเราก็รักแมวทั้ง 2 ตัวมากด้วย เราเลยเลือกที่จะหาจุดสมดุลน่ะค่ะ อาจจะไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ก็คงต้องทำน่ะค่ะ เพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว

... แต่สำหรับเรา แอบคิดเล่นๆ เหมือนกันค่ะ ว่าถ้าลูกยังแพ้มากขึ้นจะทำยังไงดี ทางออกที่เราคิดกันไว้คือ ซื้อบ้านข้างๆที่ติดกัน เพื่อให้แมวอยู่(คงต้องเก็บเงินกันอีกยาว ฮ่าๆๆ) ...

สำหรับชื่อของคุณหมอภูมิแพ้สำหรับเด็กที่ทำ Skin Test ให้ลูก หากคุณเจ้าของกระทู้อยากทราบ รบกวนสอบถามทางหลังไมค์นะคะ เผื่อคุณเจ้าของกระทู้จะได้ไปปรึกษาค่ะ ส่วนตัวเราคิดว่าคุณหมอเก่งมากนะคะ แต่เราดันดื้อกันซะเอง

ยังไงแล้ว เป็นกำลังใจ ให้คุณเจ้าของกระทู้ และทุกคนที่อาจจะเจอ ปัญหานี้ นะคะ เข้าใจดีถึงความกังวล และความกดดันค่ะ และขอให้ผ่านไปกันได้ด้วยดีนะคะ

จากคุณ : ging (ging@Taipei)

เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 54 09:46:11