น้ำท่วม น้ำใจ... ม.กิ่งแก้ว ต.ท่าวาสุกรี จ.อยุธยา
|
 |
จากที่ได้อ่านเรื่องนี้ที่มีคนส่งมาในเฟสบุ๊ค
กัปตันพายเรือลึกเข้าไปในชุมชนทุ่งแก้ว(กรุงเก่า) เป็นบ้านไม้เก่าๆ หลังสุดท้ายถูกน้ำท่วมสูงที่สุดเป็นบ้านของนายชัชวาลย์ ม่วงมา อายุ 44 ปี อยู่ใน หมู่บ้านกิ่งแก้ว(กรุงเก่า) เลขที่ 30/20 ต. ท่าวาสุกรี อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยา อาชีพรับจ้างขับรถตุ๊กตุ๊ก พายเรือนำเข้าไปดูความลำบากหลังน้ำไหลทะลักเข้าท่วมบ้านชั้นเดียว สภาพบ้านพื้นที่ยกสูงขึ้นมาแทบจะชนหลังคาในบ้านมีพ่อกับแม่ที่นอนป่วยเป็น อัมพฤกษ์และอัมพาตช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มีเพียงแผ่นไม้กระดานเก่าๆบางๆที่ไปขอจากเทศบาลมาต่อยกพื้นให้สูงขึ้น นายชัชวาลย์ เล่าว่า อาการ ของพ่อไม่ดีเลยตั้งแต่น้ำท่วมเริ่มมีเสมหะออกมามากหายใจดังมากขึ้นเรื่อยๆ กินอะไรไม่ค่อยได้ ส่วนแม่ยังพอรู้สึกตัวบ้างแต่แขนข้างขวาก็หักไม่มีแรง จะออกไปทำงานก็ไม่กล้าเพราะกลัวแม่กลิ้งตกน้ำ แต่ก็ต้องทิ้งไว้เพื่อออกไปรอของบริจาคอีก ตอนนี้ลำบากมากแพมเพิร์สใช้รองให้พ่อให้แม่ก็หมดแล้ว มีคนใจดีในหมู่บ้านช่วยซื้อมาให้แต่ก็ไม่พอ วันหนึ่งต้องใช้ถึง 4 แผ่น รายได้ก็ไม่มีเพราะน้ำท่วมไม่มีใครนั่งรถตุ๊กตุ๊ก หลังน้ำลดก็ต้องซ่อมแซมอีกเพราะไม้ระเบิดออกมาจากข้างฝาหมดแล้วเนื่องจาก เป็นไม้เก่า ส้วมก็ยุบไปแล้ว ไม่รู้จะซ่อมไหวไหม กว่า ครึ่งเดือนแล้วน้ำลดลงแค่คืบกว่าๆ เมื่อสองสามวันก่อนที่รัฐมนตรีมหาดไทยมาแจกของเสียความรู้สึกกันหลายคนเพราะ ไม่ได้รับท่านมาแจกหมดลำเรือแค่ถ่ายรูปแล้วก็กลับ ไม่มีใครพายเรือมาตามตรอกซอยเลย "ตอนนี้จะเคลื่อนย้ายพ่อแม่ก็ ลำบากเพราะมีแต่เรือเล็กที่ร้านทองอยุธยาบริจาคมาให้จะไปหาหมอก็ออกไปไม่ได้ และต้องรอดูอาการก่อนหากไม่ดีขึ้นคงต้องเรียกกู้ชีพมาพาออกไปแต่เราก็ไม่มี บ้านไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนอาจจะต้องไปอาศัยวัดอยู่ชั่วคราวถ้าน้ำยังไม่ลด" ท้ายหมู่บ้านยังมีบ้านเรือนประชาชน อีกหลายหลังที่จมน้ำสูงกว่า 1-2 เมตร ความช่วยเหลือยังเข้าไม่ถึงไม่มีเรือพายออกมารับสิ่งของจึงต้องฝากเพื่อน บ้านนำกลับมาให้ นางสำอาง ล้อมวงค์ กับสามีพายเรือกลับ บ้านซอย 3 หมู่บ้านทุ่งแก้ว(กรุงเก่า) เล่าขณะพายเรือกลับบ้านว่า ส่วนตัวไม่เดือดร้อนมากแต่สงสารพวกสุนัขที่ลอยมากับน้ำกว่า 21 ตัวไม่มีข้าวกินตอนนี้ตายไป 4 ตัวแล้ว มีตัวหนึ่งตาบอดตกน้ำตายและข้างบ้านมีหมูยักษ์หนักกว่า 100 กิโลกรัมตายไปแล้วเพราะไม่มีใครช่วยทั้งที่เจ้าของซื้อต่อมาจากโรงฆ่าสัตว์ เลี้ยงจนสมบูรณ์แต่มันก็ต้องมาตายเพราะน้ำท่วม "เห็น ใจหมามันลอยน้ำมาวันละตัวสองตัวแล้วมาเกาะๆกันอยู่ในบ้านร้างหลังบ้าน มันถูกน้ำพัดมาถ้าหลุดไปมันตายแน่เพราะข้างในน้ำลึกมาก ตอนนี้หมาอีกหลายสิบตัวถูกขังไว้ในห้องชั้นบน บางกลุ่มอยู่ที่ระเบียง บางตัวอยู่ที่หลังคาบ้าน รู้สึกสงสารมันจึงหาข้าวให้มันกินพอดีดาบตำรวจสุรินทร์ ให้เงินมาซื้อข้าวให้มันกินแต่ตอนนี้หมดแล้วก็ต้องแบ่งของบริจาคและควักเงิน ส่วนตัวไปซื้อข้าวให้มันกิน เจ้าของที่รู้ว่าหมาตัวเองหลุดมาก็ไม่มาตามกลับ ทุกวันเช้าเย็นต้องนำอาหารใส่ถุงพลาสติกโยนจากหลังบ้านเข้าทางหน้าต่าง หลังคา เอาตะกร้อสอยมะม่วงยื่นให้มันบ้างมันก็แบ่งกันกิน เพราะน้ำท่วมหมด บางตัวว่ายน้ำไม่เป็น บางตัวหิวโซแทะกินกระทั่งพลาสติก บางตัวผอมเอวกิ้วเลย บางตัวคิดจะกระโดดข้ามกำแพงก็ถูกหลังคาสังกะสีบาดเลือดไหล สงสารมันจึงพ่วงไฟที่บ้านมาให้มันตอนกลางคืน ตอนนี้อยากได้แค่ค่าอาหาร " นางสำอาง บอกอีกว่า ขอ ความช่วยเหลือไปที่หมายเลข 1111(สายด่วน 1111 ของรัฐบาล) ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม รับปากว่าจะช่วยแต่ไม่มาสักที เขาบอกว่าหมายเลขนี้เป็นทางด่วนแต่ไม่รู้ว่าด่วนแบบไหน ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่ดูแลสักที แล้วโยนให้ไปหาสภากาชาดไทย เขาก็บอกให้ไปทำตามขั้นตอนตัวเองก็ไม่รู้หนังสือไม่รู้จะทำยังไง "ของบริจาคก็เยอะแต่เอาไปให้หมากินเขาไม่ให้" ครั้งที่แล้วร้านทองเอาข้าวมาให้ 5 กิโลกรัม ก็หุงให้หมากินหมดเลย หลังน้ำลดก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรอีกเหมือนกัน อย่าง ไรก็ตามงานนี้ต้องขอขอบคุณกัปตันหนุ่มน้อยที่พายเรือจากหน้าปากซอยจนถึงท้าย ซอยโดยที่ไม่บ่นสักคำและขอชมความสามารถในการแจวเรือพาแวะตรอกซอกซอยเข้ารก เข้าพงจนเข้าถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านได้จริงๆ ระหว่างทางที่ออกจากกรุงเก่าใน บางจุดยังมีน้ำท่วมขัง ชาวบ้านต้องอพยพมาอยู่บนถนน บางคนขนลูกหมาตัวน้อยๆใส่กะละมังให้ผู้ที่รักสัตว์นำไปเลี้ยงต่อเพราะไม่มี ที่ให้อยู่น้ำท่วมหมด ขณะที่สองข้างทางที่มุ่งหน้าไปสำรวจพื้พื้นที่น้ำท่วมที่ จ.สุพรรณบุรี พบว่า สองข้างถนนเต็มไปด้วยน้ำไกลสุดลูกหูลูกตากันทีเดียวเมื่อทุ่งนากลายเป็นทะเลที่บ้านดอนมะเกลือ หมู่ 6 ตำบลบางปลาม้า อำเภอบางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ถนนทางเข้าหมู่บ้านถูกน้ำท่วมขังมากว่าครึ่งเดือนแล้ว และระดับน้ำได้ลดลงบ้างแล้วรถกระบะสามารถขับผ่านไปได้ แต่บางจุดยังท่วมสูง นายบรรเจิด แก้ววิชิต กำนันประจำตำบลบางปลาม้า พาลุยน้ำโดยอาศัยรถอีแต๋นหรือชาวบ้านเรียกรถ "อีแต๊ก" ฝ่าน้ำเข้าไปดูความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่ล้อมรอบไปด้วยน้ำ
นายบรรเจิด กล่าวว่า น้ำ ท่วมขังมากว่า 15 วัน แม้ระดับน้ำเริ่มลดลงบ้างแล้วแต่น้ำยังท่วมทางเข้าหมู่บ้านและบ้านเรือน ประชาชนบางหลังยังจมน้ำมีทั้งหมด 60 หลังคาเรือน บางส่วนย้ายออกไปอยู่กับญาติแล้วแต่บางคนไม่มีที่ไปก็ต้องอาศัยบ้านที่น้ำ ท่วม ตอนนี้น้ำเริ่มส่งกลิ่นและเปลี่ยนสีเขียวเข้มเกรงว่าถ้าน้ำยังไม่ลดคงจะเน่า ในอีกไม่นาน นายบรรเจิด กล่าวว่า
การให้ความช่วยเหลือที่ได้รับตอนนี้มีทางการนำส้วมลอยน้ำมามอบให้ 1 หลัง ซึ่งไม่เพียงพอแต่ก็ไม่มีใครเรียกร้องเพราะทุกคนเข้าใจ แต่รับไม่ได้เนื่องจากพื้นที่เป็นที่ดอนไม่น่าจะท่วมได้ แต่ตอนนี้น้ำท่วมทุ่งเป็นทะเลหมดแล้ว ตอนนี้ก็ต้องช่วยเหลือตัวเองเพราะไม่มีใครเข้ามาช่วย ถนนทางเข้าหมู่บ้านถูกน้ำท่วมขัง บ้านหลายหลังพังเสียหาย ทางการบอกจะช่วยครัวเรือนละ 5 พันบาท แค่ค่าซ่อมบ้านก็ไม่พอแล้ว อยากให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนเรื่องการซ่อมแซมบ้านเป็นวัสดุ อุปกรณ์ หรือไม่ก็ต้องเป็นเงินหลักหมื่นถึงจะเพียงพอเพราะมันเสียหายหนัก
หลังจากที่ได้พยายามหาทางเข้าไปพูดคุยกับชาวนาเพื่อสอบถามความเสียหายแต่ไม่พบหน ทางใดจะเข้าถึงกระท่อมกลางทุ่งที่เหลือแต่หลังคามีประกายระยิบของแสงอาทิตย์ สะท้อนผืนน้ำขาวโพลนไปทั่วทุ่ง จึงขอยุติการสำรวจไว้เพียงเท่านี้ หวังว่าหน่วยงานภาครัฐที่มีความพร้อมทั้งเครื่องมือ พาหนะ คงจะเคลื่อนที่เร็วเข้าไปแก้ไขจัดการได้รวดเร็วที่สุดถึงจะป้องกันไม่ได้ แล้วเมื่อปัญหาเกิดก็ควรจะรีบแก้ไขด่วนที่สุด ยังมีอีกหลายพื้นที่ซึ่งชาวบ้านต้องลอยคอรอความช่วยเหลือ ชาวนาภาคอีสานนั่ง มองผืนนาหลายแสนไร่จมน้ำมองไม่เห็นอนาคตจะกินอะไรไม่มีข้าวให้เก็บเกี่ยว
จากคุณ |
:
nongthee
|
เขียนเมื่อ |
:
5 ต.ค. 54 10:08:35
|
|
|
|