ความคิดเห็นที่ 1 เท่าที่เจอมา ปลวกจะไม่กินต้นยางที่ยังไม่ตายนะ อาจตายเพราะสาเหตุอื่นแล้วปลวกมากินต่อ ถ้าคิดว่าเป็นที่ปลวกจริง ให้ขุดดินขึ้นมา แล้วใส่ยาฆ่าปลวกลงไป แต่หากปลูกซ่อมตรงนั้นอีกก็อาจโดนอีกก็ได้ จากคุณ : Pit2519 เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 22:02:19

ความคิดเห็นที่ 2 ปลวกมาทีหลังครับ แต่เจอโคนเน่าก่อน จัดการด้วยเชื้อราไตรโครเดอร์ม่าครับ เลี้ยงเชื้อในข้าวจากนั้นก็นำไปหว่านให้ทั่วแปลง สวนยางผมเคยเจอปัญหานี้ ครั้งแรกที่เจอใช้ข้าวสาร 1 ถัง เลี้ยงเชื้อหว่านไป 30 ไร่ การระบาดหยุดได้เลย หลังจากนั้นอีก 6 เดือนกว่าๆ ผมหว่านไปอีก 1 ถัง วิธีการเลี้ยงเชื้อ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=pumorchids&date=12-07-2009&group=7&gblog=13 จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 23:12:03

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณคุณทุกท่านที่แนะนำนะคะ ปัจจุบันสวนที่ปลูกยางอยู่ก็มีคนทำสวนผักไปด้วย อาจเป็นอย่างที่คุณปุ้ม ครับ บอกมา น่าจะเป็นจากโคนเน่าเพราะการรดน้ำผักคงมีท่วมขังบ้าง คงต้องรีบจัดการด่วน ท่านใดมีความเห็นอื่นๆ ก็แนะนำมาได้นะคะ จากคุณ : ม๋ามี๋ลูกพรุน เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 11:03:51

ความคิดเห็นที่ 4 ในสวนยางของแม่  ไม่ได้ปลูกผักหรือพืชชนิดอื่นเลยนอกจากยางพารา  เข้าปีที่ 2 ยางยืนต้นตายเหมือนกันค่ะ ปลูกใหม่ก็ตายอีก  ไม่รู้จะทำยังไง  ตอนนี้ในสวนก้เลยโบ๋เป็นหย่อมๆ จากคุณ : นกขมิ้นเพ็นนี เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 11:09:09

ความคิดเห็นที่ 5 โคนเน่าเพราะว่ามีโรคประจำตัวของยางเองครับ คือเน่าจากเชื้อราไฟท็อปเซอร่า เมื่อเกิดโรคแล้วจะระบาดต่อๆไปเรื่อยๆ ถ้าไม่จัดการก็จะเสียหายไปมากขึ้น ผมเองเสียไป 5-6 ต้น ซึ่งขนาด 7-8 ปีแล้ว จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 13:55:48

ความคิดเห็นที่ 6 การปลูกซ้ำที่อาจจะไม่ดีนักนะครับ ถ้าไม่มีการกำจัดเชื้อสาเหตุให้เรียบร้อย ตรงนี้ผมไม่รู้ว่าเมื่อให้ไตรโคเดอร์ม่าไปแล้ว จะสามารถปลูกซ้ำที่เดิมได้หรือไม่ เพราะของผมเองมันมีปัญหาตอนต้นโตแล้ว จากที่เคยใช้กับกล้วยไม้ ตอนที่เป็นราเม็ดผักกาดนั้น ปกติเราจะต้องรื้อเครื่องปลูกทิ้งไป แต่ผมไม่ได้รื้อเครื่องปลูกออก เมื่อกำจัดเชื้อสาเหตุโรคไปแล้ว ก็ปล่อยเครื่องปลูกไว้อย่างเดิม ก็ไม่มีปัญหาเรื่องโรคราเม็ดผัดกาดอีกเลยนะครับ สำหรับสวนยาง ถ้ามันแหว่งตรงไหนเราก็ลองหาพืชอื่นไปปลูกก็ได้ครับ เช่นกล้วยน้ำว้า ปลูกทดแทนลงไปเลย กล้วยจะสามารถให้ผลผลิตกับเ้ราได้ครับ นอกจากนี้ต้นกล้วยจะช่วยให้ดินมีความชุ่มชื้นขึ้น จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 14:00:17

ความคิดเห็นที่ 7 คุณม๋ามี๋ลูกพรุน คุณนกขมิ้นเพ็นนี ครับ ไม่ทราบว่าสวนอยู่ที่ไหนครับ และสะดวกที่จะเลี้ยงเชื้อไหมครับ ถ้าสะดวกผมจะส่งเชื้อไปให้ขยายครับ จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 18:10:23

ความคิดเห็นที่ 8 สวนอยู่ที่ บุรีรัมย์ค่ะคุณปุ้ม  ยินดีมากค่ะถ้าจะส่งหัวเชื้อให้  ขอบคุณมากค่ะ เพ็นซื้อกล้ายางมาปลูกซ้ำที่เดิม 2 ครั้งแล้ว เพราะตอนแรกคิดว่าปลวกกิน   พอโตมาหน่อยนึงก้ยืนต้นตายเหมือนเดิม   ล่าสุดเพิ่งไปปลุกแซมเมื่อเดือน สิงหาคม 54 ตอนนี้ไม่วายไปเฝ้าดาวยางพารา  ก็เลยซ่อมแล้วค่ะ  ปีนี้ปีที่ 5 เข้าปีที่ 6 จากคุณ : นกขมิ้นเพ็นนี เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 19:13:03

ความคิดเห็นที่ 9 ปอลิง.. เพ็นทดลองปลูกกล้วยแล้วค่ะ  พอเริ่มแก่ ไม่ทันค้างคาวโดนค้างคาวกับกระรอกเจาะซะพรุน   ตอนนี้กำลังเพาะทับทิมสเปนว่าจะเอาไปปลูกแซมยางที่ตายไปค่ะ จากคุณ : นกขมิ้นเพ็นนี เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 19:17:26

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณค่ะ คุณปุ้ม สวนอยู่ ยะลาค่ะ ให้คนที่สวนผักดูแลสวนยางไปด้วยในตัว แต่ก็ไม่ได้หวังอะไรจากเค้ามากมาย แต่พอต้นยางโตแล้วมาตายก็รู้สึกเสียดายมากและกังวลว่าจะแก้ไขยังไงดี และที่สำคัญกลัวจะลามไปกันใหญ่ ส่วนตัวเองอยู่กทม.ค่ะ กำลังจะถามคุณปุ้มอยู่ว่า ถ้าเราไม่สะดวกจะหายาที่กำจัดโรคเชื้อราใส่ไปพร้อมกับปุ๋ยเลย จะได้รึป่าวคะ เพราะสิ้นเดือนนี้จะไปดูแลเรื่องใส่ปุ๋ยพอดี ระยะนี้จะ 3เดือนใส่ปุ๋ยครั้งนึงค่ะ จากคุณ : ม๋ามี๋ลูกพรุน เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 19:50:58

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าจะใช้สารเคมีก็แนะนำยาเมตาเลคซิลครับ ผสมน้ำราดโคนต้นอย่าไปราดต้นที่ตายแล้วนะครับ ให้ราดต้นที่ถัดมาที่ยังไม่เป็น เพื่อป้องกันการระบาดต่อ สวนผมเองจะใช้สารเคมีอยู่ช่าวง 2 ปีแรกครับ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมีอีกเลย ทั้งนี้ก็เพราะผมมีแนวคิดว่า สารเคมีนั้นเมื่อลงไปในดินมากๆก็จะทำให้ดินมีสภาพเป็นกรดสะสม ซึ่งจะทำให้เชื้อจุลินทรีย์ต่างๆตายลงไปและเชื้อราสาเหตุโรคก็จะเจริญเติบโต ซึ่งตามปกตอิธรรมชาติจะมีจุลินทรีย์อยู่ในดินมากมาย มีทั้งเป็นสาเหตุโรคพืชและมีทั้งที่เป็นเชื้อปรปักษ์กับเชื้อสาเหตุอีกที เช่นเชื้อไตรโคเดอร์ม่านี่แหละครับ ที่เป็นเชื้อราอยู่ในดินที่เป็นเชื้อไปกินเชื้อสาเหตุโรคพืช แต่เมื่อสภาพดินไม่ดี ทำให้เชื้อต่างๆตายลงไปและยังจะทำให้ระบบรากพืชเสียไปด้วย ทำให้ต้นไม่สมบูรณ์แข็งแรง จึงเป็นเหตุให้ต้นอ่อนแอถูกทำลายได้โดยง่าย นอกจากนี้เมื่อสภาพดินไม่ดีไม่ร่วนซุย รากพืชน้อย เมื่อให้ปุ๋ยไปก็จะนำไปใช้ไม่ได้เต็มที่ ปุ๋ยก็เสียไปเปล่าๆ พืชไม่งามก็ต้องเพิ่มการใส่ปุ๋ยเข้าไปอีก ยิ่งปุ๋ยลงไปมากขึ้น ดินก็จะยิ่งแย่ขึ้น สุดท้ายจะเป็นอย่างไรครับ ต้นทุนก็สูงขึ้น ผลผลิตก็ลดลง หลังจาก 2 ปีแรก ผมงดปุ๋ยเคมีและสารเคมีทุกตัว เน้นไปที่การปรับปรุงดินครับ - ทำปุ๋ยปลา ผมนำปลามาหมักกับกากน้ำตาล ผลไม้สุขต่างๆ และนำปุ๋ยปลาที่ได้ไปผสมน้ำราดตามจุดต่างๆในสวน ปุ๋ยปลาจะมีธาตุอาหารครบทุกตัว นอกจากนี้ยังมีจุลินทรีย์อีกมากมายที่ลงไปช่วยย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ในดิน - ใช้วิธีการตัดหญ้า เพื่อให้รากหญ้ายึดเกาะป้องกันหน้าดินไว้และช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดิน เศษหญ้าที่ตัดก็จะสลายกลายเป็นปุ๋ยให้กับต้นยางด้วย ทำให้ดินร่วนซุยมากขึ้นด้วย - พวกเศษใบยาง เศษกิ่งยาง หรือต้นกล้วยที่ตัดแล้ว จะปล่อยทิ้งไว้ในสวน ให้ย่อยลายกลับมาเป็นปุ๋ยต่อไป - นำหัวเชื้อ พด 2 มาขยายในกากน้ำตาล และนำไปราดในดินเป็นหย่อมๆ เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ในดิน - เลี้ยงเชื้อราไตรโคเดอร์ม่ามาหว่านลงดิน เชื้อตัวนี้นอกจากจะไปทำลายเชื้อสาเหตุโรคพืชแล้วยังจะไปย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ในดินให้กลับกลายมาเป็นปุ๋ยได้ด้วย เมื่อทำไปแบบนี้ไปจนถึงตอนนี้เข้าปีที่ 10 แล้ว ดินจะร่วนซุยขึ้นระบบรากของยางจะดีขึ้น เมื่อระบบรากดีขึ้นก็จะดูดธาตุอาหารไปได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสารอาหารที่เกิดจากการย่อยสลายหรือจากปุ๋ยปลาถึงจะมีปริมาณเปอร์เซ็นไม่มากแต่ก็เพียงพอต่อการเจริญเติบโตแล้วครับ เปรียบเสมือนถ้าเรามีอาหารดีเลิศขนาดไหนมาวางตรงหน้า แต่ถ้าฟันเราไม่ดี ปากเราเจ็บเป็นแผล เราก็ไม่สามารถทานอาหารได้เต็มที่นะครับ จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 20:11:55

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ ม๋ามี๋ลูกพรุน ครับ สวนผมอยู่นคร ตัวผมอยู่พัทยานะครับ สิ้นเดือนนี้ก็จะย้ายลงไปทำเต็มตัวแล้ว การเลี้ยงเชื้อไม่ยากนะครับ จะลองไหม แต่เมื่อใช้ตัวนี้จะต้องงดสารเคมีต่างๆนะครับ ใช้เวลาในการเลี้ยงเชื้อ 7 วัน แล้วส่งให้คุณไปขยายเพิ่มจำนวนอีก 7 วัน ก็นำไปใช้ได้ น่าจะพอดีเวลากัน จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 20:16:18

ความคิดเห็นที่ 13 อ้อ อีกสักนิดนะครับ เผื่อว่าจะมีใครมีคำถามต่อไปว่า ถ้าไม่ใส่ปุ๋ยแล้ว น้ำยางที่ได้จะน้อยไปไหม จากที่บอกครับ สวนผมอยู่นคร ตัวผมอยู่พัทยา แต่การดูแลนั้นแม่ผมคอยดูแลครับ ช่วงแรกๆญาติพี่น้องจะมาพูดว่าถ้าทำแบบนี้สวนผมจะต้องแย่แน่ๆ ยางจะไม่โต น้ำยางจะไม่ได้ หรือบางคนพูดหนักไปถึงว่า กองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางจะต้องมาเอาเงินคืินแน่ๆ ซึ่งผมไม่ตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น ผมพูดกับแม่ว่า เราจะต้องรู้จักพื้นฐานและปัจจัยการปลูกพืชเสียก่อน เราก็จะต้องพยายามสร้างปัจจัยเหล่านั้นให้ดีที่สุดแล้วพืชที่เราปลูกก็จะสมบูรณ์แข็งแรง ส่วนถ้าเราได้น้ำยางน้อยลงหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะว่าเราจะไม่มีต้นทุนค่าปุ๋ยค่ายาเลย ทำให้เราประหยัดต้นทุน ขายยางได้น้องลงเราก็ยังอยู่ได้ สุดท้ายยางผมก็ครบกรีดเมื่ออายุ 7 ปี ขนาดต้นก็ตามปกติคือ 50 เซ็นต์ คนที่กรีดยางให้ผมก็คือญาติที่บอกว่า สวนผมยางจะไม่โตไม่มีน้ำยางนั่นแหละ เมื่อกรีดไปหลายเดือนแล้ว ผมลงไปที่สวนพร้อมกับให้แม่ถามเค้าว่า จากประสบการณ์การกรีดยางมานานนั้น ยางสวนผมเป็นอย่างไรบ้าง ลองทายคำตอบกันดูสิครับว่าญาติผมจะตอบว่าอย่างไร จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 20:25:26

ความคิดเห็นที่ 14 คุณปุ้มคะ ติดปัญหาตรงที่เราไม่มีเวลาค่ะ เพราะไปอยู่แค่อาทิตย์เดียว ทุกครั้งจะเดินใส่ปุ๋ยเองที่ไม่มากมายค่ะ ก่อนหน้านี้ ต้นยางโตเร็วมาก ใครผ่านไปมาเห็นก็จะถามว่าใช้ปุ๋ยสูตรอะไร ซึ่งก็ไม่ได้พิสดารอะไรเลยสูตรมาตรฐาน ทั่วๆไป แต่คิดว่าน่าจะได้จากการที่่คนทำสวนผักบำรุงต้นผักเค้า แล้วเป็นผลพลอยได้มาถึงต้นยางด้วย และที่สำคัญถ้าใช้เชื้อที่แนะนำแล้วต้องงดสารเคมีอื่นอีก มันคงยากแน่ๆ เพราะสวนผักเองเค้าก็ใช้สารเคมีด้วยค่ะ นอกจากยาเมตาเลคซิล ซึ่งต้องผสมน้ำราด แล้วมีตัวอื่นที่เป็นแบบเม็ดเหมือนปุ๋ยมั๊ยคะ จะใส่ไปพร้อมกันหว่านทั้งสวนเลย ขอบคุณมากมายอีกครั้งค่ะ อ่อสำหรับคำตอบ น่าจะตอบว่า รู้งี้ใช้แบบนี้มั่งดีกว่า 555 รูปสวนเมื่อต้นได้ประมาณ 6เดือนมั่งคะ ไม่ค่อยแน่ใจ จากคุณ : ม๋ามี๋ลูกพรุน เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 21:01:30

ความคิดเห็นที่ 15 เราไม่ต้องไปใส่ทั้งหมดครับ ยาเราใส่เฉพาะตรงรอบๆที่เกิดโรคนะครับ ด ูจากรูปที่เค้าปลูกผักแล้ว เป็นผมจะไม่ใส่ปุ๋ยเพิ่มครับ เพราะปุ๋ยจากสวนผัก ต้นยางก็จะได้ด้วยเช่นกัน จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 21:25:45

ความคิดเห็นที่ 16 ค่ะคุณปุ้ม ถ้างั้นก็จะใช้ตัวยาที่แนะนำก่อนนะคะ ใส่เฉพาะรอบๆต้นที่เคยเน่าตาย แนวทางการบำรุงดินที่คุณปุ้มใช้น่าสนใจมาก แต่ว่าคงจะต้องกลับไปใช้ชีวิตที่สวนเลยถึงจะทำได้ คิดว่าคงอีกไม่กี่ปี ช่วงนี้ยังใช้ชีวิตอยู่ในกทม. มีเป้าหมายไว้แล้วค่ะว่าจะกลับไปใช้ชีวิตแบบธรรมชาติเดิมๆที่เคยอยู่ ส่วนปุ๋ยที่ใส่ ก็ได้จากสงเคราะห์มาค่ะ ของมีอยู่ก็เลยเอามาใส่ซะเลย ตกลงญาติคุณปุ้มบอกว่าไงคะ? จากคุณ : ม๋ามี๋ลูกพรุน เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 21:54:41

ความคิดเห็นที่ 17 คำตอบคือ "ยางสวยมาก น้ำยางออกดี กรีดง่าย" จริงๆแล้วคำตอบนี้ผมก็ยังไม่เชื่อนะครับ มีอยู่ช่วงหนึ่งแม่ยายผมไปอยู่ที่สวนให้ ก็เลยให้เค้าลองกรีดดูว่ายางที่ออกมาเป็นอย่างไร ผลที่ได้คือ ได้เงินมากกว่าตอนญาติผมกรีดให้ซะอีก จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 22:02:19

ความคิดเห็นที่ 18 เป็นลูกหลานชาวสวนยางมาตั้งแต่เกิด แต่ไม่เคยกรีดยางเลยค่ะ ได้ยินมาว่า น้ำยางจะออกดีหรือไม่อยู่ที่ความชำนาญของคนกรีดด้วยส่วนนึง ถ้าจำไม่ผิดเคยเห็นคุณปุ้ม จะชำนาญด้านกล้วยไม้มากเลย เพราะมีช่วงนึงเลี้ยงเยอะค่ะ ก็เลยหาความรู้ไปเรื่อย แต่ตอนนี้ส่วนใหญ่จะประจำห้องสินธรซะแล้ว ไม่ค่อยมีเวลาแวบไปห้องอื่นๆเลยค่ะ จากคุณ : ม๋ามี๋ลูกพรุน เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 22:15:52

ความคิดเห็นที่ 19 ผมเล่นกล้วยไม้อยู่ด้วยครับ แต่ยังไม่ถึงขั้นชำนาญอะไรนักนะครับ ยังต้องศึกษาอีกเยอะเลย จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 23:19:29

ความคิดเห็นที่ 20 อาจจะไม่เป็นเชื้อราก็ได้ ปัญหาอาจจะเกิดจากต้นพันธุ์ ส่วนใหญ่ที่อิสานชอบปลูกยางแบร์รูท (ติดตาในแปลง แล้วถอนมาชำในถุง) ก่อนชำถุงตัดรากแก้วออกไปเป็นคืบ พอปลูกไปกำลังโตดีๆ ปีไหนหน้าแล้งจัดๆ รากแก้วที่ถูกตัดทิ้ง รากแก้วหยั่งรากไม่ถึงความชื้น  จะมีโอกาสตายสูง จากคุณ : หงส์ละเหี่ย เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 10:07:27

ความคิดเห็นที่ 21 สวนยางของแม่ตอนนี้ก้ให้ปุ๋ยเร่งน้ำยางบ้างแล้วค่ะ  ส่วนที่ตายก็ปล่อยไว้แบบนั้นกำลังจะหาอย่างอื่นมาปลูกแทน กระทู้นี้จุดประกายหลายอย่างเลยค่ะ  ขอบคุณเจ้าของกระทู้และคุณปุ้มมากๆค่ะ จากคุณ : นกขมิ้นเพ็นนี เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 10:37:03

ความคิดเห็นที่ 22 สวนยางอยู่แถวไหนครับ จากคุณ : JayMelb เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 19:00:29