Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เห่อค่ะ ไม่เคยมีหมา เลยอยากเล่าวีรกรรมเล็กๆของหลานชาย ติดต่อทีมงาน

เราเคยบอกกับใครๆว่า เราไม่ชอบหมา...
แต่วันนี้ เรากลับรักหมายิ่งกว่าลูก และมากกว่าหลาน
ขอท้าวความหน่อยนะคะ...

เราแต่งงานกับชาวอเมริกัน และเคยทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดโรงแรม วันหนึ่งลูกค้าเอาหมาเข้ามานอนในห้องโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะเมืองที่เราอยู่เป็นเมืองหนาว ประตูหน้าต่างจะปิดมิชิด อากาศไม่สามารถระบายหรือถ่ายเทได้ ดังนั้นทางโรงแรมจึงห้ามนำสุนัขเข้ามาพักในห้องอย่างเด็ดขาด วันนั้นเราเจอศึกหนัก ทำเท่าไรก็ไม่เสร็จ เนื่องจากขนหมาฟุ้งกระจายเกาะติดผ้าห่ม ผ้าม่าน แถมเขายังเอามันลงไปอาบน้ำในอ่างอีก กรรมของเราจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาเลยไม่ชอบ และไม่อยากเลี้ยงหมา...

วันหนึ่งเราสองคนไปเยี่ยมเพื่อนสามี พอเขาเปิดประตูบ้าน กลิ่นหมาปะทะจมูกอย่างแรง บนโชฟาก็มีแต่ขนหมา พอเปิดประตูรถยนต์ กลิ่นหมาอีกแล้ว ขนเต็มเบาะไปหมด เลยสัญญากันว่า จะไม่ขอเลี้ยงหมา สามีบอกว่ากลับมาอยู่เมืองไทยค่อยเลี้ยง เราบอกว่ายังไงก็ไม่เอา ไม่อยากมีภาระ ไม่เข้าใจเวลาที่เขาไม่สบาย และจะทำอย่างไร ถ้าเราต้องทิ้งบ้านไปเที่ยวหลายๆวัน  

หลังจากสามีเกษียณ เราสองคนได้ย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย บ้านเราซื้อไว้นานหลายปีแล้ว อยู่ในหมู่บ้านจัดสรรเล็ก เราซื้อรถกระบะ 4ประตูมิตซูไทรทั่นพลัส เพื่อลูกหลานและแม่จะได้นั่งสบายๆ...

ลูกชายบอกว่า รถใหม่ป้ายแดง ห้ามนำอาหารเข้ามากินในรถ เขารักรถมาก เช็ดเช้าเช็ดเย็น หลังจากเขาแยกไปทำธุรกิจส่วนตัว เราจึงไปรับแม่และหลานสาวอีก2คน มาอยู่ด้วย จะได้ดูแลได้อย่างใกล้ชิด

แม่ย้ายมาอยู่กับเรา ก็พาเจ้าดุ๊กดิ๊กมาด้วย เจ้าดุ๊กดิ๊กเป็นหมาพุดเดิ้ลเพศผู้ อายุไม่ทราบแน่ชัด แม่บอกว่ามันหลงมานอนอยู่หน้าบ้านกับไอ้บราว ในช่วงที่กำลังติดสัตว์ หลานสาวเราจึงขออนุญาตทวดเลี้ยง และให้อาหาร พาไปอาบน้ำ ทวด(แม่ของเรา)บอกกับเหลนว่าหมาน่ารัก ไปตามหาเจ้าของก่อน เถอะ แต่ก็ไม่มีใครแสดงตน จึงพาไปตัดขน รักษาแผลที่เกิดจากเห็บ,หมัดจนสะอาด และดูดีขึ้นเยอะ...

แต่แม่อยู่กับเราไม่ได้ เนื่องจากเหงาไม่มีเพื่อนบ้าน จึงย้ายกลับไปอยู่บ้านแกซึ่งไม่ไกลจากบ้านเรานัก สามีจึงเอ่ยปากขอดุ๊กดิ๊กไว้ เพราะถูกชะตา เนื่องจากระหว่างที่อยู่ในบ้านเราเดือนเศษนี้ ดุ๊กดิ๊กไม่เคยดื้อ ไม่เคยซน ไม่เคยฉี่ในบ้าน ไม่เคยอึในบ้าน เขาจะอั้นเอาไว้จนรุ่งเช้า จนฉี่เป็นสีเหลืองกระปิดกระปอย(เยี่ยวคั่น) พูดบอกอะไรก็เชื่อฟัง รู้ภาษาคนเยอะมาก...

สามีให้ดุ๊กดิ๊กขึ้นมานอนบนเตียงด้วย เราก็เห็นด้วยเพราะมันน่ารักจริงๆ บวกกับสามีเหงา ไม่มีเพื่อนคุยภาษาอังกฤษด้วย แกก็ได้ดุ๊กดิ๊กนี่แหละเป็นเพื่อนคุย จนบางครั้งเราคิดว่าแกคุยกับเราซะอีก ความสัมพันธ์เริ่มลึกซึ้ง.....

วันหนึ่งเราจะไปซื้อของ ระยะทางจากบ้านไปโลตัส 30กิโล จะทิ้งเขาไว้บ้านก็ร้องหงิ๋งๆ มองหน้าแล้วยืน สามีสงสารเลยเอาขึ้นรถไปด้วย

ดุ๊กดิ๊กกลัวการนั่งรถยนต์มาก คงเป็นครั้งแรก เราจับเขามานั่งตัก เขาหันมาเลียปาก แล้วมองไปข้างหน้าบ้าง ข้างๆบ้าง อย่างตื่นเต้นและสงสัย จนถึงโลตัส เราทิ้งเขาไว้ในรถ โดยเปิดแอร์ทิ้งไว้ เขาร้องตาม สามีจึงรีบเข้าไปดูของที่เขาต้องการแล้วรีบกลับออกมาอยู่เป็นเพื่อนดุ๊กดิ๊กจนเราซื้อเสร็จ....

เป็นเวลาเกือบครึ่งปีแล้ว ที่เราสองคนไปไหนก็ต้องเอาดุ๊กดิ๊กไปด้วย แม้กระทั่งไปเที่ยวทะเล เราบอกสามีว่าลำบากนะถ้าไปเดินห้าง เพราะเขาห้ามไม่ให้เอาหมาเข้า โรงแรมส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมให้เอาหมานอนด้วย เอาไปฝากแม่ดีกว่า สามีไม่ยอม และตอบว่า ก็หารีสอร์ทนอนซิ ถ้าหาไม่ได้ผมก็ไม่ไป จะอยู่บ้านนี่แหละ...

ทุกเช้าเขาจะพาดุ๊กดิ๊กไปเดินเล่นที่สวนฯ เราเห็นว่าดุ๊กดิ๊กชอบไปเล่นกับน้องหมาพันธุ์ใหญ่โตตัวหนึ่ง หมาตัวนี้เหมือนถูกฝึกมาอย่างดี ไม่เห่าเหมือนหมาที่นอนอยู่ริมทาง

เขาสองตัววิ่งต้อนกันไปมาอย่างสนุกสนาน พอเหนื่อยมากๆ เจ้าน้องหมาตัวนั้นมันก็กระโดดลงไปในสระน้ำ แล้วก็ว่ายกลับขึ้นมา เนื้อตัวเปียกชุ่ม เจ้าดุ๊กดิ๊กได้แต่มองอย่างแปลกใจ เนื่องจากดุ๊กดิ๊กไม่ชอบอาบน้ำ...

วันหนึ่งเราได้น้องหมาพันธุ์ไทยอายุ 1เดือน แม่มันเป็นหมาที่ถูกเลี้ยงแบบทิ้งๆขว้างๆ ไปผสมพันธุ์กับหมาที่ไหนมาก็ไม่รู้ คลอดมา 6ตัว ดันนอนทับตายไปซะ1 ตัวมันสีดำ-ขาว เราตั้งชื่อตามรถกระบะของเราคือ "ไทรทั่น"

เมื่อไทรทั่นอายุ 2เดือนเต็ม เราพาไปเดินที่สวนฯ แต่เหมือนขาจะยังไม่ค่อยแข็งแรงหรือยังไง เดินไปสักพักก็ล้ม เราเลยอุ้มเขากลับและพาเดินอยู่แค่ถนนหน้าบ้านระยะทางสั้นๆ

วันนี้ เจ้าไทรทั่น อายุ 3เดือนเต็ม น้ำหนัก 4กิโลกว่า ดื้อ ซน ทานเก่ง ชอบกัดของเล่น กัดมือเราในบางครั้ง และชอบเล่นไล่งับกับดุ๊กดิ๊กมากที่สุด ส่วนเจ้าดุ๊กดิ๊ก น้ำหนัก 6.5กิโล อายุประมาณ 4ปีหมอบอก แต่มีคนที่ตลาดนัดบอกว่าไม่น่าจะถึง ดูจากหน้าตาและลักษณะแล้ว เป็นหมาหนุ่ม อายุไม่น่าจะเกิน 3ขวบ...

เช้านี้เราเริ่มกลับมาออกกำลังกายลดไขมันอีกครั้ง หลังจากที่ทิ้งช่วงไปนาน เลยชวนสามีไปเดินที่สวนฯกัน โดยพาน้องหมาทั้งสองไปเดินด้วย

เราทั้งสี่ชีวิตขับรถมาถึงสวนฯ และจอดแอบไว้ข้างทางใต้ร่มไม้ จากนั้นก็พากันเดินไปตามทางที่สวนฯจัดไว้

ดูพวกเขาจะตื่นเต้นมาก โดยเฉพาะเจ้าดุ๊กดิ๊กเนื่องจากเคยมาและรู้ทาง มันวิ่งเร็วจี๋ ลำตัวเหยียดตรง ยังกับกระต่าย เจ้าไทรทั่นมองตามและหยุดหันมามองหน้าเราอย่างสงสัย...

เดินไปครึ่งรอบสระ(ครึ่งกิโล) เราจึงชวนสามีเปลี่ยนเส้นทาง โดยเดินไปตามถนนอีกเส้นหนึ่ง ซึ่งมีทุ่งนาสองฝากข้าง ต้นทางพอมีบ้านคนปลูกเสร็จแล้ว เลยมาอีกหน่อย มีแต่รั้วล้อมที่ดินไว้ ถัดมาล้อมรั้วปลูกต้นไม้ไว้ภายใน ร่มรื่นสวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ ต้นข้าวเขียวขจี อากาศในยามเช้ามันช่างบริสุทธิ์จริงๆ

เราพากันเดินสูดอากาศอย่างมีความสุข ไปได้ประมาณ 1กิโล อีกประมาณ 500เมตร ก็จะถึงถนนใหญ่ พลันได้ยินเสียงหมาเห่ากันเกรียวกราวอยู่ข้างหน้า เจ้าไทรทั่นหยุดเดิน แล้วหันมามองหน้า หูตั้ง ลิ้นห้อยหอบแฮ่กๆ เราจึงชวนสามีเดินตัดข้ามคันนาไปยังถนนอีกฝากหนึ่ง ซึ่งเป็นเส้นทางขนาดกับถนนที่เราเดินอยู่ สามารถเดินย้อยกลับไปยังจุดเริ่มต้นได้...

เราพากันเดินบนคันนาแคบๆ เจ้าดุ๊กดิ๊กเดินนำหน้า ตามด้วยเจ้าไทรทั่น เราแล้วก็สามี ไม่ถึงอึดใจ เจ้าไทรทั่นก็พลัดตกลงไปในน้ำข้างนา เจ้าดุ๊กดิ๊กรีบกระโดดตามลงไปในทันที หมายจะช่วยน้อง แต่ด้วยสัญชาติญาณของหมา เจ้าไทรทั่นสามารถว่ายน้ำขึ้นมาได้ ตัวเปียกปอน ท่าทางตกใจเป้นอย่างมาก

เรารีบคว้ามันมาอุ้มและกอดไว้แน่นๆ เพื่อให้คลายความกลัว โดยไม่กลัวเปื้อนหรือเปียกเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ ส่วนเจ้าดุ๊กดิ๊กแหงนขึ้นมอง เมื่อเห็นเจ้าไทรทั่นปลอดภัย มันจึงเดินนำหน้าต่อไป เดินๆไป 5-6ก้าว ก็หยุด แล้วหันกลับมามองพวกเรา ทำอยู่อย่างนี้เป็นระยะๆ ประมาณว่า" พวกคุณโอเคไช่ไหม"

ความรู้สึกของเราในขณะนี้ เหมือนเรากำลังหลงป่า โดยมีเจ้าดุ๊กดิ๊กเป็นผู้นำทาง คอยปกป้องคุ้มครองพวกเรา คิดถึงตอนนี้เราตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับหมามาก่อน ส่วนเจ้าไทรทั่น ปรกติจะไม่ยอมให้อุ้ม ณบัดนาว นิ่ง เงียบสงบอยู่ในอ้อมกอด...

พอเดินมาได้ครึ่งทาง ก็ถึงทางรก มีกิ่งไม้แห้งขวางอยู่ เจ้าดุ๊กดิ๊ก เดินเลี่ยงลงไปข้างล่าง เนื่องจากมันตัวเล็ก ต่ำกว่ากิ่งไม้ เดินข้ามไม่ได้ แต่ก็ยังหันมามองเรา เพื่อดูว่าเราข้ามกันได้ไหม ทำแบบนี้2-3ครั้ง จนกระทั่งถึงถนน...

เจ้าไทรทั่นเห็นถนนคอนกรีต ก็ดิ้นจะลง เราปล่อยมันวางลง มันรีบวิ่งตามเจ้าดุ๊กดิ๊กไปติดๆ พอมีเสียงรถมา ดุ๊กดิ๊กจะหันมามองไทรทั่น เหมือนเป็นการบอกว่า "ระวังรถนะ"

เดินไปได้ประมาณ 500เมตร ดูท่าทางไทรทั่นจะเหนื่อยมากเพราะเป็นการเดินทางไกลครั้งแรก มันหยุดหันมามองและเดินช้าลง กระทั่งพวกเราเดินทันมัน ไม่นานพวกเราก็เดินเข้าเขตสวนฯ...

ดุ๊กดิ๊กวิ่งหายเข้าไปในพุ่มไม้เตี้ยๆใต้ร่มไม้ใหญ่ ไทรทั่นวิ่งตามเข้าไป แต่หาดุ๊กดิ๊กไม่เจอ จึงวิ่งกลับออกมาหาพวกเรา ครางหงิ๋งๆ พร้อมกับมองหา เหมือนจะถามว่า "พี่ดุ๊กดิ๊กหายไปไหน"

เราตะโกนเรียกดุ๊กดิ๊ก เจ้าไทรทั่นรีบมองตามเสียงไปข้างหน้า สักพักดุ๊กดิ๊กก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ซึ่งใกล้จะถึงรถแล้ว เจ้าไทรทั่นเห็นจึงวิ่งตามไปจนทัน แล้วทั้งสองก็หยุดนั่งรอคู่กัน จนเราเดินมาถึง รวมระยะทางที่เราเดินกันทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 3กิโลเมตร...

หลังจากจิบน้ำเย็น พวกเราก็ขับรถกลับบ้าน เราปิดแอร์ แล้วลดกระจกลง ดุ๊กดิ๊กมานั่งตัก เอาขาหน้าพาดขอบหน้าต่างแล้วทิ้งหัวลงเพื่อรับลม โดยเราดึงเชือกที่คอไว้ เจ้าไทรทั่นเห็น ก็ทำตามบ้าง แต่กล้าๆกลัวๆ โผล่ไปนิดเดียวก็ผลุบกลับมา ยืนทางซ้ายที ขวาที เดี๋ยวก็ข้ามไปทางคุณบิล ทำอยู่อย่างนี้จนถึงบ้าน....

กลับถึงบ้าน สองตัวนั่นรีบวิ่งเข้าไปดื่มน้ำ แล้วมานั่งหน้าพัดลม สักพักก็เข้าไปนอนใต้เตียง.....

ทริปนี้ประทับใจมากและจะไม่มีวันลืม ความห่วงใยที่เจ้าดุ๊กดิ๊กมีให้กับพวกเรา "เจ้าพุดเดิ้ลหมาน้อย ที่มีหัวใจกล้าแกร่งเกินตัว"  รักนะ จุ๊บจุ๊บ...

 
 

จากคุณ : ยายหนูAK
เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 55 19:58:42




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com