ความคิดเห็นที่ 1 ธาตุอาหารจำเป็นสำหรับพืช ในพืชชั้นสูงมีความจำเป็นต้องดูดธาตุเข้าสู่ลำต้นเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต และมีธาตุอาหารจำเป็นอยู่ 16 ธาตุด้วยกัน คือ คาร์บอน ,ไฮโดรเจน ,ออกซิเจน, ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส ,โปแตสเซียม , แคลเซียม ,แมกนีเซียม,กำมะถัน , เหล็ก ,มังกานีส สังกะสี ,ทองแดง, โบรอน ,โมลิบดีนัม และคลอรีน โดยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน พืชได้จากน้ำและอากาศ มีธาตุหลักอยู่ 6 ธาตุ ที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชและพืชต้องการในปริมาณที่มาก จากดิน คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน หรืออาจแบ่งเอาแคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน เป็นธาตุอาหารรองก็ได้ มีธาตุอาหารเสริมอีก 7 ธาตุ ที่พืชใช้ในปริมาณน้อยแต่พืชจะขาดธาตุอาหารเหล่านี้ไม่ได้เช่นกัน คือ เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ทองแดง โบรอน โมลิบดีนัม และคลอรีน แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 55 12:27:49 จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:26:01

ความคิดเห็นที่ 2 ความสำคัญของธาตุอาหารทั้ง 16 ตัว ในเมื่อพืชต้องการธาตุอาหารทั้ง 16 ตัว โดยที่ 3 ตัวแรก คือ คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน พืชได้จากน้ำและอากาศอยู่แล้ว ยังเหลืออีก 13 ตัวที่มีบทบาทสำคัญ ซึ่งดินโดยทั่วไปมีธาตุเหล่านี้ในปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืชต้องหาใส่ลงดินแทน ต่อไปนี้คือความสำคัญของธาตุอาหารแต่ละตัว ธาตุไนโตรเจน หน้าที่และความสำคัญต่อต้นพืช 1.ทำให้พืชตั้งตัวได้เร็วในระยะแรกของการเจริญเติบโตและมีความแข็งแรง 2.ส่งเสริมการเจริญเติบโตของใบและลำต้น ทำให้มีสีเขียวเข้ม 3.เพิ่มปริมาณโปรตีนให้แก่พืชที่ใช้เป็นพืชอาหาร เช่น ข้าวหรือหญ้าเลี้ยงสัตว์ 4.ควบคุมการออกดอกออกผลของพืช 5.ช่วยเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น โดยเฉพาะพืชที่ให้ผลและเมล็ด หากพืชขาดธาตุไนโตรเจนจะแสดงอาการคือ 1.พืชจะสูญเสียสีเขียว โดยเฉพาะที่ใบจะเห็นใบเป็นสีเหลืองผิดปกติจากใบล่างขึ้นไปสู่ยอด 2.ลำต้นจะผอม กิ่งก้านลีบเล็ก และมีใบน้อย 3.พืชบางชนิดอาจมีลำต้นสีเหลือง หรืออาจมีสีชมพูเจือปนด้วย 4.ใบพืชที่มีสีเหลือง ปลายใบและขอบใบจะค่อยๆแห้งและลุกลามเข้ามาเรื่อยๆจนใบร่วงจากลำต้นก่อนกำหนด 5.พืชจะไม่เติบโตหรือโตช้ามาก แต่ถ้าพืชได้รับไนโตรเจนมากเกินไป 1.ทำให้พืชแก่ช้ากว่าปกติ 2.มีความต้านทานโรคน้อยลง ,ต้นอวบน้ำ ,ล้มง่าย 3.ทำให้ผลผลิตต่ำลง เพราะพืชมุ่งหวังแต่จะสร้างดอกและเมล็ด จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:29:39

ความคิดเห็นที่ 3 ธาตุฟอสฟอรัส หน้าที่และความสำคัญต่อต้นพืช 1.ช่วยให้รากดึงดูดโปตัสเซียมเข้ามาใช้เป็นประโยชน์ได้มากขึ้น 2.ช่วยแก้ผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากพืชได้รับไนโตรเจนมากเกินไป 3.ส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากฝอยและรากแขนงในระยะแรกของการเจริญเติบโต 4.ช่วยเร่งให้พืชแก่เร็ว ช่วยในการออกดอกและสร้างเมล็ดของพืช 5.เพิ่มความต้านทานต่อโรคบางชนิด ทำให้ผลิตผลขอลพืชมีคุณภาพดี 6.ทำให้ลำต้นของพืชจำพวกข้าวแข็งขึ้นไม่ล้มง่าย หากพืชขาดธาตุฟอสฟอรัสจะแสดงอาการคือ 1.พืชจะชะงักการเจริญเติบโตต้นแคระแกรน  พืชบางชนิดอาจจะมีลำต้นบิดเป็นเกลียว เนื้อไม้จะแข็ง แต่เปราะและหักง่าย         2.รากจะเจริญเติบโตและแพร่ลงไปในดินช้ากว่าที่ควร ดอกและผลที่ออกมาจะไม่สมบูรณ์ หรือบางครั้งอาจหลุดร่วงไป หรืออาจจะมีขนาดเล็ก 3.พืชจำพวกลำต้นอวบน้ำ หรือลำต้นอ่อนๆ จะล้มง่าย 4.ใบแก่จะเปลี่ยนสี หรือพืชบางชนิดใบจะเป็นสีม่วง 5.อาการขาดธาตุฟอสฟอรัสจะเกิดขึ้นกับใบล่างๆของต้นขึ้นไปหายอด จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:30:32

ความคิดเห็นที่ 4 โปตัสเซียม                 หน้าที่และความสำคัญที่มีต่อพืช 1.ส่งเสริมการเจริญเติบโตของราก ทำให้รากดูดน้ำได้ดีขึ้น 2.มีความจำเป็นของการสร้างเนื้อของผลไม้ให้มีคุณภาพดี 3.ทำให้พืชมีความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ เช่น มีแสงน้อย อากาศหนาวหรือมีฝนตกชุก 4.ทำให้พืชมีความต้านทานต่อโรคต่างๆ 5.ช่วยป้องกันผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับพืชเนื่องจากการที่ได้รับไนโตรเจนและฟอสฟอรัสมากเกินไป 6.ช่วยเพิ่มคุณภาพของพืชผักและผลไม้ โดยทำให้พืชมีสีสรรขนาดความหวานและการคงทนต่อสภาพแวดล้อมได้ หากพืชขาดธาตุโปตัสเซียมจะแสดงอาการ คือ 1.ขอบใบมีสีเหลืองจากนั้นจะกลายเป็นสีน้ำตาลโดยเริ่มต้นจากปลายใบเข้าสู่กลางใบ ส่วนที่เป็นสีน้ำตาลจะแห้งเหี่ยวไป จะเกิดจากใบล่างก่อน แล้วจึงค่อยๆลามขึ้นข้างบน พืชที่เห็นชัด คือ   ข้าวโพด     2.ทำให้ผลผลิตตกต่ำ พืชพวกธัญญพืชจะทำให้เมล็ดลีบมีน้ำหนักเบา พืชหัวจะมีแป้งน้อยและน้ำมาก ข้าวโพดจะมีเมล็ดไม่เต็มฝัก ฝักจะเล็กมีรูปร่างผิดปกติ ใบยาสูบมีคุณภาพต่ำ ติดไฟยาก กลิ่นไม่ดี พืชจำพวกฝ้ายใบจะมีสีน้ำตาลปนแดง สมอฝ้ายที่เกิดขึ้นจะไม่อ้าเต็มที่เมื่อแก่ จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:31:25

ความคิดเห็นที่ 5 ธาตุแคลเซียม                       เป็นธาตุที่ต้นพืชนำไปใช้เพื่อการเจริญเติบโตในต้นพืช ปริมาณของแคลเซียมจะมีมากที่บริเวณกำลังเจริญเติบโต คือส่วนของยอดและปลายราก เป็นธาตุที่ช่วยส่งเสริมการนำไนโตรเจนจากดินมาใช้ห้เป็นประโยชน์มากขึ้น            บางกรณีที่พืชอาจได้รับสารซึ่งเป็นพิษมากเกินไป เช่น พวกกรดอินทรีย์ต่างๆหรือมีธาตุทองแดงในพืชมากพิษนั้นจะหายไปเมื่อพืชมีปริมาณธาตุแคลเซียมเพียงพอ มีฮอร์โมนพืชบางอย่าง เช่น พวกออกซิน เมื่อมีมากเกินไปจะทำให้การขยายตัวของเซลล์พืชผิดปกติ ธาตุแคลเซียมจะเป็นตัวช่วยปรับสภาพความสมดุลขอลฮอร์โมนนี้ให้พอดีได้           ช่วงที่พืชจำเป็นต้องใช้ธาตุแคลเซียม นอกจากช่วงที่กำลังเจริญเติบโตแล้ว ในระยะออกดอกและในระยะที่จะสร้างเมล็ดพืชมีความจำเป็นมาก เพราะธาตุแคลเซียมจะมีส่วนในการเคลื่อนย้ายและการเก็บรักษาคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนในพืช เพื่อนำไปใช้ในการสร้างผลและเมล็ดต่อไป            ธาตุแคลเซียมยังมีความสัมพันธ์กับการใช้ธาตุโปแตสเซียมของพืชด้วย กล่าวคือ ถ้ามีแคลเซียมมากเกินไป เช่น ในกรณีใส่ปูนขาวมาก ก็จะทำให้พืชดูดดึงเอาธาตุโปแตสเซียมไปใช้ได้น้อยลง อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณภาพของผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควร            แคลเซียมเป็นธาตุอาหารพืชซึ่งไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ในพืช เพราะฉะนั้นอาการขาดจึงพบมากในบริเวณยอดและปลายราก อาการขาดในพืชบางชนิด พบว่า ยอดอ่อนจะแห้งตายและใบจะมีอาการม้วนงอไปข้างหน้าและขาดเป็นริ้วๆจะเกิดที่ปลายใบก่อน            การใส่ปูนขาว หินปูนบด หินปูนเผา และดินมาร์ล เพื่อปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่าง ของดินหรือการใส่ปุ๋ยคอกบำรุงดิน พบว่าจะทำให้ปริมาณแคลเซียมมีมากพอสมควร หรือใส่ปุ๋ยพวกแคลเซียมไนเตรต จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:33:37

ความคิดเห็นที่ 6 ธาตุกำมะถัน กำมะถันมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชเป็นอย่างมาก คือกำมะถันมีความจำเป็นต่อการสร้างโปรตีนของพืช เป็นองค์ประกอบของวิตามินบางตัว เช่นวิตามินบี1 มีส่วนทางอ้อมต่อการสร้างส่วนที่เป็นสีเขียวของพืช เพราะกำมะถันจะเป็นองค์ประกอบของโปรตีนพืช ซึ่งจะช่วยให้เกิดการหายใจและการปรุ่งอาหาร บางครั้งพบว่า กำมะถันเป็นธาตุที่ช่วยเพิ่มปริมาณในน้ำมันในพืชบางชนิดเป็นองค์ประกอบของสารระเหยมีกลิ่นเฉพาะตัว เช่น หอม กระเทียม พืชที่ขาดธาตุกำมะถันจะมีสีเขียวอ่อนหรือเหลืองคล้ายๆกับอาการขาดไนโตรเจน ใบขนาดเล็กลงยอดของพืชจะชะงักการเจริญเติบโต ลำต้นและกิ่งก้านจะเล็ก อาการขาดธาตุกำมะถันจะมีอาการต่างจากการขาดไนโตรเจน คือ จะปรากฏที่ยอดอ่อนก่อน ส่วนใบล่างยังคงปกติ ถ้ามีอาการรุนแรงใบล่างก็จะมีอาการเช่นกัน แต่ถ้าขาดไนโตรเจนใบเริ่มเหลืองจากใบล่างๆก่อน ซึ่งตรงข้ามกับอาการขาดกำมะถันที่แสดงอาการจากยอดอ่อนก่อนใบที่อยู่ล่างลงมา            การใส่ปุ๋ยในรูปซัลเฟตหรือปุ๋ยที่มีกำมะถันอยู่ด้วยมักจะไม่ขาด แต่ดินที่มักจะพบว่าขาดกำมะถันคือ ดินทรายที่มีอินทรีย์วัตถุอยู่น้อย การเพิ่มกำมะถันในดิน นอกจากจะมีการใส่กำมะถันผงโดยตรงแล้ว การใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยพืชสด ก็เป็นวิธีการขาดธุกำมะถันในดินได้เช่นกัน สารประกอยอีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำเป็นปุ๋ยให้ธาตุกำมะถันแก่ดิน คือ ยิปซัม            ข้อควรระวัง ในการใส่กำมะถันลงดินก็คือหากใส่เกินความจำเป็น เป็นสาเหตุให้ดินเป็นกรดมากเกินไปได้ เนื่องจากกำมะถันมีอำนาจทำให้เกิดกรด จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:35:36

ความคิดเห็นที่ 7 ธาตุแมกนีเซียม            แมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบของส่วนที่เป็นสีเขียวทั้งที่เป็นใบและส่วนอื่นๆ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างอาหารและโปรตีนพืชต่อไป แต่กระนั้นพืชดูดแมกนีเซียมจากดินในปริมาณที่น้อยมาก            อาการขาดแมกนีเซียมในส้มนั้นสังเกตได้จากใบพืช ซึ่งจะพบอาการเหลืองซีดบริเวณเส้นกลางใบที่อยู่ใกล้กับผล ถ้าหากอาการขาดรุนแรงใบแก่จะมีอาการมากกว่าใบอ่อน ทั้งนี้เนื่องจากการเคลื่อนที่ของธาตุแมกนีเซียมซึ่งสะสมที่ใบแก่มาสู่ใบอ่อน            การขาดธาตุแมกนีเซียมจะทำให้ผลผลิตลดลงและต้นพืชทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด ส่วนสาเหตุที่พืชขาดธาตุแมกนีเซียมนั้น เพราะปริมาณแมกนีเซียมที่อยู่ในดินถูกชะล้างลึกลงไปเกินกว่าที่รากพืชจะดูดดึงมาใช้ได้ สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการที่มีปริมาณธาตุโปแตสเซียมสะสมในดินมากเกินไป            การแก้ไข คือ การปรับปรุงสภาพดินโดยปรับสภาพความเป็นกรด-ด่าง ของดินให้เหมาะสมต่อการดูดเข้าไปใช้ของพืช และมีการใส่ปุ๋ยโปแตสเซียมที่พอเหมาะ ประการสำคัญคือในการแก้ไขคือ การฉีดพ่นทางใบด้วยธาตุอาหารเสริม ซึ่งมีธาตุแมกนีเซียมในรูปที่พืชนำไปใช้ได้ทันที จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:36:46

ความคิดเห็นที่ 8 ธาตุเหล็ก            ธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบของโปรตีนและมีบทบาทสำคัญในการปรุงอาหารของพืช นอกจากนี้ธาตุเหล็กยังเป็นตัวช่วยในกระตุ้นให้การหายใจ และช่วยการปรุงอาหารของพืชเป็นไปอย่างสมบูรณ์            อาการขาดธาตุเหล็กจะแสดงออกทั้งทางใบและทางผลกล่าวคือ ถ้าสังเกตที่ใบจะพบอาการเหลืองซีด อาการที่เริ่มแรกจะสังเกตพบว่าใบอ่อนบริเวณเส้นใบยังคงมีความเขียวแต่พื้นใบจะเริ่มเหลืองซีด ส่วนใบแก่ยังคงมีอาการปกติ ระยะต่อมาจะเหลืองซีดทั้งใบ ขนาดใบจะเล็กลงกว่าปกติและจะร่วงไปก่อนใบแก่เต็มที่กิ่งแห้งตาย ส่วนอาการที่เกิดขึ้นกับผลพบว่าปริมาณผลผลิตจะลดลง ขนาดของผลเล็กและผิวไม่สวย ผิวเรียบและเกรียม            ธาตุเหล็กพืชสามารถดูดไปใช้ได้ทั้งทางใบและทางราก แล้วนำไปเก็บไว้ยังส่วนตายอดของพืช การขาดธาตุเหล็กจึงมีผลต่อการเจริญเติบโตของยอดอ่อนด้วย            การแก้ไข ตามปกติช่วงความเป็นกรดเป็นด่างของดินที่พืชสามารถนำธาตุเหล็กไปใช้ได้ คือ pH ระหว่าง 5.5-5.6 แต่ถ้า pH ต่ำกว่านี้จะทำให้ปริมาณของธาตุเหล็กมีมากเกินไปจนก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อพืชได้ นอกจากนี้การที่ในดินมีธาตุเหล็กมากเกินไป ยังจะมีผลต่อการขาดธาตุฟอสฟอรัสด้วย กล่าวคือ ธาตุเหล็กจะไปตรึงธาตุฟอสฟอรัสไว้จนพืชไม่สามารถนำไปใช้ได้ การแก้ไขด้วยการฉีดพ่นด้วยธาตุอาหารเสริมทางใบ จะเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาการขาดธาตุเหล็กได้ จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:37:53

ความคิดเห็นที่ 9 ธาตุทองแดง            ในหน้าที่ของธาตุทองแดงที่มีต่อพืชโดยอ้อมต่อการสร้างส่วนที่เป็นสีเขียวของพืช โดยช่วยเพิ่มโมเลกุลของคลอโรฟิลล์และป้องกันการทำลายส่วนสีเขียวซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ เท่ากับช่วยให้ต้นพืชแข็งแรงอายุยาวขึ้น นอกจากนี้ธาตุทองแดงยังเป็นส่วนประกอบของน้ำย่อยในพืชอันมีผลต่อการปรุงอาหารยังผลต่อการเจริญเติบโตและการติดดอกออกผล            ธาตุทองแดงยังช่วยให้ต้นพืชสามารถดูดเอาธาตุเหล็กที่อยู่ในดินนำมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น            อาการพืชเมื่อขาดธาตุทองแดง            พืชนั้นใบจะมีสีเขียวจัดผิดปกติ แล้วต่อมาจะค่อยๆเหลืองลงๆ ในส้มถ้าขาดธาตุนี้จะแสดงอาการตายจากยอดลงมา กิ่งอ่อนคดไปมาใบอ่อนเล็กกว่าปกติ และใบแก่บิดเบี้ยว ขอบใบเหลืองเส้นใบเขียวจัด ต้นเตี้ยแคระแกรนผลอ่อนมียางเหนียวๆอยู่กลางผล            ข้าวโพด-ใบอ่อนมีสีเขียวอ่อนแกมเหลือง ปลายใบและโคนใบแห้งมักเกิดกับใบอยู่ส่วนบน            การฉีดสารประกอบทองแดง เช่น ยาฆ่าเชื้อรา ช่วยลดอาการขาดทองแดงได้ แต่ถ้าใช้สารนี้มากๆนานติดต่อกันหลายๆปี อาจก่อให้เกิดเป็นพิษต่อพืชได้เนื่องจากต้นพืชได้รับธาตุทองแดงจากยามากเกินไป ทำให้ธาตุเหล็กที่ดูดขึ้นจากดินไปใช้ประโยชน์น้อยลง หรือทำให้ธาตุเหล็กในดินอยู่ในลักษณะเป็นประโยชน์ต่อพืชน้อยลง           อาการขาดธาตุทองแดงพบมากในเขตดินเปรี้ยว การใช้ปุ๋ยฟอสเฟตอาจช่วยได้หรือฉีดพ่นด้วยธาตุอาหารเสริม (ที่มีทองแดงประกอบ) ฉีดพ่นเข้าทางใบ จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:38:56

ความคิดเห็นที่ 10 ธาตุสังกะสี            ปกติพืชดูดเอาธาตุสังกะสีจากดินได้ต่ำมาก และหากใช้ปุ๋ยไนโตรเจนและฟอสฟอรัสที่มากเกินไป ทำให้พืชดูดธาตุสังกะสีได้ยากขึ้น พืชที่ขาดธาตุสังกะสีด้วยเนื่องจากสภาวะที่ก่อให้ขาดธาตุดังกล่าวใกล้เคียงกัน บทบาทและหน้าที่ที่สำคัญของธาตุสังกะสีในพืชนั้นพอจะกล่าวสรุปได้คือ สังกะสีจะมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนพืช กล่าวคือ พืชที่ขาดธาตุสังกะสีจะทำให้ปริมาณฮอร์โมน ไอ-เอ-เอ ในตายอดลดลง ทำให้ตายอดและคอปล้องไม่ขยาย ทำให้ใบออกมาซ้อนๆกัน นอกจากนี้ยังมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำย่อยของพืชหลายชนิด ในการสร้างอาหารและสังเคราะห์แสง จึงมีผลทางอ้อมในการสร้างส่วนที่สีเขียวของพืช            ในพืชตระกูลส้มอาการขาดธาตุสังกะสี เราเรียกว่า “โรคใบแก้ว” คือใบอ่อนและใบที่อยู่ใกล้ยอดอ่อนจะลีบเล็กเหมือนใบพาย ปลายใบแหลมบริเวณระหว่างเส้น ใบจะเหลืองปราศจากคลอโรฟิลล์ ส่วนเส้นใบยังคงมีสีเขียวอยู่อาการรุนแรง คือ ปลายกิ่งจะแห้งตายไป และลุกลามลงมาเรื่อย จนกระทั่งแห้งตายหมดทั้งกิ่ง ผลส้มจะเล็กกว่าปกติติดผลน้อย รสชาติของส้มไม่ดี            การแก้ไขที่ดีและให้ผลแน่นอน คือ การฉีดพ่นทางใบ ด้วยธาตุอาหารเสริมที่มีธาตุสังกะสีเป็นองค์ประกอบ จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:40:19

ความคิดเห็นที่ 11 ธาตุมังกานีส            ธาตุนี้มีผลกระทบต่อใบเนื่องจากมีบทบาทในการสังเคราะห์แสงเป็นตัวกระตุ้นการทำงานของน้ำย่อยในต้นพืช และยังคงควบคุมกิจกรรมของธาตุเหล็กและไนโตรเจนในต้นพืชอีกด้วย            พืชที่ขาดธาตุมังกานีสจะเห็นว่าใบออกสีเหลืองๆ ส่วนเส้นใบจะเขียวอยู่เป็นปกติโดยเฉพาะใบอ่อนอาจเกิดเป็นจุดขาวๆหรือจุดเหลืองที่ใบ ต้นโตช้า ใบไม่สมบูรณ์เป็นผลให้พุ่มต้นโปร่งกระทบถึงการออกดอกและติดผล            พืชตระกูลหญ้าจะแสดงอาการได้เร็วเมื่อขาดธาตุมังกานีส            ในสภาพดินที่เป็นกรดจัด ถ้ามีมังกานีสมากก่อให้เกิดพิษต่อต้นพืชได้ แต่ถ้าดินเป็นด่างหรือใส่ปูนขาวมากเกินไปมักขาดธาตุมังกานีส            พืชที่แสดงอาการขาดธาตุมังกานีส ต้องฉีดพ่นเข้าทางใบด้วยธาตุอาหารเสริมที่ประกอบด้วยธาตุมังกานีส จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:41:11

ความคิดเห็นที่ 12 ธาตุโบรอน            มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการดึงดูดธาตุอาหารของพืช เช่น ช่วยให้พืชดูดเอาธาตุแคลเซียมและไนโตรเจนไปใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือ ช่วยให้พืชดูดเอาธาตุแคลเซียมมากขึ้นจึงต้องการธาตุโบรอนมากขึ้นด้วย (เมื่อพืชต้องการแคลเซียมมากย่อมต้องการโบรอนมากขึ้น) นอกจากนี้ยังช่วยให้พืชใช้ธาตุโปแตสเซียมได้มากขึ้น มีบทบาทในการสังเคราะห์แสงการย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรตและเพิ่มคุณภาพทั้งรสชาติ ขนาด และน้ำหนักของผล เพิ่มความสามารถในการเจริญเติบโต เพราะโบรอนจะควบคุมการดูดและคายน้ำของพืชในขบวนการปรุงอาหารอีกทางหนึ่ง            จากบทบาทและหน้าที่ของโบรอน ถ้าหากขาดธาตุโบรอนอาการเริ่มแรกจะพบได้ที่ยอดและใบอ่อนก่อน ส่วนที่ยอดและที่ตายอดจะบิดงอ ใบอ่อนบางและโปร่งใสผิดปกติ เส้นกลางใบหนากร้านและตกกระมีสารเหนียวๆออกมาตามเปลือกของลำต้น กิ่งก้านจะแลดูเหี่ยว ผลเล็กและแข็งผิดปกติ มีเปลือกหนาบางที่ผลแตกเป็นแผลแตกได้            อาการขาดธาตุโบรอนในพืชหัวเช่นพืชตระกูลกะหล่ำนั้นจะเกิดจุดสีน้ำตาลหรือดำในส่วนต่างๆของต้นโดยเฉพาะที่หัว            ทั้งดินที่เป็นกรดและด่างอาจก่อให้เกิดการขาดธาตุโบรอนต่อต้นพืชได้และอาการขาดนี้ที่เด่นชัดเมื่อต้นพืชกระทบแล้งหรือขาดน้ำมากๆ ควรปรับปรุงดินอย่าให้เป็นกรด-ด่างมาก ธาตุโบรอนนี้เป็นส่วนประกอบของธาตุอาหารเสริมพืชบางชนิด นำมาละลายน้ำฉีดพ่นเข้าทางใบ จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:42:30

ความคิดเห็นที่ 13 ธาตุโมลิบดินัม            ในดินด่างความเป็นประโยชน์ของธาตุโมลิบดีนัมต่อพืชจะมีมากขึ้น แต่ในดินเปรี้ยวพืชมักจะแสดงอาการขาดธาตุนี้เสมอ นอกจากนี้ยังขึ้นกับปริมาณธาตุอาหารธาตุบางชนิดในดิน เช่น ธาตุเหล็ก ธาตุอะลูมิเนียม และกำมะถัน ธาตุทั้งสามถ้ามีมากเกินไปก็จะทำให้ความเป็นประโยชน์ของโมลิบดินัมลดลง ในดินมีธาตุฟอสฟอรัสเพียงพอก็จะช่วยส่งเสริมให้พืชใช้ธาตุโมลิบดินัมได้มากขึ้น            บทบาทและหน้าที่ของธาตุโมลิบดินัมในพืชนั้น เป็นธาตุที่มีความจำเป็นสำหรับการตรึงธาตุไนโตรเจน ทำให้การทำงานของธาตุไนโตรเจนในพืชสมบูรณ์ขึ้น นอกจากนี้ ยังจำเป็นสำหรับขบวนการสร้างสารสีเขียว และน้ำย่อยภายในพืชบางชนิดด้วย            สำหรับอาการขาดธาตุโมลีบดีนัมในพืชนั้นพอจะสังเกตได้ในพืชที่มีอาการขาดธาตุนี้ คือ            พืชผักเกิดอาการที่ใบแก่เป็นจุดด่างเป็นดวงๆ ในขณะที่เส้นใบยังเขียวอยู่ ถ้าขาดธาตุนี้รุนแรงใบจะม้วนเข้าข้างใน ลักษณะที่ปลายและขอบใบจะแห้ง ในมะเขือเทศใบที่อยู่ล่างๆจะด่างๆขอบใบหงิกงอ ดอกร่วงและผลแคระแกรนไม่เติบโตเต็มที่ จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:43:34

ความคิดเห็นที่ 14 ธาตุคลอรีน            ในดินโดยทั่วไปจะไม่ค่อยขาดธาตุนี้ คลอรีนมีความสำคัญต่อกระบวนการสังเคราะห์แสงมีผลทำให้พืชแก่เร็วขึ้น พืชที่ขาดธาตุคลอรีนใบซีด เหี่ยว และใบเหลืองบรอนซ์ ถ้ามีคลอรีนมากทำให้ขอบใบแห้งทำให้ใบเหลืองก่อนกำหนด จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:44:05

ความคิดเห็นที่ 15 จบแล้วครับ ^ ^ อยากให้ลองศึกษาดุว่าการใช้ปุ๋ยบางครั้งการใส่มากไปก็จะไปทำให้ตัวอื่นขาด และอาการขาดธาตุอาหารก็จะทำให้เกิดโรคพืชบางอาการ หรือติดดอก ติดผลไม่ได้ เพราะเป็นผลต่อเนื่องนะครับ สำหรับหลายๆคนคงต้องลองวิเคราะห์ดูดินของสวนก่อนนะครับ เคยเจอกรณีที่มีธาตุอาหารเพียบเพราะเจ้าของสวนใจถึง ใส่ปุ๋ยเต็มที่ตลอด แต่พืชออกอาการเป็นโรคขาดธาตุอาหารเสริม เพราะมันดันไปบล้อคกันนะครับ แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 55 14:01:04 จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 12:44:52

ความคิดเห็นที่ 16 เยี่ยมมากครับ อ่านง่ายเข้าใจง่ายครับ จากคุณ : seto16 เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 17:50:47

ความคิดเห็นที่ 17 เก็บเข้าคลังแล้วค่ะ จากคุณ : JavaMySon เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 19:54:19

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณครับ นำไปประกอบการในการตัดสินใจการใช้ปุ๋ยอยู่เสมอครับ ธาตุอาหารรองนี่ มีที่เขาทำรวมขายไหมครับ แบบราคาที่ใช้กับสภาพไร่สำปะหลังนะครับ  คือ ซื้อ 46 0 0 +0 52 34 + 0 0 60มาผสมน้ำฉีดทางใบครับ ถ้าได้ใส่ธาตุอาหารรอง ผสมลงไปด้วยกัน คงครบมากขึ้น และประหยัดค่าแรงฉีดทางใบ(ฉีดครั้งเดียวได้ครบทำนองนั้น) จากคุณ : Turk14857 เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 09:00:38

ความคิดเห็นที่ 19 @Turk14857 อาหารเสริมทั่วไปตามท้องตลาดมีขายทั้งแบบผงละลายน้ำ และแบบน้ำนั่นละครับ ส่วนใหญ่ใช้แบบอาหารเสริมรวมๆก็พอเพียง  มีบางพืชเช่น ส้ม ทุเรียน ที่เห้นผลชัดกับการขาด สังกะสี แมงกานีส และ แมกนีเซียม จะมีธาตุเดี่ยวขาย(แต่มักจะลงเปอร์เซ็นเวอร์เกินจริง) ในพืชระยะยาวอย่างมันสำปะหลัง มีการใช้อาหารเสริมเม็ดใส่ทางดิน ปีละ 1 ครั้งนะครับ ใส่ปุ๋ยทางดิน 2 ครั้ง รองพื้นด้วยปุ๋ยอินทรีย์ดีๆนี่เห็นได้ผลผลิตถึง 8 -10 ตันต่อไร่กันเลย (เคยได้ยินรุ่นพี่นักวิชาการบอกว่า ต่างประเทศทำดีๆ บำรุงเจ็มที่ได้ถึง 20 ตัน ในขณะที่ค่าเฉลี่ยบ้านเรา 3-4 ตัน ต่อไร่ !!!!) จากคุณ : cmuboy เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 10:37:14