 
ความคิดเห็นที่ 2 |
ก่อนจะไปต่อเรื่องราว ......ขอเอ่ยถึง ...หมาชายหาด ........
.......ก่อนเดินทางกลับ พี่ที่ดูแลโครงการให้ข้อเสนอมา ว่า ถ้าจะเอาหมากลับกรุงเทพฯ สามารถทำได้สองทาง .. ...วิธีแรก เร็วที่สุด คือพาขึ่นเครื่องกลับพร้อมคณะ แต่เพราะเราบินกลับวันหยุด พี่เค้าต้องไปติดต่อเป็นกรณีพิเศษ แต่พี่เค้าว่า ไม่น่าจะมีปัญหานะ เพราะเป็นการขอมาจากส่วนราชการ ปกติสายการบินเค้าให้ความร่วมมืออยู่แล้ว เพราะพี่เค้าต้องติดต่อรับ-ส่งเครื่องไม้เครื่องมือที่ต้องใช้เรื่องงาน ......วิธีที่สอง ...ช้าหน่อย ...คือให้พี่เค้าพาหมาไปอยู่ที่สำนักงานเขต เอาไปเลี้ยงที่นั่นสักระยะ แล้วถึงเวลาที่พี่เค้าเดินทางกลับมาเยี่ยมครอบครัว ก็จะพาหมามาด้วย
.......ทั้งสองวิธี แม่น้องลูกหยีกลับไปนอนคิดอยู่หลายตลบ .....คืนนั้นทั้งคืนแทบนอนไม่หลับ อยากให้หมาไปอยู่กับเราก็อยาก ....แต่...กฎเกณฑ์ส่วนตัวในการทำงานเราก็มีวางไว้
.......รุ่งเช้า ....ก่อนทานอาหาร เจ้านายเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัว ...และบอกว่า ...ถ้าอยากเลี้ยงหมาตัวนี้ ก็ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคำครหา ตกลงรับซะ เลือกเอาวิธีใดวิธีหนึ่ง เจ้าหน้าที่เค้าจะได้จัดการให้ทันก่อนเราเดินทางกลับ
.......แต่แม่น้องลูกหยีก็บอกเจ้านายว่า ...คงทำไม่ได้ ...งานโครงการนี้รายละเอียดยังไม่ครบ พิจารณาอะไรยังไม่ได้เลย แถมเป็นโครงการระยะยาว ราคางานก็สูง .......อย่าให้ชีวิตหมาตัวหนึ่งเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเลยนะคะ ..........ถ้าหากว่า พี่อยากให้หนูเอาหมากลับไปด้วย มีสองวิธีที่จะทำได้ ......วิธีแรก ...พี่รับงานกลับไปทำเอง ปล่อยให้หนูพ้นจากความรับผิดชอบงานโครงการนี้ ...การตัดสินใจทุกอย่างอยู่ที่พี่ และพี่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับชีวิตหมาตัวนี้เลย ......วิธีที่สอง ....โทรศัพท์ทางไกลที่พี่รับบ่อยๆ เค้าโทรมาจากภาคใต้ ....ถ้าจะให้เค้าคนนั้นมารับหมาทีหลัง น่าจะไม่มีปัญหา
คุณเจ้านายบอกว่า ...จ่ายงานแล้ว และงานนี้ก็ไปได้ดีแล้ว พี่เค้าไม่ขอรับงานกลับไปคืน .....แต่ ....พี่เค้าสงสัยว่า ....ถ้าคุณคนนั้นเค้ามารับหมาให้เราไม่ได้ เราจะทำยังไง ....กว่าจะเดินทางมาจากสนามบินถึงจุดนี้ได้ ไปกลับ 400 กม. ....มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเราที่จะเดินทางย้อนกลับมาเอาเอง เพราะช่วงนั้นเป็นฤดูงานชุก ทำงานอาทิตย์ละเจ็ดวัน แทบจะกินนอนกันที่ทำงาน ยังทำงานแทบไม่ทัน แล้วจะเอาเวลาที่ไหนกลับมาเอาหมา
แต่แม่น้องลูกหยีก็ยังยืนยันความคิดเดิม ด้วยความหวังที่ว่า เค้าคนนั้น จะมารับหมาไปให้เรา มันเหมือนเป็นการวัดใจ ....เรื่องแค่นี้ถ้าทำให้กันไม่ได้ คงอยู่ด้วยกันยาก เราคงคิดผิดไปมั้งเนาะ ....ด้วยความที่ตัวเองเป็นผู้หญิงใจใหญ่ ไม่ว่าจะมองเรื่องอะไร ก็กลายเป็นเรื่องเล็ก ...พาหมาข้ามเขตชายแดนยังทำมาแล้ว นี่หมาอยู่ในประเทศไทย และอยู่ไม่ไกลจากที่เค้าอยู่ น่าจะเป็นอะไรที่สามารถทำให้กันได้ ....ตอนนั้นก็คิดเอาไว้นะคะ ว่า ถ้างานนั้นสำเร็จ เราอาจจะเป็นฝ่ายขอเค้าแต่งงานซะเองเลย
......เจ้านายเป็นผู้ชายหนึ่งคนในชีวิต ที่มองแม่ของน้องลูกหยีออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ....เราทำงานด้วยกันใกล้ชิด เหมือนเป็นครอบครัว สายตาที่พี่เค้ามองมา เป็นได้ทั้งพ่อ ทั้งพี่ และทั้งเพื่อน .... .....แต่ส่วนใหญ่จะทำตัวเป็นพี่ที่ไม่รู้จะจัดการยังไงกับยัยน้องหลุดโลกคนนี้ดี ....อยู่ที่ทำงาน มีคนโทรมาฟ้องเรื่องน้องได้ตลอด แล้วพี่เค้าก็ได้แต่หัวเราะ และบอกคนที่โทรมาฟ้องว่า ....เออ กูรู้แล้ว ...มันบอกกูเอง ... ......เมื่อเราตัดสินใจแล้ว คุยรายละเอียดและพยายามหาทางออกกันแล้ว ก็ตกลงกันอย่างที่เราคิดไว้แต่แรกคือ ปฎิเสธความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ปล่อยให้งานดำเนินไปตามรายละเอียดและข้อมูลที่ควรจะเป็น ชีวิตหมาชายหาดจะไม่มีส่วนในการตัดสินใจเรื่องงาน
......ตอนเดินทางกลับ ....ระยะทาง 200 กม. ไม่มีใครพูดคุยสักคน ทั้งๆที่ตลอดการทำงาน มีแต่เสียงหัวเราะพูดคุยแซวกันเรื่อยเปื่อย .......เท่าที่ดูจากอาการของตัวเอง แม่น้องลูกหยีคิดว่า ...พี่ๆทุกคนคงเจ็บคอน่ะ ...เพราะเห็นแต่ละคนแอบกลืนน้ำลาย และทุกคนก็ดูเหมือนจะสนใจวิวข้างทาง มากกว่าการคิดหาเรื่องมาพูดคุย ......เพื่อนร่วมงานจากทีมของเรา มีเจ้านายและลูกพี่ ....ซึ่งทั้งสองท่าน รักเราเหมือนน้องซนๆคนหนึ่ง ......พอพี่ทั้งสองได้เห็นว่า น้องต้องยอมตัดใจ ยอมเจ็บปวด เพื่อรักษามาตรฐานการทำงานเอาไว้ พี่เค้าก็คงจะทั้งสงสารและเห็นใจ แต่พี่เค้าก็รู้ว่า เราเป็นแบบนี้มานานแล้ว ทุกคนในสายงานไม่ว่าจะอยู่ระดับไหน ก็รู้ว่าแม่ของน้องลูกหยีตรงเป็นไม้บรรทัด ซึ่งมันก็ทำให้ทุกคนที่ร่วมงานมีความมั่นใจ และสามารถนอนหลับได้สนิท แต่ละวันไม่ต้องไปคิด ว่าขาข้างขวาจะตามขาซ้ายไปอยู่ในคุกกันเมื่อไหร่ ......ตอนเริ่มงานด้วยกันแรกๆ เจ้านายเตือนว่า ทำงานที่เกี่ยวกับเงินๆทองๆของแผ่นดิน ถ้าผิดพลาดขึ้นมาเมื่อไหร่ ขาขวาตามขาซ้ายเข้าคุกได้ทุกเมื่อ ...ถ้าคนใดคนหนึ่งพลาด เราเข้าไปกินข้าวแดงด้วยกันทั้งทีม
.......น้องหมาชายหาด ไม่น่าจะถึงกับทำให้เราต้องไปกินข้าวแดงในคุก แต่เราก็ไม่ต้องการให้ชีวิตของน้องเค้ามาเป็นบันไดเชื่อมที่จะพาไปถึงเรื่องสำคัญอื่นๆ .......และน้องหมาชายหาด ก็ไม่ได้ลำบากอะไร น้องเค้ามีเจ้าของร้านอาหารในรีสอร์ตคอยให้อาหาร เพียงแต่ว่า อาเฮียเจ้าของรีสอร์ต จะไม่อนุญาตให้หมาเข้ามาป้วนเปี้ยนแถวออฟฟิศเท่านั้นเอง ...แต่น้องเค้ามีอิสระ สามารถอาศัยอยุ่แถวนั้นได้โดยไม่ลำบากค่ะ
จากคุณ |
:
คุณนายดอกไม้
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ต.ค. 55 23:19:05
|
|
|
|