9. การใช้ชีวิตร่วมกัน
ในหนึ่งวันนั้นของพวกคุณนั้น คุณทำอะไรกันบ้างครับ ผมคิดว่าวันหนึ่งๆของเรานั้นคงไม่เท่ากัน หมายถึงหนึ่งวันของหมาและหนึ่งวันของคน แต่ถ้าหากว่าเพียงแต่เราจะเข้าใจช่องว่างที่แสนจะห่างไกลเรื่องวันเวลาข้อนี้สักนิด ผมว่าวันเวลาของเราคงจะเท่ากันในที่สุด
งงกันมั๊ยครับเนี่ย...
โธ่...อย่างงไปเลย เอาเถอะผมควรจะพูดจาตรงไปตรงมามากกว่านี้
ไหนๆ เราก็จะมาเริ่มต้นลดช่องว่างของกันและกันแล้วนี่นา
การที่คนกับหมา ต้องมามีชีวิตร่วมกัน มาแบ่งปันวันเวลาแก่กันและกันแล้วหล่ะก็ ต่อให้หมาพันธ์เดียวกันก็ไม่มีทางที่จะคิดหรือทำอะไรเหมือนๆกันหรอกครับ
เพราะงั้นมันจึงไม่มีข้อแนะนำตายตัวที่จะบอกว่า หากใครสักคนเลี้ยงหมาพันธ์อะไรแล้วหล่ะก็ ต้องปฏิบัติต่อหมาตัวนั้นอย่างไร เชื่อผมเถอะว่ามันไม่มีทางที่จะเหมือนกันโดยเด็ดขาด ทั้งคนและหมาต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกัน ด้วยตัวของพวกเค้าเอง
เพราะฉะนั้น หากใครสักคนคิดที่จะเลี้ยงหมาสักตัวหล่ะก็ ค่อยๆ คิดให้ดีนะครับ
ไม่ใช่แค่ว่าคุณจะเลี้ยงพวกเรา แต่นี่ มันคือการแชร์ชีวิตร่วมกันเชียวนะครับ
เหตุผลของการมีหมา ของแต่ละคนนั้นต่างกันออกไปบางคนเลี้ยงหมาเพื่อเฝ้าบ้าน บางคนเลี้ยงเพราะเค้าให้มา บางคนก็จำต้องเลี้ยงเพราะหมามันมาเอง
หรืออีกหลายหลากเหตุผลที่ผมอาจจะนึกไม่ถึง
ผมไม่ได้เชี่ยวชาญการเลี้ยงหมา เพราะผมเป็นหมา
ขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้เชี่ยวชาญการอยู่กับคน
เพราะผมอยู่กับพี่สาวเป็นคนแรก และไม่เคยเปลี่ยนมือเลย
ผมจึงไม่มีความชำนาญพอที่จะมาแจกแจงวิธีการแชร์ชีวิตของผมกับพี่สาวให้คุณได้ ผมแค่จะขอเล่าถึงชีวิตในแง่มุมของผม อย่างที่เป็นมา อย่างที่เป็นอยู่ว่า
เราแชร์ชีวิตกันอย่างไร และใครต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง
อย่างที่บอก....ใครเล่าจะรู้ดีไปกว่าตัวผมได้
ผมอยู่กับพี่สาวมา ก็สามปีแล้ว อยู่มาตั้งแต่เกิดจริงๆ คือนับตั้งแต่ผมออกมาจากท้องแม่ จนกระทั่งผมลืมตา ผมเลิกกินนมแม่ หันมากินข้าวแทน
เริ่มมารู้สึกว่า ตัวเองชอบกินอะไรและไม่ชอบกินอะไร จนกระทั่งอะไรอีกตั้งหลายอย่าง ที่ผมเคยบอกคุณๆ ไปแล้ว ในภาคแรก ถ้าคุณยังพอจำกันได้
จำได้มั๊ยว่าผมเกือบจะได้ไปอยู่ที่อื่นกับคนอื่น ที่ไม่ใช่พี่สาวเสียแล้ว
แต่นี่ยังไงหล่ะ พระพรหมสิ ท่านก็ไม่ละเว้นมาลิขิตกระทั่งชีวิตหมาตาไม่ค่อยดำอย่างผมเข้าไปด้วย
เอาหล่ะ ผมจะไม่พูดเยิ่นเย้อให้มากเรื่องไป ในเมื่อผมเริ่มต้นจากการที่ว่า
หมาสักตัวตัดสินใจอยู่กับคน หรือจริงๆ ก็คือ คนนั่นแหละตกลงใจที่จะเลี้ยงหมา
เข้าใจว่าผมถูกเลี้ยงอย่างเพื่อน ใช่ครับ เพราะพี่สาวไม่เคยใช้ให้ผมเฝ้าบ้าน
ไม่เคยปล่อยให้ผมนอนข้างนอก รวมทั้งไม่เคยปล่อยให้ผมออกไปนอกรั้วบ้านโดยไม่มีพี่สาวไปด้วยเลย ผิดกับแม่เซิร์ฟและพี่ชาย(พี่โบ้)ของผม
พวกเค้าถูกเลี้ยงไว้แบบหมาเฝ้าบ้านกันจริงๆ พวกเค้าไม่เคยแม้กระทั่งจะเดินเข้ามาภายในตัวบ้าน ห้องนั่งเล่น ไม่เคยแม้กระทั่งจะได้โผล่เข้าไปในห้องนอนของพี่สาว
เพราะงั้น ป่วยการที่จะไปพูดถึงการนอนหนุนหมอน ห่มผ้า
หรืออะไรอื่นอีกมากไปกว่านี้เลย พี่โบ้ และแม่ผม ไม่มีทางที่จะรู้จัก
กระทั่งลูกบอล (ของเล่นแบบหมาๆ) พี่โบ้ก็ยังเล่นไม่เป็นเลยครับ
พี่สาวลำเอียงกระมัง ? เคยมีคนพูด หรือตอนนี้บางคนอ่านมาถึงตรงนี้ก็ต้องคิดว่าเป็นอย่างนั้นแน่
ลองคิดดูให้ดีสิครับ มองกลับไปอีกด้าน อย่าคิดถึงแต่สิ่งที่ผมได้รับ
ลองคิดถึงสิ่งที่ผมไม่ได้รับ ไม่มีโอกาสรู้จัก ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าใจ ...
ผมกำลังพูดถึง โลกกว้างๆ นอกบ้าน โลกกว้างที่ไม่มีปลอกคอและสายจูง
กองทรายตรงข้ามบ้านของคนงานก่อสร้าง ที่ผมได้เคยนั่งมองดูบรรดาพวกหมาๆ
ข้างนอกพากันวิ่งเล่น นอนเล่น นั่งเล่นกันอยู่บนโน้น
และคงยังมีอะไรอีกมากมายเลยที่ผมไม่มีโอกาสรู้และเห็น
แต่ใช่ว่าผมน้อยใจในวาสนา หรืออยากจะได้ทุกๆ อย่าง
หมายถึงอยากเป็นทั้งแบบพี่โบ้และหมาอื่นๆ แล้วก็ยังอยากเป็นแบบที่ตัวเองเป็น คืออยู่ในบ้าน นอนหนุนหมอนบนที่นอนนุ่มๆ ไม่ใช่เลยครับ ผมเพียงแต่บอกว่า เมื่อพี่สาวเลือกที่จะเลี้ยงผมแบบนี้ ผมถูกเลี้ยงมาแบบนี้ เราก็จำเป็นต้องมีการปรับตัว เราจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนบางสิ่ง และลดบางอย่างลง เพื่อให้เราสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข
โดยปกติแล้วหมาจะต้อง ขับถ่าย หลังจากที่กินอาหารเข้าไป หรือไม่ เอาง่ายๆ แค่
การฉี่ ผมเห็นหมาฉี่กันทั้งวัน ทั้งด้วยเหตุผลที่จำเป็น รวมทั้งเหตุผลเพื่อประกาศอาณาเขต ทำเครื่องหมายต่างๆ แต่คุณรู้มั๊ยครับว่า ผมต้องขับถ่ายเป็นเวลา
เช้า 1 ครั้งตอนตื่นนอน เย็น 1 ครั้ง หลังจากกินข้าว แต่ถ้าหากมีเหตุฉุกเฉินจริงๆ เช่น ปวดท้องตอนดึกๆ ผมก็สามารถปลุกพี่สาวได้นะครับ ไม่เป็นไร พี่สาวไม่ดุผมหรอกครับ
แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 46 12:44:37
จากคุณ :
เฮเลน
- [
13 พ.ย. 46 14:26:46
]