ความคิดเห็นที่ 1
มาถึงที่ตัวปลาเฉาบ้าง ปลาชนิดนี้เป็นปลากินพืชที่มีอวัยวะพิเศษ ช่วยในการบดย่อยอาหารที่มีกากมากๆอยู่ในลำคอ ทำให้ปลาชนิดนี้เป็นปลาที่กินได้จุมาก ปลาเฉาสามารถโตเต็มที่ได้ถึง ๕๐ กิโลกรัม เป็นปลาที่ค่อนข้างอายุยืนมากด้วย แถมปลาเฉายังสามารถกินได้เยอะเพราะมีระบบลำไส้ในการย่อยอาหารที่สั้น จึงสามารถย่อยได้เร็วแต่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่นัก หรือหมายความว่าเพื่อที่จะให้ได้รับสารอาหารเพียงพอพวกมันอาศัยกินมากเข้าว่า และทำให้เมื่อยังมีขนาดเล็กปลาเฉาสามารถกินพืชแต่ละวันได้เท่าๆกับน้ำหนักตัวของมันเอง และเมื่อกินเข้าไปเยอะของเสียจากปลาเฉาก็มีมากตามไปด้วยซึ่งก็จะมีผลเสียกับคุณภาพของน้ำดังที่จะกล่าวถึงต่อไป แต่ถึงแม้จะกินจุปลาเฉาก็เป็นปลาที่เลือกกินพอสมควร พวกมันจะเลือกกินแต่พวกต้นไม้หรือสาหร่ายที่กินง่ายก่อนถึงจะกินพวกที่แข็งกินยากๆ (ซึ่งเป็นเป้าหมายในการกำจัดวัชพืชของกรมประมงในครั้งนี้) ดังนั้นก่อนที่จะกินวัชพืชเป้าหมายก็หมายความว่าเหล่าพืชที่ต้องการให้มีอยู่ก็คงหมดไปก่อนแล้วและกว่าปลาเฉาจะละเลียดไปถึงพืชเป้าหมายพื้นที่ว่างที่เกิดจากการที่ปลาเฉาไปกินเหล่าพืชที่เราต้องการก็จะถูกขึ้นทดแทนด้วยเหล่าวัชพืชแล้ว สรุปก็คือถ้าปล่อยปลาเฉาในจำนวนที่น้อยเกินไปผลที่ได้ก็คือมีวัชพืชเพิ่มขึ้น การจะปราบวัชพืชจึงต้องใช้ปลาเฉาเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้แหล่งน้ำปราศจากพืชใดๆเลยทั้งที่ต้องการและไม่ต้องการ
การใช้ปลาเฉาในการ ควบคุมวัชพืช ในแหล่งน้ำธรรมชาติไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศ อเมริการและ นิวซีแลนด์ ได้มีการใช้ปลาชนิดนี้ในการควบคุมวัชพืชมานานหลายสิบปีและมีการศึกษาถึงผลกระทบในด้านต่างๆค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว ผมได้อ่านหนึ่งในรายงานนั้นโดยมีข้อมูลที่น่าสนใจคือ ๑. ปลาเฉาที่ต่างประเทศใช้เป็นปลาที่เป็นหมัน (Triploid) ไม่สามารถสืบพันธุ์ได้หมายความว่าเค้าสามารถควบคุมปริมาณปลาที่ปล่อยได้อย่างแน่นอนว่าจะไม่เพิ่มจำนวนขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ แต่ปลาที่ทางกรมประมงกำลังจะทำการปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติทั้ง ๓ แห่งของไทยผมยังไม่แน่ใจว่าเป็นปลาที่ได้รับการทำหมันหรือเปล่า? ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีรายงานการผสมพันธุ์ในธรรมชาติของปลาเฉาในประเทศไทย แต่ก็ไม่ควรเสี่ยงครับ ๒. ในต่างประเทศนั้นการใช้ปลาเฉาในการควบคุมวัชพืชจะใช้แต่ในแหล่งน้ำที่เค้ามั่นใจว่าปลาจะไม่เล็ดรอดออกไปจากแหล่งน้ำนั้นๆอย่างเด็ดขาด แต่แหล่งน้ำของไทยเป็นแหล่งเปิดเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำธรรมชาติอื่นๆ ผมคิดว่าปลาเฉาที่ปล่อยลงไปเป็นจำนวนมากคงกระจัดกระจายกันไปทั่วแน่ๆ ๓. มีรายงานว่าการใช้ปลาเฉาในอัตราส่วนเพียง ๑ ตัว/ไร่ ก็สามารถที่จะควบคุมวัชพืชให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจคือมีพื้นที่พืชน้ำปกคลุมร้อยละ ๑๕-๓๐ แล้ว ในขณะที่การปล่อยในอัตราสูงเช่น ๑๐ ตัว/ไร่จะทำให้แหล่งน้ำนั้นๆไม่มีพืชขึ้นเลย มาลองดูกันว่าอัตราการปล่อยของแหล่งน้ำในประเทศไทยครั้งนี้เป็นเท่าไหร่กันบ้างนะครับ - บึงบอระเพ็ด มีเนื้อที่ ๑๓๒,๗๓๗ ไร่ ปล่อยปลาเฉาลงไป ๔๐๐,๐๐๐ ตัวหรือเท่ากับ ๓ ตัวกว่าๆ/ไร่ - หนองหาร มีเนื้อที่ ๗๘,๒๕๐ ไร่ ปล่อยปลาเฉาลงไป ๔๐๐,๐๐๐ ตัวหรือเท่ากับ ๕ ตัวกว่าๆ/ไร่ - กว๊านพะเยามีเนื้อที่ ๑๔,๓๗๕ ไร่ ปล่อยปลาเฉาลงไป ๒๐๐,๐๐๐ ตัวหรือเท่ากับ ๑๓ ตัวกว่าๆ/ไร่
จะเห็นว่าเป็นอัตราการปล่อยของกรมประมงในครั้งนี้เป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราแนะนำหลายเท่าตัว และอัตราแนะนำก็ไม่ใช่เป็นสูตรสำเร็จเพราะทั้งนี้และทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายประกาลเช่น ชนิดของพืชน้ำ อุณหภูมิน้ำ และ ปลาท้องถิ่นที่มีอยู่ และอื่นๆอีกมากมายในขณะที่ในประเทศไทยผมไม่ทราบว่าเคยมีการทดลองศึกษาทางด้านนี้บ้างหรือยังก่อนที่จะมีการปล่อยปลาลงไปเป็นจำนวนมากมายขนาดนี้ และถ้าข้อมูลของต่างประเทศใช้กับประเทศไทยได้เราก็จะพบว่าพืชน้ำในแหล่งน้ำทั้ง ๓ แห่งของไทยจะลดลงเป็นจำนวนมากและคงจะหมดไปเลยโดยสิ้นเชิงในกรณีของกว๊านพะเยาเพราะอัตราการปล่อยต่อพื้นที่สูงมาก มีจุดที่น่าสนใจดังนี้ครับ
๑. เมื่อขาดพืชน้ำก็เหมือนระบบนิเวศน์ขาดจุดเริ่มต้น ความอุดมสมบูรณ์ของเหล่าปลาน้อยใหญ่จะลดลง ปลาเล็กและลูกปลาวัยอ่อนที่ต้องการอาหารและที่หลบภัยก็จะไม่มีที่ให้พึ่งพิงอีกต่อไป เหล่าแมลงน้ำทั้งหลายก็จะอยู่ไม่ได้ และสัตว์ต่างๆในห่วงโซ่อาหารต่อๆมาทั้งปลาและเหล่านกน้ำทั้งหลายก็จะพลอยเดือดร้อนกันไปหมด ๒. การใช้ปลาเฉาในต่างประเทศนั้น จะใช้ก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ เช่นในกรณีที่มีการแพร่กระจายพันธุ์ของพันธุ์พืชต่างถิ่นที่ไม่มีปลาท้องถิ่นกินได้เป็นจำนวนมากและส่วนใหญ่จะใช้ปลาเฉาในปริมาณน้อยและควบคู่ไปกับการใช้สารเคมีมากกว่าที่จะใช้ปลาเฉาเป็นจำนวนมากๆอย่างในกรณีที่กรมประมงกำลังจะดำเนินการ ๓. ในประเทศไทยนั้นนอกจากผักตบชวา (ที่ปลาเฉาไม่ชอบกิน) แล้วก็ยังมีรายงานการบุกรุกของพืชน้ำต่างถิ่นอื่นๆจนถึงขึ้นหนักน้อยมาก โดยเฉพาะจากแหล่งน้ำทั้ง ๓ แหล่งนั้นก็ไม่เคยได้ยินว่ามีปัญหาวัชพืชแต่ประกาลใด และเราก็มีปลากินพืชท้องถิ่นอีกหลายชนิดคอยควบคุมพืชน้ำอยู่แล้ว จึงไม่น่าจะมีความจำเป็นที่จะต้องปล่อยปลาต่างถิ่นลงไปรบกวนสมดุลย์ทางธรรมชาติของประเทศไทย ๔. เมื่อขาดพืชน้ำขนาดใหญ่แร่ธาตุต่างๆที่เคยถูกใช้ไปโดยพืชเหล่านั้นก็จะเหลือตกค้างอยู่ในน้ำ บวกกับของเสียจากปลาเฉาจำนวนมหาศาลที่จะกลายมาเป็นปุ๋ยอีกจะทำให้พืชชั้นต่ำเช่นเหล่าสาหร่ายเซลเดียว (ที่ปลาเฉากินไม่ได้) เติบโตขยายพันธุ์จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ น้ำเขียว น้ำจะเสียขุ่น ไม่สามารถใช้ในการอุปโภคและบริโภคได้ ทัศนวิสัยในน้ำจะไม่ดีส่งผลให้เหล่าปลาล่าเหยื่อด้วยสายตาเช่นปลาช่อน และ ปลากราย มองเห็นเหยื่อได้ยากขึ้น (ไม่นับรวมว่าเหยื่อเหลือน้อยลงไปแล้วด้วย) รวมไปถึงเหล่านกน้ำต่างๆที่จะมองเห็นปลาและอาหารในน้ำได้ยากขึ้น ปลาที่ผสมพันธุ์เลือกคู่ด้วยสายตาเช่นปลากัด ปลาตะเพียน ก็จะหากันเจอยากขึ้น ในที่สุดแล้วความอุดมสมบูรณ์ก็จะน้อยลง โดยเฉพาะกับเหล่านกน้ำทั้งหลายนั้นในเอกสารวิชาการของต่างประเทศระบุชัดเจนว่า ในแหล่งน้ำที่เป็นที่อาศัยของนกน้ำไม่แนะนำให้ใช้ปลาเฉาในการควบคุมวัชพืชโดยเด็ดขาด ๕. เมื่อไม่มีพืชใต้น้ำ พืชลอยน้ำ และ พืชชายน้ำ คลื่นในทะเลสาปเหล่านี้ก็จะไม่มีอะไรมาคอยชลอลง และเนื่องจากไม่มีไม้ชายน้ำมาคลุมดินแล้วด้วย ก็จะทำให้ตลิ่งพังส่งผลให้เกิดการตื้นเขินและอาจทำให้ที่ดินของชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบๆแหล่งน้ำเสียหายได้ นอกจากนั้นดินและตะกอนต่างๆที่ถูกชะลงไปในน้ำจะทำให้มีแร่ธาตุในน้ำเพิ่มขึ้นช่วยเพิ่มปัญหาในข้อ ๔. ให้หนักยิ่งขึ้น ๖. ปลาเฉาเป็นปลาเนื้อที่ไม่ได้รับความนิยมในตลาดมากนักดังจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ไม่มีปลาเฉาวางขายกว้างขวางนักมีแต่เพียงร้านอาหารเฉพาะทางไม่กี่แห่งเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะปลาเฉาเป็นปลาที่มีก้างฝอยมาก จึงน่าสนใจว่าจะสามารถขายได้มีมูลค่าตามที่อ้างถึงในโครงการหรือไม่ ข้อสำคัญคือได้มีการศึกษาหรือไม่ว่าปลาท้องถิ่นที่ปลาเฉาจะไปแย่งอาหารและถิ่นอาศัยจนเหลือน้อยลงนั้นมีมูลค่าทางเศรฐกิจเท่าไหร่ ไม่ต้องนับรวมถึง ความหลากหลายทางชีวภาพ ที่จะลดลงอย่างแน่นอนโดยไม่สามารถแปลเป็นมูลค่าได้ ๗. การปล่อยปลาจำนวนมากมายลงไปในแหล่งน้ำธรรมชาตินั้น ถ้าพบภายหลังว่าส่งผลกระทบในทางลบต่อสิ่งแวดล้อมจะเป็นการยากที่จะจับปลาทั้งหมดออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติ
๘. ปลาเฉาเป็นปลาที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ถือเป็นสัตว์ต่างถิ่น (Alien species) ในประเทศไทยจึงไม่สมควรที่จะปล่อยลงในเขตอนุรักษ์ของประเทศไทย ซึ่งมีความสำคัญและได้รับการยอมรับในระดับสากล
ด้วยข้อมูลที่ได้นำเสนอไปแล้วนี่ ผมในฐานะของประชาชนคนหนึ่งจึงขอให้ทางกรมประมงได้ทำการศึกษาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่อยู่ในอนุสัญญาว่าด้วยการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ (RAMSAR)* ทั้ง ๓ แห่งคือบึงบอระเพ็ด หนองหาร และ กว๊านพะเยา ในโครงการปล่อยปลาเฉาเพื่อกำจัดวัชพืชในครั้งนี้ก่อนที่จะดำเนินการ หรือถ้ามีการศึกษาแล้วก็อยากจะขอร้องให้ทำการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อประชาชนก่อนที่จะดำเนินการใดๆที่จะก่อให้เกิดผลกระทบที่เกินกว่าที่จะสามารถแก้ไขได้ครับ
นาย นณณ์ ผาณิตวงศ์
อ้างอิง Andrew J. Leslie., Rue S. Hestand, III and Jess M. Van Dyke. 1993. Grass Carp: Lakes and Large Impoundments. Florida Department of Environmental Protection. USA.
*อนุสัญญาว่าด้วยการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ (Convention on Wetlands of International Importance as Waterfowl Habitat : RAMSAR, 1971) ปล. ท่านที่ต้องการอ่านเอกสารที่ผมได้อ้างอิงไว้ฉบับเต็มขอให้ทิ้งอีเมลไว้แล้วผมจะส่งไปให้ครับ
จากคุณ :
คิลลี่แมน
- [
1 ก.ย. 47 23:39:38
]
|
|
|