ผมคือหนึ่งในบุคคลที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์เรื่องน้องหมา13ตัว ในทุกๆขั้นตอนและทุกๆเหตุการณ์ขอรับรองว่าเรื่องที่จะพูดต่อไปนี้เป็นความสัตย์จริงทุกประการ
เหตุการณ์เริ่มแรก(ประมาณต้นเดือนมิถุนา)ด้วยการที่หนึ่งในสมาชิกชมรมคนรักโกลเด้นของเราได้อ่านพบกระทู้ในเวบนี้(ซึ่งทางเจ้าของหรือสมาคมฯได้พิมพ์เก็บไว้และบอกว่าจะฟ้องร้องหมิ่นประมาท) ได้เข้าไปโพสในเวบของชมรมว่ามีน้องหมาถูกทอดทิ้ง และได้รับคำยืนยันจากป้าเล็ก (หากใครได้ชมรายการเมืองไทยวาไรตี้คงจะพอรู้จักป้าเล็กผู้นี้) ว่าน้องหมาได้ถูกทอดทิ้งไว้จริงๆ และไม่มีโอกาสได้ออกไปวิ่งเล่นเลย ป้าเลยอยากให้มันมีโอกาสได้สัมผัสกับโลกนอกกรงขังบ้าง
ทางชมรมได้ปรึกษากันเรื่องที่จะหาทางช่วยน้องหมาเหล่านี้ แต่ด้วยความที่ไม่เคยมีประสบการณ์อื่นใดในการช่วยเหลือ นอกจากการร่วมบริจาคตามกล่องรับบริจาคตามโรงพยาบาลสัตว์ หรือ คลีนิค หนึ่งในจำนวนกล่องบริจาคนั้นมีชื่อ สมาคมพิทักษ์สัตว์(ไทย) ซึ่งเราก็พอจะได้ทราบชื่อและผลงานจากสื่อทีวี เราจึงเชื่อว่าเค้าน่าจะสามารถช่วยเหลือน้องหมาได้แน่ๆ จากผลงานกว่าสิบปีที่ได้ทำมา
เราจึงได้โทรไปขอคำปรึกษาเรื่องนี้และได้รับคำแนะนำเบื้องต้นว่าจะขอไปตรวจสอบว่าเป็นอย่างที่เราเข้าไปแจ้งหรือไม่ พร้อมทั้งนัดวันที่จะไปทำการตรวจสอบสถานที่จริง และได้มีการไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ในการที่จะเข้าพื้นที่ไปดูสภาพโดยเจ้าหน้าที่สมาคมเป็นผู้ประสานงาน เพราะเราไม่เคยรู้ขั้นตอนหรือวิธีการมาก่อน
หลังจากที่ได้ไปดูสถานที่จริงพร้อมเจ้าหน้าที่สมาคมและตำรวจเพื่อหลีกเลี่ยงข้อหาบุกรุก ก็ได้รับคำแนะนำขั้นตอนต่อมาว่าเราต้องลงบันทึกประจำวันกับตำรวจไว้ และทางสมาคมฯจะใช้บันทึกประจำวันนี้เพื่อดำเนินการขั้นต่อไป พร้อมทั้งได้แจ้งกับทางเราว่าน้องหมาจำนวนขนาดนี้ทางสมาคมฯไม่สามารถดูแลได้หมด อยากให้ทางชมรมเตรียมหาผู้อุปการะไว้ให้พร้อมด้วย เราจึงได้ดำเนินการประกาศหาผู้อุปการะผ่านทางเวบไซต์ของชมรม(ซึ่งต่อมาได้เป็นข้อกล่าวหาว่าเตรียมการแบ่งปันน้องหมากัน)
หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ ได้รับแจ้งจากทางสมาคมว่าได้ตรวจสอบแล้วว่าเจ้าของทอดทิ้งจริงเพราะทางสมาคมไม่สามารถติดต่อเจ้าของได้ จึงนัดวันที่จะไปทำการเคลื่อนย้ายน้องหมา พร้อมทั้งให้เรานัดกับทางผู้อุปการะเพื่อให้ไปรับน้องหมาได้ณ.สถานที่นั้น แต่...ก่อนถึงวันนัดหมาย(16 มิ.ย.2548)ได้มีโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่สมาคมว่าให้เราหากรงไปด้วยเพื่อการขนย้าย เราก็จัดการตามความประสงค์(ผมเป็นคนไปขนกรงทั้งหมดด้วยตัวเอง โดยยืมมาจากคลีนิคแห่งหนึ่ง)
ไปถึงสถานที่นัดหมาย ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับที่ๆน้องหมาอยู่เราได้รวมตัวกันเพื่อรอเจ้าหน้าที่สมาคมฯโดยที่ยังไม่ได้มีใครเข้าไปในที่ๆน้องหมาอยู่เลย ระหว่างนั้นมีสื่อจากแขนงต่างๆด้เข้ามาสอบถามความเป็นไปและเรื่องราวซึ่งเราก็ยังงงๆอยู่ว่ามาได้ไง ก็ได้รับทราบว่าทางสมาคมฯเป็นผู้ติดต่อเพื่อให้มาทำข่าว แวบแรกก็ตกใจ แต่ต่อมาก็คิดว่า ดีเหมือนกันมีพยานเยอะแยะจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องข้อกฏหมาย
หลังจากเจ้าหน้าที่สมาคมฯมาถึงจุดนัดหมายก็ได้แจ้งว่าขอให้ทางสมาคมฯเป็นผู้เคลื่อนย้ายสุนัขออกจากกรงเอง เพราะไม่แน่ใจว่าน้องหมาจะเป็นมิตรแค่ไหน และได้ใช้ห่วงคล้องที่มีท่อแข็งเพื่อป้องกันน้องหมาเข้าถึงตัว ค่อยๆเคลื่อนย้ายออกมาจากกรง ระหว่างนั้นก็ได้ให้ทางผู้อุปการะนำข้อตกลงไปกรอกและลงลายมือชื่อพร้อมกับหลักฐานทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน ซึ่งทุกๆคนก็ยินดีให้ความร่วมมือโดยบริสุทธิ์ใจ
เมื่อเคลื่อนย้ายน้องหมาเข้ากรงแล้วทางผู้อุปการะทุกๆท่านได้นำน้องหมาไปตรวจสุขภาพ+ฉีดวัคซีน+อาบน้ำทำความสะอาดที่คลีนิคแห่งหนึ่งทุกๆตัว ผมได้ถามทางเจ้าหน้าที่ว่าจะเข้าไปตรวจสอบหรือดูแลการตรวจสุขภาพของเราและจะไปดูสถานที่รับเลี้ยงของเราหรือไม่ คำตอบที่ได้คือ ไม่
หลังจากที่ตรวจสุขภาพและอื่นๆเรียบร้อย ผู้อุปการะก็ได้แยกย้ายนำน้องหมาไปดูแลต่อ
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ปัญหาเริ่มเกิดขึ้น สมาคมฯได้ไปหาผู้อุปการะท่านหนึ่งและนำน้องหมากลับมาสองตัว หลังจากนั้นก็ได้พยายามดำเนินการเพื่อที่จะรับน้องหมาคืนจากผู้อุปการะทุกๆท่าน ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งมันทำให้เกิดข้อสงสัยในใจว่า ณ.เวลาที่ไปทำการขนย้ายน้องหมามีการกระทำผ่านสื่อ พร้อมทั้งลงลายมือชื่อในหนังสือ แต่เมื่อเวลาส่งคืนกลับทำโดยเงียบๆ มีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า นี่คือคำถามแรกที่เกิดขึ้นในใจ
เมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งแคลงใจมากขึ้น มีการออกคำชี้แจงของสมาคมฯและกล่าวหาว่าเราใช้สมาคมฯเป็นเครื่องมือในการเอาน้องหมามาฟรีๆ ยิ่งเพิ่มความไม่แน่ใจในสมาคมฯมากขึ้น จากการทำงานมาสิบปีทำได้เพียงแค่ช่วยเหลือออกมาเท่านั้นหรือ? ทำไมเวลาช่วยเหลือออกมามีสื่อ แต่เวลาคืนไม่มี? ความร่วมมือจากผู้มีใจกุศลช่วยบริจาคเพื่อช่วยเหลือสัตว์ มันมีผลออกมาในรูปไหน ช่วยเหลือผ่านสื่อ ส่งหาผู้อุปการะ แล้วก็ส่งคืนเจ้าของเงียบๆ โดยที่ผุ้รับอุปการะไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินใดๆเลยและอีกหลากหลายคำถาม ที่ทำให้เกิดความไม่พอใจ
หลังจากนั้นได้มีสมาชิกของเราโทรไปปรึกษากับทางร่วมด้วยช่วยกัน แต่ทางร่วมด้วยฯแจ้งว่าไม่สามารถจัดการเรื่องดังหล่าวได้เนื่องจากไม่มีนโยบายให้ความร่วมมือกับสมาคม และได้แนะนำให้ไปขอความช่วยเหลือจากสมาคมสงเคราะห์สัตว์(ในพระบรมราชูปถัมภ์)โดยแจ้งเรื่องราวทั้งหมดและบอกว่าเราจะคืนน้องหมาให้แต่อยากจะให้น้องหมาได้รับสิ่งที่ดีกว่าที่เป้นอยู่ ซึ่งได้ให้ความอนุเคราะห์นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมใหญ่ของสมาคม และได้รับคำแนะนำให้ไปรับคำปรึกษากับสภาทนายความแห่งประเทศไทย ก็ได้รับคำแนะนำว่า หากทางเจ้าของยังไม่สามารถยืยยันได้ว่าจะดูแลน้องหมาให้ดีกว่าเดิม เราก็มีสิทธิ์ที่จะยึดหน่วงไว้ได้ โดยอาศัยข้อกฏหมายที่ว่า เป็นการทำการนอกสั่ง กระทำโดยเจตนาบริสุทธิ์และสามารถเรียกร้องค่าใช้จ่ายได้ เราจึงตัดสินใจที่จะยื้อเรื่องนี้ไว้จนกว่าจะมั่นใจว่าน้องหมาจะได้รับการเลี้ยงดูดีกว่าเดิม วึ่งหากทางสมาคมพิทักษ์สัตว์สามารถให้ความมั่นใจได้แต่แรก เราคงไม่ใช้สิทธิ์นี้และคงส่งคืนน้องหมาไปเรียบร้อยแล้ว นั่นเป้นที่มาทำให้เรื่องทั้งหมดยืดเยื้อจนกระทั่งเป็นประเด็นขึ้นมา
หลังจากนั้นได้มีการนัดไกล่เกลี่ยที่โรงพักโดยมี เจ้าของสุนัข สมาคมพิทักษ์สัตว์ สมาคมสงเคราะห์สัตว์ สื่อมวลชน ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังรายละเอียดในรายการ แต่ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่ข้ามไปคือเราได้มีการเสนอให้มีบ้านกลางเพื่อดูแลน้องหมาไว้ก่อน เพื่อที่ทุกๆคนจะได้สามารถไปดูความเป้นอยู่ของน้องหมาได้ เพราะถ้าหากคืนกับเจ้าของไปถึงเค้าจะเลี้ยงดูในสถานที่ที่เรารู้แต่หากเค้าไม่อนุญาตให้เราเข้าไปดูเค้าก็ทำได้ และหากเราดื้อรั้นจะเข้าไปจริงๆ งานนี้โดนข้อหาบุกรุกแน่ๆ เรื่องเลยยังไม่มีข้อยุติ
ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ส่วนความคิดเห็นของผมคงต้องขอยกเป็นเรื่องต่อไป
จากคุณ :
Goldendog
- [
27 ก.ค. 48 11:45:56
]