ความคิดเห็นที่ 1 ไม่ทราบเหมือนกันค่ะป้ามดขา มาส่งข่าวว่าหลานน้อยผ่าตัดแล้ว ตอนนี้กลับมาเล่นซนได้เหมือนเดิมค่ะ ห่างหายจากห้องนี้ไปนาน เพิ่งไปโผล่ๆแถวห้องแม่บ้านต่างแดนมา ........... ส่วนเรื่องกุหลาบที่ปลูกอยู่นะคะ พอมีดอกต้องตัดกิ่ง ตัดดอก แล้วเค้าจะ ออกดอกซ้ำแล้วซ้ำอีกอ่ะค่ะ  ตอนนี้ออกดอกไปแล้ว ภ รอบ ดอกโต สีสด สะใจ แต่ไปซื้อปุ๋ยมาใส่ด้วยค่ะ ปุ๋ยสำหรับกุหลาบโดยเฉพาะอ่ะค่ะ จากคุณ : เพลงเสือโคร่ง - [ 13 ส.ค. 48 08:40:09 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ลืมแปะรูป ค่ะ จากคุณ : เพลงเสือโคร่ง - [ 13 ส.ค. 48 08:42:41 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มานั่งรอคำตอบเป็นเพื่อนป้ามดคับ... จากคุณ : Goodenough - [ 13 ส.ค. 48 09:54:27 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สวยมากๆเลยค่ะป้ามด แต่ว่าเมืองไทยเราถ้าจะปลูกให้ได้สวยแบบนี้คงต้องทางเหนือแหละค่ะ จากคุณ : ดอกปีป - [ 13 ส.ค. 48 10:08:47 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ป้ามดเก่งอยู่แล้วนี่คะ เลี้ยงเหมือนเลี้ยงมะลินั่นแหละจ้ะ ถึงเวลาก็ให้ปุ๋ย ให้ยา ตัดแต่งกิ่ง พวกเรานะเสียดายต้นไม้ ไม่ค่อยกล้าตัดกิ่งมันก็ไม่ค่อยแตก แต่แถวบ้านเก่าคุณสาย พอเข้าหน้าหนาวเค้าก็ตัดกุดเลยคะ ถ้าเป็นกุหลาบต้นนะ ถ้าเป็นกุกลาบเลื้อยก็ตัดกิ่งย่อยๆออกเหลือแต่กิ่งหลัก จากนั้นก็ให้ปุ๋ย สูตรเสมอ พรวนดิน ช่วงนี้ไม่ต้องรดน้ำบ่อยนัก รดอาทิตย์ละครั้ง 2ครั้งก็พอ พอเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิก็จะเห็นตุ่ม เห็นตาใบเริ่มแตกคราวนี้ก็ให้ปุ๋ย เร่งดอก สลับกับปุ๋ย สูตรเสมอ (อันนี้เป็นเทคนิคของคุณสายเองจ้ะ) 2อาทิตย์ครั้ง อัดน้ำมากๆเลยช่วงนี้ ใบจะแตกตรึม ระวังแมลงด้วยจ้ะ แมลงจะมากวนก็ตอนนี้แหละ ฝนด้วยถ้าฝนตกก็ระวังโรครา( แต่ที่เมืองไทยฝนกตกคนละเดือนกับเมืองฝรั่งนะ) อัดยาฆ่าแมลงทุกชนิด เดินดูกุกลาบทุกเช้า ถ้าไม่อยากใช้ยา ก็ออกตอนกลางคืนไปจับแมลง หรือไม่ก็เช้ามืด หาไปฉายไปส่องอิอิอิหนุกดี (แต่ตอนนี้ไม่ทำแล้ว)  ไอ้ตัวเขียวๆตรึมเลยต้องพ่นยาอย่างเดียว บางทีก็มี ไอ้ตัวเหลืองๆอยู่ใต้ใบก็จัดการเด็ดไปทิ้งให้ไกลๆๆ ตอนนี้ก็เริ่มติดดอกจิ๋วๆละ ทำไงต่อละก็รดน้ำ แล้วก็ให้ปุ๋ยทางใบเพิ่มอีกเป็นปุ๋ยดอกอีกนะแหละจ้ะ บางทีก็รดด้วยน้ำปุ๋ยชีวภาพ พรวนดินทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ย บางทีขี้เกียจก็ลดลงเหลือเดือนละครั้ง ทำอย่างนี้ไปจนหมดดอก ก็ตัดดอกทิ้ง วิธีตัดก็ให้ตัดเหนือใบที่มีห้าใบ เค้าว่ากิ่งที่แตกออกมาใหม่จะให้ดอกจ้ะ ทำไปจนกระทั่งหน้าหนาวมาเยือนก็ตัดกุดเหมือนเดิม  ทั้งหมดที่เขียนมานี้ เขียนจากประสบการณ์จริงที่เลี้ยงกุหลาบมา มิได้อ้างอิงตำราใดทั้งสิ้นผิดถูกจากตำราก็ขออภัยท่านครู อาจารย์ทั้งหลายไว้นะที่นี่ด้วยคะ คิดถึงกุหลาบที่บ้านเก่าจังเลย เลี้ยงกุหลาบที่นี่ไม่งามเพราะอดน้ำไม่ได้ฝนตกทุกวัน ตกมากเกินไปกุหลาบไม่ชอบน้ำขัง แมลงกวนมากๆๆเห้อต้องทำใจไม่แน่อาจจะทำกรีนเฮ้าก็ได้นะถ้าฮึดๆขึ้นมาจะได้มีกุหลาบสวยๆมาให้ดูกัน จากคุณ : สายเดี่ยว โจงกระเบน - [ 13 ส.ค. 48 10:15:39 ]

ความคิดเห็นที่ 6 * จากคุณ : สายเดี่ยว โจงกระเบน - [ 13 ส.ค. 48 10:22:25 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไปหารูปเก่าเจอให้ป้ามดจ้ะ แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 48 11:09:01 จากคุณ : สายเดี่ยว โจงกระเบน - [ 13 ส.ค. 48 11:08:24 ]

ความคิดเห็นที่ 8 * จากคุณ : สายเดี่ยว โจงกระเบน - [ 13 ส.ค. 48 11:11:27 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เคย เอากุหลาบเลื้อย ที่เป็นกิ่ง ติดตาไปเลี้ยงที่เชียงราย ค่ะ กะ จะให้เขาเลื้อยขึ้นรั้ว เวลาผ่านไปครึ่งปี เลื้อยค่ะ เลื้อยเต็ม รั้วเลย แต่ไม่มีดอก ออกแต่ใบ คุณพ่อใจดีก็เลย ตัดค่ะเหลือแต่ ตอ ปรากฏว่า ตอเป็นกุหลาบป่า แตกขึ้นมา ออกดอกเต็มต้นเลยค่ะ แต่ไม่เลื้อย แต่ก็เป็นที่ถูกใจของคนทั้งบ้านไป จากคุณ : ไม่ได้ตั้งใจโสด - [ 13 ส.ค. 48 13:59:13 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มารับความรู้ด้วยค่ะ..ป้ามดขาบัวรบกวนถามเรื่องกุหลาบขาวที่บ้านปลูกแนวริมทางเดินแดดจัดสลับกับชบาแต่กุหลาบขาวหนอนมากินดอกกินใบเยอะเลยค่ะทำยังไงดีคะบัวไม่กล้าฉีดฆ่าแมลงค่ะพอมียาที่เอาแค่ได้กลิ่นแล้วหนีไปก็พอค่ะไม่ทราบว่ามีหรือเปล่าคะ จากคุณ : บัว (บัวณิชาพร) - [ 13 ส.ค. 48 16:07:05 ]

ความคิดเห็นที่ 11 พูดถึงกุหลาบจะนึกถึงตอนสมัยเด็กๆ นะคะป้ามด นู๋จะต้องตื่นตั้งกะตีสี่ค่ะ มาเก็บตัวหนอนที่ชอบมาเจาะใบ เจาะดอก คุณยายเคยสอนให้เอาน้ำซาวข้าวมารด จะทำให้พวกแมลงไม่มารบกวน แล้วนานๆ ทีคุณยายก็จะให้เอาน้ำล้างเมือกปลามารด เพราะจะทำให้กุหลาบงาม แต่นู๋ไม่ชอบแบบหลัง เพราะพอรดไปได้ไม่นาน มดก็จะมากันมาดูดกินน้ำพวกนี้ค่ะ จากคุณ : ดาวอักษร - [ 13 ส.ค. 48 16:59:56 ]

ความคิดเห็นที่ 12 มาเก็บข้อมูลด้วยคนค่ะ ขอบคุณมากนะคะ จากคุณ : เจ้าเอ๋ย - [ 13 ส.ค. 48 17:56:07 ]

ความคิดเห็นที่ 13 -นึกว่าป้ามดจะสอนปลูกกุหลาบซะอีก -คุณเพลงเสือโคร่งกลับมาพร้อมข่าวดี ยินดีด้วยครับที่ลูกชายกลับมาซนได้เหมือนเดิมแล้ว จากคุณ : ด้วงแว่น - [ 13 ส.ค. 48 20:14:21 ]

ความคิดเห็นที่ 14 มาเป็นแนวร่วมป้ามดให้คุณวเนจรป่าคอนกรีตมาสอนด้วยค่ะ จากคุณ : ป้ารีย์ - [ 13 ส.ค. 48 21:18:12 ]

ความคิดเห็นที่ 15 กุหลาบเป็นต้นไม้ที่นักเลี้ยงมือใหม่มีปัญหาในการเลี้ยงมา เพราะมีความเชื่อการคำเล่าขานว่าเลี้ยงยาก ตายง่ายทั้งที่จริงๆแล้วตรงกันข้าม ถ้าช่วงไหนเราเบื่อที่จะเลี้ยงก็ตัดให้เหลือแต่ตอใช้ขี้ผึ้งป้ายรอยแผลแล้วเก็บไว้ อยากเลี้ยงเมื่อไรก็ตัดตอแล้วทายาเรียกมันก็งอกขึ้นมาให้เราต้องมาลำบากดูแลเหมือนเดิม พันธ์ไทยแท้มีเพียง 4 ชนิด นอกนั้นเป็นไม้นำเข้าจากต่างประเทศ มีมากกว่า 3,000  ชนิด และพัฒนากลายมาเป็นไม้พันธ์ถิ่นกว่า 1,000 ชนิด ซึ่งกลุ่มนี้เป็นหัวใจของบทความที่ผมความรู้น้อยอย่างผมจะมาเล่าสู่ให้ฟัง สำหรับผู้เลี้ยงกุหลาบมือใหม่ ขอแนะนำดังนี้ครับ                           ช่วงของการเจริญเติบโตของกุหลาบคือฤดูฝนและฤดูหนาว และช่วงที่ดีที่สุดคือช่วงเดือนมิถุนายน ต้นฤดูผลเพราะจะมีช่วงการเจริญเติบโตติดต่อกันเป็นระยะเวลานานถึงกว่า 6 เดือน         1.ดินที่ปลูกกุหลาบควรมีค่า pH ประมาณ 5.5-6.5 คือ เป็นกรดเล็กน้อยและมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ ซึ่งอาจมาได้จากสองแหล่ง           ดินเตรียมขึ้นมาเอง ดินปลูกที่เป็นสากลนิยมในการปลูกกุหลาบในบ้านเรา จะใช้ดิน, ขี้วัวและแกลบดิบเป็นวัสดุปลูกในอัตราส่วน 1 : 1 : 2  วัสดุปลูกที่ผสมเสร็จแล้วควรทิ้งไว้นานประมาณ 2 เดือน           ดินถุงสำเร็จรูปเพื่อปลูกกุหลาบโดยเฉพาะ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ใช้ดินถุงสำเร็จรูปเพื่อปลูกไม้ดอกที่เขาขายกันอยู่ทั่วๆไปแต่พยายามหลีกเลี่ยงดินปลูกที่มีส่วนผสมของวัศดุอมน้ำอาทิเช่น กาบมะพร้าวหรือขุยมะพร้าวมากเกินไปเพราะดินจะอมน้ำมากเกินไปและเป็นแหล่งสะสมโรคและสารเคมี เติมพวกใบไม้แห้งของพืชที่มีรสเปรี้ยวหรือพวกใบของพืชตระกูลทองหลางหรือก้ามปูลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อให้ดินเป็นกรดเล็กน้อยครับ                           การทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพของดิน  สองขั้นตอนนี้กระทำไปพร้อมกัน           1.1.ขั้นตอนทดสอบดินความโปร่งของเครื่องปลูกครับ นำดินมาอัดใส่กระถางให้แน่นพอควร ใช้ท่อนไม้ขนาดพอเหมาะค่อยๆอัดดินไปที่ละชั้นๆละประมาณ 2-4 นิ้วจนหน้าผิวดินต่ำกว่าปากกระถาง 2-3 นิ้วครับ ( กรุณาจำน้ำหนักมือในการอัดไว้นะครับ ) แล้วรดน้ำให้ดินชุ่ม แล้วสังเกตดูครับ ถ้า                           ถ้าเทหายเทหาย ก็แสดงว่าดินโปร่งเกินครับ                           ถ้าเทแล้วน้ำขังค่อยๆซึมก็ถือว่าพอดีครับ                           ถ้าเทแล้วน้ำขังเกินกว่า 10 นาทีก็ถือว่าแน่นเกินครับ เราก็ลองไปเรื่อยๆ                                           จนได้ระดับพอดี และจำน้ำหนักมือที่กดดินนี้ให้แม่นนะครับ          1.2.ขั้นตอนทดสอบดินเสถียรภาพของความชื้นของเครื่องปลูกครับ เอากระถางที่ใส่ดินแล้วหาเศษหญ้ามาคลุมหน้าดินบางรำไรรำไรครับ ไปตั้งในตำแหน่งที่คุณต้องการปลูกกุหลาบครับ และเริ่มรดน้ำให้ชุ่มในช่วงเช้าระหว่างที่แสงอาทิตย์ยังอ่อนอยู่ ( ซึ่งเป็นเวลาปกติที่คุณรดน้ำกุหลาบ )                                            พอตอนสักบ่ายโมงคุณก็เอามือลองแทรกเข้าไปในกระถางดู ถ้าเหมาะสมเครื่องปลูกจะหมาดแต่ไม่แฉะครับ (ถ้าแฉะ ครั้งต่อไปคุณต้องคัดดินเอาวัศดุอมน้ำออกไป ถ้าแห้งครั้งต่อไปคุณต้องผสมวัศดุอมน้ำ(ขุยมะพร้าว)เพิ่มให้มากขึ้น ตามดีกรีของความแห้งครับ) ขนาดที่เหมาะสมคือใช้มือล้วงลงไปแล้วรู้สึกชื้นแต่เมื่อชักขึ้นมาแล้วไม่มีดินติดมือครับ                                            พอตอนหกโมงเย็น คุณก็คว่ำกระถางสำรวจดูดินครับ ส่วนของผิวดินถึงกลางกระถางแห้งบ้างนิดหน่อยไม่มีปัญหาอะไรครับ เพราะตอนกลางคืนมีน้ำค้างมาเพิ่มเติมความชื้นให้เอง ส่วนดินจากกลางกระถางถึงก้นกระถางต้องหมาดเท่านั้น วิธีแก้ไขก็ทำตามที่แนะนำข้างบน            ดินที่คุณเตรียมปลูกควรตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรคสักหลายๆวันหน่อยครับ                           จบแล้วครับขั้นตอนเตรียมดิน .......... อย่าเพิ่งสงสัยว่าผมจะสอนวิธีปลูกกุหลาบหรือปลูกบ้าน และอย่าตกใจหรือถอดใจ ว่าแค่ปลูกกุหลาบต้นเดียวไงมันยุ่งยากขนาดนี้ครับ ก็กุหลาบน๊ะ แต่ละปีคุณปลูกกี่ต้นกันครับ แล้วที่ทำตามนี้ก็เพียงครั้งเดียวตอนเริ่มต้นเองเพื่อให้คุณรู้น้ำหนักมือการอัดความแน่นของดินและดูส่วนผสมดินออก พอเข้าใจและจำได้แล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องทำอีกแล้วครับ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 14 ส.ค. 48 09:10:12 ]

ความคิดเห็นที่ 16 2.หากุหลาบติดตา,ต่อกิ่ง มาปลูก พวกกุหลาบตอนไม่แนะนำ เพราะความสมบูรณ์ของระบบรากไม่สมบูรณ์พอ  ช่วงลำต้นสั้นไม่แข็งแรง อายุไม่ยืน ลำต้น เริ่มต้นที่ 2 ต้นพร้อมกันครับ                        ต้นแรกที่นำมาเลี้ยงสายพันธุ์ไทยทุกประเภทครับ ที่แนะนำคือ กุหลาบมอญ เป็นไม้ดอกที่ชอบอากาศชื้น เก็บดอกได้เมื่อต้นมีอายุ 3 เดือน และเก็บดอกได้ทุกวันเป็นเวลา 3 ปี หาต้นที่มันสมบูรณ์โดยดูที่ขนาดและความสมบูรณ์ของตอเป็นเกณฑ์หลักในการเลือกนะครับ จุดประสงค์เพื่อเอามาทดสอบการเลี้ยงดู                       ต้นสองควรเป็นกุหลาบดอกเดี่ยวก้านยาวครับ  จุดประสงค์เพื่อเอามาทดสอบการตัดแต่งกิ่งและฝึกวิธีการบังคับทรงพุ่ม การบังคับให้กุหลาบออกดอกในเวลาที่ต้องการ  และ กำหนดขนาดดอกและก้าน                      การเลือกต้นปลูก  : ลักษณะทรงพุ่มโปร่งได้สัดส่วนถูกต้องตามเกณฑ์ การทอดกิ่งไม่ชูตั้งหรือแบราบจนเกินไป เมื่อได้ต้นที่มีสัดส่วนถูกใจแล้วก็เริ่มมาพิจารณาอีกสองส่วนหลักต่อไปดังนี้ คือ                                ส่วนของตอ : ตอต้องตรงยาวความสูงอย่างน้อย 8 นิ้วขึ้นไป ขนาดใหญ่อวบอ้วน สีน้ำตาลอ่อน เปลือกไม่แข็งหรือแตกลายงา ไม่มีริ้วรอยของพยาธิสภาพใดๆ แสดงว่าความสมบูรณ์แข็งแรงตามเกณฑ์อายุ  ไม่มีรอยตัดกิ่งที่ตัวตอเลย บริเวณระดับผิวดินไม่มีรอยคอด พลิกดูก้นกระถางรากที่งอกผ่านรูก้นกระถางเป็นสีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อน นุ่ม                                ส่วนของกิ่ง ( ตาหรือกิ่งที่ต่อมา ) :                                         กิ่งกระโดงตา ก็คือตาหรือกิ่งที่เอามาติดกับตอ ซึ่งส่วนนี้ต่อไปจะพัฒนาเป็นลำต้น ต้องมีสีเขียวหรือเขียวอมน้ำตาลสม่ำเสมอ ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป รอยเชื่อมระหว่างตอและกิ่ง(ตาที่เอามาติด) ต้องเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกันห้ามมีรอยตะเข็บเด็ดขาด                                         กิ่งกระโดงโครงสร้าง ( กิ่งกระโดงที่แตกออกมาจากกิ่งกระโดงตา )มีเขียวหรือเขียวอมน้ำตาลอ่อน และระยะห่างระหว่างกิ่งที่สมบูรณ์ต้องมีสัดส่วนที่เหมาะสม  ไม่ห่างเกินหรือถี่เกินไปหรือห่างบางถี่บ้าง  ต้องไม่มีกิ่งกระโดงโครงสร้างที่แคระแกรนให้เห็น                                       กิ่งกระโดงดอก( กิ่งกระโดงที่แตกออกมาจากกิ่งกระโดงโครงสร้างเพื่อให้ดอก)ต้องมีสีเขียว   อวบเต่งใส ต้องมีใบย่อยสมบูรณ์อย่างน้อย 7 ใบ ก่อนถึงดอก  ใบไม่ต้องเขียวจัดนักเพราะถ้าใบเขียวจัดๆ มากเกินไปแสดงว่าคนขายบำรุงไว้มาก ถ้าเราซื้อไปแล้วดูแลได้ไม่ดีไม่เหมือนเขา ต้นจะปรับตัวได้ยาก ชงักงั้นไปอาจตายได้หรือใช้ระยะตั้งตัวนาน  เพราะฉะนั้นต้นไม้ที่เจ้าของเลี้ยงมาแบบธรรมชาติ เวลานำไปปลูกต่อจะทำให้ไม้ปรับตัวได้ง่ายกว่า                                      สำหรับมือใหม่ ต้องเลือกไม้ให้ได้ตามที่ผมแนะนำ ก็จะได้ไม้ตอที่มีกิ่งกระโดงชุดแรกสมบูรณ์ พร้อมที่จะนำมาฝึกหัดเลี้ยงได้อย่างสมบูรณ์แบบตามแบบแผนมาตราฐาน ส่วนมือเก่าอย่างไรก็ได้ครับ เพราะอะไรที่ดูเหมือนว่ายาก ทำอย่างไรมันก็ดีไปหมดครับสำหรับคนที่ทำเป็น                                      ใจเย็นๆในการเลือกหาซื้อไม้นะครับ เพราะทางร้านไม่ได้มีร้านเดียว และต้นไม้ก็ไม่ได้มีต้นเดียวที่จะขายเรา  แต่เรามีต้นไม้ ต้นเดียวที่จะปลูกครับ ถ้าได้ไม่ดีก็ไม่ซื้อครับ         3.กุหลาบที่ได้มาคุณต้องเอามาพักฟื้นไว้ที่ร่มในบ้านคุณบริเวณที่อับลมวางทิ้งไว้ประมาณ 1 อาทิตย์ ครับ เพื่อให้มีเวลาปรับตัวกับภูมิสภาพของที่อยู่ใหม่                        โดยในวันแรกที่เอาเข้ามาคุณควรตัดดอกกุหลาบทิ้งให้หมดครับทั้งดอกตูมและดอกบาน ตำแหน่งกิ่งที่ตัดควรตัดยอดโดยตัดส่วนเหนือใบสมบูรณ์ (5 ใบย่อย) ใบที่สองจากยอด โดยตัดกิ่งเหนือตาประมาณ 1/4 นิ้ว ทำมุม 45 องศาเฉียงลง เสร็จแล้วอย่าลืมเอาปูนแดงหรือยากันเชื้อราทารอยแผลด้วยนะครับ เมื่อเสร็จแล้วจึงเอากระดาษหนังสือพิมพ์ หรือ ถุงพลาสติกเจาะรูห่อหรือคลุมใบกุหลาบให้หมดไว้แล้วรดน้ำในกระถางให้ชุ่ม ช่วงต่อแต่นี้ไปจะงดรดน้ำในระยะฟักฟิ้นหรือลดเล็กน้อยถ้าเห็นดินแห้ง                       พอวันที่สาม ก็เอากระดาษหนังสือพิมพ์และหรือถุงพลาสติคออกครับ                       พอครบ 1 อาทิตย์ สังเกตดูว่ามันพร้อมถูกแดดได้หรือยัง ถ้ามันแทงตาใหม่ขึ้นมา ก็แสดงว่ามันอยู่ตัวแล้วครับ ค่อยๆออกไปวางให้ถูกแดดได้แล้วครับ                       เริ่มต้นที่ตำแหน่งแรกที่ตำแหน่งโดนแดด วันละ 1 ชั่วโมงครับ                       ขยับตำแหน่งไปเรื่อยๆ โดยแต่ละตำแหน่งเพิ่มชั่วโมงให้แดด โดยเฉลี่ยวันละ 1 ชั่วโมงครับ                       จนถึงตำแหน่งสุดท้ายในตำแหน่งที่คุณอยากจะตั้งมัน            การย้ายตำแหน่งแต่ละวัน คุณจะสังเกตได้ว่าสมควรย้ายหรือไม่ โดยสังเกตดูจากการสลดของใบครับ ถ้าวันนั้นตอนเที่ยงไม่มีการสลดของใบวางก็แสดงว่ามันอยู่ตัวพร้อมย้ายในวันรุ่งขึ้นครับ ( ถ้าใบสลดก็ไม่ต้องขยับไปตำแหน่งต่อไปนะครับ ทิ้งไว้ที่เดิมจนกว่าจะอยู่ตัว) และใบของต้นมันจะเริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวเข้ม(ซึ่งเกิดจากการใช้ปุ๊ยทางใบและยาเร่งจากผู้ขายที่ฉีดบำรุงมา)มาเป็นสีเขียวอมเหลืองนิดๆ            หมายเหต ช่วงนี้งดให้ปุ๊ยก่อนนะครับ                       ตำแหน่งที่จะจัดวางกระถาง            กุหลาบเป็นไม้ดอกที่ต้องการแสงแดดจัดอย่างน้อยวันละ 6 ชม.เพื่อเป็นการกระตุ้นตาดอก  ดังนั้นควรปลูกในที่โล่งแจ้งเพื่อให้ถูกแสงเต็มที่ทั้งวัน แต่ถ้าไม่ทั้งวันก็ควรปลูกทางด้านทิศตะวันออกให้กุหลาบได้รับแสงในตอนเช้า  ถ้าเป็นไม้กระถางคุณต้องค่อยสังเกตและย้ายที่ตามช่วงฤดูเพื่อให้มันได้รับแสงเต็มที่นะครับ           กุหลาบเป็นไม้เฟือใบจึงมีพื้นที่ใบในการคายน้ำสูง และ ต้องการความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศค่อนข้างสูง ถ้ามีไหลเวียนของอากาศมากเกินไปการคายน้ำก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัด และลมที่จะพัดมาจะพัดไอแดดที่ร้อนเข้ามาด้วยทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศต่ำลง ต้นเฉาง่าย  จึงควรตั้งไว้ในที่อับลม แต่ถ้าความชื้นสัมพัทธ์สูงเกิน และการระบายอากาศไม่ดีพอ จะเกิดโรคแทรกได้ง่าย ดังนั้นในช่วงหน้าฝนที่ฝนตกติดต่อกันหลายวันและอุณหภูมิอากาศค่อนข้างต่ำ ต้องย้ายเอากระถางกุหลาบออกมาผึ่งลมบ้าง จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 14 ส.ค. 48 09:13:13 ]

ความคิดเห็นที่ 17 4.กระถางที่ใช้ควรให้พอดี อย่าให้เล็กไปหรือใหญ่ไป เพราะกุหลาบเป็นพืชกินปุ๊ยเพราะความบ้าดอกและใบของมันทำให้ดินจืดเร็วต้องเปลี่ยนดินบ่อยๆถ้าต้องการให้งามสม่ำเสมอ  แนะนำกระถางดินเผา เพราะอากาศถ่ายเทด้านข้างได้ดีทำให้อ๊อกซิเจนสามารถซึมเข้าสู่ดินด้านข้างกระถางได้สะดวก อ้อถ้ากระถางมีคราบตะไคร้น้ำหรือมอสเกาะอย่าไปเห็นว่าสวยนะครับ ต้องใช้แปรงขัดทิ้งออกไปด้วย                        การที่ดินขาดอ๊อกซิเจนทำให้ดินมีสภาพเป็นกรดมากขึ้น ความสามารถในการทำละลายสารอาหารลดต่ำลงครับ ไม่แนะนะกระถางพลาสติคหรือกระถางเคลือบเพราะจะทำให้เครื่องปลูกอมความชื้นมากเกินไปและไม่มีการถ่ายเทของอากาศครับ                       ทรงกระถางควรเป็นกระถางทรงลึก (Standard Pot )ครับเพื่อระบบรากจะเจริญเติบโตได้ตามความลึกของกระถางและทำให้สามารถพยุงพุ่มต้นได้ดี         5.ขั้นตอนการปลูกและเปลี่ยนกระถาง                      ควรเปลี่ยนกระถางในเวลาช่วงเย็นนะครับ                      วิธีเอาต้นไม้ออกจากกระถางเดิม คุณก็มีดปาดดินบริเวณให้ชิดขอบนอกของกระถางเป็นร่องลึกประมาณ 1-3 นิ้ว ตามขนาดกระถางและความสะดวกให้รอบเพื่อตัดรากส่วนที่งอกออกมาทางปากและเป็นร่องให้น้ำขังทางขอบของกระถาง รดน้ำให้ชุ่มทั้งบริเวณดินในกระถางและผิวกระถางด้านนอก ทิ้งไว้ประมาณ 10-30 นาที ลองใช้ไม้จิ้มดูที่ร่องที่เราขุด ถ้าสามารถแทงไม้ได้ทะลุถึงก้นกระถางโดยไม่หนักแรง ก็ใช้ได้แล้วครับ หลังจากนั้นคุณก็ใช้มีดคมๆปาดรากส่วนเกินที่แยงออกทางรูก้นของกระถางออกให้หมด                     การเอาออกต้นไม้มาจากกระถางทำโดยคุณคว่ำมือขวาคุณโดยให้ลำต้นอยู่ในระหว่างซอกนิ้วชี้และนิ้วกลางแล้วคว่ำกระถางลงมันก็จะหลุดออกมา ถ้าไม่หลุดออกมา คุณก็เอากระถางแช่น้ำไว้สัก 10-30 นาที สาเหตที่ต้องแช่เพื่อให้ส่วนดินและรากที่มันเกาะกระถางมันร่อนหลุดออกมาจากกระถางก็จะเทออกมาได้                     ใช้มีดคมๆเฉือนดินตามรูปทรงของกระถางเดิมทั้งด้านข้างและด้านก้นนะครับ ด้านบนผิวดินไม่ต้องยุ่งครับ (เพราะถ้าไปลอกออกตอนนี้ดินจะแตกจากหน้าดินลงมาครับ)โดยการเฉือน(ไม่ใช่เถือเพราะรากจะช้ำเน่า)ให้เฉือนออกไปเป็นแผงๆ ตามแนวตั้งฉากโดยรอบ มากหรือน้อยตามความเหมาะสม แต่ไม่ควรเกินครึ่งของเนื้อดินเดิมครับ สังเกตดูส่วนใหญ่ที่ติดมากับดินที่ตัดออกคือรากฝอยครับ การตัดจุดประสงค์เพื่อตัดรากที่ขดวนซึ่งต่อไปก็ต้องแห้งตายไปครับและเป็นการกระตุ้นรากไปในตัวด้วย                    รดน้ำกระถางเปล่าให้ชุ่มแล้วเอาดินรองก้นกระถางอัดความแน่นให้ได้ตามน้ำหนักมือที่จำไว้ครับ พอได้ระดับ ก็รดน้ำให้ชุ่มครับ ก็รองก้นด้วยฟูราดานสักปลายช้อนชา และปุ๊ยละลายช้าพวกออสโมโคสสักครึ่งถึงหนึ่งช้อนชาต่อกระถาง 5" ครับ โดยโรยให้กระจาย อย่าโรยเป็นกระจุกเพราะจะทำให้ความเข้มข้นของสารเคมีหรือปุ๊ยนะจุดนั้นมากเกินไป มีอันตรายต่อรากพืช ครับ เมื่อเสร็จแล้วเอาเครื่องปลูกโรยทับสัก1 นิ้ว รดน้ำนิดหน่อยพอให้ยุบตัว                     ก็วางต้นไม้ลง ถ้าจำเป็นต้องจับที่ต้นก็ให้จับๆที่บริเวณโคนลำต้นนะครับ เพราะเป็นส่วนที่แข็งแรงที่สุดของต้นเพื่อหลีกเลี่ยงการบอบช้ำ โดยให้ระดับหน้าดินเดิมต่ำกว่ากระถาง 2-3 นิ้ว แล้วก็ใส่ดินลงไปโดยรอบกระถาง หนาประมาณ 2-3 นิ้วตามขนาดกระถางครับ  แล้วอัดดินลงไปตามน้ำหนักมือที่จำไว้ แล้วรดน้ำนิดหน่อยพอให้ยุบตัว อ้อถ้าต้องการใส่ปุ๊ยปุ๊ยละลายช้าพวกออสโมโคสก็โรยลงไปบริเวณขอบนอกให้เกือบชิดกับผิวของกระถาง  แต่ไม่ต้องใส่มากนะครับ                    ทำเป็นชั้น ไล่ไปเรื่อยๆเป็นชั้นๆตามขั้นตอนบน                    จนถึงระดับหน้าดินเดิม ลอกหน้าดินเดิมทิ้งแล้วโรยเครื่องปลูกทับแทนให้ทั่วกระถาง ประมาณ 2 เท่าของหน้าดินที่ลอกออกมาครับ ใช้มือกดเบาๆให้พอแน่นครับ                    เสร็จแล้วก็ทำการรดน้ำให้ชุ่มครับ สังเกตดูดินช่วงไหนยุบตัวก็ใส่เสริมลงไป หาไม้ไผ่มา 1 ซีก สูงขนาดก้นกระถางยันระดับยอดกุหลาบนะครับเสียบไว้ข้างโคนต้นลึกลงถึงก้นกระถางแล้วผูกกับลำต้นหรือกิ่งกุหลาบเพื่อกันให้ลำต้นของกุหลาบไหวเมื่อโดนแรงกระทบกระเทือน อาทิเช่น ลมแรงพัด คนหรือสัตว์มาโดนเข้า เป็นต้น อันเป็นเหตทำให้รากสะเทือนกุหลาบจะตั้งตัวได้ช้าครับในช่วงระยะต้น พอตั้งตัวได้ก็เอาออกไม่เช่นนั้นจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคครับ                     กุหลาบต้องการความชื้นในดินและอากาศสูง ดังนั้นจึงควรทำการคลุมดินโดยใช้ หญ้าแห้ง เปลือกถั่วลิสง ฟาง ขุยมะพร้าว หรือแกลบดิบ มาคลุมผิวดินรอบๆ ต้นกุหลาบหนาประมาณ 2-3 นิ้ว ก่อนจะเอามาใช้ปกคลุมดิน ควรวัสดุคลุมดินเหล่านี้ไปแช่น้ำทิ้งไว้สัก 1-2 วันเพื่อให้ดูดความชื้นให้อยู่ตัวก่อน  มิเช่นนั้นคงต้องรดน้ำในระยะแรกๆ บ่อยและหลายๆ ครั้ง การใช้วัศดุคลุมดินนอกจากรักษาความชุ่มชื่นหน้าดินแล้ว ยังป้องกันดินกระเด็นขึ้นมาถูกใบและลำต้นกุหลาบ ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้อ้อแล้วต้องค่อยหมั่นกำจัดวัชพืชที่ขึ้นหน้าผิวดินด้วยนะครับเพราะรากวัชพืชเหล่านี้จะปกคลุมผิวดินทำให้อ๊อกซิเจนไม่เข้าไปในดินทางหน้าผิวดินไม่ได้สะดวกครับ                     ควรเปลี่ยนกระถางปีละครั้งครับ ตามขนาดของต้นที่โตขึ้น พอปีที่ 3-4 ต้นกุหลาบก็จะโตเต็มที่แล้วครับ  ใช้กระถางขนาด12 นิ้ว  กระถางขนาดนี้ก็พอให้พวกกุหลาบกลุ่มลูกผสมโตเต็มที่แล้วครับ ใช้เทคนิกการตัดแต่งกิ่งควบคุมทรงพุ่มเอาครับ      ขนาดกระถางที่ใหญ่เกิน 12 นิ้ว ไม่มีความจำเป็นในการใช้ครับ         6.เสร็จแล้วครับสำหรับขั้นตอนการปลูก ต่อไปก็ทำเพิงให้ร่มมันในช่วงแดดตอนบ่ายสักหน่อยนะครับ วิธีง่ายก็โดยใช้ลำไผ่สองลำหรือใช้ท่อ PVC ก็ได้ปักไว้ใกล้ๆกระถางทางด้านทิศตะวันตก เพื่อเป็นหลักผูกตาข่ายพรางแสง(สแลนด์)กางบังกั้นแสงช่วงบ่ายครับ  แล้วค่อยๆถกตาข่ายพรางแสงลงมาให้รับแสงเพิ่มวันละชั่วโมง หลักการถกได้หรือไม่ก็สังเกตุดูจากมีการสลดของใบหรือไม่ครับ ตามรายละเอียดในข้อ 3                      ช่วงนี้เริ่มให้น้ำและปุ๊ยตามปกติครับ โดยทำตามรายละเอียดในข้อ 9.3.4.ครับ              ขั้นตอนการปลูกช่วง 1-6 ประเมินว่าปลูกในช่วงฤดูฝนที่ฟ้าค่อนข้างครึ้มและแสงไม่แรงกล้านัก ถ้าปลูกในฤดูอื่น คุณก็ต้องไปปรับปรุงพัฒนาเอาเองนะครับ                      กุหลาบทั่วๆไปหลังติดตาหรือต่อกิ่งจะเริ่มให้ดอกได้ จะต้องใช้เวลาประมาณ 6-7 เดือน จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 14 ส.ค. 48 09:15:01 ]

ความคิดเห็นที่ 18 7.การให้น้ำ                                                7.1. เวลาที่เหมาะสมในการให้น้ำกุหลาบคือ             7.1.1. สำหรับไม้กระถาง เวลาเช้าระหว่างที่แสงอาทิตย์ยังอ่อนอยู่  กุหลาบเป็นพืชที่ชอบน้ำ  แต่ถ้ารดมากจนน้ำขังก็ไม่ดี  แต่ตามปกติ ถ้ารดจนโชกรด 2-3 วันครับก็เหลือเฟือครับ ควรหลีกเลี่ยงการรดให้เปียกทั้งต้นและดอก เพราะจะเป็นการช่วยให้เกิดและแพร่โรคได้ง่ายและเร็วขึ้น ถ้าวันไหนฝนตก คุณก็ต้องโกยเอาวัสดุคลุมดินออกมาเอาไปผึ่งแดดให้หมาด และให้หน้าดินถูกแดดหน้าดินจะได้ไม่แฉะมากครับ และงดการให้น้ำ                            ในช่วงที่ศึกษาหาไม้ไผ่มาเสียบไว้ที่ดินในกระถางครับ ถ้าคิดจะรดน้ำก็ถอนไม้ขึ้นมาดู ถ้าไม้ชื้นก็แสดงว่าชุ่มพอก็ไม่ต้องรดน้ำครับ                            ถ้าฝนตกหลายๆวัน คุณต้องทำร่มบังฝนให้มันนะครับหรือย้ายกระถางเข้าร่ม แต่ตำแหน่งที่ย้ายมาใหม่ต้องให้โกรกลม  และงดให้น้ำและปุ๊ยบำรุง พอฝนหยุดตกก็เอาออกมาผึ่งแดด                            ถ้าอากาศแล้งติดต่อกันนาน คุณก็ดูแลเหมือนอยู่ในระยะสร้างทรงพุ่ม ตามรายละเอียดในข้อ 9.3.4. ไม่ควรเร่งให้มีการออกดอกครับ ให้มันสะสมอาหารจะดีกว่า             7.1.2. สำหรับไม้ลงดิน  คุณก็ให้น้ำบริเวณรัศมีใบรอบโคนต้น ในเวลาเย็น-ช่วงหัวค่ำครับ                                     เหตผลเคยตอบไว้ที่กระทู้ J3613778 ลองไปค้นอ่านดูนะครับ                   7.2. กุหลาบมีความต้องการน้ำที่สภาพน้ำควรจะเป็นกลาง อย่างต่ำ 1 ลิตรต่อต้นต่อวัน                   7.3. การรดน้ำควรรดน้ำที่โคนต้น ยังป้องกันดินกระเด็นขึ้นมาถูกใบและลำต้นกุหลาบ         8. การให้ปุ๊ยบำรุงก็ไม่ค่อยมีความจำเป็นครับ เพราะปุ๊ยที่เรารองก้นไว้และอินทรีย์สารในเครื่องปลูกก็เหลือเฟือพอที่จะปลูกกุหลาบในช่วงหนึ่งปี แล้ว ในการเติบโตให้เป็นไปตามวัฎจักร์แบบธรรมชาติ                             แต่ถ้าคุณต้องการบังคับหรือเร่งดอก จำเป็นต้องใช้ปุ๊ยและการตัดแต่งกิ่งกุหลาบ ควบคู่กันไปด้วย                                      8.1. การบำรุงส่วนลำต้นก้านกิ่งใบ ปัจจุปันได้มีการผลิตปุ๊ยเฉพาะสำหรับกุหลายในระยะต่าง อาทิเช่นระยะตัดแต่งกิ่ง ระยะแตกยอดอ่อน(ระยะทำใบใหญ่) ระยะดอกตูมเล็ก ระยะก่อนตัดดอก แต่ก็ยังคงยึดในสัดส่วนของไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P2O) และโปแตสเซียม (K2O) สำหรับกุหลาบในระยะต่าง ๆ คือ                                              - ระยะตั้งตัว                  1 : 1: 1                                              - ระยะสร้างทรงพุ่ม      1 : 0.58 : 0.83                                              - ระยะให้ดอก               1 : 0.5 : 0.78                                              - ระยะตัดแต่งกิ่ง          1: 0.8 : 0.9        กรุณาสังเกตดูนะครับ การใช้ปุ๊ยของกุหลาบจะแตกต่างกับการใช้ปุ๊ยองไม้ดอกทั่วไป หัวใจหลักของมันจะเน้นที่ใบเป็นหลัก ดังนั้นทุกสูตรของปุ๊ยจะเน้นที่ธาตุไนโตรเจนเป็นหลักเสมอครับ ไม่ใช้ปุ๊ยมาตราฐานเหมือไม้ดอกอื่นครับ                    8.2. การบำรุงส่วนของราก ใช้ยาเร่งรากผสมน้ำฉีด โดยขนาดหรือเทคนิกการใช้ก็ดูตามสลากยาครับ                    8.3. การบำรุงและปรับปรุงคุณภาพของดิน โดยคุณจะใช้จุลลินทรี โดยขนาดหรือเทคนิกการใช้ก็ดูตามสลากยาครับ หรือใช้ปุ๊ยหมัก ( ไม่นิยมใช้ปุ๊ยคอกเพราะมีเมล็ดวัชพืชมาก) จากผลการทดลองก็มีผลเท่ากันครับ                                              ระยะเวลาการให้สารอาหารทางใบที่เหมาะสมคือ ช่วง เวลาประมาณ 3-4 โมงเช้าครับ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 14 ส.ค. 48 09:21:30 ]

ความคิดเห็นที่ 19 9. การตัดแต่งกิ่งและทรงพุ่ม จุดประสงค์หลักของมันมีอยู่ 2 ประการ คือ                    9.1.ตัดแต่งเพื่อให้ได้กิ่งที่สมบูรณ์เพื่อการตัดดอก และเพื่อให้ได้กิ่งกระโดง (water sprout หรือ bottom break) มากขึ้น และจะรักษาใบไว้กับต้นให้มากที่สุด เพื่อให้ได้กิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด เพื่อให้มีการออกดอกสม่ำเสมอตลอดทั้งปี                    9.2.รักษาให้พุ่มกุหลาบโปร่ง และไม่สูงมากเกินไปนัก เพื่อสะดวกต่อการดูแลรักษา และแสงที่กระทบโคนต้นกุหลาบจะช่วยกระตุ้นให้เกิดกิ่งกระโดงอีกด้วย                    9.3.การตัดแต่งกิ่งกุหลาบปฏิบัติได้หลายวิธี โดยยึดหลักการตัดสูงและต่ำ             9.3.1. การตัดสูง ตัดในตำแหน่งกิ่งสุดท้าย           9.3.2.การตัดต่ำ ตัดให้ต่ำจากจุดกำเนิดของกิ่งสุดท้าย                          การตัดกิ่งควรตัดกิ่งเหนือตาประมาณ 1/4 นิ้ว ทำมุม 45 องศาเฉียงลง                          อย่างที่เรียนให้ทราบไว้แล้วว่ามีหลายวิธี และแต่ละวิธีเป็นเท็คนิคควบคู่ไปกับการให้น้ำและปุ๊ย ซึ่งมันยุ่งยากซับซ้อน ผมจึงขออนุญาติไม่อธิบายชี้แจงให้ทราบครับ  ไม่ใช่หวงวิชาครับ แต่พวกมือใหม่ยังไม่สมควรรู้ครับ ไว้เป็นมือเก่าที่สามารถจะวิเคราะห์ความสมบูรณ์ของต้นกุหลาบได้อย่างแม่นยำแล้วค่อยถามมาครับ จะอธิบายให้ฟัง           9.3.4. เอาเป็นเมื่อเป็นมือใหม่ควรตัดแต่งกิ่งอย่างไรดีกว่าครับ การดูแลกุหลาบระยะแรกหลังปลูก           กิ่งกระโดงที่ออกมาบริเวณโคนต้นต้องตัดทิ้งให้หมดอย่าให้เหลือครับ เพราะกิ่งประเภทนี้มักไม่ให้ดอก หรือ ถ้าให้ดอกก็จะชูสูงออกมาเป็นกิ่งไขว้ ทำให้พุ่มใบรกทึบ           แต่งทรงพุ่มให้โปร่งเข้าไว้ครับ เพื่อให้ใบทุกใบได้รับแสงได้เพียงพอ กิ่งไหนที่ไม่ต้องการต้องตัดชิดถึงลำต้นเลยเพื่อไม่ให้งอกขึ้นมาอีก โปร่งขนาดไหนก็โปร่งขนาดตอนเที่ยงแดดส่องทะลุได้ถึงดินโคนต้นครับ เพราะแสงที่กระทบโคนต้นกุหลาบจะช่วยกระตุ้นให้เกิดกิ่งกระโดงอีกด้วย           ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือนแรกของการปลูก ถือเป็นระยะสร้างทรงพุ่ม เมื่อตากุหลาบเริ่มแตก ควรส่งเสริมให้มีการเจริญทางใบ เพื่อการสะสมอาหาร และสร้างกิ่งกระโดง เพื่อให้ได้ดอกที่มีขนาดใหญ่ และก้านยาว ซึ่งทำได้ด้วยการเด็ดยอดโดยเด็ดส่วนเหนือใบสมบูรณ์ (5 ใบย่อย) ใบที่สองจากยอด เมื่อดอกมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วลันเตา หลังจากนั้นกิ่งกระโดงจะเริ่มแทงออก ซึ่งกิ่งกระโดงนี้จะเป็นโครงสร้างหลักให้ต้นกุหลาบ ที่ให้ดอกมีคุณภาพดี  ช่วงนี้เราไม่ต้องการให้มีดอกต้องการให้มันสะสมอาหาร และต้องการให้มันมีกิ่งกระโดง เพื่อที่จะบังคับทรงพุ่มครับ และกะระยะเวลาให้ออกดอกมาพร้อมกัน ระยะสร้างทรงพุ่ม ช่วงนี้ใช้ปุ๊ย สุตร N:P:K   1 : 0.58 : 0.83 นะครับ สังเกตความสมบูรณ์ของต้นโดยการดูใบที่สมบูรณ์เขียวอมเหลือง และกิ่งที่อวบอ้วนออกขาวนวล ถ้าได้ก็เริ่มปล่อยให้มันออกดอกได้แล้วครับ โดยการตัดแต่งกิ่งโดยการตัดต่ำ* แล้วให้สูตร N:P:K = 1: 0.8 : 0.9 อาทิตย์ ละ 1-2 ครั้ง  .................................................... จนกระทั่ง                         1. เมื่อเริ่มเห็นตาดอก (ขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว)ลดความถี่ของการให้น้ำลงเรื่อยๆจนกว่าดอกทุกดอกจะบานเต็มที่ (เฉลี่ยส่วนใหญ่ประมาณ 3 สัปดาห์ ) แต่ยังมีการให้ปุ๋ยเร่งดอกทางใบชนิดที่มีที่มี Phosphorus สูง Nitrogen ต่ำ ปุ๊ยที่ให้ในระยะให้ดอกนี้ ใช้ สูตร  N:P:K 1 : 0.5 : 0.78  ในอัตราที่เจือจาง อาทิตย์ ละ 1-2 ครั้ง พอดอกเริ่มบานก็ให้ ฮอร์โมนเร่งดอกขั้วเหนียว  จะทำให้ออกดอกและขั้วเหนียว เช่น ฟ้าลั่น, เนฟทอล, แพลนโนฟิกซ์, มาลีน่า และ ปุ๊ยรองพวก แคลเซียมและโบลอน ซึ่งทำให้ก้านดอกแข็ง กลีบดอกหนา พัฒนาสีดอกเข้ม จะทำให้ดอกติดต้นอยู่นาน สัก 1 ครั้งครับ                         2.เมื่อดอกบานเต็มที่แล้ว  งดให้น้ำ 1 สัปดาห์                           3. วันสุดท้ายของการงดน้ำให้ตัดแต่งครั้งที่ 1 โดยตัดต่ำ*และให้อยู่ในระดับเดียวกัน (แต่งทรงพุ่ม)                         4. จากนั้นให้น้ำเต็มที่ทุกวันโดยงดให้ปุ๋ย สัก4-5 วัน จึงเริ่มให้และน้ำและปุ๋ยไปตามปกติ  ปุ๊ยที่ให้ในระยะสร้างทรงพุ่มนี้ ใช้ สูตร N:P:K   1 : 0.58 : 0.83  อาทิตย์ ละ 1-2 ครั้ง                         5. ตัดแต่งครั้งที่สองโดยการตัดต่ำ* ส่วนจะตัดเมื่อไร ดูจากระยะเวลาช่วงการสะสมอาหารของมันโดยคำนวณเวลาให้เหลือเท่ากับจำนวนวันที่กุหลาบจะให้ดอกพร้อมตัดหลังวันตัดดอกเก่า ปุ๊ยที่ให้ในระยะตัดแต่งกิ่งนี้ ใช้ สูตร N:P:K = 1: 0.8 : 0.9 อาทิตย์ ละ 1-2 ครั้ง จนกระทั้งเริ่มเห็นตาดอก                         6.ก็เริ่มที่ขั้นตอนที่ 1.ใหม่ ทำอย่างนี้เรื่อยไปเป็นวัฎจักร์ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 14 ส.ค. 48 09:22:21 ]

ความคิดเห็นที่ 20 10. การดูแลทั่วไป                       10.1.ตรวจดูและหมั่นสังเกตสภาพทั่วไปของกระถาง ดิน โคนลำต้น กิ่ง ใบ ดอก ไปตามปกติธรรมดา เพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของทุกส่วนในการเลี้ยงดู และรอยพยาธิสภาพที่ปรากฎอยู่ถ้ามี และบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับต้นกุหลาบ อาทิ สภาพต้นไม่สวย,  มีไรและเพลี้ยลงหรือไม่ ต้องวินิจฉัยโรคและแมลงเป็น มีโรคกุหลาบบางโรคที่มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วมาก เช่น โรคราน้ำค้าง ..... ฯลฯ                       10.2.การป้องกันหนอนแมลง ธรรมดาไม่มากวนอยู่แล้วครับ เพราะฟูริดานที่คุณลองก้นหลุมคุมอยู่ครับ                               ถ้าเรื่องมดไม่ต้องเป็นห่วงครับ ใช้ช็อคกันแมลงขีดรอบโคนต้น วันเดียวก็เผ่นหนีหมดแล้ว                               ถ้าเป็นหนอนก็ใช้เข็มหรือคีมหยิบออกไปครับ                                แมลงที่มากวนมี 2 กลุ่มคือ ประเภทปากกัด และ ประเภทดูดน้ำเลี้ยง                                             แมลงประเภทปากกัด อาทิเช่น ตั๊กแตน หนอนผีเสื้อ ด้วง ฯลฯ ทำลายโดยกัดกินใบส่วนใหญ่จะมากวนตอนหัวค่ำ ก็ใช้ยาฆ่าแมลงประเภทถูกตัวตาย อาทิเช่น เซฟวิน ดีดีที ....... ฯลฯ ผสมกับน้ำยาจับใบ หรือพวกน้ำสกัดสะเดาก็พอแก่การณ์แล้วครับ ส่วนขนาดที่ใช้หรือเทคนิกการใช้ก็ดูตามสลากยาครับ หรือ ถ้าเลี้ยงไม่กี่ต้น ก็พวกยาฉีดยุงที่คุณใช้พ่นบางให้ถูกตัวแมลง เท่านี้ก็หายไปหลายวัน                                             แมลงประเภทดูดน้ำเลี้ยง  อาทิเช่น  เพลี้ยแป้ง เพลี้ยจั๊กจั่น เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน แมงมุมแดง เพลี้ยหอย ฯลฯ โดยมากต้องเลือกใช้ยาให้ถูกต้องกับแมลงที่ต้องการกำจัดครับ                       10.3.การป้องกันเชื้อโรคและหรือเชื้อรา ธรรมดาถ้าทำตามที่แนะนำและเลี้ยงน้อยต้นมีเวลาดูแลก็ไมจำเป็น แต่ถ้าต้องการใช้จะใช้ตัวไหนก็ตามถนัดครับ โดยขนาดที่ใช้หรือเทคนิกการใช้ก็ดูตามสลากยาครับ       11. การขยายพันธุ์ด้วยการติดตา ตอน กิ่งปักชำ เมล็ด และแยกหน่อ ที่นิยมมากคือการติดตาเพราะสามารถใช้ต้นตอเป็นกุหลาบป่าที่มีระบบรากแข็งแรงและทนโรค ดอกที่ได้มีคุณภาพตามที่ต้องการไม่แตกต่าง       12.  โรคและศตรูของกุหลาบ                         ตามธรรมชาติ เป็นไม้ที่โตง่ายตายยากและแข็งแรงมาก แต่สาเหตที่ปัจจุปันเป็นต้นไม้เลี้ยงยาก โรคกวนมากและโทรมเร็วเนื่องมาจากพันธ์ที่เอามาปลูกเป็นกุหลาบลูกผสมซึ่งได้จากการผสมพันธุ์ไขว้สายพันธ์จึงเป็นแหล่งสะสมของยีนเด่นและยีนด้อยในตัวมันเองทำให้เปราะบางไม่ทนทานต่อโรคและแมลง และผลจากการดูแลที่มากเกินสมควรจากทั้งชาวสวนและผู้เลี้ยงรายย่อย ต้องตัดปัจจัยการดูแลที่มากเกินสมควร จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 14 ส.ค. 48 09:23:29 ]

ความคิดเห็นที่ 21 พยาธิสภาพและอาการแสดงที่พบในกุหลาบเพื่อเป็นสมมุติฐานเบื้องต้นในการวิจัยโรค คือ                         แต่ถ้าได้รับธาตุอาหารมากเกินไปก็อาจทำให้ต้นไม้ตายได้ เนื่องจากเกิดปฏิกิริยา plasmolysis ทำให้ต้นพืชสูญเสียน้ำออกมา จึงทำให้ต้นเหี่ยวตายได                         ดอกถูกตัวหนอนเจาะมุดเข้าไปกัดกินอยู่ภายใน -หนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ่าย                         ดอกบิดเบี้ยวเสียรูปทรง ดอกไม่บาน-เพลี้ยไฟ                         ดอกหงิกงอเป็นคลื่น ดอกเหี่ยวแห้ง-เพลี้ยอ่อนกุหลาบ                         ดอกตูมจะเป็นจุดสีน้ำตาล และลามขยายใหญ่และเน่าแห้ง -  โรคราสีเทา                         ใบถูกกัดกินจนพรุน จากพวกหนอนปลอกเล็ก หนอนกินใบริทิส หนอนเขียวหวาน                         ใบถูกกัดกินจนพรุน หรือเว้าแหว่งทั้งต้น ทำให้ต้นโทรมหรือตาย-ด้วงกุหลาบ                         ใบกุหลาบบิดเบี้ยวเป็นคลื่น มีรอยสีน้ำตาล ดำ และแห้งตาย-เพลี้ยไฟ                         ใบอ่อน ยอดอ่อน เป็นคลื่น พบมดมากินน้ำหวานที่เพลี้ยคายออกมา และเกิดราดำ-เพลี้ยอ่อน                         ใบถูกกัดแทะผิวใบทำให้ใบเป็นรู เว้าแหว่ง-หนอนกระทู้ผัก                         ใบอ่อนมีผงสีขาวคล้ายผงแป้งเกาะอยู่บนผิวใบทั้งด้านบนและด้านหลังใบ แต่ส่วนมากจะเป็นที่หลังใบ ทำให้พอง บิดงอ - โรคราแป้ง                         ใบหรือส่วนอื่น ๆ  มีผงคล้ายเขม่าดำคลุมผิวใบ เมื่อใช้มือลูบจะหลุดออก- เชื่อรา(เขม่า)ดำ                         ใบเเริ่มเป็นแผลจุดวงกลมขนาดเล็กสีดำขอบแผลไม่เรียบมีสีเหลืองจางถึงเข้มล้อมรอบในขณะที่ตรงกลางแผลจะมีสีน้ำตาลอมม่วงหรือม่วงเข้มจนเกือบดำเกิดกับใบล่าง ๆ ของกุหลาบ แล้วจึงลุกลามขึ้นไปที่ยอด-โรคใบจุดสีดำ                         ใบเป็นจุดดวงสีเทาอ่อนปนเขียวขนาด 3-10 มม.แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงคล้ายสนิม-โรคจุดสนิม                         ใบเป็นแผลขนาดเล็ก สีสนิมโผล่เป็นตุ่มออกมาจากใบพืช ลักษณะคล้าย ๆ กับสีสนิมเหล็ก เมื่อเอามือลูบดูจะมีสปอร์ของเชื้อราติดมือเป็นสีสนิมเห็นได้ชัด -  โรคราสนิมเหล็ก                        ใบมีจุดสีเหลืองบนใบ แผลจะขยายออกเป็นเหลี่ยมในระหว่างเส้นใบ ไปตามความยาวของใบ พบผงสปอร์สีขาวเป็นจำนวนมากบริเวณใต้ใบ - โรคราน้ำค้าง                         ใบเป็นจุดสีเขียวหม่นลักษณะช้ำหรือไหม้ ขยายเป็นแผลขนาดใหญ่จนเน่าและแห้ง-โรคใบไหม้                        ใบด่างซีดเหลือง หรือด่างเป็นซิกแซก ใบมักมีรูปร่างผิดปกติ  - โรคใบด่างจากเชื้อไวรัส                        ใบตามแนวเส้นกลางใบ เห็นใบเกิดจุดสีซีด ๆคราบไรเป็นสีขาวเกาะ  เส้นใบเป็นสีดำใบเหลืองซีด ม้วนงอ และร่วง ตาลีบ พลิกหลังใบ เห็นจุดสีน้ำตาลแห้งของตัวไรชักใยดูดกินน้ำเลี้ยงบนหลังใบ- ไรแดง                        ยอดจะแตกเป็นพุ่มฝอย โดยมีใบเล็ก ๆ รวมกันเป็นกระจุก  โรคแตกพุ่มฝอยจากเชื้อมายโคพลาสมา                        กิ่งเหนือตาแห้งจนเป็นสีดำและแห้งตาย ลามไปเรื่อยๆ - เชื้อรา                        โคนต้น กิ่งหรือรากบริเวณที่เป็นโรคจะมีสีของเปลือกเข้ม คล้ายถูกน้ำเป็นวงหรือเป็นทางไหลลงด้านล่าง หรือเป็นหยดน้ำตรง บริเวณแผลที่มีสีน้ำตาลปนแดง หรือมีรอยแตกของแผลและมีน้ำยาง-เชื้อราโรครากเน่า                        ลำต้นหรือกิ่งมีจุดคล้ายหัวเข็มหมุด สีน้ำตาล แข็งเหมือนเปลือกหอย - เพลี้ยหอย                        ลำต้นหรือกิ่งจะเห็นจุดขนาดเล็ก สีน้ำตาลแล้วเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำเข้มในขณะที่ขนาดของแผล เริ่มลามขยายออกเมื่อเป็นโรคมากๆ กลางแผลจะมีสีขาวปนดำ เชื้อรามีลักษณะเรียงเป็นวงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ค่อนข้างชัดเจน - เชื้อราแอนแทรคโนส                        ลำต้น ราก กิ่ง และใบของพืช  เน่าเละสีน้ำตาลอ่อน มีกลิ่นเหม็นรุนแรง - โรคเน่าเละจากเชื้อแบคทีเรีย                        ต้นกุหลาบจะแสดงอาการเหี่ยวเฉาในลักษณะต่าง ๆ กัน                                   อาการเหี่ยวใบเหลืองลู่เนื่องจากเชื้อราไปทำลายท่อน้ำและอาหารของพืช                                   อาการเหี่ยวแต่ใบยังเขียวอยู่ระยะหนึ่ง จากเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด                       ต้นกุหลาบเติบโตผิดปกติ โดยต้นที่เป็นโรคจะยืดสูงกว่าต้นปกติ สีเขียวอ่อนและไม่ออกดอก อาจเกิดเนื่องจากได้รับฮอร์โมนที่ผิดปกติ หรือต้นพืชที่ได้รับปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไปก็จะทำให้เฝือใบ ไม่ออกดอก                        ต้นกุหลาบแคระแกร็นและมีอาการร่วมในลักษณะต่าง ๆ กัน                                 มีไส้เดือนฝอยหรือแมลงกัดทำลายราก หรือมีเชื้อโรคบางชนิด เช่น ไวรัสเข้าทำลาย                               ต้นโตช้า ลำต้นมียอดสั้น ยอดน้อย ขนาดยอดเล็กลง ข้อปล้องสั้นลง ทำให้ระยะการแตกยอดสั้นลง  ใบโตช้า ใบขนาดเล็ก แผ่นใบมีสีเขียวจางแล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีซีดเหลืองทั่วทั้งต้น และใบร่วง เริ่มจากใบล่างก่อน  โดยเฉพาะ ใบแก่ที่อยู่ตอนล่างของต้นพืช ดอกและส่วนที่สะสมอาหารมีขนาดเล็กลง-ขาดธาตุไนโตรเจน                                             ไนโตรเจน เป็นธาตุที่สำคัญขบวนการเจริญเติบโต และการสร้างสารที่สำคัญในพืช เช่น คลอโรฟิล ฮอร์โมนนิวคลีโอไทด์ ไวตามิน ฯลฯ                                ต้นโตช้า ลำต้นอ่อน ผอมสูง การเจริญเติบโตของต้นหยุดชะงัก ใบร่วงและกิ่งตาย การเจริญของรากช้าลง แผ่นใบด้านไม่สะท้อนแสง ขนาดใบเล็กกว่าปกติ มีสีเขียวเข้ม มีสีม่วงแดงบนเส้นใบจะเห็นเด่นชัดทางด้านใต้ใบ โดยเฉพาะบริเวณใบล่าง ๆ  ใบมีไฟเบอร์มากทำให้ใบหยาบแข็ง - ขาดธาตุฟอสฟอรัส                                            ฟอสฟอรัสเป็นธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตมีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบรากทำให้รากแข็งแรง ฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ดี พบได้มากในส่วนยอดอ่อนและใบอ่อน                                            การขาดอลูมิเนียม ก็ทำให้เกิดอาการนี้ได้ เพราะอลูมิเนียม มีความสำคัญในขบวนการช่วยลำเลียงธาตุฟอสฟอรัสของต้น ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของต้น                              ต้นโตช้า ลำต้นลีบเล็ก ยอดก็ไม่เจริญเติบโต กิ่งและยอดอ่อนมีน้อย  มีการแทงยอดน้อยลง ทำให้ไม่ตอบสนองต่อการตัดแต่งกิ่ง  สลดเหี่ยวง่าย สีของใบเปลี่ยนเป็นสีแดง  ใบจะแห้งเป็นมันมีจุดสีน้ำตาลอยู่ทั่วไป  ขอบใบจะม้วนขึ้น ปลายใบและขอบใบแห้งมีสีน้ำตาลคล้ายเป็นรอยไหม้ตามขอบใบพบเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะใบที่อยู่ส่วนล่างของต้นพืชจะซีดเหลืองลง ใบร่วงมาก ผลผลิตของดอกลดลง - ขาดธาตุโพแทสเซียม                                           โพแทสเซียมมีบทบาทในการสร้างโครงสร้างที่แข็งแรงให้กับทุกส่วนของต้น การควบคุมน้ำในเซลล์ การแบ่งเซลล็ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพที่อุณหภูมิต่ำและช่วงแล้งนาน                            ต้นมีขนาดเล็กลง เปราะหักง่าย จำนวนใบอ่อนไม่ลด แต่สีใบผิดปกติจากเวลาที่ควรเป็น โดยใบมีสีซีดเหลืองเป็นรูปตัววีหัวกลับ ขอบใบม้วนขึ้น จะพบจุดประสีเหลืองอยู่ที่แผ่นใบตรงขอบจะมีจุดสีน้ำตาล ปลายใบจะแห้งเป็นสีน้ำตาล ใบแก่เหลืองและเกิดจุดสีน้ำตาลในระหว่างเส้นใบและขยายใหญ่ขึ้น  ทั้งที่เป็นใบแก่หรือใบที่อยู่ทางตอนล่างของลำต้น  - ขาดธาตุแมกนีเซียม                               ลำต้นจะอ่อน โตช้ามีขนาดเล็กลง  ยอดอ่อนมักมีอาการม้วนงอ ตายอดแห้งตาย ใบอ่อนเกิดเป็นสีซีดจางบริเวณขอบใบจะเกิดสีน้ำตาลในเวลาต่อมา  แสดงอาการบิดงอม้วนขอบใบฉีก   ใบแก่มีสภาพกรอบเปราะ แผ่นใบเป็นเหลืองมีจุดประสีขาวอยู่บนส่วนยอดดูคล้ายอาการยอดล่าง บางทีขอบใบก็หยิกเป็นคลื่น ทำให้ชะงักการเจริญเติบโต มีรากน้อย  - ขาดธาตุแคลเซียม  แคลเซียม จะมีส่วนในการสร้างผนังเซลล์ซึ่งธาตุอื่นไม่สามารถทดแทนได้ตัวมัน                                       แต่ถ้าได้รับแคลเซียมมากเกินไปจะทำให้อัตราการเจริญเติบโตลดลง ใบอ่อนเกิดเป็นสีเหลือง ใบม้วนเข้าด้านใน ทำให้ทรงพุ่มมีใบลดลง ขอบและปลายใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำแล้วร่วงในที่สุด                            ลำต้นและใบรูปร่างผิดปกติ เปลือกต้น ลำต้น และรากแตกง่าย แสดงอาการแผลแตก บางครั้งเป็นรูกลวง    ทำให้ก้านใบอ่อนแตกและหัก ใบบิดงอ  การสร้างดอกและผลผิดปกติ  และทำให้ตายได้   เพราะโบรอนทำให้เกิดขบวนการเมตตาโบลิซึม - ขาดธาตุโบรอน  การขาดธาตุจะมีมากในดินเหนียวหรือช่วงฤดูแล้ง                            ต้นมีขนาดเล็กลง อัตราการเจริญเติบโตลดลง ยอดใหม่มีขนาดเล็กลง ปล้องสั้นลง  ใบอ่อนมีสีซีดเหลืองทั่วทั้งใบแต่เส้นใบยังมีสีเขียว - ขาดธาตุกำมะถัน                            ใบอ่อนมีสีซีดเหลืองแต่เส้นใบยังคงมีสีเขียว บริเวณขอบใบจะมีสีน้ำตาลไหม้ - ขาดธาตุเหล็ก เพราะ  การขาดธาตุเหล็กจะมีผลต่อการสร้างคอลโรฟิล                           ต้นมีขนาดเล็กลง ชะงักการเจริญเติบโตอาการจะทำให้ปล้องสั้นลง  ยอดโค้งงอเป็นรูปเคียว ใบเปลี่ยนสีเป็นด่างเหลืองระหว่างเส้นใบ ใบมีขนาดเล็กเกิดเป็นกระจุก - ขาดธาตุสังกะสี                           ใบแก่จะกรอบเปราะขอบใบจะมีสีเหลืองและมีจุดสีน้ำตาลบนใบ-ขาดแมงกานีส จะพบในดินกรดมาก                           ใบหลุดร่วงลงเร็วกว่าปกติ ทั้งๆที่ยังไม่แก่ - ขาดทองแดง พยุงรักษาใบไว้ได้          ส่วนวิธีการรักษาเอาไว้เมื่อมีปัญหา ก็ตั้งกระทู้ถามผู้รู้ที่เว๊ปนี้แล้วกันครับ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 14 ส.ค. 48 09:30:18 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ทำตามที่คนมีความรู้งูๆปลาๆอย่างผมแนะนำเพียงเท่านี้ก็ถือว่าคุณมีพอมีความรู้เล็กๆน้อยเกี่ยวกับการเลี้ยงกุหลาบแล้วครับ และมีกุหลาบให้ดูทั้งปี อย่างสบายใจไร้โรคาพยาธิมาเบียดเบียน ต่อไปคุณก็ค่อยๆทยอยซื้อเข้ามาสะสมปลูกเพิ่มเติมเอาเองนะครับ                        การเลี้ยงกุหลาบยังมีเทคนิคชั้นสูง อาทิเช่น การบังคับดอกให้ออกตรงตามวันและเวลาที่เราต้องการ การกำหนดตำแหน่งที่ออกดอกบนกิ่งแต่ละกิ่ง การบังคับให้เป็นดอกเดี่ยวก้านยาว ตำแหน่งการติดตาเพื่อให้เป็นกุหลายต้นเดียวแต่หลากสี การบังคับทรงพุ่ม การกำหนดเวลาการออกดอกให้มีดอกทุกวันตลอดปี .....ฯลฯ ซึ่งเท็คนิคเหล่านี้ ผมพอรู้บ้างเล็กน้อยครับ แต่ถ้าลงถึงระดับนี้ ต้องมีความรู้พื้นฐานถึงระดับ  Botanic biology  ถึงระดับ Anatomy,Angiosperm &  Cell Types Structure ตลอดจนถึง Function  เพื่อจะได้เข้าใจถึงเหตผลของการกระทำ เพราะเรื่องของพืชเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ซึ่งต้องอธิบายถึงเหตผลที่มาที่ไปของมันได้ครับ เพื่อจะให้คุณพัฒนาขึ้นเป็น Good horticulturist ซึ่งไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับปัญญาชนคนเล่นเน๊ตครับ                       ขออวยพรให้โชคดีมีความสุขกับการเลี้ยงกุหลาบตามที่ใจปราถนาครับ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 14 ส.ค. 48 09:32:15 ]

ความคิดเห็นที่ 23 กุหลาบ           กุหลาบรุ่นเก่า  อาทิเช่น กุหลาบมอญ, จุฬาลงกรณ์และกุหลาบอังกฤษ ยังพบอยู่บ้างแต่ไม่มาก           กุหลาบรุ่นใหม่ ( Modern Roses ) ซึ่งสวนใหญ่เป็นลูกผสม จะแบ่งเป็น                                  กุหลาบตัดดอก (cut-roses)                                  กุหลาบประดับสวน (garden-roses)                       พอฝีมืออยู่ตัวก็เริ่มมาปลูกพวกลูกผสม เพื่อทดสอบฝีมือการเลี้ยงครับ พันธุ์ลูกผสมที่ใช้นิยมปลูก                       พันธุ์ดอกสีแดง ได้แก่ คริสเตียนดิออร์ สวาทมอร์ สคาร์เลทไนท์  เวก้า วีซ่า  โรเท โรเซ  คารล์ เรด เฟิร์สเรด  แกรนด์ กาลา ซาช่า เมอร์ซิเดส เกเบรียล  โมเทรีย นิกิต้า แบล็กเมจิก           พันธุ์ดอกสีชมพู ได้แก่ เบลแองจ์ ควีนอลิซาเบท มีสออลอเมริกันบิวตี้  โซเนีย โพรฟิตา  โนเบลส  คิสส์ เซอไพรซ์ เอวีลีน เดียดีม           พันธุ์ดอกสีแสด ได้แก่ ซุปเปอร์สตาร์ ธัญญา โบเต้ ซาฟารี  แลมบาด้า           พันธุ์ดอกสีเหลือง ได้แก่ คิงส์แรนซัม โกลเด้นมาสเตอพิส โบเต้ กลาย  โกลเด้นทาม  ฟริสโก           พันธุ์ดอกสีขาว ได้แก่ ไวส์คริสมาส มิสตี้เมอร์ แบลนช์ มาลลิริน บิอังกา  เอสกิโม           พันธุ์ดอกสีม่วง ได้แก่ บูลมูน  ซูวีเนีย           พันธุ์ดอกที่มีสีของกลีบดอกเปลี่ยนไปตามอายุการบานดอก ในช่วงหนึ่งจะมีหลายสีเพราะบานดอกไม่พร้อมกัน ส่วนมากจะเป็นกุหลาบพวง เช่น พันธุ์ Sambra หรือ Charleston           พันธุ์ดอกที่มีสีของกลีบดอก 2 สี คือ กลีบด้านในสีหนึ่ง ด้านนอกอีกสีหนึ่ง เช่น พันธุ์ Forty Niner           พันธุ์ดอกที่มีสีของกลีบดอกด้านในมากกว่า 2 สีขึ้นไป เช่น พันธุ์ Monte Carlo           พันธุ์ดอกที่มีกลีบดอกในแต่ละกลีบมีสีมากกว่า 2 สีขึ้นไป ส่วนใหญ่มักเกิดเป็นสีสลับกันเป็นเส้นตามความยาวของกลีบดอก เช่น พันธุ์ Candy Stripe จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 14 ส.ค. 48 09:33:48 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ปัญหาของการปลูกกุหลาบไม่เกี่ยวกับเรื่องอุณหภูมิเท่าไรครับ การปลูกต้องปลูกในที่อากาศหนาวแบบทางเหนือถึงจะได้ดอกโตก็ไม่จริงครับ ในสภาพภูมิกากาศใดเราก็สามารถปลูกกุหลาบให้ดอกโตใหญ่เท่าทางเหนือเขาปลูกครับ ขอเพียงเราคุมความชื้นในอากาศและในดินได้ต้องตามวิสัยของมันเท่านั้นก็พอครับ ความชื้นในดินคุมง่ายเพราะอยู่ที่การให้น้ำมันครับ แต่ความชื้นในอากาศต้องปลูกในตำแหน่งที่โดนแดดเต็มที่แต่อับลมเท่านั้นครับ ตัวนี้แหละครับที่ว่าทำไมบางคนปลูกกุหลาบได้งามโดยอธิบายไม่ได้ แต่บางคนนอนเฝ้าใต้ต้นโด๊ปเต็มที่มันก็เฉยๆครับ อ้อลืมเรียนไปนะครับว่า กุหลาบเราจะแต่งให้ตัดให้มีเพียงกิ่งกระโดงโครงสร้างและกิ่งกระโดงดอกชั้นเดียวเท่านั้นครับ การตัดแต่งทรงพุ่มต้องตัดถึงชั้นกิ่งกระโดงโครงสร้าง ปัญหาเรื่องกุหลาบเลื้อยของคุณป้ามด ก็ไม่ยากครับทำตามนี้         1.ได้พันธ์กุหลาบเลื้อยที่ต้องการแล้ว แนะนำให้ปลูกลงดินเลยนะครับ แล้วต้องนำมาเสริมรากเพิ่มด้วยตอกุหลาบป่าอีกสัก 2-3 รากด้วยนะครับ         2.เลือกกิ่งลำต้นหลักไว้เพียงกิ่งเดียวครับ                กิ่งกระโดงโครงสร้าง(กระโดงที่ออกจากลำต้น)ที่ไม่ต้องการ พองอกออกมามีใบแก่สมบูรณ์สัก 5-7 ใบ(อยู่ที่เรากำหนดให้กิ่งนั้นงอกเป็นกิ่งกระโดงดอกกี่ครั้งครับ) จะใช้วิธีหักพับลง(ไม่ใช่หักขาดนะครับ)แต่อย่าไปตัดนะครับ ถ้าตัดจะเกิด Stump reaction มีการส่งอาหารและน้ำมาบริเวณนั้นมากกว่าปกติเพื่อเป็นการรักษาตัวเอง เป็นการกระตุ้น Cambium tissues ให้แตกออกมาเป็นกิ่งย่อย                กิ่งกระโดงดอกที่งอกออกมาจากกิ่งกระโดงโครงสร้างที่เราพับ พองอกขึ้นมาสัก 5-6 ใบอ่อนก็จะเริ่มมีความเหนียวพอให้พับ...ก็พับซะนะครับ อย่าพับเร็วกว่านี้กิ่งจะเปราะหักครับ                อย่าให้กิ่งลำต้นโดนแสง เพราะเป็นการกระตุ้นให้เกิดกิ่งกระโดงจากลำต้นแทงขึ้นมา ก็กิ่งกระโดงที่เราพับมาใบมันจะบังลำต้นเอง                ทำลักษณะนี้ ลำต้นจะมีการเจริญเติบโตได้ทางยาว ใช้เวลาแค่ 1 ปีหรือฝนที่ 2 ก็จะงอกออกมายาว 3-5 เมตร ตามแต่สายพันธ์แล้วครับ ภายใต้การเลี้ยงโดยใช้ปุ๊ยสูตรเสมอธรรมดา โดยไม่เร่งมาก         3.พอได้ความยาวที่ต้องการแล้วเราก็เริ่มดัดเข้ารูปตามร้านที่เราต้องการ แล้วก็เริ่มเข้าขบวนการตามข้อ 9.3.4. ได้เลยครับ                ใช้เวลาไม่เกินปีครึ่งก็ได้รูปอย่างที่เห็นแล้วครับ ส่วนการดูแลต่อไปก็ตามปกติธรรมดาครับ ลองทำดูครับ ปัญหาส่วนใหญ่ของกุหลาบพวกนี้นอกจากแมลงแล้วก็มีปัญหาการขาดปุ๊ยธาตุรอง และเน้นปุ๊ยพวกแคลเซียมและโบลอนพิเศษเดือนละครั้งครับ และต้องอ่านอาการการขาดปุ๊ยธาตุรองให้เป็นครับ         แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 48 11:02:26 จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 14 ส.ค. 48 10:03:45 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณคุณวเนจรฯ ซึ่งป้ามดไม่รู้จักว่าเป็นใครมาจากไหน แต่เห็นคุณเต็มใจที่จะตอบถ้ามีคนถาม (จากกระทู้ที่ลิ้งค์มา) จึงมาตั้งกระทู้ขึ้น กลัวคุณจะไม่เข้ามาจึงหลังไมค์ไปเรียก คิดว่าคงจะเป็นกระทู้ที่สมบูรณ์แบบ สำหรับกุหลาบนะคะ ชาวห้องต้นไม้คงจะชื่นชมกระทู้ที่มีประโยชน์แบบนี้ จากคุณ : ป้ามด - [ 14 ส.ค. 48 14:19:51 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เยี่ยมยอดเลยค่ะคุณ วเนจรป่าคอนกรีต ตอบได้ชัดเจนเห็นภาพเป็นฉาก ๆ เลยค่ะ ปกตอจะไม่ค่อยพิมพ์ออกมาอ่านนะคะ แต่กระทู้นี้ขอพิมพ์ออกมาเพื่อปฎิบัติการล่ะค่ะ ขอบคุณ 100 ครั้งค่ะ  มาทักป้ามดด้วยนะคะ เห็นกระทู้นึกว่าป้ามดจะมาสอนปลูกกุหลาบค่ะ แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 48 14:57:24 จากคุณ : น้านก (Aunti-นก) - [ 14 ส.ค. 48 14:42:10 ]

ความคิดเห็นที่ 27 โอ้ พระเจ้าช่วยกล้วยอบน้ำผึ้งทอดกรอบ!!!! ทำไมเก่งจาง....(อ่านไม่หมดหรอก เก็บไว้ในคลังละกัน ว่างๆจะไปอ่าน) ป้ามดเรียกมาเป็นฝ่าย prop ค่ะ เอาไปเล้ย เอาปาย.... จากคุณ : ๐๒๖ (ศูนย์สองหก) - [ 14 ส.ค. 48 14:45:53 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ชมพู จากคุณ : ๐๒๖ (ศูนย์สองหก) - [ 14 ส.ค. 48 14:47:53 ]

ความคิดเห็นที่ 29 แดง จากคุณ : ๐๒๖ (ศูนย์สองหก) - [ 14 ส.ค. 48 14:49:08 ]

ความคิดเห็นที่ 30 -มาเก็บด้วยครับ จากคุณ : ด้วงแว่น - [ 14 ส.ค. 48 18:20:09 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ตามคุงคูด้วงมาค่ะ ขอบคุงค่ะ (ข้อมูลเพียบๆมากๆเลยค่า) จากคุณ : เจ้าเอ๋ย - [ 14 ส.ค. 48 21:58:40 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขออนุญาตเก็บเกี่ยวข้อมูลดีๆแบบนี้เอาไปใช้ประโยชน์ต่อไปด้วยคนค่ะ จากคุณ : yupee22 - [ 14 ส.ค. 48 22:56:24 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อ่านกันตาแฉะ ได้ข้อมูลอย่างนี้แล้วเลี้ยงกุหลาบไม่งาม ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วใช่ไหมคะ กราบงามๆขอบพระคุณอ.คะ จากคุณ : สายเดี่ยว โจงกระเบน - [ 14 ส.ค. 48 23:51:52 ]

ความคิดเห็นที่ 34 โห ป้ามดได้เต็มๆเลยครับ เฮ้อ อ่านจบแล้วครับ คุ้มค่าจริงๆ ขอบคุณคุณวเนจรมากๆครับ ขอเก็บไว้ในแฟ้มเลยครับ จากคุณ : เถื่อนดิบ - [ 15 ส.ค. 48 07:23:45 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูลดีๆเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะมือใหม่หัดเลี้ยงอย่างป้าแจ๋ว จากคุณ : ป้าแจ๋วแหวว (ป้าแจ๋วแหวว) - [ 15 ส.ค. 48 09:15:53 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณมากเลยค่ะ  จะไปบอกแม่ให้ลองดูนะค่ะ (แม่ชอบกุหลาบมากค่ะ) จากคุณ : Montela_Hoya - [ 15 ส.ค. 48 11:06:16 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ตามมาขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆด้วยคนครับ ขอบคุณทั้งคุณป้ามด และคุณเวนจรฯครับ จากคุณ : เงือกลม - [ 15 ส.ค. 48 11:45:34 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณป้ามดค่ะที่ตั้งกระทู้ดีๆ ขอบคุณคุณวเนจรฯที่กรุณาให้ความรู้ค่ะ จากคุณ : พี่หนูก๊าบ - [ 15 ส.ค. 48 16:39:29 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ว้าว สาระทั้งนั้น ขอเซฟไว้อ่านต่อนะครับ จากคุณ : กาฝากไร้ใบ - [ 15 ส.ค. 48 18:12:34 ]

ความคิดเห็นที่ 40 สวัสดีคะป้ามดขา มาช้าไปหน่อยนะคะ วันนี้เพิ่งเอากุหลาบลงสวนคะ เอถ่ายภาพดอกไม้ที่แย่ที่สุด ก็ครือ กุหลาบ นี่แหละ เขาสวยจนหามุมที่ถ่ายทอดได้ยากมากคะ อิอิ.......กุหลาบเหมาะกะคนอินเลิฟ..... . ดอกนี้คงพอไหวนะคะ . จากคุณ : เอ-Areeya - [ 16 ส.ค. 48 18:51:36 ]

ความคิดเห็นที่ 41 กุหลาบที่บ้านเลี้ยงแบบลูกทุ่ง อากาศดี ปุ๋ยถึง แต่ยังไม่ถูกหลักวิชาการเท่าไหร่ กุหลาบธรรมดาออกมาเป็นกุหลาบพวง  ก้านดอกไม่ยาว ถ้าเป็นไม้ตัดดอกราคาจะไม่ดี  อาจเป็นเพราะว่าริดกิ่งสั้นเกินไป หรือเร่งดอกมากเกินไป ขอทดลองอีก 2-3 เดือนแล้วจะมารายงานให้สมาชิกทราบค่ะ จากคุณ : น้านก (Aunti-นก) - [ 17 ส.ค. 48 15:01:56 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ละเอียดมากๆครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : นมถั่วเหลืองแท้ - [ 18 ส.ค. 48 14:08:17 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณๆ วเนจรป่าคอนกรีตเจ้าค่ะ ขอปริ๊นซ์เก็บข้อมูลไว้อ่านเลยนะเจ้าคะ จากคุณ : แม่หนูหน่อย - [ 19 ส.ค. 48 14:50:42 ]

ความคิดเห็นที่ 44 สุดยอดเลยค่ะ ไม่นึกว่าจะมีขั้นตอนมากแบบนี้ แต่คิดว่าทำได้ค่ะ เพราะอธิบายละเอียดมากเลยค่ะ ขอบคุณคุณวเนจรป่าคอนกรีตมากค่ะ และก็ป้ามดด้วยค่ะ จากคุณ : น้องปลาทู..น่า - [ 29 ส.ค. 48 20:20:08 A:61.91.140.240 X: ]