ความคิดเห็นที่ 1 พอรู้บ้างนิดหน่อยครับ ขอตอบ 1 ปลูกด้วยเมล็ดโตช้ามากไหมคะ แต่ชอบที่ต้นเค้าจะทนทานดี             โตช้าครับตามธรรมชาติของพวกไม้ Prop root (  flying buttresses  ) ที่รากชุดแรกอยู่ผิวดินเป็นรากเพื่อพยุงลำต้นกันโค่น รากชุดที่สองจึงเป็นรากหากินที่มี Nitrate receptor อยู่ลึกลงไปดังนั้นอาหารการกินจึงไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร จึงโตช้าครับ แต่ต้นไม้กลุ่มนี้ก็มีข้อดีครับ คือสามารถสร้าง Adventitious root ได้ ถ้าเราบังคับให้มันเกิด Adventitious root ให้ออกมาหากินที่ชั้นผิวดินได้ มันก็จะโตเร็วและออกดอกเร็วครับ ไม่ยากนัก แต่วิธีนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายจึงขอบอกทางหลังไมค์ครับ เพราะไม่อยากให้เป็นประเด็นถกเถียงในกระทู้           ต้นไม้ทุกต้นที่ปลูกด้วยเมล็ดทนทานทรหดอยู่แล้วครับ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 10 ก.ย. 48 13:31:57 ]

ความคิดเห็นที่ 2 2.ควรบำรุงรักษาอย่างไรบ้าง เช่น การตัดแต่งกิ่งให้ทรงพุ่มสวยๆ ปุ๋ย น้ำ             การตัดแต่งกิ่ง เนื่องจากธรรมชาติของมันเป็นเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบโตช้า สูง 10 – 20 เมตร  ใบดกสีเขียวเข้มหนาทึบ  กิ่งโน้มห้อยลงตามรอบทรงพุ่ม เรือนยอดกลมหรือทรงกระบอก ทรงสวยตามธรรมชาติอยู่แล้วครับ และอีกประการมันก็เป็นไม้ผลัดใบเพื่อสร้างกิ่งแทงดอก จึงไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเหมือนพวกไม้ผลัดใบ ยกเว้นคุณต้องการเลี้ยงแบบควบคุมความสูงโดยให้มันเจริญออกทางทรงพุ่มมากกว่าความสูง คุณต้องการตัดแต่งสร้างกระโดงย่อยให้มัน ซึ่งหลักการเดียวกับการตัดแต่งกิ่งชบาที่ผมเคยเขียนไว้ให้อ่านแล้ว             การให้ปุ๊ย : อยู่ที่คุณกำหนดว่าจะให้มันออกผลผลิตคือดอกเมือไร ในกรณีที่คุณบังคับรากคุณก็ใช้สูตรสำหรับไม้ 3 ปี ถ้าปล่อยให้ขึ้นไปตามวัฎจักร์ธรรมชาติ คุณก็ใช้สูตร 5 ปี ครับ                    การใช้ปุ๊ยอินทรีย์ ใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยชีวภาพ โดยใส่ร่วมกับปุ๊ยเคมี                    การใช้ปุ๊ยเคมี สัดส่วนของปุ๊ยไม่ได้มีสูตรที่ตายตัว ย่อมขึ้นอยู่สภาพความต้องการของไม้นั้นๆเป็นหลัก,ขนาด-อายุ-ความสมบูรณ์ของไม้,สภาพดินและความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ของการเพาะปลูก และการให้น้ำ                                ปกติจะเริ่มใส่ปุ๊ยเคมีทางดิน ครั้งแรก หลังปลูกพืชลงดินได้  1 เดือน หลักการ มีดังนี้                     1. ไม้ที่ยังไม่เคยให้ดอก                   หลักการคือ ส่งเสริมให้มีการเจริญเติบโตให้มีโครงสร้างทางสรีระที่สมบูรณ์และแข็งแรงตามชนิดของสายพันธ์ไม้นั้นๆและมีการเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่วงจรการเจริญพันธ์ตามวัฎจักร์ของชีวิต โดยมีการสะสมอาหาร                              1.1.สำหรับไม้ 3 ปี                    ปีที่ 1. ใช้ปุ๋ยสูตร 15:15:15 ผสมกับ 46:0:0 อัตรา 1 ต่อ 1 ใส่ต้นละ  200 กรัม ทุก 3 เดือน ใส่ 4 ครั้ง ต่อปี                    ปีที่ 2. ใช้ปุ๋ยสูตร 15:15:15 ผสมกับ 46:0:0 อัตรา 1 ต่อ 1 ใส่ต้นละ  300 กรัม ทุก 3 เดือน ใส่ 4 ครั้ง ต่อปี                    ปีที่ 3. ซึ่งเป็นปีแรกที่ไม้จะเริ่มเจริญพันธ์ให้ผลผลิต                                 ในช่วงต้นฤดูฝน ใช้ปุ๋ยสูตร 15:15:15 ผสมกับ 46:0:0 อัตรา 1 ต่อ 1 ใส่ต้นละ  400 กรัม                                 ในช่วงกลางฤดูฝน ใช้ปุ๋ยสูตร 15:15:15 ผสมกับ 46:0:0 อัตรา 1 ต่อ 1 ใส่ต้นละ  400 กรัม                                 พอถึงปลายฝน ในดินร่วนปนทราย ดินทราย จะเปลี่ยนเป็นปุ๋ยสูตร 8:24:24 ส่วนดินเหนียว สูตร 12:24:12 อัตราส่วน 500 กรัม ต่อต้น เพื่อกระตุ้นให้มีการออกดอก                                 เมื่อไม้จะเริ่มให้ผลผลิต ถ้าติดผลมากอาจใช้ปุ๋ยยูเรีย ผสมปุ๋ยสูตรเสมออัตรา 1 ต่อ 1 ใส่ต้นละ 500 กรัม                              1.2.สำหรับไม้ 5  ปี                     ปีที่ 1. ปุ๋ย สูตร 15:15:15  อัตรา    600 กรัม / ต้น / ปี ผสมปุ๋ยยูเรีย 120 กรัม                     ปีที่ 2. ปุ๋ย สูตร 15:15:15  อัตรา 1,200 กรัม / ต้น / ปี ผสมปุ๋ยยูเรีย 240 กรัม                     ปีที่ 3. ปุ๋ย สูตร 15:15:15  อัตรา 1,800 กรัม / ต้น / ปี ผสมปุ๋ยยูเรีย 360 กรัม                     ปีที่ 4. ปุ๋ย สูตร 15:15:15  อัตรา 2,400 กรัม / ต้น / ปี ผสมปุ๋ยยูเรีย 480 กรัม                     ปีที่ 5. ปุ๋ย สูตร 12:12:17 หรือ  13:31:21 อัตรา 3 กิโลกรัม /ต้น / ปี ผสมปุ๋ยยูเรีย 550 กรัม                      2. ไม้ที่เคยให้ผลผลิตแล้ว ก็จะเริ่มเข้าเป็นวัฏจักรระหว่างช่วงระยะของผลผลิต                                   2.1  ระยะเตรียมต้นก่อนการออกดอก                                  เนื่องจากโปแตสเซี่ยมเป็นธาตุที่มีบทบาทช่วยในการสะสมอาหารก่อนการออกดอก  ดังนี้การให้ปุ๋ยในระยะนี้จึงจะใช้ปุ๋ยที่มีโปแตสเซียมอยู่ในสัดส่วนที่สูง เช่น 1-1-3 หรือ 1-1-4 โดยจะเริ่มให้เมื่อใบอ่อนที่แตกออกมามีอายุประมาณ 30 วันพร้อมกับให้น้ำ จากนั้นเมื่อใบมีอายุประมาณ 60 วันในช่วงอากาศร้อน  แต่อากาศเย็นอาจนานถึง 90 วันจึงเริ่มงดการให้น้ำ โดยระยะเวลาที่มีการงดน้ำนี้จะไม่มีกำหนดแน่นอนขึ้นอยู่กับอายุของต้นไม้  ขนาดของทรงพุ่ม ดินและสภาพอากาศเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามอาจสังเกตได้จากลักษณะการเหี่ยวของใบซึ่งจะใช้ระยะเวลาเหี่ยวเร็วขึ้นในแต่ละวัน                                       2.2  ระยะที่ตาดอกเริ่มผลิ (หลังการให้น้ำ)                                  ในช่วงนี้จะมีระยะเวลาอยู่ประมาณไม่เกิน 12 วัน การให้ปุ๋ยในช่วงนี้ควรใช้ปุ๋ยทางใบ แบ่งการให้เป็นระยะๆ  ปุ๋ยที่ให้ในช่วงนี้ก็จะเป็นปุ๋ยที่มีสัดส่วนคล้ายคลึงกับช่วงการเตรียมต้นก่อนการออกดอก  คือ 1-1-3  หรือ 1-1-4                           2.3  ระยะที่ติดฝักอ่อน                                  ระยะนี้จะเป็นระยะที่ผลเริ่มมีการขยายขนาด สัดส่วนของปุ๋ยที่ใช้จึงอยู่ที่สภาพดิน                                                    ในกรณีที่พื้นที่ปลูกเป็นดินทรายค่อนข้างจัด จะใช้สูตร 4-1-2                                                    ในกรณีที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ (อินทรีย์วัตถุสูง) จะใช้สูตร  3-1-2                           2.4  ระยะก่อนการเก็บเกี่ยวประมาณหนึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือนครึ่ง                                      การให้ปุ๋ยในระยะนี้อาจทำได้ 2 ลักษณะ ตามจุดประสงค์ของคุณครับ                                                   แบบแรกจะใช้ปุ๋ยที่มีสัดส่วนเดียวกันกับช่วงการให้ดอก คือ 1-1-3 หรือ 1-1-4 ซึ่งการให้ปุ๋ยสัดส่วนนี้จะทำให้ฝักสุกเร็ว การฟักตัวสะสมอาหารภายในต้นมีน้อย การเจริญเติบโตของลำต้นต่อไปก็น้อยตามไปด้วย ทำให้ต้นไม้ไม่ใหญ่มาก                                                 แบบที่สองจะเป็นการให้ปุ๋ยโดยเพิ่มสัดส่วนของไนโตรเจนอีกเล็กน้อย เช่น  2-1-3, 2-1-4 และ 2-1-5 จะทำให้ฝักสุกช้า การฟักตัวสะสมอาหารภายในต้นมีระยะเวลานานมีการสะสมอาหารมาก การเจริญเติบโตของลำต้นก็จะมากตามไปด้วย ทำให้ต้นไมสูง่ใหญ่โตเร็ว             อันนี้ก็อยู่ที่วิจารณานของคุณเองครับ ในการกำหนดขนาดของต้นในแต่ละช่วงเวลาของการเติบโต จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 10 ก.ย. 48 13:53:55 ]

ความคิดเห็นที่ 3 การให้น้ำ : ปริมาณน้ำที่จะให้ขึ้นอยู่กับช่วงการเจริญเติบโต และสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั่วๆไป  เช่น                         -จุดประสงค์ของการให้น้ำ อาทิเช่น ให้เพื่อไปเป็นตัวทำละลายธาตุอาหารในดิน ให้เพื่อไปกระตุ้นปลายรากเพื่อให้เกิดการสร้างฮอร์โมนเร่งการเจิญเติบโต ให้เพื่อไปชะล้างสารพิษ ...... ฯลฯ                         -ความลึกและตำแหน่งของรากส่วนที่ต้องการน้ำ ความแผ่กว้างของราก                         - ในระยะก่อนออกดอกจะต้องการน้ำน้อย เพื่อให้มีช่วงเก็บสะสมอาหาร                         -ในระยะที่ไม้ออกดอกให้งดน้ำชั่วระยะหนึ่ง                          -ในระยะเมื่อดอกบานและติดผลแล้ว จึงให้น้ำให้มากเพื่อบำรุงผลให้เติบโตและมีคุณภาพดี หลังจากที่ติดผลแล้ว ถ้าขาดน้ำผลจะมีขนาดเล็ก การเติบโตของผลไม่สม่ำเสมอ ผลอาจแป้ว เบี้ยว และเนื้อบาง                        - ระยะติดผลจนถึงผลแก่ ต้องการน้ำเพิ่มมากขึ้น                        - ระยะผลเข้าสีแล้ว การลดปริมาณน้ำลงจะช่วยให้แก่เร็วขึ้น                        - ระยะก่อนการเก็บเกี่ยวผลประมาณ 2 สัปดาห์ ถ้างดให้น้ำในระยะนี้ก็จะช่วยให้ผลมีรสหวานมากขึ้น                        - อุณหภูมิที่สูงและลมจะทำให้น้ำระเหยในปริมาณมาก ดังนั้นจึงต้องมีการให้น้ำในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ในทางตรงกันข้ามหากในพื้นที่ปลูกมีอุณหภูมิต่ำและสภาพอากาศครึ้มเย็น ความต้องการน้ำของต้นพืชก็จะลดลง                        การให้น้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง        แต่ธรรมชาติมันเป็นพืชที่ต้องการน้ำปานกลางเพราะทนอดได้ ดังนั้นในระยะต้นตอนต้นยังไม่ตั้งตั้งก็ควรให้วันละครั้ง พอต้นตั้งตัวแล้วก็สักอาทิตย์ละครับก็พอครับ แต่การให้น้ำต้องระลึกเสมอว่า ต้องให้น้ำลึกถึงระดับชั้นรากที่มันหากิน ถ้าคุณบังคับรากตามที่ผมพูดถึงตามข้อ 1. ก็ให้น้ำให้ชุ่มถึงความลึกผิวดินประมาณ 30 - 40 เซ็นติเมตรก็พอครับ แต่ถ้าปล่อยตามธรรมชาติ คุณก็ต้องลึกให้ได้ความชื้นอย่างน้อยก็ 90 เซ็นติเมตรครับ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 10 ก.ย. 48 14:00:50 ]

ความคิดเห็นที่ 4 3 ใกล้ๆบ้านริมถนนใหญ่เทศบาลเค้าปลูกคูนไว้แต่ต้นยังเล็กประมาณ 2 เมตร จะโตทันกันไหมคะ       ทันกันครับ ก็เราเลี้ยงเสลาแบบราชา แต่ต้นคูนมันหากินเองอย่างยาจก ของเราก็ต้องโตเร็วกว่าซิครับ   สีดอกจะโดดออกจากกลุ่มหรือเปล่า ไม่อยากทำให้ทัศนียภาพเสียน่ะค่ะ       ดอกคูนสีเหลือง ดอกเสลาเฉดสีม่วง มันคนละเฉดกันอยู่แล้วนี่ครับ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 10 ก.ย. 48 14:03:58 ]

ความคิดเห็นที่ 5 4 ถ้าเค้าจะขยายถนนซอยหน้าบ้านในอนาคต เค้าจะตัดต้นเสลาทิ้งได้ไหม เคยได้ยินว่าเป็นไม้สงวน                                ไม้หวงห้ามที่ทางการกำหนดไว้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ                    1. ไม้หวงห้ามประเภท ก. เป็นพันธุ์ไม้ที่ให้เนื้อไม้มีคุณภาพดี ซึ่งใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนได้นั้น ทางการจะยอมให้ตัดฟันและชักลากออกมาทำสินค้าได้ ทั้งนี้ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเสียก่อน ได้กำหนดให้อยู่ประเภทนี้ มีจำนวนกว่า 250 ชนิด พร้อมทั้งกำหนดอัตราค่าภาคหลวงไว้ด้วยได้แก่ ดอกก่อแจง ดอกก่อแหบ อินทนิล เสลา ตะแบก ต้นยางพลวง ต้นยางกราด ต้นสนสามใบ และ สามพันปี เป็นต้น                    2. ไม้หวงห้ามประเภท ข. ได้แก่พันธุ์ไม้บางชนิดที่ทางการได้พิจารนาเห็นว่าเป็นไม้ชนิดดีมีค่าหายาก หรือ มีคุณค่าพิเศษอย่างอื่น เช่น เปลือกหรือเนื้อไม้มีกลิ่นหอม เป้นสมุนไพรที่หายากหรือเนื้อไม้มีน้ำมัน หรือ ชัน ซึ่งใช้ประโยชน์ในการอุตสาหกรรมที่หาของอื่นมาใช้แทนไม่ได้ หรือ มีผลที่เป็นสมุนไพร ใช้แก้โรคติดต่อร้ายแรงบางโรคได้ ทางการจะห้ามไม่ให้ฟัน โค่น ล้ม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ                          พันธุ์ไม้ที่ให้ยางมากลั่นเป็นน้ำมันและชันก็คือ สนเขา สนสองใบ สนสามใบ                          พันธุ์ไม้ที่มีปริมาณน้อยและหายากได้แก่ พญาไม้ ไม้มีอยู่ 3 ชนิดคือ   พญามะขามป้อมดง  ขุนไม้ พญาไม้หรือซางจิง  ปกลม  มะขามป้อมดง กฤษณาหรือกระลำพัก                     นอกจากไม้สองประเภทที่ยกตัวอย่างมาพอสังเขปนั้น ยังมีไม้อีกสองชนิดกำหนดตามพระราชบัญณัติป่าไม้ให้เป็นไม้หวงห้ามชนิดพิเศษ คือ ไม้สัก และ ไม้ยางทุกชนิด ไม้ทั้งสองชนิดนี้ ไม่ว่าจะขึ้นอยู่ที่ใดก็ตามให้ถือว่าเป็นไม้หวงห้ามทั้งสิ้น การตัดฟันใช้สอยจะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เว้นแต่ในกรณีที่ได้รับมอบหมายให้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมป่าไม้ หรือ ผู้ว่าราชการจังหวัด      การกำหนดรัศมีถนน เป็นไปตามประกาศของอธิบดีกรมทางหลวงซึ่งขึ้นอยู่กับว่าชั้นของถนนนั้นถูกจัดอยู่ประเภทใด ถ้ามีต้นไม้ขึ้นมาเขาก็สามารถตัดได้โดยขออนุญาติโดยไม่จำเป็นต้องคิดตัดถนนแล้วถึงตัดครับ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 10 ก.ย. 48 14:10:03 ]

ความคิดเห็นที่ 6 5 ถ้าจะปลูกควรเลือกพื้นที่ส่วนไหนดีค่ะ ระหว่างริมคลองชลประทานกับถนน   (ตอนนี้พื้นที่ยังแคบประมาณ 1-2เมตร  แต่ถ้าเค้าตัดถนนใหม่ พื้นที่นี้จะกว้าง 10 เมตร และ ริมถนนกับรั้วหน้าบ้าน (ตอนนี้ห่างประมาณ 10+เมตร แต่มีสายไฟฟ้าแรงต่ำผ่านแนวระหว่างกลาง กลัวจะสูงไปโดนสายไฟค่ะ แต่ถ้าตัดถนนใหม่ส่วนนี้จะเหลือไม่เกิน 8 เมตร )         ไม้ยืนต้นผลัดใบโตช้า สูง 10 – 20 เมตร  ใบดกสีเขียวเข้มหนาทึบ  นั้นหมายถึงการเลี้ยงในป่าครับ  ทรงพุ่มก็ประมาณความสูงหรือแคบกว่านิดหน่อยครับ  ลักษณะรากเป็น Prop root แต่ไม่แผ่กว้างไกลมากเท่าพวกไทรหรือหูกว้าง ดังนั้นต้องปลูกให้ห่างจากสิ่งก่อสร้างอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของรัศมีพุ่มครับ ทรงพุ่มใบก็คือทรงพุ่มราก ดังนั้นจึงต้องมีที่ว่างให้มันเท่าทรงพุ่ม ก็คงต้องอยู่ที่คุณเป็นคนพิจารณาสถานที่เองครับ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 10 ก.ย. 48 14:46:35 ]

ความคิดเห็นที่ 7 6  ถ้าไม่เหมาะสมจะปลูกในบ้านได้ไหม ปัญหาใบร่วง ร่มเงา ระบบราก ถ้าปลูกพื้นที่ริมรั้วในบ้านจะมีปัญหาเรื่องการควบคุมปริมาณน้ำค่ะ เพราะจะปลูกไม้ใบไม้ดอกและหญ้าเป็นส่วนใหญ่         ไม้ตัวนี้ถ้าคิดปลูกในบ้านไม่อยากแนะนำครับ เพราะเป็นไม้ผลัดใบเพื่อแทงดอก เป็นภาระในการรักษาความสะอาดครับ และการให้ร่มเงาก็ให้ได้ไม่ทั้งปี ถ้าปลูกทางทิศอื่นนอกจากทางทิศใต้ก็ได้รับแดดไม่พอ ทรงพุ่มก็จะไม่สวยครับ ระบบรากมีปัญหาตามที่เรียนมาข้างต้น การบริโภคทรัพยากรน้ำก็สูงเพราะรากลึก         ถ้าคิดปลูกในบ้านต้องใช้ความรู้พื้นฐานสูงในการควบคุมความสูงและทรงพุ่ม การตัดยอดสำหรับไม้นี้ไม่สามารถควบคุมความสูงได้ คุณลองสังเกตได้จากทรงพุ่มยอดของมันที่กอดกันแน่นและชี้ตั้งชูชัน ถ้าไปตัดยอดแท้ออก จะมียอดอื่นขึ้นมาแย่งกันขึ้นทำให้ไม้เสียทรงพุ่มกลมไปครับ         แต่ถ้าคุณอยากปลูกจริงๆก็ปลูกได้โดยการบังคับรากและควบคุมการเจริญเติบโตของมัน โดยการแต่งทรงพุ่มให้มีกิ่งย่อยมาก บังคับให้ออกดอกออกฝักเร็ว มันก็จะไม่สูงเท่าไรเพราะอาหารส่วนใหญ่เอามาเลี้ยงทรงพุ่มครับ         ถ้ามีปัญหาอะไรที่ไม่เข้าใจหรือผมตอบไม่ตรงคำถามก็ถามมาแล้วกันครับ         ขอให้สนุกกับการเลี้ยงมัน ในช่วงที่เลี้ยงอยู่ มีปัญหาอะไรสงสัยก็ถามมาได้ครับ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 10 ก.ย. 48 15:08:29 ]

ความคิดเห็นที่ 8 6  ถ้าไม่เหมาะสมจะปลูกในบ้านได้ไหม ปัญหาใบร่วง ร่มเงา ระบบราก ถ้าปลูกพื้นที่ริมรั้วในบ้านจะมีปัญหาเรื่องการควบคุมปริมาณน้ำค่ะ เพราะจะปลูกไม้ใบไม้ดอกและหญ้าเป็นส่วนใหญ่         ไม้ตัวนี้ถ้าคิดปลูกในบ้านไม่อยากแนะนำครับ เพราะเป็นไม้ผลัดใบเพื่อแทงดอก เป็นภาระในการรักษาความสะอาดครับ และการให้ร่มเงาก็ให้ได้ไม่ทั้งปี ถ้าปลูกทางทิศอื่นนอกจากทางทิศใต้ก็ได้รับแดดไม่พอ ทรงพุ่มก็จะไม่สวยครับ ระบบรากมีปัญหาตามที่เรียนมาข้างต้น การบริโภคทรัพยากรน้ำก็สูงเพราะรากลึก         ถ้าคิดปลูกในบ้านต้องใช้ความรู้พื้นฐานสูงในการควบคุมความสูงและทรงพุ่ม การตัดยอดสำหรับไม้นี้ไม่สามารถควบคุมความสูงได้ คุณลองสังเกตได้จากทรงพุ่มยอดของมันที่กอดกันแน่นและชี้ตั้งชูชัน ถ้าไปตัดยอดแท้ออก จะมียอดอื่นขึ้นมาแย่งกันขึ้นทำให้ไม้เสียทรงพุ่มกลมไปครับ         แต่ถ้าคุณอยากปลูกจริงๆก็ปลูกได้โดยการบังคับรากและควบคุมการเจริญเติบโตของมัน โดยการแต่งทรงพุ่มให้มีกิ่งย่อยมาก บังคับให้ออกดอกออกฝักเร็ว มันก็จะไม่สูงเท่าไรเพราะอาหารส่วนใหญ่เอามาเลี้ยงทรงพุ่มครับ         ถ้ามีปัญหาอะไรที่ไม่เข้าใจหรือผมตอบไม่ตรงคำถามก็ถามมาแล้วกันครับ         ขอให้สนุกกับการเลี้ยงมัน ในช่วงที่เลี้ยงอยู่ มีปัญหาอะไรสงสัยก็ถามมาได้ครับ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 10 ก.ย. 48 15:08:40 ]

ความคิดเห็นที่ 9 โอ ความรู้ใหม่ลึกจริงๆค่ะ ขนาดอ่านหนังสือต้นไม้ตั้งเยอะยังไม่ทราบเท่านี้เลย ขอเซฟเก็บไว้เลยนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ จะต้องไปเล็งสถานที่ที่จะปลูกก่อนถ้าไม่เหมาะจริงๆจะไปปลูกที่พื้นที่นาเก่าค่ะ มีพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ทิ้งไว้เปล่าไม่ได้ทำอะไร แถมอยู่ใกล้ฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดได้กลิ่นน่ะค่ะ ถ้าเกิดปีไหนมีน้ำท่วมซัก 15-20วันนี่ เสลาจะตายไหมคะ กุหลาบมอญ มาขอเพิ่มเติมค่ะ พื้นที่ในบ้านถ้าหากจะปลูกนี่ อยู่ในระยะ กว้าง 10เมตร ยาว 25เมตร ค่ะ รับแดดเต็มที่ไม่มีอะไรบังเลย ดินชั้นล่างเป็นดินเหนียวลึกประมาณ 1.3-1.5เมตร ชั้นถัดไปเป็นดินสวนท้องร่องเดิมน่ะค่ะ ไม่เกี่ยงเรื่องใบดอกร่วงค่ะ ชอบเวลาร่วงตามใต้ต้นดูเป็นธรรมชาติดี กุหลาบมอญ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 48 19:25:11 จากคุณ : ปุณณจิต - [ 10 ก.ย. 48 19:15:11 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถาม : ถ้าเกิดปีไหนมีน้ำท่วมซัก 15-20 วันนี่ เสลาจะตายไหมคะ ตอบ : เอาเป็นว่า เสลารากที่หากินแช่น้ำอยู่ได้เป็นเดือนก็แล้วกันครับ          เสลาเป็นพืชที่มี Permanant lenticel formation bark (  สังเกตจากเปลือกลำต้นมีร่องเล็กๆตามยาวลำต้น ) สำหรับในการแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างภายในและภายนอกลำต้นได้ตลอดเวลาอย่างถาวร โดยปราศจากกลไกการควบคุมของปากใบ (stomata)ในสภาวะของต้นไม้ที่ถูกน้ำท่วมขังนั้น ระบบรากของต้นไม้จะไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพที่ขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง เพราะสามารถที่จะนำอากาศหรือออกซิเจนให้ไปสู่ส่วนของระบบราก ยกเว้นน้ำท่วมเกินระดับคอรากสูงๆ และอีกประการ รากพืชสามารถเปลี่ยนกลไกไปใช้ระบบการหายใจแบบ Citric acid cycle ใช้ออกซิเจน ไปเป็น Lactic acid cycle ไม่ใช้ออกซิเจน(anaerobic espiration) หรือที่เรียกว่าเป็นการหมัก (fermentation) ขึ้นแทนได้ชั่วคราว และ การมีการสภาพผลัดใบเป็นเครื่องชี้ชัดว่า ระบบรากและระบบลำต้นมีความสามารถพักตัวได้ชัดเจน สรุปง่ายว่าโดยทั่วไปทนต่อการท่วมของน้ำ            แต่ถ้าถามว่าจะตายไหม ตอบไม่ได้ครับ มันขึ้นอยู่กับ 7-8 ปัจจัย ที่สำคัญที่สุดก็คือ การขาดธาตุอาหาร เพราะรากหยุดการดูดซึม ( ซึ่งแก้ได้โดยการให้ปุ๊ยทางใบและน้ำตาลทรายในกรณีที่มีใบที่โตเต็มที่อยู่บนต้น) และ สภาวะเครียด (Physiologic stress)กระตุ้นให้เกิดมีการสร้างฮอร์โมนเอทธิลีน (ethylene) ในปริมาณที่สูงกว่าปกติอย่างมาก ทำให้เกิดอาการหลุดร่วงของใบ ( ถ้าถึงขั้นนี้ต้องปลงครับ )          สรุปง่าย ถ้าเป็นต้นไม้ใหญ่ และสมบูรณ์แข็งแรง ถ้าท่วมตอนใบแก่เป็นต้นก็รอดครับ ถ้าท่วมตอนมีแต่ใบอ่อนก็ไม่เหลือครับ เพราะคุณอย่าลืมนะครับว่า น้ำท่วมที่ตาเห็นอยู่ในระยะ 15 - 20 วัน พอน้ำแห้งก็ยังมีภาวะน้ำขังที่คุณไม่เห็นอีก ยังมีระดับน้ำใต้ดินที่สูงขึ้นมาแช่รากอีก ซึ่งไม่ทราบนานเท่าไร          แต่ต้นไม้ที่อยู่ในสภาวะของน้ำท่วมขังไม่ว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นหรือยาว ก็ย่อมเป็นผลเสียหายต่อต้นไม้ทั้งสิ้น พืชแต่ละชนิดหรือแม้ว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือพันธุ์เดียวกันก็ตาม ความสามารถทนต่อสภาพถูกน้ำท่วมขังก็ย่อมแตกต่างกันออกไปด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ หลายหลากชนิดด้วยกัน อีกทั้งยังมีปฏิกริยาร่วมระหว่างปัจจัยเหล่านั้นด้วย ที่เห็นชัดๆก็มีการเน่าของทรากอินทรีย์วัตถุในดินทำให้ปริมาณของ Organic nitrate สูงเกินไป ในฤดูผลถัดไปเมื่อเจอฝนแรก ถ้าปริมาณไม่มากพอฉะ Organic nitrate เหล่านี้ให้เจืองจางไป รากพืชจะเกิดพิษขึ้นแล้วต้นไม้ก็จะใบเหลืองแห้งตายไปเฉยๆเลยครับ         มีพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ทิ้งไว้เปล่าไม่ได้ทำอะไร       เอามาปลูกเสลา เสียดายที่ครับ เอามาปลูกพวกไม้ใหญ่เตรียมล้อมที่ใช้ประดับสวน สนามหญ้าหรือรีสอร์ท อาทิเช่น สนดินสอ ปาล์มหางจิ้งจอก จะทำเงินให้คุณปีละอย่างน้อยก็ 6-7 หลักต่อปี ไม่ดีหรือครับ ไม้พวกนี้ไม่มีผลผลิตจึงไม่หาย ถ้าต้นใหญ่คุณหายคุณก็ตามข่าวได้ เพราะในวงการรู้ถึงกันหมด           ส่วน "มาขอเพิ่มเติมค่ะ" ผมไม่เข้าใจครับ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 11 ก.ย. 48 10:52:36 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ที่เพิ่มเติมคือสภาพพื้นที่ภายในรั้วหน้าตัวบ้านถ้าจะปลูกเสลาจะเหมาะสมไหมน่ะค่ะ ทั้งขนาดพื้นที่ ทิศทางรับแสง และสภาพดินชั้นบนเป็นดินเหนียว ชั้นล่างเป็นดินร่วน เนื่องจากไม่มีสายไฟผ่าน เพราะบรรดาสายทุกอย่างร้อยท่อเลาะรั้วไปหมดแล้ว อยากปล่อยให้ต้นสูงเวลาทอดกิ่งลงมานี่ สวยมากค่ะ ถ้ายิ่งตอนออกดอกยิ่งสวยมากขึ้นไปอีก ขอบคุณนะคะ สำหรับคำแนะนำ เรื่องปลูกไม้ขายนี่เกินแรงงานที่มีค่ะ ที่คิดจะปลูกๆนี่เอาไว้เป็นสมบัติผลัดกันชมน่ะค่ะ เราไม่ได้ใช้อีกหน่อยคนอื่นก็ได้ใช้ค่ะ จากคุณ : กุหลาบมอญ - [ 11 ก.ย. 48 19:01:02 ]