CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    How does a dumb tackle GRE exam?

    สวัสดีคับเพื่อนๆ ผมพึ่งไปสอบ GRE เมื่อวันที่ 28 เมษา ที่ผ่านมา (ได้คะแนน Verbal 560 Math 800 AWA รออยู่น่ะคับ) ผมเองไม่ใช่ GRE expert แน่นอนคับ เพราะว่ามีคนเยอะแยะที่ได้คะแนน verbal สูงกว่านี้ โดยเฉพาะพี่ๆในบอร์ดไกลบ้าน แต่อย่างไรก็ดี มีเพื่อนหลายคนมาถามผมว่าเตรียมตัวยังไง ผมเลยคิดว่าจะเขียนเป็นคำแนะนำจากประสบการณ์ของผม จากที่เพื่อนบอกมา และจากที่อาจารย์ที่ Princeton สอนมา รวบรวมมาแล้วมาบอกต่อ เผื่อว่าคนที่ต้องการสอบต่อไปจะได้ใช้เป็นแนวทาง และไม่ต้องเสียเวลา หรือเสียเงินเพื่อได้ข้อมูลตรงนี้ ผมจะดีใจคับถ้าข้อมูลตรงนี้จะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆบ้าง นั่นก็คือที่มาว่าทำไมผมตัดสินใจเขียน How to เนื่องจากคนเขียนไม่ค่อยฉลาดนักจึงกลายเป็นหัวข้อ How does a dumb tackle GRE exam? น่ะคับ นอกจากนี้หลายๆส่วนเป็นความเห็นของผม ความรู้จากที่อ่านมา หรือจากที่เพื่อนเล่าให้ฟัง เพราะงั้นถ้าไม่เห็นด้วยหรือคิดว่าไม่ make sense ก็ข้ามไปได้นะคับ
    ผมขอเขียนเป็น step ไปอธิบายเป็นขั้นๆนะคับ ตั้งแต่ก่อนเริ่มสอบ จนถึงการเตรียมตัวในวันสอบ

    1. Make sure you really need GRE exam
    สำหรับคนที่เรียนสายที่ต้องใช้ GRE แน่นอน เช่นพวกสายวิทย์คงไม่มีปัญหาน่ะคับ เพราะถ้าคุณแน่ใจว่าจะต่ออเมริกา คุณต้องใช้แน่นอน แต่สำหรับบางคนที่เป็น business ในบางสาขาอาจต้องการ GMAT หรือบางสาขาต้องการ GRE หรือบางทีใช้ได้ทั้งคู่ เพราะงั้น

    “Make sure that you do need GRE. Otherwise, do not bother.”

    GRE exam คงเป็น standard test ที่ยากที่สุด เทียบกับ TOEFL, IELTS, SAT, GMAT เพราะงั้นการที่ต้องสอบมันไม่ใช่เรื่องสนุกครับ ต้องใช้ความตั้งใจและใช้เวลามากพอควร ดังนั้นถ้าจะคิดว่าว่างๆอยู่สอบเล่นๆดูก็ได้ ได้เท่าไหร่ก็ว่ากัน ความคิดนั้นคงไม่เวริ์คนะคับ ขณะเดียวกันสำหรับคนที่กลัว GRE จนทำให้ตัดความคิดที่จะเรียนต่อที่อเมริกา (มีคนเป็นแบบนี้หลายคนนะคับ) ก็ไม่ควรคิดแบบนั้นเหมือนกันนะคับ

    “Don’t let GRE be a barrier for your success.”

    2. How long do you need to prepare for GRE?
    คำถามนี้เป็นคำถามที่ทุกคนถามกันบ่อยที่สุดนะคับ ว่าต้องใช้เวลาเตรียมตัวเท่าไหร่ เดือน สองเดือน สามเดือน ครึ่งปี จริงๆแล้วเช่นเดียวกับทุก test คับ จะนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆดังต่อไปนี้

    2.1 Know your strength and weak points
    จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญน่ะคับ เช่น ถ้าเพื่อนๆเรียนสายวิทย์ก็คงไม่ต้องกังวลมากกับ math แต่ถ้าเป็นศิลป์ภาษาก็ควรจะต้องใช้เวลาทุ่มเทกับ math มากด้วย จุดที่จะเป็นตัวบอกที่สุดคงเป็นลองทำ test prep ของ ETS น่ะคับ ก็จะบอกได้ คนส่วนใหญ่เท่าที่ผมรู้จัก ก็จะกามั่วเกือบทุกข้อใน verbal แต่ math จะทำได้บ้าง ถึงจะดูไม่ได้อะไร แต่เราจะรู้ว่า GRE หน้าตาเป็นอย่างไร ใช้เวลาเท่าไหร่ ซึ่งการทำข้อสอบแค่ครั้งเดียวก็จะบอกเราได้ รวมทั้งบอกเราด้วยว่า How scary the verbal part is?

    2.2 Know your limitation and capability
    จุดนี้สำคัญเช่นเดียวกันว่าเพื่อนๆ เตรียม GRE ขณะทำงาน หรือ เรียนอยู่ หรือว่าว่าง มีเวลาเตรียมตัวได้เต็มที่ เพราะงั้นเวลาที่ใช้ย่อมขึ้นอยู่กับว่ามีเวลาให้กับมันแค่ไหนในแต่ละวันน่ะคับ แล้วลองคำนวณดูว่าถ้าจะท่องศัพท์ให้ได้เท่าที่ต้องการเนี่ยต้องใช้เวลานานเท่าไหน

    2.3 Know your requirement or expectation
    ข้อนี้สำคัญมากคับ ผมอยากจะลบความเข้าใจที่ผิดสำหรับ standard test น่ะคับ คนหลายคนชอบสงสัยว่าstandard test มันมีผลแค่ไหนสำหรับการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าได้ TOEFL สูงปรี๊ด แล้วจะการันตีว่าได้ Harvard หรือเปล่า? หรือถ้าได้ GRE สูงมากคุณจะเข้าMIT ได้แน่นอน ใช่หรือเปล่า? คำตอบคือไม่ใช่คับ การตัดสินเข้ามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ดูจาก overall qualification รวมกัน standard test ก็สำคัญแต่ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดน่ะคับ เพราะงั้นถ้าผ่าน requirement ของมหาลัยแล้วเนี่ย ก็อย่าเสียเวลามานั่ง repeat มากมาย เอาเวลาตรงนั้นไป improve จุดอื่นจะดีกว่า มีหลายจุดที่สำคัญมากกว่า GRE คับ เช่น GPA, research experience, recommendation เพราะฉะนั้น TOEFL, GRE are not everything ผมได้อ่านเรื่องแบบนี้มาบ้าง ถ้าเพื่อนๆ ที่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับ graduate school application คงจะทราบดี เพื่อสนับสนุนคำพูดผม ผมขออ้างsecrets of success: how to win the graduate program application game ของ Princeton review น่ะคับ

    “There really are no strict rules about any single component of the application package—you will not be accepted or rejected based on a single factor such as a low GRE score; it is the admissions committee’s overall impression of your potential for future success which leads to their decision.”

    เอาละคับเพราะงั้นถ้ารู้ requirement ของมหาลัย เช่น ต้องการคะแนนรวม 1100, 1200 or 1300 ก็พยายามทำให้ได้ตามนั้นแล้วเลิกกัน แต่สำหรับคนที่จะสมัครเข้า U top น่ะคับ มหาลัยจะไม่บอก requirement เพราะงั้นเพื่อนๆอาจต้องตั้ง aim ไว้ในใจเองนะคับ แต่ BE REALISTIC!!! น่ะคับ การหวังสูงน่ะดีคับ แต่ต้องเป็นไปได้ เป็นไปได้นี่หมายความว่า เทียบกับเวลาที่มีอยู่ กับความพยายามที่จะทุ่มให้กับมันนะคับ
    ทีนี้ถ้ารู้ว่าเรามีจุดอ่อนหรือแข็งตรงไหน (ไม่ทะลึ่งนะคร้าบ) และเป้าหมายคะแนนที่ได้แล้ว ก็มาทำการคำนวณเวลาที่เราควรจะใช้กันคับ
    -ถ้าคุณเป็นสายวิทย์และ verbal แค่สามร้อยกว่าก็โอเคน่ะคับ ผมแนะนำให้ท่องหลักพันขึ้นไปน่ะคับ
    -ถ้าคุณต้องการ verbal เกิน 400 ก็ควรจะท่องให้ได้ 1800+ น่ะคับ
    -ถ้าต้องการ verbal 500 ขึ้นไป (อย่างแน่นอน) ควรท่องให้ได้ 3500 คำของ Baroon น่ะคับ (ผมไม่ได้ท่องหมด แต่เพื่อนที่ทำได้ ได้ verbal 620 นะคับ)

    เพราะงั้นถ้าเวลาที่มีอยู่สามารถท่องได้วันละสามสิบคำ คุณก็อาจต้องใช้เวลาสองเดือนเต็มเป็นอย่างน้อยเพื่อท่องให้ได้พันแปดร้อยคำ ถ้าคุณสามารถท่องได้ทุกวันนะคับ นี้ยังไม่นับ math นะคับ ตรงmath นี้คุณต้องคำนวณเวลาเอาเอง โดยดูจากคะแนนคร่าวๆของ pretest ก็ได้คับ ถ้าได้ pretest 700+ ก็แสดงว่า math ไม่มีปัญหาอะไรมาก สิ่งที่ต้องทำคือทวน และหัดทำโจทย์เยอะๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นเวลาก็จะขึ้นกับ verbal เป็นหลักมากกว่า แต่ถ้าได้ math 500+ เพื่อนๆจะต้องใช้เวลากับ math มากๆเลยล่ะคับ เช่น อาจบวกไปอีกหนึ่งเดือนสำหรับ math โดยเฉพาะ

    ผมไม่แน่ใจว่ามีคนจะสอบ GRE ช่วงนี้เยอะแค่ไหนน่ะคับ เลยขอโพสต์แค่นี้ก่อน ถ้าไม่มีคนสอบหรือว่าไม่มี response ผมอาจจะไปโพสต์ต่อใน msn space ผมแทนน่ะคับจะได้ไม่ irritate คนอื่นน่ะคับ
    (ต่อจากนี้นะคับ How to prepare for verbal part?)

    จากคุณ : handsome - [ 4 พ.ค. 49 20:39:59 A:58.64.123.161 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป