CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ครั้งหนึ่งในชีวิต กับการเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิ และสมเด็จพระจักรพรรดินี

    สายๆ ของวันอะไรสักวันหนึ่ง เมื่อประมาณกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมเพิ่งจะเดินออกมาจากร้านขายกาแฟสดของคณะวิศวฯ กำลังละเลียดความสุขอยู่กับเกร็ดน้ำแข็งเย็นๆ ของ มอคค่าปั่นรสชาตินุ่มลิ้น เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผมดังขึ้นพร้อมๆ กับเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นตา ... "ใครหว่า" ผมนึกในใจ

    "สวัสดีครับ ... " ผมเริ่มต้นบทสนทนา

    "สวัสดีค่ะ อาจารย์ประมวลเหรอคะ ... ดิฉันโทรศัพท์จากวิรัชกิจ (หน่วยงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของจุฬาฯ) นะคะ" ปลายสายเอ่ยถามขึ้น และเมื่อผมตอบรับชื่อตัวเองตามคำถาม เจ้าของเสียงก็เอ่ยต่อไป ...

    "มีเรื่องด่วนนะคะทางมหาวิทยาลัยได้เสนอชื่ออาจารย์ให้ร่วมเข้าเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระจักรพรรดิ และสมเด็จพระจักรพรรดินี แห่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งท่านทั้งสองจะเสด็จมาร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในเดือนมิถุนายนหน้าค่ะ และวันที่ 13 มิถุนายน ท่านจะเสด็จพระราชดำเนินเยือนจุฬาฯ ค่ะ"

    "หา ... อะไรนะครับ !!! " กาแฟในปากพุ่งพรวดออกมาตามทางที่มันเพิ่งเข้าไป

    "รายละเอียดทางวิรัชกิจจะแจ้งให้อาจารย์ทราบอีกครั้งนะคะ"
    "เอ่อ ... อาจารย์พูดภาษาญี่ปุ่นได้บ้างไหมคะ?" ... ปลายสายถาม

    "เอ่อ ... ก็พอได้บ้างครับ ประมาณว่าพอจะซื้อของในเซเว่นฯ ได้" ... ผมตอบไปตามความจริง ในขณะที่หัวใจกำลังเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ ...

    "ยังไง ฝ่ายพิธีการจะติดต่อกลับไปอีกครั้งนะคะ สวัสดีค่ะ" ...

    ...
    ...

    สายตัดไปแล้ว แต่เรื่องน่าตื่นเต้นเมื่อสักครู่กำลังเริ่มก่อกวนความรู้สึกของผม ...

    "ตายหละหว่าตู ... " ผมนึกอยู่ในใจ

    ภาษาญี่ปุ่นที่ร่ำเรียนมาก็เพียงพอแค่เอาตัวรอดในโตเกียวไปวันๆ เดชะบุญว่าอาจารย์ที่ปรึกษาชาวญี่ปุ่นที่ผมไปอาศัยอยู่ด้วยท่านก็ชอบพูดภาษาอังกฤษ (แม้สำเนียงจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องก็เหอะ อิอิอิ) ช่วงเวลา 3 ปีที่อยู่ที่นั่นผมจึงไม่ค่อยเดือดร้อนกับภาษาญี่ปุ่นมากนัก คิดแล้วให้รู้สึกสมน้ำหน้าตัวเองที่ไม่ได้ใส่ใจกับภาษาญี่ปุ่นมากเท่าที่ควร ... แล้วนี่กระผมจะเอาอะไรไปสนทนากับสมเด็จพระจักรพรรดิหละเนี่ยะ ...

    นับจากวันนั้น ประสบการณ์ดีๆ ที่กำลังจะวิ่งเข้ามาชนกับชีวิตของผมในครั้งนี้ ก็ได้แทรกซึมเข้ามาก่อกวนความรู้สึกในใจลึกๆ อยู่ตลอดเวลา ...

    สองสัปดาห์ต่อมา เจ้าหน้าที่วิรัชกิจโทรศัพท์มาแจ้งให้ผมทราบว่าทางสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยต้องการประวัติส่วนตัวของผู้ที่ทางมหาวิทยาลัยเสนอชื่อให้เข้าเฝ้ารับเสด็จทุกคน ผมจึงจำเป็นต้องส่งประวัติส่วนตัวเป็นภาษาอังกฤษให้กับทางสถานทูตด้วย (คาดเดาว่าคงเป็นเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยนะครับ)

    ผมเริ่มติดต่อสอบถามจากพี่ๆ ป้าๆ สมาชิก @Japan หลายๆ คน ทั้งพี่ปาน น้องมากิ และรวมทั้ง "โทโกะ" สาวน้อยชาวญี่ปุ่นที่ป้าออย fudge-a-mania แนะนำให้ได้พูดคุยกันอยู่ระยะหนึ่ง เพื่อขอความรู้ภาษาญี่ปุ่นอย่างสุภาพสำหรับติดต่อกับราชวงศ์สูงศักดิ์ระดับเทนโน และก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ... คำศัพท์สวยๆ ไม่ค่อยจะคุ้นปากได้

    รับการถ่ายทอดให้นำไปท่องๆ ไว้เป็นระยะๆ ... จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง ... เอาเถอะครับ ผมขอเพียงแค่สามารถแนะนำตัวง่ายๆ ตอบคำถามง่ายๆ ได้ แล้วใช้คำไม่ผิดพลาดก็นับว่าชีวิตปลอดภัยแล้ว อิอิอิ

    สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางวิรัชกิจส่งหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินเยือนจุฬาฯ พร้อมทั้งแผนผังตำแหน่งที่ยืนของผมซึ่งได้ทราบในภายหลังว่าต้องได้รับการอนุมัติจากคณะทำงานของสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยด้วย ยิ่งเห็นตำแหน่งของตัวเองผมยิ่งตกประหม่า เพราะอยู่ห่างจากตำแหน่งขององค์สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีเพียงไม่กี่ก้าว การเข้าเฝ้าฯ กำหนดให้แต่งกายด้วยชุดสูทสีเข้ม ...

    "เป็นบุญของผม ที่น่าวิตกกังวลไม่น้อย"

    แต่ความวิตกก็เริ่มจางหายไปเมื่อผมได้รับชมการถ่ายทอดสดพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทางโทรทัศน์ ผมสังเกตเห็นว่าสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีทรงมีพระราชปฏิสันถารกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์อื่นๆ ของไทยได้โดยไม่มีล่ามยืนอยู่ในรัศมีใกล้ๆ ผมจึงเริ่มเกิดความเชื่อว่าผมคงอาจใช้ภาษาอังกฤษในการตอบคำถามที่อาจจะทรงมีรับสั่งด้วยได้

    สูทสีเข้มชุดใหม่ราคาหลายพันบาทถูกผมตระเตรียมขึ้นในเวลาไม่กี่วันก่อนหน้าหมายกำหนดการ ผมเกิดความรู้สึกว่า แม้อาจจะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นโอกาสที่ไม่ใคร่จะเกิดขึ้นง่ายๆ นักสำหรับชีวิตอดีตนักเรียนไทยในญี่ปุ่นคนหนึ่ง

    นั่งนึกไปถึงเหตุการณ์ในราวเดือน กรกฎาคม ปี พ.ศ.2548 ก็เกือบๆ หนึ่งปีที่ผ่านมาในครั้งที่ผมยังคงทำงานวิจัยอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว ผมมีโอกาสเดินทางไปที่พระราชวังอิมพีเรียลถึง 2 ครั้ง เป็นการเดินทางไปเพื่อชื่นชมกับทัศนียภาพรอบๆ รั้วพระราชวัง ซึ่งผมเดินเล่นทอดอารมณ์พร้อมๆ กับการถ่ายภาพทิวทัศน์ต่างๆ อยู่ด้านนอกถึง 2 รอบเต็มๆ เป็นพระราชวังที่ใหญ่โตอลังการล้อมรอบด้วยคูน้ำป้อมปราการขนาดมหึมา ผมยังจดจำอารมณ์ของตัวเองในยามนั้นได้ ไม่ทราบเหตุผลกลใด ในครั้งนั้น

    ผมเกิดปิติน้ำตาอาบแก้ม แม้จะมิได้เกิดเป็นชาวญี่ปุ่น แต่ก็เกิดความรู้สึกเหมือนคุ้นเคย ราวกับว่าเคยได้ดำรงชีวิตอยู่ในที่ใกล้ๆ นั้น หรืออาจมีโอกาสรับใช้เบื้องพระยุคลบาทในอดีตกาลชาติภพก่อนๆ ... ผมเคยพูดเล่นๆ กับเพื่อนๆ ว่า ใครจะรู้ ผมอาจเคยเป็นซามุไรอยู่ในที่นั้นก็ได้ .... อะไรบางอย่างจึงอาจดึงดูดให้ได้มีโอกาสกลับไปพบกับสถานที่เดิมๆ ที่เคยคุ้นตา

    ในวันนั้น ผมนึกอยู่ในใจ ว่าในชีวิตนี้จะมีสักครั้งไหมที่ได้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ของสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี

    ...
    ...

    แล้วความคิดเมื่อ 1 ปีก่อน ก็กลับกลายเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับชีวิตของตัวผมเอง ในช่วงเวลาที่คนไทยทั้งประเทศกำลังมีความสุขกับพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพร้อมใจกันสร้างปรากฏการณ์เสื้อสีเหลืองที่ใส่กันแทบทุกคนในทุกหัวระแหง ....

    เช้าวันที่ 13 มิถุนายน 2549 ราวๆ 10.00 น. ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมก็ได้มีโอกาสยืนอยู่ในห้องรับรองหอประชุมจุฬาฯ รอคอยการเสด็จมาถึงขององค์สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี ในแถวที่ผมยืนอยู่ด้านซ้ายมือเป็นนิสิตชาย-หญิงในชุดเครื่องแบบ 3 คน ตามติดด้วยอาจารย์ชาวญี่ปุ่นและไทยอีก 2 ท่าน ในขณะที่ด้านขวามือ ก็เป็นแถวของคณาจารย์ในรั้วจุฬาฯ ท่านอื่นๆ แต่ละท่านก็กำลังตื่นเต้นอยู่กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ

    สิบนาฬิกาเศษ ขบวนเสด็จมาถึงหน้าทางเข้าหอประชุมจุฬาฯ ประตูถูกเปิดออก ผมมองผ่านประตูกระจกที่ด้านหน้าออกไปก็สังเกตเห็นผู้ค้นในแถวที่ด้านนอกหอกประชุมกำลังโค้งคำนับและถอนสายบัวแสดงความเคารพให้กับราชวงศ์สูงศักดิ์ชาวญี่ปุ่นผู้เสด็จมาเยือน

    สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะเสด็จพระราชดำเนินเข้ามาภายในห้องรับรองหอประชุมจุฬาฯ โดยมี ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัยเป็นผู้นำเสด็จ และท่านก็เริ่มกราบบังคมทูลแนะนำผู้ที่เข้าเฝ้ารับเสด็จในแถวตามลำดับทีละคน ซึ่งแน่นอนว่ามีผมยืนอยู่ในแถวด้วย ...

    หัวใจของผมพองโต และกำลังเต้นด้วยความระทึก ...

    เพียงชั่วครู่ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะเสด็จพระราชดำเนินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผม ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ ในขณะที่ผมก็โค้งคำนับถวายความเคารพ ท่านนายกสภามหาวิทยาลัยกราบบังคมทูลว่าผมสำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว และเพิ่งจะเดินทางกลับมารับราชการอยู่ที่จุฬาฯ ได้ไม่นาน ในเวลาเดียวกันนี้ผมก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น คือได้มีโอกาสสัมผัสพระหัตถ์ของทั้งสองพระองค์ และในเวลาต่อมาสมเด็จพระจักรพรรดิก็ได้ทรงตรัสถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผมในประเทศญี่ปุ่น

    ผมกราบบังคมทูลท่านว่า เมื่อราว 1 ปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปชื่นชมบรรยากาศรอบๆ พระราชวังอิมพีเรียลถึง 2 ครั้ง และตั้งความปรารถนาส่วนตัวว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าชื่นชมพระบารมีสักครั้ง และในวันนี้ปรารถนาของผมก็สำเร็จ ท่านทรงแย้มพระสรวลและทำให้ผู้คนที่ยืนอยู่รอบๆ พากันหัวเราะตามไปด้วย

    ช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาทีตรงนั้น ... เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่มีความหมายกับผมอย่างหาที่เปรียบประมาณมิได้ และจะเป็นความทรงจำที่ประทับอยู่ในจิตใจ มิมีวันลืมเลือน

    เดือนมิถุนายน 2549 ในยามที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศกำลังมีความสุขกับความยิ่งใหญ่ของพระราชพิธี กับความตื่นตาตื่นใจ กับน้ำตาเอ่อล้นแห่งความปลื้มปิติยินดี และกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระผู้เป็น "พ่อของแผ่นดิน"

    วันนี้ผมก็รู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมทำหน้าที่ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งต้อนรับ "เพื่อนของพ่อ" ด้วยเหมือนกันครับ

    ทรงพระเจริญพระพุทธเจ้าข้า ...

    เรารักในหลวง8 เรารักในหลวง2 เรารักในหลวง9

    แก้ไขเมื่อ 13 มิ.ย. 49 13:07:15

    จากคุณ : นายชนะศูนย์หนึ่ง - [ 13 มิ.ย. 49 13:06:52 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com