ความคิดเห็นที่ 1
อยากทราบความแตกต่างของระบบการสอนLL.M.ระหว่างอังกฤษกับอเมริกาค่ะ กำลังจะไปปีหน้าแต่ยังงงๆอยู่ค่ะ จากคุณ : ^_^ - [30 ส.ค.49 21:33] --------------------------- ความคิดเห็นที่ 1 : เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ อยากรู้มานานแล้ว
** ขอเพิ่มประเทศออสเตรเลียอีกประเทศได้ไหมครับ
ช่วยเปรียบเทียบการเรียนการสอน LL.M. ระหว่างประเทศ อังกฤษ อเมริก และ ออสเตรเลีย ให้หน่อยนะครับ
ขอบคุรมากครับ จากคุณ : ๆๆๆๆ - [30 ส.ค.49 22:39]
ความคิดเห็นที่ 2 : เท่าที่รู้แน่ ๆ คือ LL.M. ของอังกฤษเป็นหลักสูตรปริญญาโทจริง ๆ ทุกคนต้องจบปริญญาตรีกฎหมายมาก่อน แต่ของอเมริกาจะไปเรียนรวมกับเด็ก JD ซึ่งเค้าจบปริญญาตรีสาขาอื่นมาและไม่เคยเรียนกฎหมายมาก่อน เข้าใจว่า LL.M. ของอังกฤษจะเรียนน้อยวิชาแต่ลงลึกกว่า LL.M. ของอเมริกา และท่าทางจะจบยากกว่าด้วย (เมื่อเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยระดับเดียวกัน) ยังไม่เคยเจอคนไทยเรียน LL.M. ที่อเมริกาแล้วไม่จบเลย จากคุณ : columbian - [30 ส.ค.49 23:32]
ความคิดเห็นที่ 3 : ll.m อเมริกาสอนกันที่อเมริกา ส่วนll.m สอนกันที่อังกฤษ แตกต่างกันมากเรื่องสถานที่สอน จากคุณ : รู้จริง - [31 ส.ค.49 00:32]
ความคิดเห็นที่ 4 : มีมากมายที่ไม่จบ ไปถามที่ฬ และมธ.ก็มี สมัครกกต.อยู่ก็ใช่ จากคุณ : sjd - [31 ส.ค.49 06:44]
ความคิดเห็นที่ 5 : อันนี้ไม่ทราบนัก แต่บอกได้อย่างหนึ่งว่าเรียนจบจากที่ไหนแล้วฉลาดกว่า มีวิสัยทัศน์กว้างไกลกว่า มีมุมมองโลกที่กว้างกว่ารู้ลึกเพียงใน กม เท่านั้น ซึ่งจบมาแล้วเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพต่อสังคม ประเทศชาติ และสากลมากกว่า ทำให้ประเทศพัฒนามากกว่า ทำให้ประชากรมีความสงบสุขมากกว่า คำตอบ ... ไม่บอก คิดเอาเอง ดู GDP Per Capita (PPP), Life Span, Health Care Benefit, Infrastucture, Moral Ethics, Stability of Family, etc. จากคุณ : ไม่ยากหรอก - [31 ส.ค.49 09:13]
ความคิดเห็นที่ 6 : ไม่ทราบเจตนาของ คห 5
เอาเป็นว่าอยากเรียนที่ ปท ไหนก็ขึ้นอยู่กับความชอบในสไตล์การสอนและเนื้อหาก็แล้วกันนะครับ จากคุณ : pra - [31 ส.ค.49 09:28]
ความคิดเห็นที่ 7 : เท่าที่เคยไปเรียนที่ King's College, University of London เมื่อหลายปีก่อน เขาให้เลือกเรียนได้ 4 วิชา โดยเรียน 1 ปี ผู้เรียนต้องไปอ่านหนังสือและ case ตาม list ที่อาจารย์มอบให้ล่วงหน้า แล้วเวลาเข้าชั้นเรียน อาจารย์ไม่ได้มานั่งสอนปากเปียกปากแฉะเหมือนเมืองไทย แต่ผู้เข้าเรียนจะต้อง discuss กันเองตามหัวข้อในแต่ละชั่วโมงที่บอกล่วงหน้าให้ไปเตรียมตัวมาแล้ว ถ้าไม่อ่านมาก่อน จะนั่งยิ้มเฉย ๆ ก็ไม่ได้ เพราะอาจารย์จะถามความเห็นของทุกคน โดยในระหว่างนั้นจะมีการแลกเปลี่ยนกันเรื่องทฤษฎีกฎหมายและวิจารณ์เหตุผลของคำพิพากษา ฯลฯ ไปด้วย ไม่มีผิด ไม่มีถูก มีแต่การให้เหตุผล และไม่มีแพ้ ไม่มีชนะ ในห้องเรียน ต้องยอมรับว่ายากและหนักมาก และเวลาสอบยิ่งยากกว่าหลายเท่า นักเรียนไทยอย่างเรา ๆ ต้องเหนื่อยมากหน่อย แต่ก็ไม่เกินความสามารถหรอก ถ้ามีความตั้งใจจริง และก็ขอเรียนว่า เมื่อจบมาแล้วคุ้มจริง ๆ ไม่ใช่เพราะว่าได้จบเมืองนอกหรอก แต่เป็นเพราะว่าประสบการณ์จากการเรียน ทำให้เราแกร่งขึ้นและมั่นใจตัวเองขึ้นมาก เนื่องจากต้องช่วยตัวเองและใช้ความพยายามในทุก ๆ ด้าน อ้อ เรียนประมาณ 1 ปี นะ และก็เห็นด้วยที่ว่าเรียนที่ไหนหรือจบที่ไหนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่สำคัญที่เป็นคนอย่างไร จบแล้วทำประโยชน์อะไรให้บ้านเมือง ให้สังคมของเราได้บ้าง นั่นแหละคือหัวใจ ขอให้โชคดีนะ จากคุณ : ผู้เคยผ่านมาก่อน - [31 ส.ค.49 09:36]
ความคิดเห็นที่ 8 : ถามพี่ความเห็นที่ 7 และพี่คนอื่นๆ ถ้าผ่านมาว่า ไม่ทราบว่ามีคนไทยจบ Ph.d. หรือปริญญาเอกสาขากฎหมายจากอังกฤษบ้างมั้ยคะ อยากทราบความแตกต่างจาก sjd ด้วยค่ะ เพราะเห็นส่วนใหญ่จะทำปริญญาเอกที่อเมริกากันมากกว่า (ซึ่งของอเมริกาเรียก sjd ไม่ใช่ Ph.d.) จากคุณ : อยากทราบมากๆ - [31 ส.ค.49 10:52]
ความคิดเห็นที่ 9 : ขอเพิ่มว่าที่อังกฤษกับออสเตรเลียเน้นทำ research paper แต่ที่อเมริกาจะสอบหรือเลือกทำ research paper ขึ้นอยู่กับเรา แล้วก้อวิชาที่ลงเรียนคะ แต่ว่าที่ไหนก้อยากเหมือนกันเพราะมันไม่ใช่ภาษาเรา แล้วก้อขึ้นอยู่กับมหาลัยที่เรียนด้วยคะ จากคุณ : 15000 - [31 ส.ค.49 14:15]
ความคิดเห็นที่ 10 : ช่วยสรุป และเพิ่มรายละเอียดจากคุณความเห้นที่ 7 นะครับ คือ ของอังกฤษ หลักสูตร LLM ของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ จะให้เรียน coursework 2 เทอม เทอมละ 10-12 สัปดาห์ แล้วพอผ่าน coursework เทอมที่ 3 เค้าก็จะให้ทำ dissertation โดยให้มีอาจารย์ที่เราเลือก เป็นsupervisorดูแล และแนะนำการทำ researchของเรา จริงๆแล้วมันก็คือ การทำ reserch ระยะเวลาสั้นๆ คล้ายๆกับ thesis ฉบับสั้นๆโดยจะศึกษาลึกในระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงแบบของ thesis แบบ ป.เอก เขียนประมาณ 10000 - 20000 คำ
การเรียนการสอนระดับ LLM ของอังกฤษ จะมีทั้ง lecturer คือไปนั้นฟัง แล้วก็ seminar คือ เป็นการที่ให้นักเรียนไปศึกษา ไปอ่านเรื่องนั้นๆเองล่วงหน้า แล้วเอามาอภิปรายกันในห้อง โดยมีอาจารย์จะไม่สอน หรือ lectuer อะไรในที่นี่ แต่จะนั่งฟัง และควบคุมการอภิปรายเท่านั้น
สำหรับการวัดผล ก็มีทั้งแบบนั่งสอบ หรือ เอา essay ไปทำที่บ้าน
ส่วนของ US จะเน้น coursework เป็นหลัก และก็จะใช้การสอบเอาซะส่วนใหญ่ โดยไม่ต้องทำ thesis หรือ dissertation ซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลักสูตร LLM ที่เราเลือก บางแห่งจะมี LLM coursework-based และก็ LLM research-based ให้เราเลือกตั้งแต่ตอนสมัคร ตามที่ คุณความเห็นที่ 9 บอก ถ้าเลือกแบบ coursework อย่างเดียว สอบผ่านหมด ก็จบ เรียนประมาณ 9 เดือนได้ แต่ถ้า research เราต้องทำ thesis อีกฉบับซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ต้องการจะเรียนไปทางด้าน research ระดับ Doctoral Degree ต่อไป
ที่ US จะเน้นการเรียนแบบ lecturer มากกว่า seminar (เรียนคล้ายๆ ป.โท ของไทยเลย) จากคุณ : LLM - [31 ส.ค.49 15:35]
ความคิดเห็นที่ 11 : ต่ออีกนิด อย่างที่ความเหนที่ 2 ว่า คือ LLM เป็นการเรียนระดับ ป.โท ส่วน JDนั้น (เป็นระบบของมหาวิทยาลัยใน อเมริกาเหนือ) คือ เป็นการเรียน กฎหมายระดับต้น เรียน 3 ปี ในฐานะที่เป็นปริญญาใบที่สองทางกฎหมาย สำหรับคนที่จบสาขาวิชาอื่น แล้วอยากมาเรียนทางกฎหมาย (รู้สึกว่าที่อเมริกา จะไม่มีการเรียนกฎหมายเลยโดยตรงตั้งแต่ ป.ตรี ต้องจบสาขาอื่นๆมาก่อนแล้วค่อยลงมาเรียน JD) ซึ่งเมื่อจบ JD แล้วก็สามารถไปทำงานประกอบวิชาชีพทางกฎหมายได้ หรือ จะไปสอบ Barrister ก็ได้ พูดง่ายๆ มันคือ การเรียนกฎหมายในเชิงสายอาชีพ
หรือ อาจจะต่อ LLM (ป.โท) ซึ่งเป็นการเรียนในเชิงวิชาการ เพื่อไปเป็นนักวิชาการ อาจารย์
ส่วนของที่ อังกฤษ ไม่มีระบบนี้ มีแต่ LLB (ป.ตรี) เรียนจบมา ก็ไปทำงานทางกฎหมายได้ แต่อาจต้องมีการสอบ Barrister จากคุณ : LLM - [31 ส.ค.49 15:43]
ความคิดเห็นที่ 12 : คุณความเห็นที่ 8 ครับ คนที่จบ PhD สาขากฎหมายจากอังกฤษมในไทย ก็มีอย่างเช่น ท่านคณบดี คณะ นิติ มธ ท่านจบ PhD จาก King's College ครับ แล้วก็มีอีกท่าน ที่จบ PhD จาก Bristol
เท่าที่ผมทราบมา มหาวิทยาลัยใน USA ส่วนใหญ่ หลักสูตร ป.เอกทางกฎหมายจะเป็น SJD หรือ JSD (Doctor of Juridicial Science) ยกเว้น Tulane กับ Washington ที่เป็น PhD ที่ต่างกันเท่าที่ทราบ คือ SJD/JSD จะมีบังคับลง coursework ด้วยนอกจากทำ thesis
ส่วน PhD (Doctor of Philosophy) จะเป็นการทำวิจัยเป็นหลัก coursework เราลงเท่าที่จำเป็นโดย supervisor เราต้องอนุมัติด้วย
บางที่ เช่น U of Melbourne มีทั้งหลักสูตร PhD กับ JSD ให้เลือกเลยครับ
ในอเมริกานั้น เค้าถือเอา PhD เป็นมาตราฐานครับ (เพราะถ้าคุณไปเรียนสาขาอื่นๆ เช่น รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ จบระดับ ป.เอก ก็จะได้วุฒิ PhD) ส่วน SJD/JSD นั้น ถือว่าเป็นวุฒิการศึกษาชั้นปริญญาเอกทางด้านกฎหมายที่เทียบเท่ากับ PhD (แต่ไม่ใช่ PhD ...งงมั๊ยครับ?) บริหารธุรกิจยังมี DBA เลย
แต่โดยสรุป มันเป็นวุฒิการศึกษาชั้นปริญญาเอกเหมือนกัน คือ เป็นการศึกษาชั้นสูงที่สุดที่มหาวิทยาลัยจะมอบให้ได้ในตอนนี้ จากคุณ : LLM - [31 ส.ค.49 15:53]
ความคิดเห็นที่ 13 : เจตนาของความเห็นที่ 5 นะหรือครับ ต้องเป็นอัจฉริยะเท่านั้นจึงจะตอบได้ จากคุณ : ความเห็นที่ 5 - [31 ส.ค.49 23:56]
ความคิดเห็นที่ 14 : ขอบคุณคุณ LLM มากค่ะ ใจจริงอยากให้web master เก็บกระทู้นี้ไว้ถาวร เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจต่อไป ... ขออภัยจขกท. ที่มาตั้งคำถามยืดออกไปถึง Ph.d. นะคะ แต่พอดีกำลังมืดแปดด้านไม่รู้จะปรึกษาใครน่ะค่ะ .. แต่จะขอเพิ่มนิดนึงในฐานะที่จบที่อเมริกานะคะว่า การเลือกวิชาในLLM program ที่อเมริกาส่วนใหญ่เปิดกว้าง และบางมหาวิทยาลัย มีวิชาให้เลือกเยอะมากๆๆ คุณสามารถเลือกวิชาพื้นฐานเช่น อาญา สัญญา รธน. ... ซึ่งจะไปเรียนรวมกับนักเรียน JD ส่วนมาก เพราะเป็นวิชาบังคับของเค้าเหมือนที่เราเรียนกัน แต่ถ้าเรียนวิชา advance หน่อย โดยเฉพาะวิชาใน specialized program (เช่น Tax, IP) ก็จะเจอนักเรียนที่ทำงานแล้วเป็นส่วนใหญ่ และ class ก็จะเล็กมาก และส่วนใหญ่LLM ที่อเมริกา ไม่ค่อยเน้น research เพื่อเขียน thesis ซึ่งต่างจากอังกฤษมาก...
ขอต่อเรื่อว SJD นะคะ ได้ยินว่า SJD เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นอาจารย์เท่านั้น (รวมนักวิชาการด้วย) ก็เลยสงสัยว่า ถ้าไปเรียน Ph.d. จะทำงานได้กว้างกว่าหรือไม่ (เพราะเคยมีผู้แนะนำมาเช่นนั้น แต่ก็ยังงงๆอยู่เช่นกันค่ะ)
จากคุณ : คห ที่ 8 จ้า - [01 ก.ย.49 04:03]
ความคิดเห็นที่ 15 : ถ้าคุณอยากเป็นคนเก่ง คงต้องเรียนลักษณะเดียวกับเรียน JD ในอเมริกา หรือ เรียนเนติอังกฤษ แต่ถ้าอยากได้คำว่า ดร. มาประดับบารมี ก็เรียน SJD, PhD ไปก็แล้วกัน แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้คุณเป็นคนเก่งในความเป็นจริง เพียงทำให้คุณรู้ลึกใน Thesis ที่คุณทำเท่านั้นซึ่งโดยส่วนใหญ่ไม่ได้เอาไปใช้จริงในชีวิตการทำงาน แต่ช่วยให้คุณมีความมั่นใจในการค้นคว้าเรื่องลึกๆอื่นๆในอนาคตต่อไปเท่านั้น คนเก่งจริงทั่วโลกโดยส่วนใหญ่ เขาเก่งเพราะเขารักในสิ่งที่ทำ รักและคลุกคลีกับสิ่งนั้นตลอดเวลา ไม่ใช่เก่งเพราะเรียนสูง ในทางกลับกันคนเรียนสูงอาจจะเป็นเพียงผู้ตามที่ดี ผู้ตามที่เก่ง แต่ไม่ใช่ผู้นำที่เก่ง ผู้คิดค้นทฤษฎีที่เป็นประโยชน์ต่อวงการ หรือสังคมได้ จากคุณ : ความเห็นที่ 5 - [01 ก.ย.49 09:15]
ความคิดเห็นที่ 16 : ขอบคุณคุณความเห็นที่ 5 ที่แนะนำค่ะ ก็จริงอย่างที่คุณว่าว่าคนที่ได้ปริญญาเอกไม่ได้หมายความว่าเป็นคนเก่งเสมอไป และก็อาจไม่ได้ใช้ในการทำงาน... แต่ดูเหมือนว่าคุณจะมีอคติกับคนที่เรียนเอกเกินไปหรือเปล่าคะ...เพราะคนที่เรียนต่อเอกเค้าก็รักในสิ่งที่เค้าทำเช่นกันนะคะ จากคุณ : คห 14 - [01 ก.ย.49 10:00]
จากคุณ :
Esprite
- [
1 ก.ย. 49 12:34:53
]
|
|
|