ความคิดเห็นที่ 61
เข้ามาอ่านเพราะสนใจ อ่านเสร็จแล้วเกิดคำถามหนึ่งคำถาม (ซึ่งเชื่อว่าคำตอบของแต่ละคน ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหนก็ตาม มันจะบ่งบอกถึงคุณสมบัติของคนๆนั้น)
ทำไมบางคนที่ --->คิดว่าตัวเองมีการศึกษา<---ถึงคาดหวังว่าประเทศไทยจะมีอะไรดีๆ offer ใส่พานให้เป็นสูตรสำเร็จ รัฐส่งคนไปเรียนนอก เพราะรัฐเชื่อว่าระบบคิดแบบตะวันตกและความรู้ ถ้าเอามาปรับใช้จะช่วยประเทศของเราให้ดีขึ้นได้ ไม่ได้ส่งไปแล้วให้กลับมาตั้งกระทู้ตัดพ้อยอมแพ้ โดยที่ไม่ได้แสดงทัศนะหรือวิธีการแก้ปัญหาอะไรที่สมกับระดับการศึกษาเลย
ถ้าระบบมันดีอยู่แล้ว รัฐไม่จำเป็นต้อง provide scholarship หรอกครับ ลำพังแค่ของเอกชน กับของส่วนตัวก็เดินชนกันแล้ว
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตรงนี้ผมอยากแนะนำเป็นส่วนตัวนะครับ
สำหรับนักเรียนทุนที่รู้สึกว่าการที่ต้องกลับไปทำงานคืนทุนในระบบที่เป็นอยู่แบบนี้ๆในประเทศไทย เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ เป็นเรื่องที่จะทำให้เกิดอาการทางประสาท หรือทำให้ต้องเสียอารมณ์ ผมขอแนะนำครับ แบบส่วนตัวๆ คือ ถ้ารับไม่ได้ อยากให้คืนทุนตอนนี้เลย อย่ารับทุนต่อครับ ถ้ารู้อยู่แล้วว่ารับไม่ได้และจะไม่มีความสุขในอนาคตที่เหลือทั้งหมด ผม-ในฐานะคนเสียภาษีให้รัฐ-อยากแนะนำครับว่า ให้ติดต่อกับหน่วยงานที่รับทุนมา แล้ว discuss the matter เลยครับ
เพื่อความสุขของคุณเอง ในชีวิตการทำงาน ถ้าจะต้องมาทำงานในระบบที่ตัวเองจะไม่มีความสุข อย่าฝืนทนกล้ำกลืนรับทุนเลย หาทางคืน ยกเลิก ส่วนที่ใช้ไปแล้วจะคืนยังไงก็ไปคุยกัน แล้วจะไปกู้หรือเอาเงินตัวเองเรียนต่อให้จบ หรืออย่างไรก็แล้วแต่
ให้กระทู้นี้ถูกโหวตนานๆครับ เพื่อให้เป็นอีกแง่มุมหนึ่งกับน้องๆที่กำลังจะตัดสินใจรับทุน เป็นข้อมูลในการตัดสินใจก่อนรับทุน และให้คนที่กำลังรับทุนอยู่และ กำลัง suffer กับอนาคตในการทำงานของตัวเองตรงนี้ ให้รีบตัดสินใจคืนทุน หรือยกเลิกไป เพื่อไม่ให้ต้องมาเป็นภาระทั้งกับตัวเองและกับรัฐในระยะยาวต่อไป เป็นบาปกรรมกันเปล่าๆ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ต่อไป ผมจะเล่าเรื่องของคนกลุ่มหนึ่งให้ฟัง
คนแรก เป็นคนเล็กๆในโครงสร้างอันน่ารังเกียจ คนๆนี้สู้และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างน่าทึ่ง แต่ผมไม่สามารถเล่าได้มาก เพราะถ้าเล่าในรายละเอียด อาจจะรู้ว่าคือหน่วยไหน แต่ผมยืนยันว่า มีคนเล็กๆในโครงสร้างที่ใหญ่กว่า คนนี้ไม่ได้จบนอก ไม่ได้เรียนถึงดอกเตอร์ เป็นข้าราชการธรรมดาๆที่ไม่ใช้เส้นสาย จบแค่ปริญญาตรี และสามารถทำสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะทำได้ นั่นคือการล้มเลิกระบบส่วยใต้โต๊ะในหน่วยงานที่เขารับผิดชอบอยู่ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ต้องกินใต้โต๊ะมาตลอด จนกระทั่ง คนๆนี้เข้ามาทำงาน และเริ่มวิธีของเขาในการหยุดระบบแบบนี้ เสียดายที่ไม่สามารถเล่าได้เพราะถ้าเล่า ถ้าพูดชื่อหน่วยงาน อาจจะรู้ทันทีและสามารถ trace ไปหาคนๆนั้นได้ ซึ่งผมไม่สามารถ afford to lose คนๆนี้ได้ ผมแค่ต้องการบอกว่าในโลกนี้ มีคนที่ทำดีและไม่ต้องการเลย ไม่ต้องการชื่อเสียง ไม่ต้องการคำสรรเสริญ ไม่ต้องการเป็นที่รู้จัก เขาแค่ต้องการทำสิ่งที่ถูก และกลับบ้านไปในแต่ละวัน ไปอยู่กับครอบครัว แล้วตื่นเช้าขึ้นมาทำสิ่งที่เขาเชื่อว่าถูก --->ในโลกนี้ มีคนแบบนี้อยู่
คนที่สอง คือหลังจากผมกลับไทย มีเวลามานั่งคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังว่า มีคนในตำแหน่งใหญ่ในกระทรวงๆหนึ่ง เป็นตำแหน่งที่สามารถโกงกินและรวยได้เร็วหลายครั้ง แต่คนๆนี้ **ปฏิเสธวิธีการที่คนในระบบรุ่นก่อนๆทำมาทั้งหมด ** เนื่องจากว่าเป็นเพื่อนสนิท ผมจึงรับฟังด้วยความแปลกใจในเชิงชื่นชม ไม่ได้มีความรู้สึกกังขาหรือคิดว่าเป็นเรื่องโกหก แต่คุณเชื่อมั้ยว่า ไม่นานหลังจากผมรับรู้เรื่องนี้ มีเหตุการณ์ที่เหมือนมา confirm ความจริงตรงนี้ เพราะว่าคนในกลุ่มอีกคน ให้ข้อมูลตรงกันว่าบุคคลนี้ ชื่อนี้ ตำแหน่งนี้ เป็นคนที่ทำงานด้วยความตรงไปตรงมาจนในกระทรวงรู้ว่าขึ้นชื่อในเรื่องซื่อตรง (เพื่อนผม ถ้า-บังเอิญ-เข้ามาอ่าน โปรดรับรู้ว่า ผมเชื่อคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เล่าแล้ว ไม่ใช่ว่ามาเชื่อหลังจากมาคุยกับอีกคน)
คนที่สาม เป็นอาจารย์(หญิง)ในมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง มีเรื่องมาเล่าให้ฟังบ่อยๆถึงโครงสร้างการบริหารของคณะฯ ผมทึ่งที่รุ่นพี่คนนี้เล่าด้วยความรู้สึกปกติ เพราะสิ่งนี้ คือสิ่งที่เขาต้องเจอและหาทางแก้ให้ได้ ถ้าไม่ได้ด้วยทางตรงก็ทางอ้อม สมัยพี่คนนี้ทำ Ph.D. อยู่ที่ NY เราคุยกันไม่บ่อย เพราะใช้เวลาในห้อง Labมาก แต่พอกลับมาแล้วได้นั่งกินกาแฟกันมากขึ้น ถึงได้รู้ว่าผมคบคนไม่ผิด คนๆนี้กลับมาเป็นอาจารย์ทำงานเกินเวลาเสมอ นักศึกษาส่งงานไม่ครบตามกำหนด ทำไม่ทัน ในฐานะอาจารย์ต้องขับรถไปที่คณะในวันเสาร์ทั้งๆที่ไม่ใช่เวลางาน เพื่อช่วยตรวจงานให้ และทำอย่างมีความสุขที่ได้ทำ
"เด็กส่งงานไม่ทัน ทำไมพี่ต้องเดือดร้อนด้วย เขาน่าจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้" "วิธีของพี่คือทำให้เขาเห็นว่าเรายอมเสียเวลาให้เขาเป็นพิเศษ เด็กจะตั้งใจมากขึ้น หน้าที่เราคือต้องซื้อใจเด็กให้ได้ก่อน"
มีอีกท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ในคณะที่ผมเคยเรียน ซึ่งถ้าพูดไปแค่นิดเดียว จะรู้ทันทีเลยว่าใคร คนในคณะนี้ทุกคนนับถือท่านมาก เพราะอะไร ? เพราะท่านไม่เพียง overcome อุปสรรคเชิงโครงสร้างทั้งหลาย ท่านทำไปถึงว่า ล้อเล่นกับระบบ เหยียบมันไว้ โดยที่ไม่ต้องใช้ตำแหน่งหรือเส้นสายใดๆเลย อาจารย์คนนี้คือคนที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยน คือคนที่พิสูจน์ให้เห็นจริง จับต้องได้ ว่า The Magic of Thinking Big มีอยู่จริง และสิ่งที่แยกคนชนะกับคนแพ้ออกจากกันคือ Attitude
สำหรับพวก loser ปัญหาก็คือปัญหา แต่สำหรับ Winner type พวกเขาเห็นปัญหาเป็นสิ่งท้าทายที่พิสูจน์ความสามารถ
คนสุดท้ายที่ผมจะเขียนเล่าให้ฟัง พึ่งสดๆร้อนๆเลย เกิดขึ้นเมื่อวานเอง ตอนที่รถติดอยู่ เป็นถนนสองทาง ไม่มีเกาะกั้นกลาง ด้านหนึ่งของถนนเป็น police station ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นตึกสำนักงาน ช่วงบ่ายๆมีตำรวจจราจรสามนายยืนเป็นด่านตรวจ เรียกมอเตอร์ไซค์ที่ซิกแซกบนไหล่ทางให้จอดเพื่อตรวจเอกสาร ผมเห็นตำรวจคนท้ายสุดกวักมือเรียกมอเตอร์ไซค์คนหนึ่ง คนขับเป็นผู้ชายอายุสักยี่สิบกว่า มีคนซ้อนท้ายเป็นผู้หญิง สิ่งที่ผมเห็นคือ พอตำรวจนายนั้นกวักมือเรียก มอเตอร์ไซค์คันนั้น ก็ลดความเร็วลง แต่ตำรวจนายนั้นเอามือครับ เอามือไปคว้าตรงแขนของคนขี่มอเตอร์ไซค์คนนั้นในลักษณะที่จะดึงไว้ ในขณะที่รถยังไม่หยุด!! รถ slowing down กำลังจะหยุด แต่ตำรวจเอามือไปคว้าที่แขนไว้ ทำให้เขาต้องเบรคหนักขึ้นกันล้ม
สิ่งที่ผมเห็นคือ มีเด็กนักศึกษาผู้ชาย ชุดนักศึกษาเลย เดินเข้าไปหาตำรวจนายนั้นแล้วเริ่มบทสนทนาเหมือนถามอะไรกัน คุยกันอยู่สักพัก รถเริ่มขยับ แต่ผมสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น และทนความสงสัยของตัวเองไม่ไหว ผมเลยจอดมันข้างทางตรงนั้น เปิดไฟฉุกเฉินแล้ววิ่งมาที่จุดเกิดเหตุ ผมเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น ตำรวจนายนั้นมองหน้าผมแล้วถามว่ารู้จักคนนี้เหรอ ผมบอกว่า "ไม่รู้จัก แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะคุณก็ไม่ได้รู้จักคนขี่มอเตอร์ไซค์ที่คุณถือวิสาสะไปละเมิด คว้าแขน ถ้าล้มจะทำไง" เด็กนักศึกษาคนนั้น( ผมรู้ทีหลังจากการถาม เขาเรียนคณะนิติศาสตร์) เห็นเหตุการณ์และทนไม่ได้ เพราะว่าพ่อของเขาเคยถูก pull over และถูกกระชากกุญแจรถออกไปอย่างหยาบคาย เขารับไม่ได้จึงต้องเข้ามาเพื่อที่จะบอกให้ตำรวจนายนั้นรู้ตัวว่า เป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย เข้าข่าย "ลุแก่อำนาจ" คือการขอตรวจเอกสารนั่นคือส่วนหนึ่ง แต่ไม่มีสิทธิมาดึงแขน
ผมไม่ได้จอดเป็นที่เป็นทาง ถ้าไม่งั้นอาจจะได้ชวนเด็กคนนั้นมานั่งกินกาแฟคุยกัน ผมได้แต่ตบไหล่เขาแล้วแนะนำไปว่า ทำดีแล้ว แต่ทีหลังให้ดูสถานการณ์ ประเมินดีๆก่อนจะทำอะไร เขายกมือไหว้ผม ผมรีบรับไหว้ทันที แต่ในใจกลับรู้สึกว่า ผมต่างหากคือคนที่ยกมือไหว้เด็กคนนั้น เพราะสิ่งที่เขาทำมัน reaffirm ความเชื่อที่ว่าในสังคมยังมีคนที่ "ใช้ได้" อยู่
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากการอ่านพันทิบห้องไกลบ้านตั้งแต่เปิดห้อง ผมรู้ดีว่าแนวทางของกระทู้นี้จะเป็นอย่างไร ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
ผมถึงต้องเข้ามาเขียนเพราะไม่ต้องการให้เกิด stereotype ว่าคนไทยที่เรียนหนังสือเมืองนอก เขาคิดแบบนี้ๆกันนะ สำหรับไม้แก่ดัดยาก ผมไม่สนใจ ผมขอแค่เด็กนักเรียนไม่กี่คนที่บังเอิญคลิ๊กเข้ามาแล้วมาอ่านเจอเรื่องที่ผมเล่าไว้ตรงนี้ ขอแค่นี้ก็พอ เพราะสังคมไม่ได้ดีขึ้นจากคนส่วนใหญ่ การเปลี่ยนแปลงต่างๆที่สำคัญๆ มันเกิดขึ้นจากคนส่วนน้อยที่มีพลังทั้งนั้น
ปัญหาในกระทู้นี้ ผมไม่เชื่อว่าแก้ไม่ได้ ผมเชื่อว่า คุณเจ้าของกระทู้ไม่มีปัญญาแก้ต่างหาก ผมขอพูดแบบนี้เลย
จริงอยู่ว่าทั้งโครงสร้าง และในส่วนของตัวบุคคลคือปัญหา แต่ในภาวะที่เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้แบบเบ็ดเสร็จทันที เราสามารถใช้วิธีต่างๆ bypass, beg, borrow หาตัวแปรที่เคยมองข้าม think all around the box
คุณลองคิดดูง่ายๆนะ สมมติว่าถ้ารายการ The Apprentice เอา model ปัญหาในกระทู้นี้ไปใช้ในรายการ แล้วให้ผู้ร่วมรายการซึ่งคัดมาทั้งคนไทยและฝรั่ง คิดหาวิธี โดยมีเงินรางวัล มีตำแหน่งงานในอนาคตดีๆ
จะมีทางออกบ้างมั้ย มันต้องมี คุณต้องเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ ต้อง Think Big , Winner's attitude, YES YOU CAN.
ถ้า Donald Trump บอกว่าให้ หนึ่งล้านUS dollars กับการแก้ปัญหานี้ ผมเชื่อว่าคุณจะ turn out better than this. คุณมี Ph.D. แต่ต้องมาชงกาแฟ ชีวิตคุณจะตกต่ำในทางการงานไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว ถ้าคุณ bypass ปัญหาไม่ได้ ใช้วิธี beg, borrow อำนาจจากคนที่สูงกว่า ไปที่คนที่สูงกว่า รายงานไปจนถึงเจ้ากระทรวง มันต้องมีคนที่ "ใช้ได้" อยู่
ถ้ายังไม่เจอคนที่จะช่วยได้ ไปที่สื่อเลยครับ ประกาศออกมาดังๆเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับหน่วยงานของคุณ ทำสิ่งที่ถูกต้องและทำให้อยู่ในระดับเดียวกับการศึกษาของคุณ การตั้งกระทู้บ่นอีกกี่ครั้ง ๆ ปัญหาก็ยังอยู่เหมือนเดิม
Make it happen, don't just let it happen.
ปัญหาของหน่วยงานคุณเกิดขึ้นเพราะคนอย่างคุณนั่นแหละ คนที่รู้ว่าปัญหาคืออะไรแล้วยังปล่อยให้มันเป็นต่อไป
If you know the problem and do nothing about it, you are the problem.
จากคุณ :
- 072648
- [
14 พ.ย. 49 07:18:46
A:58.64.44.205 X: TicketID:072648
]
|
|
|