ความคิดเห็นที่ 1
ที่ยกมานั่นมาจาก Ernest Hemingway คนที่เขียนงานอย่าง "The old man and the sea" เด็กรุ่นใหม่ หรือคนทั่วไปอาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าเป็นนักอ่าน ที่ชอบอ่านเรื่องสั้น มีน้อยคนที่จะไม่รู้ Hemingway จะใช้คำประหยัดในงานของตัวเอง ประมาณว่า less is more คือแทนที่จะใช้พรรณาโวหารหรูหรา เขาจะใช้ภาษาสั้นกระชับ แต่อ่านแล้วเห็นภาพ "ครบ" ตามที่ต้องการให้คนอ่านเห็น
จำได้ว่าตัว Hemingway เคยพูดถึงหลัก Iceberg principle ทำนองว่าสิ่งที่คนเขียน เขียนออกมา มันอาจจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ เหมือนยอดที่โผล่ขึ้นมาของก้อนน้ำแข็งให้เห็นเป็นส่วนน้อย แต่ถ้าทั้งคนเขียนและคนอ่านมี background มี connection ตรงนี้ร่วมกัน แม้เพียงยอดเล็กๆที่โผล่ออกมา ประโยคไม่กี่ประโยคที่ถูกป้ายออกมา มันสามารถสื่อความหมายที่ใหญ่กว่าได้ (หมายถึงส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำของก้อนน้ำแข็ง ที่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงให้รกรุงรัง แต่ทั้งคนอ่านและคนเขียน "รู้กัน" ว่าคืออะไร)
ที่ถามว่ามีนัยอะไรแฝง อันนี้ต้องคุยกันก่อนว่า ที่ยกมานั่นเป็นเรื่องสั้นหนึ่งเรื่อง เขาต้องการเขียนเรื่องสั้นโดยใช้คำแค่หกคำ หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว มีคนเรียกงานอย่างนี้ว่า sudden fiction หรือ flash fiction ซึ่งมันก็คือ a very very short story (ซึ่งไม่จำเป็นต้องสั้นขนาดไม่กี่คำแบบนี้ ตรงนี้คือตัว Hemingway เขียนเพื่อทดลอง เรื่องสั้นที่สั้นที่สุด เป็นงานทดลอง)
"For sale: baby shoes, never worn." อ่านปุ๊บ มันเกิด emotional impact เลยว่ามันคือ tragedy เรื่องหนึ่ง มันอาจจะเป็นการสูญเสีย ของแม่ที่ "expecting" เตรียมของใช้ต่างๆไว้รอให้ลูกเกิดมา แต่สุดท้ายลูกไม่ได้เกิด เลยต้องมี For sale: baby shoes, never worn.
ตรงจุดที่ถามว่ามีนัยอะไรแฝง ก็ต้องยอมรับว่างานเขียนหรืองานศิลปะแขนงต่างๆ พอศิลปินทำออกมาเสร็จแล้ว มันจบตรงนั้น ที่เหลือมันเป็นเรื่องของคนเสพงานแล้วว่าจะไปรู้สึกอะไรกับมันอย่างไรในแง่มุมไหน ตรงนี้มันคือการสะท้อนตัวตนของแต่ละคน บางคนอาจอ่านแล้วอาจจะบอกว่า ไม่เห็นมีอะไรเลย เป็นแค่ประโยคบอกเล่า เป็นป้ายขายของในร้าน แค่นั้น ถามว่าผิดมั้ย ก็ไม่ (แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะตีความผิดไปได้แบบ 180 องศา เช่นถ้าอ่านแล้วบอกว่า เฮ้ย สนุกจังเลย แบบนี้ก็ต้องบอกว่าคนละเรื่องเดียวกันแล้ว)
หรืออย่าง The old man and the sea ถ้าเอาไปให้คนที่ไม่เคยอ่าน โดยไม่บอกก่อนเลยว่าเป็นงานของใคร เขาอาจจะบอกว่า ตาเฒ่า Santiago คือคนแก่ที่เลอะเลือน เรื่องทั้งเรื่องเป็นการออกไปตกปลาที่ล้มเหลว แค่นั้น หรือแม้กระทั่งคนที่อ่านโดยรู้ว่า เป็นงานเขียนของใครตั้งแต่แรก ก็อาจจะไม่ได้รู้สึกเลยว่าการต่อสู้ในนั้นมันมีอะไรมากไปกว่าการต้องการตกปลาให้ได้ปลา "ปลา" ในความหมายของคนอ่านแต่ละคน กับ "ปลา"ในความหมายของ ตาเฒ่า Santiago อาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
ผมลองเขียนดูเล่นๆ ไม่รู้ว่าจะจัดเป็น Flash fiction ได้หรือเปล่า สมมุติผมเขียนกว่า "His shirt smells no scent of fabric softeners." นับได้ 8 คำ ประโยคนี้พออ่านปุ๊บ บางคนอาจบอกว่า มันเป็นแค่ประโยคเดียว จะบอกว่าเป็น story ได้ยังไง ไม่เห็นมี story เลย
แต่ผมเห็นฉาก เห็นตัวละคร เห็นเรื่องๆหนึ่ง เป็นเรื่องของคู่รักที่พบกันใน Super Market ที่ไหนสักแห่ง ผู้ชายกำลังเดินเข็น cart หยิบของใส่ ผู้หญิงคนหนึ่งบังเอิญสังเกตเห็นเขาแล้ว got a crush on เลยแอบเข็น cart ของตัวเองตามไป เห็นเขาหยิบแต่ของที่ เป็นของกินสำเร็จรูป เลยคิดว่าเขาต้องอยู่คนเดียวแน่ๆเลย คิดไปคิดมา อดใจไม่ไหว เลยหาจังหวะเข้าไปขอให้เขาช่วยหยิบของ ที่อยู่บนชั้นให้หน่อย จังหวะที่เขาเอื้อมหยิบ เธอก็แอบสูดกลิ่นจากเสื้อของเขา เพื่อที่จะดูว่ามีกลิ่นของ fabric softeners หรือเปล่า ซึ่งตรงนี้ สำหรับผู้หญิงมันคือการบอกเลยว่า หนุ่มคนนั้น single หรือ involved (หนุ่มๆ เวลาทำ laundry จะไม่ใช้ fabric softeners - และในทำนองกลับกัน ผู้หญิงที่มีแฟน เวลาทำ laundry ให้แฟน จะตั้งใจใส่ fabric softeners และใส่ dryer sheets ให้หอมมากๆ )
"His shirt smells no scent of fabric softeners." สำหรับผมแล้ว คำ 8 คำนี้ มันคือเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง มีฉาก มีตัวละคร มีบท เพียงแต่ตอนจบ มันเป็นตอนจบแบบ open แล้วแต่การสะท้อนของคนอ่านว่าอยากจะให้จบอย่างไร
จากคุณ :
- 072648
- [
28 พ.ย. 49 11:53:02
A:58.64.44.159 X: TicketID:072648
]
|
|
|