ความคิดเห็นที่ 1
เมื่อวานคุยกับอาจารย์เรื่องการวางแผนการทำ dissertation เพราะเทอมหน้าผมจะต้องทำ Qualifying Paper เสนออาจารย์และ Committee ถึงโครงการว่าเราจะทำวิทยานิพนธ์เรื่องอะไร เป็นการทำเค้าโครงอย่างง่าย ๆ (ประมาณ 20-25 หน้า เป็นโครงสร้าง dissertation อย่างย่อ ๆ)
อาจารย์ของผมมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ แกเป็นคนที่สนับสนุนให้นักเรียนได้เรียนจบเร็ว ๆ มากกว่าจะอยากให้นักเรียนอยู่นาน ๆ แต่สำหรับอาจารย์บางท่าน จะมีทัศนคติในด้านตรงข้าม คือจะชอบให้นักเรียนอยู่นาน ๆ เพราะนักเรียนยิ่งอยู่นานเท่าไร ประสบการณ์มากขึ้น ความสามารถในการทำวิจัยก็มากขึ้น จึงเป็นแรงงานที่คุ้มค่าสำหรับ Project ของอาจารย์
แต่จะว่าอาจารย์อย่างเดียวก็ไม่ถูก เรื่องแบบนี้มัีนอยู่ที่นักเรียนด้วย ว่าจะต้องการจบเร็วแค่ไหน นักเีรียนปริญญาเอกหลายคน โดยเฉพาะที่ Stanford จะมีทัศนคติที่ไม่ค่อยอยากจบเร็วนัก เพราะรู้สึกว่าชีวิตใน Stanford ก็เป็นชีวิตที่โดยเปรียบเทียบแล้วก็ค่อนข้างดีมาก อากาศดี เมืองดี เลยอยากอยู่นาน ๆ ไม่รู้สึกว่าจะต้องรีบให้จบ เงินก็มีให้พอใช้ ไม่เดือดร้อน ทำงานไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ก็จบได้ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ดังนั้นเห็นคนอยู่ 6 ปีได้ทั่วไป
อาจารย์ที่ปรึกษาของผมแกจะชอบเล่าเรื่องด้วยความภูมิใจว่า แกใช้เวลาเรียน PhD ที่ University of Chicago แค่ 4 ปี เพราะแกเกลียดความหนาวมาก ในปีสุดท้ายที่ อ.จบ เดือน มกรา ฯ มีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 ฟาเรนไฮต์ ( -17.8 เซลเซียส) ยี่สิบกว่าวันติดกัน ทำให้แกรู้สึกว่าแกทนไม่ไหวที่จะต้องมีชีวิตอย่างนั้นอีกแล้ว จึงเร่งเรียนให้จบ
..แสดงว่าบรรยากาศของมหาวิทยาลัยมีผลต่อทัศนคติในการเรียนให้จบของนักศึกษาเหมือนกัน..
ด้วยเหตุนี้ อาจารย์ก็อยากจะให้นักเรียนของตัวเองจบเร็ว ๆ ด้วย ผมเคยไปคุยกับแกตอนเทอมแรกที่เข้า ว่าอยากจะทำ ป.โท ทางด้านกฎหมาย (Master of Legal Studies) อีกใบ แกก็บ่น ๆ บอกว่าน่าจะรีบเรียนให้จบ เพราะเวลาเป็นเงินเป็นทอง รีบเรียนให้จบ จะได้กลับไปทำงานได้เงินดี (แต่ผมก็แอบเถียงในใจว่า เงินเดือนผมถ้ากลับไปเมืองไทย มันน้อยกว่าเงินที่ได้จากมหาลัยตอนนี้เสียอีก)
ทัศนคติอีกอย่างในมหาวิทยาลัยคือ บางคนอยู่นาน เพราะผลิต paper ต่าง ๆ หลายโปรเจค เดี๋ยวไปคอนเฟอร์เรนซ์ที่นั่น ถือว่าเป็น academic training แต่ว่าไม่ค่อยได้ concentrate กับงาน thesis ของตัวเอง เรียกว่าพวกความความสนใจเยอะ (ผมอาจจะอยู่ในกลุ่มนี้ได้ ถ้าไม่ควบคุมตัวเองแต่เนิ่น ๆ ) บางคนก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ทำให้ความรู้กว้างขวาง ดีกว่าเร่ง ๆ ให้รีบจบ แต่รู้แบบแคบ ๆ
แต่อาจารย์ผมไม่เห็นด้วย แกเห็นว่าการเรียนอยู่นาน ไม่ไ้ด้มีความสัมพันธ์กับความสามารถ เพราะจากประสบการณ์ นักเรียนที่ดีที่สุดของแก เรียนจบใช้เวลาแค่ 3 ปีครึ่ง ส่วนคนที่นานที่สุดใช้เวลา 17 ปี ( แต่คนนี้ตอนหลังก็ sucessful ในทางการเืมืองเหมือนกัน คือได้เป็นประธานาธิบดีของเปรู และได้กลับมาเป็น Commencement Speaker ที่นี่ในปี 2003 แกเพิ่ง submit วิทยานิพนธ์ในปี 1992 ทั้งที่ผ่านการ defend ตั้งแต่ปี 1976 ไม่เข้าใจเหตุผลเหมือนกัน)
ดังนั้นตอนนี้ ผมก็มีหน้าที่ ที่จะรวบรวมกำลังใจ คิดพิจารณาว่าจะทำ Dissertation ในเรื่องไหน ยิ่งถ้าหากตัดสินใจได้เร็วเท่าไร ก็จะทำให้จบเร็วขึ้นเท่านั้น เช่นเรื่องการหา DATA การลงวิชาเรียนที่เกี่ยวข้องกับงานของเรา การคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาต่าง ๆ ถ้าหากเริ่มได้เร็ว ก็จะได้เปรียบ
ผมว่าเรื่องเลือกหัวข้อนี่ยากจริง ๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่จะไม่ได้กลับไปทำ Academic เพราะสำหรับคนที่จะกลับไปเป็นอาจารย์นี่ ถึงแม้ความสนใจมีมาก ก็สามารถเก็บเอาตรงนั้นไว้ ใช้เป็นข้อมูลในการเขียน working paper ต่าง ๆ ได้เรื่อย ๆ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้กลับไปเป็นอาจารย์ บางทีวิทยานิพนธ์อาจจะเป็นงานทางวิชาการแบบซีเรียสชิ้นสุดท้ายของชีวิตก็ได้
... นึกแล้วเศร้า ... นึกถึงตรงนี้แล้วก็เห็นข้อดีของการได้เป็นอาจารย์ ผู้มีเวลานั่งผลิต paper ต่าง ๆ ด้วยความสุข (แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะอาจารย์บางคนก็ขี้เกียจทำเปเปอร์ และก็คนที่ทำงานข้างนอกอาจจะผลิตเปเปอร์ที่ดีได้มากกว่าคนเป็นอาจารย์ก็ได้..ยกตัวอย่าง ผู้พิพากษา Richard Posner)
หัวข้อที่ผมสนใจตอนนี้
- Labor market for Teachers, Professors /graduate students - Decentralization of Education in Thailand - Political Economy of Education - Human Capital - Return to School - Educational Finance - Philanthropy in Education, Economics of Giving - University/School Ranking - Role of Universities in creating/disseminating knowledge (using Patents as proxy) - Economic History/Institutional Economics of Education
ส่วนเป้าหมายที่ผมอยากทำก็มีตั้งแต่ระดับ ประเทศไทย ระดับ regional (เอเชีย southeast asia) UK, USA หรืองานพวก comparative studies ระหว่างประเทศ
ถ้าหากทำเรื่องไทยก็อาจจะดีสำหรับประเทศและก็ดีสำหรับตัวเองตอนกลับมา จะได้มีความรู้สำเร็จรูปเลย แต่ก็ยังอยากทำเรื่องประเทศอื่น ๆ หรือสหรัฐอเมริกาด้วยเหมือนกัน (ดีในแง่ข้อมูลหาง่าย ถ้างานดี ก็อาจจะได้รับการอ้างอิง บ่อย ๆ เป็นความภาคภูมิใจในทางวิชาการ)
คิดยังไม่ตก สงสัยต้องนั่งหาวิทยาินิพนธ์เก่า ๆ มาอ่านและก็ไปคุยกับอาจารย์อีกรอบล่ะครับ รักพี่เสียดายน้อง..จริง ๆ
จากคุณ :
B.F.Pinkerton (กายทิพย์)
- [
13 ม.ค. 50 02:01:24
]
|
|
|