ความคิดเห็นที่ 1 ไม่เกี่ยวกันครับ ไม่เกี่ยว จากคุณ : อาตี๋อินเตอร์ - [ 25 ม.ค. 50 06:18:06 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ทำใจคับ จากคุณ : EauKub~~ - [ 25 ม.ค. 50 06:47:09 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ทำไมคิดว่า มหาลัยอื่นเขาปล่อยคะแนนง่ายละ? จากคุณ : yahoo - [ 25 ม.ค. 50 06:51:26 A:70.189.196.134 X: TicketID:103981 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่เกี่ยวค่ะ อยู่กับตัวบุคคลและหลักฐานอื่นๆ มากกว่า อีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าคนจบจุฬา อาจจะเสียเปรียบด้านจีพีเอ แต่มหาลัยเมืองนอกเค้าจะทราบเรื่องความยากของข้อสอบที่จุฬานะคะ แล้วก็เรื่องความแข็งทางด้านวิชาการของที่จุฬาคะ ไม่ต้องเป็นห่วง จากคุณ : sweetkiwi (sweetkiwi) - [ 25 ม.ค. 50 07:32:51 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อะไรก็จุฬาๆ คุณทำเหมือนมหาลัยอื่นปล่อยคะแนนง่ายๆเนอะลองมาเรียนที่ รามคำแหงดูไหมครับ แล้วจะรู้ว่าการใช้ชีวิตที่ต้องผึ่งคะแนนสอบอย่างเดียวเป็นยังไงครับ (ไม่มีคะแนนเก็บหรือคะแนนช่วย) จากคุณ : อ๊อดคุงคนเก่ง - [ 25 ม.ค. 50 07:46:49 ]

ความคิดเห็นที่ 6 จากการที่เพื่อนผมบอกมานะครับ ต่างประเทศมีการจัดอันดับมหาลัยในประเทศไทยด้วย โดยแบ่งเป็นมหาลัยที่เน้นทฤษฏีจัดให้จุฬาเป็นอันดับ 1 ธรรมศาสตร์ เกษตร ลำดับลงไป(มันจัดอะไรของมันเนี่ย) ส่วนมหาลัยที่เน้นทางด้านปฏิบัติจัดให้พระจอมเกล้าทั้ง 3 แห่งเป็นอันดับ 1 มหานคร อะไรทำนองนี้แหล่ะครับ แต่ก็อย่างที่ทุกคนบอกนั่นแหล่ะครับ ถ้าได้ 3 กว่า แต่ไม่กล้าก็แย่กว่าคนทีจบด้วย 2.00 เลย แต่กล้าเสียอีก ว่าแต่ไอ้คนที่เรียนได้ 2.00 ทุกเทอมเนี่ยมีไหม มันเก่งนะ จากคุณ : nutt - [ 25 ม.ค. 50 08:02:38 A:124.120.164.72 X: TicketID:086967 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เราเรียนมาได้ 4.00 เทอมเดียวเป็นเทอมสุดท้ายคับเพราะว่าเป็นวิชาฝึกงาน เราเรียนที่ม.รังสิต นอกนั้นได้เกรดสองกว่า ๆ ทุกเทอม ไม่เห็นที่มหาลัยเราจะปล่อยเกรดเลยกว่าจะจบก็ยากเหมือนกันไม่ว่าที่ไหน แถมจบแล้วยังมาเรียนต่อที่เมกาที่UNLV กะเค้าด้วย ก็จบมาได้ด้วยเกรดอันน้อยนิด ตั้งแต่เรียนมาก็ไม่เห็นมีวิชาไหนปล่อยเกรดเลยคับ เพราะว่ามันไม่ใช่ภาษาของเราเองย่อมจะต้องยากเป็นหลาย ๆ เท่ากว่าที่เมืองไทยแน่นอน แต่ก็สบายใจตอนนี้อยู่ที่USA ทำงานที่นี้ ก็ไม่เส้นไม่มีสายเวลาทำงานไม่มีแบ่งสีเวลาทำงานด้วย จากคุณ : รักเตอร์ - [ 25 ม.ค. 50 09:28:22 A:76.0.210.93 X: TicketID:136324 ]

ความคิดเห็นที่ 8 มาตรฐานข้อสอบของแต่ละที่ไม่เหมือนกันครับ แต่การปล่อยเกรดไม่น่าจะเกิดขึ้นครับ อยู่ที่ไหนก็ต้องปรับให้ได้กับที่นั้นคำ มันไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีเลย จากคุณ : Mustard - [ 25 ม.ค. 50 11:26:47 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คะเเนนตัวอื่นก็มีึความสำคัญเช่นกันครับ ไม่ต้องเป็นห่วงคนเก่งหรอกครับ จากคุณ : Jamba_juice - [ 25 ม.ค. 50 12:42:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่อง ปล่อย หรือ กด เป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะยกขึ้นมาถกเสียเท่าไหร่ มันเทียบกันไม่ได้ ส่วนตัวแล้วคิดว่า ทุกๆ มหาวิทยาลัยก็มีเกณฑ์คล้ายๆ กันหมด แต่ที่แน่ๆ จบตรีจากไทย กับจบตรีจากต่างประเทศ มีผลพอสมควร จากคุณ : L-Nets - [ 25 ม.ค. 50 13:02:44 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่เห็นเกี่ยวเลยครับ ยังไงเค้าก็ดูที่ TOEFL / GMAT / GRE แล้วก็อีกหลายๆอย่างด้วย คุณลองได้ TOEFL 650 up GMAT 700 up GPA 2.0 Top 5 ก็ต้องการตัวคุณครับ จากคุณ : หน้าตัวผู้ - [ 25 ม.ค. 50 13:08:20 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมยังไม่ได้พูดเลยครับว่าจุฬากดเกรดที่สุดในเมืองไทย ผมแค่บอกว่า "แล้วอย่างงี้พวกที่จบจากที่แบบนี้จะเสียเปรียบคนจบมหาลัยอื่นอื่นที่ปล่อยคะแนนง่ายกว่าเปล่าครับ" นี่ผมหมายความว่าเทียบกับมหาลัยอื่นที่ปล่อยเกรดง่ายกว่าซึ่ง ก็อาจจะมีมหาลัยอื่นที่ไห้เกรดยากกว่า แต่ก็ต้องยอบรับกันครับว่าจุฬาโดยเฉพาะวิศวะเป็นหนึงในคณะที่กดเกรดที่สุดในเมืองไทยเนื่องจากไช้วิธีตัดเกรดแบบอิงกลุ่มตัดคะแนนเทียบกับเพื่อนในห้องแล้วคิดดูว่าการแข่งขันจะขนาดไหนเนื่องจากคณะนี้มหาลัยนี้แต่ละคนที่เข้าก็คะแนน Entranceอยู่ในtopของประเทศทั่งนั่น นั่นคือเหตุผลที่ผมตั่งกระทู้นี้ขึ้นมา ว่าจะเสียเปรียบคนอื่นไหมตอนสมัครเรียนต่อ จากคุณ : จขกท (volta) - [ 25 ม.ค. 50 13:11:15 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มาที่นี่แล้ว.... คำว่าจุราไม่มีค่าเลยคับ..... ฮือออออออออ จากคุณ : seebyfly - [ 25 ม.ค. 50 13:11:46 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เดี๋ยวกระทู้นี้ได้มีการตบตีกันเรื่องสถาบันแน่ๆ ฮา เพิ่งรู้ว่ามหาวิทยาลัยอื่นเขาปล่อยคะแนน มีงานวิจัยมาสนับสนุนข้อความนี้หรือเปล่าจ๊ะ อิอิ จากคุณ : yuy - [ 25 ม.ค. 50 13:21:25 A:77.123.158.109 X: TicketID:124751 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คิดอย่างนี้สิคะ คนเก่งแข่งกับหมู่คนเก่ง แล้วเกรดห่วย ก็ยังสมศักดิ์ศรี ยังดีกว่าคนเก่งที่แข่งอยู่ในหมู่คนไม่เก่งแล้วเกรดพุ่งกระฉู้ดนะ ภูมิใจไว้เตอะ อย่าคิดมาก มหาลัยเมืองนอกเค้ารู้ดีค่ะ ไม่ต้องห่วง จากคุณ : Steff (Steff) - [ 25 ม.ค. 50 13:38:52 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าคิดได้แค่นี้ก็อย่าไปเรียนเลยครับเมืองนอกเสียดายตัง อย่างน้อยคุณเข้าไปในสถาบันที่ดีที่สุดในเมืองไทย ก็น่าจะได้เปรียบแล้วทั้งเรื่องมีเพื่อนที่เก่งๆ มีอาจารย์ที่ดีๆ มันก็ต้องได้อย่างเสียอย่าง แล้วก็ไม่ใช่ว่าเขาจะเอาแต่เกณฑ์คะแนน  GPA อย่างเดียวสักหน่อย จากคุณ : พีพีจอมซ่า - [ 25 ม.ค. 50 13:54:17 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คห 11 ครับรุ่นพี่ผมจบวิดวะได้คะแนนอย่างที่คุณบอกได้ GPA 3.2ยังเข้า top 10ไม่ได้เลยครับเขาบอกว่า GPA เขาต่ำไปแต่พอเขาอยู่ปโทมหาลัยอันดับ20กว่ากว่าเขาได้ 4.0 เขาบอกเองเลยว่าจุฬากดเกรด นั่นก็เลยทำไห้ผมเกิดอาการกังวลขึ้น และคือเหตุผลที่ผมตั่งกระทู้นี้ขึ้น จากคุณ : volta - [ 25 ม.ค. 50 13:55:31 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เพื่อนผมมันไม่เห็นบอกว่ากดเกรดเลย จบมา เกรียตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง วิศวะ-อุตสาหาการ ตอนนี้ได้ทุนเรียน Logistics ที่ japan จากคุณ : 52Xmax - [ 25 ม.ค. 50 14:07:52 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อาจจะเป็นอย่างนี้นะครับคุณ volta การที่เด็กวิศวะ (หรือคณะอื่น) ได้คะแนนเฉลี่ยสองกว่ากันเต็ม เพราะการประมวลผลแบบ bell curve นั้น ก็อธิบายได้ว่าเด็กส่วนใหญ่เหล่านี้ไม่เก่งเอง หรือไม่ขยันเอง (เทียบกับคนที่อยู่ทางด้านซ้ายของ curve ไม่ได้ อาจจะไม่ได้เป็นเพราะกดเกรดก็ได้ไม่ใช่หรือครับ) แต่ถ้าคณะวิศวะตัดคะแนนแบบอิง bell curve จริงๆ การกดเกรดจะเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ เพราะคนที่ได้คะแนนสูงสุด (และรองๆลงมานิดหน่อย) น่าจะได้ a อยู่แล้ว ส่วนคนอื่นๆที่ทำได้ไม่สูงเท่าก็ได้ลดหลั่นกันตามระเบียบ (จะเป็นการ "กด" เกรด ได้อย่างไรครับ) อีกอย่างระบบเกรดที่จุฬามีบวก แต่ไม่มีลบ (อย่างน้อยตอนผมเรียนอยู่) ผมว่าได้เปรียบกว่ามหาลัยอื่นๆออก มหาลัยอื่นๆ มีลบด้วย ถ้าได้ก็ลดไปอีก ส่วนคนที่ได้ 3.2 แล้วเข้ายูทอปเท็นไม่ได้ อาจจะมีหลายปัจจัยที่ทำให้เขาพลาด เกรดก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง (คำถามก็คือ ทำไมไม่ทำให้ได้ 3.6 หรือ 3.7 ล่ะครับ ผมว่าถ้าขยันคงได้เเหละ) ส่วนที่ว่าเข้าไปเรียนแล้วได้ 4.0 ก็ถือเป็นเรื่อง(เกือบ)ปรกติ เพราะว่าอย่างภาควิชาที่ผมเรียนนี่ ถ้าเป็นเด็ก grad นั้นคะแนนต่ำสุดที่จะได้คือ 3.8 ครับ จากคุณ : krisdauw (krisdauw) - [ 25 ม.ค. 50 14:09:57 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ก็ต้องยอมรับว่าจุฬาให้เกรดยากจริงๆ โดยเฉพาะวิศวะ เพื่อนผมที่เก่งๆตอนมอปลายหลายๆคน ก็ได้เกรดสองกว่าๆตอนอย่จุฬา แล้วคนที่ได้สามขึ้นไปมีน้อยกว่าจริงๆ ซึ่งตอนนี้เพื่อนๆผมก็กลุ้มใจเรื่องเกรดเหมือนกันเพราะเวลาต่อโทที่อังกฤษ เขาดูเกรดเป็นหลัก แต่พี่ๆที่เอเจนซี่ก็บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะต่างประเทศเขาตัดเกรดให้จุฬาได้อันดับหนึ่งในประเทศไทยเลย แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 50 14:34:42 จากคุณ : ตี๋น้อยคับ - [ 25 ม.ค. 50 14:33:37 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เคยเรียนทั้งที่จุฬาและพระจอมเกล้า เราว่าคนที่ตั้งใจเรียนจริงๆ ก็ได้คะแนนดีค่ะ ส่วนคนที่ให้ความใส่ใจน้อยกว่า ก็เป็นธรรมดาที่จะได้เกรดต่ำลงไป เราว่า มานั่งบ่นว่ากดเกรดมันก็ไม่จริงเสมอไปหรอก ต้องดูที่สมอง กะความตั้งใจของตัวคุณเองมากกว่าว่าตั้งใจดีที่สุดแล้วยัง จากคุณ : เกือกซ่าสีชมพู - [ 25 ม.ค. 50 14:47:52 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คห 11 ครับรุ่นพี่ผมจบวิดวะได้คะแนนอย่างที่คุณบอกได้ GPA 3.2ยังเข้า top 10ไม่ได้เลยครับเขาบอกว่า GPA เขาต่ำไปแต่พอเขาอยู่ปโทมหาลัยอันดับ20กว่ากว่าเขาได้ 4.0 เขาบอกเองเลยว่าจุฬากดเกรด นั่นก็เลยทำไห้ผมเกิดอาการกังวลขึ้น และคือเหตุผลที่ผมตั่งกระทู้นี้ขึ้น ได้คะแนน GMAT 700up โดยที่จบตรีที่นี่ ไม่เคยเห็นเลย Part เลขได้เต็มเยอะพวกเด็กทุน แต่ Verbal ยากมากครับ เห็นได้ทุนไปเรียนพวก Fullbright/กพ. ยังได้ GMAT ไม่ถึง 700 เลย ปล.โลกนี้มันกว้างมากครับ ลองไปเผชิญ แล้วจะรู้ จากคุณ : หน้าตัวผู้ - [ 25 ม.ค. 50 15:06:09 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คห.11 จ๊ะ คนสมัคร TOP5 ระดับคะแนนแบบคุณเนี่ย เมืองนอกเค้าได้กันยั๊วเยี้ยเลยนะ เกรดก็3.00up 2.00 เค้าไม่เอาหรอก จากคุณ : อย่ามาโม้ - [ 25 ม.ค. 50 15:53:03 A:203.209.126.136 X: TicketID:101679 ]

ความคิดเห็นที่ 24 University of California, Berkeley: Admission Requirements Admission decisions are based on a combination of factors, including academic degrees and records, the statement of purpose, letters of recommendation, test scores, and relevant work experience. Berkeley also considers the appropriateness of your goals to the degree program in which you are interested and to the research interests of the program’s faculty. In addition, consideration may be given as to how your background and life experience would contribute significantly to an educationally beneficial mix of students. สมัครเรียนโท มหาวิทยาลัยดังๆไม่ได้ดูจาก GPA อย่างเดียวนะครับ ดูจาก Berkeley ข้างบน ส่วนจุฬาเสียเปรียบเรื่องเกรดไหมเนื่องจากถูกกดเกรด ผมว่าไม่มีที่ไหนกดเกรดหรือปล่อยเกรดหรอกครับ คะแนนมันขึ้นอยู่กับมาตรฐานการเรียนการสอน ตัวผู้เรียนและผู้สอนในสถาบันนั้นๆ และวิชาในห้องนั้นๆ ลองสังเกตุดูในมหาวิทยาลัยดังๆ ด้าน Engineering ของ USA เห็นมีเด็ก วิศวะจุฬาไปเรียนโท เอก กันทั้งนั้น ผมยอมรับนะว่าคนที่มาเข้าวิศวะจุฬาก็คือหัวกะทิของเด็กเรียนเก่ง แล้วถ้าตั้งใจเรียนไปเรียนที่ไหนในต่างประเทศก็เรียนได้ครับ แต่ผมไม่เห็นด้วยที่บอกว่ามหาวิทยาลัยในเอมริกาจัดให้ จุฬาเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย ที่เค้ารับคงอาจจะเป็นได้ว่าคนไทยรุ่นพี่ๆจากที่นี่ไปเรียนดีให้เค้าเห็น ทั้งนี้ก็ไม่จริงเสมอไปที่คนเก่งๆอีกมากมาย เลือกไปเรียนแต่ จุฬา ที่เดียว บางคนก็เลือกสถาบันอื่น บางคนยังสละสิทธ็เลือกไปเรียนปริญญาตรีต่างประเทศ แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะจบจาก จุฬา ที่เดียวเท่านั้นจึง จะประสพความสำหร็จในชีวิต จากคุณ : TR - [ 25 ม.ค. 50 16:28:00 A:202.57.156.218 X: TicketID:105810 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ผมว่า เป็นไปได้ครับ เพราะถ้ามองจากต่างประเทศแล้ว จะจุฬา มหิดล หรือ ธรรมศาสตร์ มันก็อันดับ 500 กว่า ทั้งนั้นแหละว้าา (คือห่วยเหมือนกันหมด ในสายตาของอเมริกา) ดังนั้น ยิ่งได้เกรดแย่อีก ยิ่งตอกย้ำความห่วยของตัวบุคคล ถ้าได้เกรดสูง ก็สรุปไม่ได้ ว่าเก่งหรือไม่เก่ง เพราะมหาลัยอันดับ 500 กว่า ทำใจครับ จากคุณ : คุณชินโซ - [ 25 ม.ค. 50 18:59:21 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ^ ^ จุฬาอันดับที่ 161 ครับ The Times Higher Education 1.Beijing University, China - 1 ; 14 ; 15 ; up. 2.Tokyo University, Japan - 2 ; 19 ; 16 ; down. 3.National University of Singapore - 3 ; 19 ; 22 ; up. 4.Hong Kong University - 8 ; 33 ; 41 ; up. 5.Indian Institute of Technology -  15 ; 40 ; 57 ; up. 6.Seoul National University, S.Korea - 18 ; 63 ; 93 ; up. 7.National University of Taiwan - 25 ;  108 ; 114 ; up. 8.Hebrew University Jerusalem, Israel  - 29 ; 119 ; 77 ; down. 9.Chulalongkorn University Thailand - 41 ; 161 ; 121 ; down. 10.Univ Kebangsaan Malaysia - 48 ; 185 ; 289 ; up. จากคุณ : Global Voyage - [ 25 ม.ค. 50 19:31:21 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ใครบอกจุฬาไม่กด (ไม่ได้หมายความว่าที่อื่นไม่กดนะครับ) เคยเจอรึป่าว เอ 1 คนจาก 150 คน อ้างอิงได้เลย วิชาอิเล็กโตรแม็ก ภาคไฟฟ้า รหัส 39 อาจารย์ฉัตรชัยสอน อีก 149 คน ขี้เกียจ ? จากคุณ : อ่านหนังสือทุกวัน (imable) - [ 25 ม.ค. 50 20:18:24 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อีกวิชา (วิชาแผนก) ลงเรียน 56 คน (ถ้าจำไม่ผิด แต่ราวๆ นี้ล่ะ) ติดเอฟไป 42 คน 42 คนขี้เกียจ โง่ หรืออะไร ??? ปล. วิชานี้ไม่ได้ยากมากขนาดไม่สามารถเข้าใจได้ เพียงแค่ที่อื่นเค้าเรียนกับสองเทอม ที่แผนกเราเรียนเทอมเดียว จากคุณ : เก่งไม่พอ ต้องถึกให้ถึงที่สุด (Living Extreme) - [ 25 ม.ค. 50 20:45:52 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ความคิดเห็นที่ 23 คห.11 จ๊ะ คนสมัคร TOP5 ระดับคะแนนแบบคุณเนี่ย เมืองนอกเค้าได้กันยั๊วเยี้ยเลยนะ เกรดก็3.00up 2.00 เค้าไม่เอาหรอก ประเด็น คือ ผมยังไม่เคยเห็นคนได้คะแนนแบบนี้ ที่เรียนตรีในไทยเลยจริง ถ้ามีก็บอกด้วยครับ อีกประเด็นก็คือเรื่องเกรด ก็ไม่ได้บอกว่ากำหนดทุกอย่าง ต้องดูทั้ง GMAT,GPA,SOP,Rec,Work ex. หรือบางที่ Interview  ด้วยซ้ำไป เพื่อนพี่ผม ได้เกรด 2 กว่า ก็ได้ทุนไปเรียน Stanford,CMU,Pennsylvania ก็เท่าที่เห็นก็ 3 คนแล้วครับ (แต่ GMAT ไม่ถึง 700 เลยอ่ะ ตาย Verbal กันหมด แต่ส่วนใหญ่พวกทุนจะมี Recommendation ที่ดีอยู่แล้ว) หรือเคยเห็นคนได้ทุน Fullbright ที่ไปเรียนพิเศษที่นึงเค้าชอบบอกในขยันๆ ก็จบเกษตร เกรดไม่ถึง 3 GMAT 650 มั้ง ก็เข้าไปได้ มันต้องดูที่หลายอย่างครับ ยิ่งสาขา Business ยิ่งต้องมี Work Ex. เพราะคนยิว,จีน,อินเดีย พวกนี้ไม่รู้กินไรกันมา สอบไรก็เกือบเต็มกันเป็นแถว หรือไม่งั้นจะเข้าก็ต้องบริจาคเงินให้สถาบันเยอะๆหรือเป็นเป็น Superstar พวกลูกเจ้าของกิจการที่รวยมากๆครับ ที่กลับมาบริหารธุรกิจขนาดใหญ่ จากคุณ : หน้าตัวผู้ - [ 25 ม.ค. 50 21:24:33 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เถียงกันไป เถียงกันมาก็ อีหรอบเดิม -*- อย่าคิดไรมากมายเลย ทำให้เต็มที่ดีกว่านะ เหอะๆ จะกดไม่กด ไม่ต้องไปสนใจ ถ้าเรามีดี ยังไงก็ทำด้น่า จากคุณ : AnCk-Su-NaMuN - [ 25 ม.ค. 50 21:56:37 ]

ความคิดเห็นที่ 31 "แต่ถ้าคณะวิศวะตัดคะแนนแบบอิง bell curve จริงๆ การกดเกรดจะเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ เพราะคนที่ได้คะแนนสูงสุด (และรองๆลงมานิดหน่อย) น่าจะได้ a อยู่แล้ว ส่วนคนอื่นๆที่ทำได้ไม่สูงเท่าก็ได้ลดหลั่นกันตามระเบียบ (จะเป็นการ "กด" เกรด ได้อย่างไรครับ) "  ปัญหาคือที่รุ่นพี่ที่เพิ่งจบไปเขาได้ที่หนึ่งภาคเขา ได้เรียนทองด้วยดันได้ GPA 3.6 นิดนิด แล้วอย่างงี้คนอื่นอื่นจะได้ไหร่กัน ผมอาจจะไช่คำพูดผิดไปครับเรื่องกดเกรด ควรจะเรียกว่าให้เกรดยากมากกว่า เพราะผมโคยได้มีโอกาสคุยกับ rep ของ berkeley เขาบอกว่าภาคที่ผมอยากเข้า average gpa อยู่ที่ 3.8 anything less than 3.5 is unlikely to get in จากคุณ : volta - [ 25 ม.ค. 50 22:00:27 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คุณเจ้าของกระทู้นี่ยังดีนะคะ ม.จุฬาฯ นี่ยังมีประจุ บวกอีกต่างหาก! ม.รามคำแหงและม.สุโขทัยธรรมาธิราชนี่ มีเกรดรายวิชาอยู่ 2 ตัว 2.5 กับ 4 ถ้าสอบได้ 4 หมดก็โอ้วววววส์! เอาไปเลย GPA 4 แต่คนส่วนใหญ่ได้ประปรายนะคะ เทียบกันดูแล้วกดเกรดน่าจะเป็นที่ 2 ที่นี่มากกว่า จากคุณ : Stila is Style - [ 25 ม.ค. 50 22:50:55 ]

ความคิดเห็นที่ 33 To K. krisdauw, You misunderstand "bell curve" la krab. Q: คณะวิศวะตัดคะแนนแบบอิง bell curve จริงๆ การกดเกรดจะเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ? A: 2.00 from MIT and 4.00 from Wat Ling Kob; who is smarter? CU students population are much different from others krab. They are preliminarily selected by entrance exam. It is as extreme as MIT vs Wat Ling Kob, but it indeed matters krab. PS: Compared with CU guys, I got 2.3 GPA. But when competing with students all around the world, I got 660 GMAT. However, I still cannot get in top 50 US business schools. However, some 3.98 guys with low TOEFL, 600 GMAT got offers from Harvard. I believe คนจบจุฬาเสียเปรียบ krab. จากคุณ : me - [ 26 ม.ค. 50 00:54:34 A:81.149.27.98 X: TicketID:136257 ]

ความคิดเห็นที่ 34 #26 ผมดูของ webometrics อันดับ 600 กว่า ๆ นะครับ จากคุณ : คุณชินโซ - [ 26 ม.ค. 50 00:57:53 ]

ความคิดเห็นที่ 35 "คนจบจุฬาถือว่าเสียเปรียบตอนต่อต่างประเทศไหมครับ" ไม่ครับ GPA ไม่ใช่ทุกอย่าง เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยก็พิจารณาไม่เหมือนกันครับ มันมีตัวแปรมากมาย เกินที่จะบอกว่า GPA นั้นเป็นเหตุที่เค้าจะสามารถตอบรับเรา จากคุณ : อานะ - [ 26 ม.ค. 50 02:10:26 A:72.68.201.2 X: TicketID:136397 ]

ความคิดเห็นที่ 36 จุฬาอาจจะโดนกดเกรดก็จริง ...แต่คนที่จบตรีจากเคมบริดจ์ ก็คงโดนกดยิ่งกว่าอยู่จุฬา แต่ชื่อมหาลัย ก็เป็นส่วนที่ทำให้คุณมีโอกาสได้ offer มากขึ้น   มันก็ได้อย่างเสียอย่างแหละค่ะ ^^ จากคุณ : shory - [ 26 ม.ค. 50 02:44:48 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คิดไปไย เกรดมันก็แก้ไม่ทันแล้ว เดินหน้าต่อไปให้สิ่งที่ทำได้เถอะ คะแนนต่างๆดียัง SOP เขียนแบบมี ambition แค่ไหน ทำไมต้องรับเรา leadership มีมั้ย (อยากเกรดสวยก็ไปเรียน ป.โทอี่กทีก่อน หรือไม่งั้นไปเอ็นใหม่ ในที่ที่คุณคิดว่าปล่อยเกรด แล้วค่อยไปยื่นที่เมืองนอก่) จากคุณ : หน้าตัวผู้ - [ 26 ม.ค. 50 02:55:56 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ตอบคำถาม  ว่าไม่คิดว่าเสียเปรียบใดๆ เราภูมิใจที่ได้เขียนใน statement of purpose ว่าจบจากมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย ถ้ามหาวิทยาลัยต่างประเทศ จะรู้จักมหาวิทยาลัยในเมืองไทยบ้าง จุฬาก็เป็นอันดับต้นๆที่คนจะรู้จักและให้ความเชื่อถือ ป.ล. พอดีว่าไม่ได้จบวิศวะ และบังเอิญได้เกรดดี เลยไม่เดือดร้อนกับการที่อ้างว่าจุฬากดเกรด จากคุณ : frappuccino - [ 26 ม.ค. 50 04:24:46 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ถึงบอกไง้ว่าทำใจ Bell curve เรียนกับคนเก่งเยอะก็ได้อย่างเสียอย่าง ได้ชื่อ ม. แต่ เกรดน้อยหน่อย ถึงจะเอาชื่อจุฬา มาค้ำ จะมีซักกี่ยู ที่รู้จัก จุฬา ส่วนใหญ่เค้าไม่มาเสียเวลาดูหรอก มีนักเรียนเปน หมื่นๆ ที่ว่า gpa ไม่สำคัญเวลาสมัครเรียนต่อ ขอเถียงหัวชนฝาเลย.... ทำได้ดีที่สุดก็เอา toefl gmat gre มาดันแล้วกัน จากคุณ : EauKub~~ - [ 26 ม.ค. 50 04:25:04 ]

ความคิดเห็นที่ 40 คุณ me ครับ จริงๆผมไม่คิดว่าผมเข้าใจคอนเซ็ปของ bell curve ผิดนะครับ ที่ผมต้องการจะพูดคือ ถ้า bell curve คือ การตัดคะแนนแบบ อิงกลุ่ม การ"กด"เกรด จะเกิดไม่ได้ เพราะว่าคะแนนที่ได้เกิดจากการ "เปรียบเทียบ" ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม คนที่ได้คะแนนสูงที่สุด(และคะแนนอื่นๆที่ใกล้คะแนนสูงสุด) ก็ต้องได้ เอ ไปตามระเบียบ ในกรณีเดียวกัน ถ้ามีวิชานึงตัดแบบอิงกลุ่มแบบนี้ นักเรียนลงเรียนห้าสิบคน ได้เอฟ สี่สิบคน อาจจะเป็นไปได้ว่า คนที่ได้เอฟ นั้นเกาะกลุ่มกันมาก และทำช่วงคะแนนทิ้งห่างไปจากคนที่ได้เอ บี ซี ดี เยอะพอสมควร ส่วนการ "กด" เกรด ต้องเกิดจากการกระทำของบุคคล (น่าจะเป็นอาจารย์) และไม่น่าจะเกิดกับระบบเกรดเเบบ bell-curve (ผม assume ว่าคนที่ได้คะแนนสูงที่สุดในการตัดเกรดแบบ bell-curve จะทำคะแนนได้ในระดับที่เปรียบเทียบได้กับคะแนนระดับ A) ส่วนการเปรียบเทียบ 4.0 จากวัดลิงขบกับ 2.0 จาก MIT ส่วนใหญ่มักจะคิดไปเองว่าจบจากมหาลัยที่มีชื่อกว่าจะเก่งกว่า อาจจะไม่จริงเสมอไป เพราะว่า อาจเป็นไปได้ว่าคนที่เรียนได้ 2.0 จาก mit เป็นพวกขี้เกียจ ไม่ทำการบ้าน (หรือปัจจัยอื่นๆ) เกรดมันถึงได้สองไงครับ ส่วนคนที่จบจากวัดลิงขบนั้น ถ้าได้สี่แสดงว่าเค้าก็ทำได้ตามมาตรฐานที่สถาบันนั้นๆตั้งไว้ เป็นเด็กที่(น่าจะ)ตั้งใจเรียน ฯลฯ เพราะฉะนั้นถ้าผมเป็นคนรับสมัคร ผมก็อาจจะ prefer เด็กที่ได้ สี่ จากวัดลิงขบ มากกว่าเด็กที่ได้ สอง จาก เอ็มไอที ก็ได้ (ทั้งนี้ทั้งนั้นรวมถึงปัจจัยอย่างอื่นๆ ด้วย เช่น คะแนนสอบจีแมท จีอาร์อี ฯลฯ) วกกลับมาที่จุฬา ผมก็อาจจะสรุปได้ว่า คนที่ได้เกรดสองนิดๆ คือคนที่ไม่ขยันเรียนเอง สู้เพื่อนไม่ได้ (สำหรับวิชาที่ตัดเกรดแบบ bell curve) หรือว่า ทำคะแนนไม่ถึงเกณฑ์เอง (สำหรับการตัดเกรดแบบอิงระดับเปอร์เซ็น) เพราะฉะนั้น ถ้าผมเป็นคนรับสมัคร ผมก็อาจจะไม่พิจารณาเด็กคนนี้ก็ได้ เพราะคะแนนที่เค้าได้ ไม่เท่ากับมาตรฐานที่มหาลัยผมตั้งไว้ (สมมติว่า รับเข้าปริญญาโทต้องได้จีพีเอ สาม เป็นต้นไป) ผมก็เคยเรียนที่จุฬามา และได้สองจุดเจ็ดห้าตอนจบ ผมพอใจกับเกรดที่ผมได้ ผม "พอใจ"ในแง่ที่ว่า รู้ตัวเลยว่าไม่ขยันเอง ไม่ค่อยอ่านหนังสือ โดดเรียนบ่อย ส่วนคนที่เค้าเข้าเรียน ขยันทำงาน ก็ได้เกียรตินิยมไปตามระเบียบ (ปล ผมไม่ได้จบจากคณะวิศวะ จบจากบัญชี) แต่พอมาเรียนที่อเมริกา (ผมมาเรียนตรีอีกใบ) ผมขยันเรียน และเปลี่ยนสายเรียน ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ จบตรีด้วยเกรด 3.50 ซึ่งก็ "พอใจ" อีกเช่นกัน เพราะว่าถือว่าผมแข่งกับฝรั่ง และแข่งกับเจ้าของภาษา (ซึ่งน่าจะเรียนภาษาอังกฤษได้ดีกว่าผม) อ้อ ผมเปลี่ยนมาเรียนด้านภาษาอังกฤษนะครับ (อีกอย่างคือ หลายๆมหาลัยที่เมกา การตัดเกรดแบบอิงเกณฑ์ โหดมากนะครับ คือ 97-100 เปอร์เซ็นได้สี่ 92-96 ได้ สามจุดเก้า ประมาณนี้นะครับ ซึ่งถ้าเปรียบกับเมืองไทย เกณฑ์เมืองไทยน่าจะต่ำกว่า อย่างนี้ผมก็น่าจะสรุปได้ว่าจุฬา "ปล่อยเกรด" กว่าเมืองนอก และผมน่าจะได้เกรดจากจุฬาสูงกว่า ซึ่งก็ไม่ได้เป็นจริง) เพราะฉะนั้นผมสรุปว่า ขึ้นอยู่กับเด็กเอง และผมไม่คิดว่าจุฬาให้เกรดยากกว่าที่อื่น หรือ มีอาจารย์ใจร้ายหรือเคร่งครัดในมาตรฐานวิชาขนาดที่ต้อง "กด"เกรดนักเรียน มากกว่ามหาลัยอื่น ผมคิดว่าอยู่ที่ตัวนักเรียนเองว่าหลังจากได้เข้าไปเเล้ว ทำได้เท่าคนอื่น หรือ เท่ามาตรฐานที่ตั้งไว้หรือไม่ (เช่น ถ้า 90 คะแนน คือ a เด็กทำได้มากกว่าหรือเท่ากับเก้าสิบหรือไม่ เป็นต้น) ส่วนถ้าพูดถึงการให้เกรด ผมตัดเกรดนักเรียนที่เมกามาหลายปีอยู่ ในมหาวิทยาลัยที่อาจถือได้ว่าดีที่สุดใน pacificnorthwest ผมก็ไม่ได้ตัดแบบคิดว่า ต้องให้เกรดมันยากๆ ออกข้อสอบมันยากๆ นะครับ ก็ตัดไปตามเกณฑ์น่ะแหละ และวัดกับเด็กคนอื่นๆในชั้นเรียนด้วย และผมก็ไม่เคยได้ยินอาจารย์ที่ภาควิชาผมพูดหรือคิดว่า ต้องกดเกรดให้มันมากๆหน่อย มหาลัยจะได้ดูดี หรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ในกรณีเดียวกันผมก็ไม่คิดว่าที่จุฬาอาจารย์หรือมหาลัยมีนโยบาย (หรือมีนโยบายหลบซ่อน) ที่จะกดเกรดหรือให้เกรดยากนะครับ จากคุณ : krisdauw (krisdauw) - [ 26 ม.ค. 50 05:03:05 ]

ความคิดเห็นที่ 41 อืม ที่คุณพูดก็ถูกครับ ถูกต้องแล้วที่อาจารย์เขาก็ตัดตาม curve แต่ประเด็นที่ผมพูดก็คือ กลุ่มประชากรมันต่างกันครับ คนเข้าวิศวะจุฬานั้นครึ่งนึงคะแนนเลข 90+ เวลาสอบ Calculus ด้วยกัน ไอ่คนที่คะแนนเลข 70 กว่าๆนั้นกลายเป็นได้ C ได้ D แต่อย่าง .. เอาเป็นว่าวิทยาศาสตร์ มก. คนที่ได้ที่หนึ่งของบางภาควิชา คะแนนเลขสอบเอนทรานซ์ได้ประมาณ 60 แต่เขาก็นับว่าเก่งสุดในภาควิชาแล้ว เลยได้ A ไป นี่แหละครับความไม่เท่าเทียมของ Bell Curve มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จึงมีทั้งใช้อิงกลุ่มและเกณฑ์ผสมกัน มหาลัยที่ใช้อิงกลุ่มอย่างเดียวเช่นจุฬา จึงสามารถพูดได้ว่ากดเกรดครับ ขอแย้งคุณ shory นะครับ เคมบริดจ์ไม่ได้กดเกรดไปกว่าจุฬาหรอกครับ และขนาด Harvard ยังเคยโดนว่าว่าเกรดเฟ้อด้วยซ้ำครับ เคยมีเคสว่าเด็กจุฬาเกรดสามนิดๆเข้าไปเคมบริดจ์แล้วได้ท๊อปคลาสหลายวิชา อาจารย์งง มีเข้าไป Texas Austin แล้วได้ที่หนึ่งคลาส มีเข้าไป Georgia Tech แล้วได้ A ทุกวิชา คนที่เรียนได้ที่หนึ่ง Georgia Tech หรือ Texas Austin นั้น ความสามารถเข้า MIT ได้สบายๆ แต่เกรดเขาไม่ถึงครับ แต่คนไทยหลายๆคนเกรดถึงเข้า MIT Harvard Cambridge ได้ แต่ปรากฎว่าเรียนไปแล้วผลการเรียนกลับไม่ค่อยดี อย่างไรก็ตาม ถ้าจะเทียบกันไปมันก็ไม่เป็นธรรมทั้งงั้นแหละครับ หม่อม อ. หม่อม ต. หัวสมองก็ธรรมดาๆ แต่ได้เข้า Ox กับ Whar ได้เป็นผู้ว่าการฯ ก็เพราะเป็นหม่อม ส่วนเพื่อนผมวัดไอคิวได้ระดับ Genius เกือบติดโอลิมปิกวิชาการ คนนึงเป็นเซลล์ คนนึงเป็นมาร์เก็ตติ้ง เฮ้อ... โลกก็เงี๊ยแหละครับ ตอบคำถามเจ้าของกระทู้ก็คือ เกิดมาจนกว่า ไม่มีพ่อแม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ ก็เสียเปรียบเค้าแล้วคร๊าบบ จากคุณ : me - [ 26 ม.ค. 50 05:41:44 A:172.188.107.83 X: TicketID:136257 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ผมว่ามหาลัยต่างชาติ (ที่มีนักเรียนต่างชาติสมัครเยอะๆ) เขามีทำสถิติแน่นอนครับ และ เขาไม่ได้ตั้งมหาวิทยาลัยมาปีสองปี ต้องมีการฟีดแบกกลับจากเพอร์ฟอร์แมนซ์ของนักเรียนของแต่ละที่ที่เคยรับมา เช่นปี แรก เอ็มไอทีอาจเลือก คนจบจากมหาลัย A จากไทยที่ได้เกรด 3.99 และ คนจบจากมหาลัย B ในไทยที่ได้ 3.78 เข้ามา เรียนไปเรียนมาปรากฎว่า คนจบจากมหาลัย A ที่เกรดป.ตรีสูงกว่า เรียนไม่ได้เรื่อง พื้นฐานอ่อน ขณะที่ คนจากมหาลัย B ได้ท็อบทุกวิชา แน่นอนว่า ในการ แอดมิชชั่นปีถัดๆ ไปฟีดแบ็กก็ต้องออกมาให้เห็นแน่นอนครับ แต่ถ้าคุณสมัครในภาคหรือมหาลัยที่ไม่เคย ได้สัมผัสกับนักเรียนเก่าจากสถาบันใดๆ ในไทยเลยก็คงช่วยไม่ได้ครับ ต้องวัดกันตรงจีอาร์อีกับโทเฟลจริงๆ จากคุณ : ดีทรอยต์ - [ 26 ม.ค. 50 10:30:32 A:136.18.216.140 X:136.18.216.140, 12.41.112.201 ]

ความคิดเห็นที่ 43 1. ถ้าเมืองนอกจะรู้จักมหาลัยในไทยสักแห่งหรือสองแห่ง ก็อาจจะรู้จักจุฬานะคะ admission committee ที่ฉลาด ๆ ขยันทำงานเนียะ เค้ารู้จักมหาลัยดี ๆ ใน แต่ละประเทศแหละ ถ้าจะมีโอกาสได้รับการสัมภาษณ์จาก u ต่างประเทศ (ที่ดีหน่อย) ลองถามดูสิจ๊ะ อย่าเหมาโหล อย่าทำเป็นสุนัขหางด้วนสิค่ะ 2. เรื่อง bell-curved shape ไยพูดให้ปวดหัว คือจริง ๆ อาจารย์แกตัดเกรด แบบไร้ spectrum เป็นที่สุด A 1-2% B อีก 3-10% นอกนั้น C หมด ไหน จะข้อสอบที่ยากซะ ชนิดเอ็นท์กระจอกอย่างแรง เพราะตัดแบบนี้ เกรด 3.6-3.8 มันก็มี แต่พวกที่ได้ 2.3-2.9 มันก็เยอะมาก ๆๆๆๆๆ พวกนั้นเป็นเทพ แต่เราก็ไม่ได้แย่อยู่ใน นรกภูมิขุมไหน บางทีก็ท้อ เพราะจะหลุดไปได้ B หรือ A เนียะต้องใช้ effort พอสมควร คือกลายเป็นถนัด optimization กันหมด เรียนพอให้ผ่าน 3. เคยเรียนในยุคที่เข้ายาก (คะแนนเอ็นท์ต่ำสุด 366 หมอจุฬา 355 หมอศิริราช 340) ในภาคที่เข้ายากสุด ก่อนเข้า average GPA ปีหนึ่ง = 2.9 ตอนจบ average GPA = 2.6 ปี 1 ว่าโหด เจอ 3 ปีที่เหลือ เอาตัวแทบไม่รอด ได้ C แต่ละตัวเนียะดีใจกว่าเอ็นท์ติดอีกจ๊ะ 4. วิศวะด้วยกัน ในแต่ละภาค เนื้อหายากง่าย grading policy ก็แตกต่างกันนะ 5. ไม่ค่อยคิดอะไรเพราะติดว่าเรียนคนละอย่าง แต่บางทีแล้วรู้สึกน้อยใจนิด ๆ เช่น ประกาศให้ทุน (ของธ.กสิกร กรุงไทย ฯลฯ) ไม่รับพิจารณาคนได้เกรดต่ำกว่า 3 คือโอกาสสอบยังไม่มีเลยจ๊ะ grad school บางที่ strict มาก เห็นเกรดต่ำกว่า 3 ปุ๊บ โยนลงถังขยะเลย (C เนียะ mediocre เข้าขั้นกระจอกนะจ๊ะ) บางทีรับเข้าไปเรียนแต่ติด condition โยงใย หมดสิทธิ์รับทุน RA โอกาสหลาย ๆ อย่างที่เสียไป มันน่าเสียดายอ่ะ 6. เห็นหลายคนแสดงความคิดเห็นว่าไม่ขยันเรียนเองเลยได้เกรด 2 กว่า สาบานนะคะ ห้องเรียนเนียะแน่นมาก เข้าเลคเช่อร์ทุกครั้ง โจทย์เจิดเราก็ซ้อมทำ ไม่เคยเหนียวตังค์ ค่า xerox แม้แต่บาทเดียว ส่วนใหญ่ตอนม.ปลายก็เกรด 3.5up ค่ะ ตั้งใจเรียนทั้งนั้น ไม่งั้นจะได้เรียนในคณะนี้เหรอค่ะ วิศวะที่นี่น่าจะก๊งเหล้าน้อยสุดแล้วมั้ง?!? 7. เรามีวิชาเรียนที่ตัดนอกคณะน้อยมาก สำหรับเด็กวิศวะในยุคนั้นถือว่าหมูมากค่ะ Foundamental English เนียะ mean คณะเรา 77% ค่ะ น้อยกว่าหมอ 79% แต่มากกว่าคณะอื่นทั้งหมดที่เรียน FEI & FEII เพื่อนหลายสิบคนจึงจบตรีด้วยการมี A 3-4 ตัวในชีวิตค่ะ มี FE 2 ตัวนี้แหละกับ Lab Physics อาภัพชะมัด อีกวิชา Cal III ที่ตัดกับบัญชี สนุกมาก ๆ ค่ะ สัมผัส A Calculus ครั้งแรก & ครั้งเดียว 8. มีคนบอกว่าคะแนนเอ็นท์ไม่ได้สะท้อนความเก่งกาจอะไร ลองสังเกตสักนิดถ้าที่คณะมี การรับแยกภาคแต่เรียนรวมกัน ขนาดคะแนนเฉลี่ย 4-5% ยังมีนัยยะ ประสาอะไรกับ 10-20% หมอ SI กับ RA คะแนนเฉลี่ยห่างกัน 3-4% ผลคะแนนในระดับปีหนึ่งยัง ต่างกัน คนเรียนคนสอนยังรู้สึกได้เลยจ๊ะ คือที่บอกมาว่าบางที่ไม่เคยมีใครได้เกียรตินิยม หรือมีเด็กไทร์จำนวนมากในปีหนึ่ง ต้องดูคุณภาพเด็กก่อนค่ะ 9. Let bygones be bygones ค่ะ จริง ๆ GPA ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการพิจารณา สามารถชดเชยด้วยข้อดีด้านอื่น ๆ ได้ค่ะ อย่างที่นิยม ๆ กัน คือ standardized test ทั้ง หลาย เช่น gmat, gre, toefl คือ เกรด 2.6 ได้ gmat 700 + great recommend ก็สามารถเข้าที่ดี ๆ หรู ๆ เริ่ด ๆ ได้นะคะ อย่างที่หลายคนบอกมันถูกชดเชยด้วยชื่อเสียง มหาลัยเหมือนกัน วันก่อนเห็นคุณน้อง Volta พูดถึงรุ่นพี่ CE ที่เข้า comp sceince ที่ CMU ได้ นั่นก็เป็นตัวอย่างโต้ง ๆ อันนึงค่ะ แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 50 13:35:00 แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 50 13:34:28 แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 50 11:29:27 จากคุณ : Mamuangkuan - [ 26 ม.ค. 50 10:35:30 ]

ความคิดเห็นที่ 44 คิดว่าเมืองไทยนี่มันต่ำต้อยขนาดเค้าจะไม่รู้จักมหาลัยในนี้เลยเหรอ ว่าอะไรอยู่อันดับไหน คนที่ทำงานในมหาลัย ไม่ว่าจะอาจารย์ หรือฝ่าย admission เค้าไม่ได้โง่นะคะ ขนาดเราๆ ไม่ใช่อาชีพที่ต้องรู้ว่ามหาลัยไหนในโลกอยู่แรงค์ไหน เรายังรู้กันเลย ว่า Berkely ดีกว่า pacific state หรือ Yale ดีกว่า community college แล้วนั่น อาชีพเค้าแท้ๆ ทำไมเค้าจะไม่หาข้อมูล ว่าประเทศไหนมหาลัยไหนดี แรงค์เป็นยังไง ให้เกรดเป็นยังไง ข้อมูลพวกนี้ไม่ได้หายากเลย คุยกับคนรอบๆตัวก็ได้ ดูจากสถิติต่างๆของศิษย์เก่าที่มาเรียนก็ได้ อย่าไปคิดว่าเค้าไม่รู้หรือไม่สนใจสิ เรามั่นใจว่าส่วนใหญ่เค้ารู้กันว่ามหาลัยไหนแรงค์เป็นไง ให้เกรดเป็นยังไง เพียงแต่ไม่เปิดเผยให้เราฟังแค่นั้นแหละ ซึ่งคนไทยด้วยกันเองน่ะแหละ ที่อาจจะยอมรับฟังไม่ได้ จากคุณ : ผ่านมา - [ 26 ม.ค. 50 11:34:50 A:203.152.15.3 X: TicketID:030771 ]

ความคิดเห็นที่ 45 "เห็นหลายคนแสดงความคิดเห็นว่าไม่ขยันเรียนเองเลยได้เกรด 2 กว่า สาบานนะคะ ห้องเรียนเนียะแน่นมาก เข้าเลคเช่อร์ทุกครั้ง โจทย์เจิดเราก็ซ้อมทำ ไม่เคยเหนียวตังค์ ค่า xerox แม้แต่บาทเดียว ส่วนใหญ่ตอนม.ปลายก็เกรด 3.5up ค่ะ ตั้งใจเรียนทั้งนั้น ไม่งั้นจะได้เรียนในคณะนี้เหรอค่ะ วิศวะที่นี่น่าจะก๊งเหล้าน้อยสุดแล้วมั้ง?!?" คำถามของผมคือ เข้าเรียนทุกครั้ง ซ้อมทำการบ้าน ไม่เคยเสียดายค่า xerox หรือทานเหล้าน้อย ไม่ได้เป็นตัวบอกหนิครับว่าต้องได้เกรดเอ หรือต้องได้คะแนนสูงในวิชาหนึ่งๆ เหมือนเด็กนักเรียนอเมริกันของผมชอบมาเถียงเวลาได้เกรดต่ำว่า "I did put a lot of effort in writing this paper. Why did I get a C" ผมถามกลับไปว่า "Does the AMOUNT OF EFFORT directly correlate with the QUALITY of the work?" นั่นคือ ทำการบ้านนาน เข้าเรียนทุกครั้ง ไม่ได้แปลว่าต้องได้เกรดดี เพราะอาจทำไม่เยอะพอ ไม่หลากหลาย หรือ เข้าเรียนทุกครั้ง แต่อาจจะไม่เข้าใจที่อาจารย์สอน เอางี้สิครับ ลองไปติดตามชีวิตของคนที่ได้เอ สักสองสามคนในวิชาที่เค้าว่าหินๆ คุณอาจจะพอเดาได้ว่าทำไมสู้เค้าไม่ได้ เค้าอาจจะอ่านหนังสือเพิ่มเติมนอกเหนือจากห้องเรียน เค้าอาจจะใช้เวลามากกว่าคุณ อาจจะซีรอกซ์มากกว่าคุณ ฯลฯ "7. เรามีวิชาเรียนที่ตัดนอกคณะน้อยมาก สำหรับเด็กวิศวะในยุคนั้นถือว่าหมูมากค่ะ Foundamental English เนียะ mean คณะเรา 77% ค่ะ น้อยกว่าหมอ 79% แต่มากกว่าคณะอื่นทั้งหมดที่เรียน FEI & FEII เพื่อนหลายสิบคนจึงจบตรีด้วยการมี A 3-4 ตัวในชีวิตค่ะ มี FE 2 ตัวนี้แหละกับ Lab Physics อาภัพชะมัด อีกวิชา Cal III ที่ตัดกับบัญชี สนุกมาก ๆ ค่ะ สัมผัส A Calculus ครั้งแรก & ครั้งเดียว" อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วไม่ใช่หรือครับว่า จุฬาไม่ได้"กด"เกรด เพราะว่าวิชาที่ตัดกับคณะอื่นๆนั้น ถ้าคุณ "เก่งจริง" (ในที่นี้คือ ถ้าคุณทำคะแนนนำคนอื่นๆ) คุณก็ได้เอ ไปตามระเบียบ ในทางกลับกัน สำหรับวิชาที่ตัดกับคนในคณะเดียวกัน หรือภาคเดียวกัน ถ้าคุณทำได้ไม่ดีจริง ไม่นำคนอื่น หรือทำได้ในระดับที่คนส่วนใหญ่ได้ๆกัน เกรดก็ต่ำสิครับ คำถามสุดท้ายคือ อาจารย์จะกดเกรดไปทำไมครับ เพื่อรักษามาตรฐานวิชา เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นวิชาที่ยาก เพื่อความสะใจ? ผมว่าไม่เห็นมีเหตุผลอะไรที่สำคัญเลยอ่ะครับ ส่วนเรื่องมหาลัยเมืองนอกรู้จักมหาลัยเมืองไทยหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่าแล้วแต่ professor ที่เป็นคณะกรรมการรับสมัคร โดยเฉพาะบางโปรแกรม บางมหาลัยที่คนไทยไปเรียนเยอะๆ (เช่น Oregon State University) บางคนบอกว่า ทีคนไทยยังรู้จัก MIT Harvard เลย ทำไมเค้าจะไม่รู้จัก จุฬาลงกรณ์ อย่าลืมนะครับมันต่างกัน เราเป็นประเทศเล็กกว่า และต้องการไปเรียนที่ๆมีมาตรฐานสูงกว่า เราก็ต้องรู้จักของเขาเป็นธรรมดา แล้วมีเหตุผลอะไรที่เค้าจะ "ต้อง"รู้จักของเรา (แต่อย่างที่บอกยกเว้นมหาลัยไหนคนไทยเข้าไปเรียนเยอะแล้ว หรือมีคนไทยสมัครเยอะ) ลองคิดง่ายๆ คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก มหาลัยชั้นนำของพม่า ของเวียตนาม ของลาว หรือเปล่าครับ เหมือนที่รู้จัก ฮาเวิร์ด หรือ เยล หรือเปล่าครับ คำตอบก็คือ ไม่ เพราะว่าสถานะภาพมันต่างกัน (เหมือน คนลาวพูดไทยได้ เพราะได้ดูหนังไทย แต่คนไทยพูดไม่ได้ เพราะเราไม่ได้รับสื่อจากประเทศที่ด้อยกว่า) จากคุณ : krisdauw (krisdauw) - [ 26 ม.ค. 50 14:09:37 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ^ ^ ^ ผมขอเห็นแย้ง ผมเชื่อว่าคนที่มีหน้าที่คัดเลือกนักเรียนนั้นต้องรู้จักจุฬาอยู่แล้วคับ Thailand Chula /Thammasart Korea 1 Seoul National University 2 Yonsei University Singapore 1 NUS 2 Nanyang University Taiwan 1 Taiwan National University Hong Kong 1 Hong Kong University 2 Chinese University 3 Hong Kong Politechnic 4 City University China 1 Beijing University 2 Tsing Hua University 3 Jiaotong University 4 Futan University Japan 1 Tokyo University 2 Kyoto University 3 Osaka... Malaysia 1 Univ Kebangsaan พอเขาเห็นนักเรียนว่ามาจากประเทศไหนเขาก็มีโปรไฟล์อยู่แล้วแหละว่า มหาลัยไหน ยังไง จากคุณ : ตี๋น้อยคับ - [ 26 ม.ค. 50 15:00:22 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เสียเปรียบแน่ๆครับ เพราะจุฬา โดยเฉพาะวิศวะ กดเกรดจริง เจ้าของกระทู้อย่าไปใส่ใจพวกที่เข้ามาด่าเราเลยครับ พวกที่เข้ามาหาว่าคนที่ได้สองกว่า เพราะโง่เอง ไม่ขยันเอง คงลืมนึกถึงสมัยตอนเรียน ม ปลายว่า พวกเก่งๆที่สุดของห้องเอ็นท์เข้าที่ไหนกัน ไม่ใช่ วิศวะ จุฬา หรือ แพทย์จุฬาหรือ บางโรงเรียนที่ไม่ใช่โรงเรียนดังๆ อย่างเตรียมฯ สวนกุหลาบ อะไรเทือกนี้ บางทีปีนึงเข้าวิศวะได้คน สองคน บางปีไม่มีเลย เรียกว่าเข้าได้สักคนก็ดังกันไปทั้งโรงเรียนเรียกว่าต้องเก่งจริงๆ แล้วอะไรทำให้เด็กที่ตอน ม ปลาย ที่ได้เกรดเฉลี่ย 3.50-4.00 เหล่านี้ กลายมาเป็นเด็กที่ได้สองกว่า ให้พวกที่เอ็นท์คณะนี้ไม่ได้ แต่ไปเรียนที่อื่นมาดูถูกแบบนี้ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะกดเกรด ถ้าพวกเขาโง่ พวกที่เข้าไม่ได้ไม่ควายเหรอครับ ผมจบเตรียมฯ 3.9 คิดว่าผมโง่กว่าพวกคุณที่เข้ามาด่าๆนี่ไหม ผมก็ยังจบวิศวะ ได้แค่ 2.8 ทั้งๆตั้งใจกว่าตอนอยู่เตรียมฯ หลายเท่านัก ตลอดสี่ปี ไม่มีวันไหนที่ไม่ได้อ่านหนังสือจนดึก แต่ทำไงได้ มันก็ได้เกรดแค่นี้จริงๆ เพราะการแข่งขันมันเหลือทนจริงๆ เพื่อนๆเก่งทุกคน และอาจารย์ก็ไม่ปราณีด้วยสิ บางตัวคนได้ D กับ F ล่อไปเกินครึ่ง แล้วจะเหลือเหรอครับ แต่มองในแง่ดีละกันครับ ถ้าเราไม่เคยเข้ามาเรียนที่นี่ เราคงไม่รุ้ว่ามีคนเก่งกว่าเราเยอะแยะ ถ้าเกิดผมไปเข้าคณะอื่น สถาบันอื่นที่ง่ายกว่านี้ ผมมีสิทธิได้ที่หนึ่งของคณะเห็นๆ (คะแนนเอ็นท์ได้ 78 เปอร์เซ็นต์ เพื่อนที่ได้แค่หกสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ตอนเอ็นท์แต่ไปเรียนที่อื่น ก็เห็นได้เกียรตินิยมกันทุกคน ) และผมก็คงหลงคิดว่าตัวเองเก่ง ฉลาดกว่าคนอื่นไปเรือยๆ เหมือนบางคนในน้เพียงเพราะว่าไม่เคยเรียนกับคนเก่งจริงๆ เพราะคนเหล่านั้นไปกระจุกตัวกันใน 1--3 คณะในประเทศไทยเท่านั้น เรื่องการไปเรียนต่อ เราเสียเปรียบครับ แต่อย่าท้อ ให้แปรความกดดันนี้เป็นแรงสู้ ทำ toelf gmat ให้ได้เยอะๆ ก็จะช่วยได้ และทำให้เค้าเข้าใจว่าเกรดเรากดจริงๆ เพื่อนสนิทผมจบวิศวะ จุฬานี่แหละ ได้ GPA แค่ 2.6-2.7 แต่ได้ TOEFL 283 GMAT 720 ประสบการณ์ดี ก็เข้าได้ทุกยูที่สมัคร ทั้ง Ivy league ในอเมริกา และ Oxford, Cambridge,LBS ในอังกฤษ ในขณะที่เพื่อนที่ไปเรียนเศรษฐศาสตร์ บัญชี ที่อื่น (แน่นอนเพราะเข้าวิศวะไม่ได้) ซึ่งจบด้วยเกรดตั้งแต่ 3.50-3.9 กลับไม่มีใครได้ toefl เกิน 250 และ gmat เกิน 600 สักคน เลยไม่มีใครเหล่านี้เข้า top 30 ได้สักคน สรุป แน่นอนครับ เราเสียเปรียบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีสิทธิเข้าเรียนต่อที่ดีๆได้เรา ผมเชื่อครับ ว่าเด็กวิศวะ เกือบทุกคน สติปัญญาดีในระดับหนึ่ง (ไม่งั้นคงไม่สามารถเฉือนคนเก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ของประเทศเข้ามาเรียนที่นี่ได้) และมีความอดทน (อย่างน้อยก็ทนความกดดันในการเรียนที่นี่ได้) เราสามารถทำคะแนนสอบมาตรฐานอย่าง gmat ให้ได้สูงๆได้ครับ โรงเรียนดีๆในโลกนี้เค้ารู้หมดแหละว่ามหาวิทยาลัยในไทยที่ดีๆมีที่ไหนบ้าง เกรดเราดูไม่ดี แต่อย่างน้อยเราก็มีรุ่นพี่ที่ไปสร้างชื่อเสียงไว้เยอะ บางคนจบสองกว่า แต่ไปเรียนมหาลัยท็อปๆในอเมริกาได้ที่หนึ่งของชั้นก็มีให้เห็นบ่อยๆ อย่าไปคิดว่าเค้าจะไม่รู้จักมหาลัยในประเทศไทยสักที่ ผมเคยสัมภาษณ์กับ cambridge เมื่อหลายปีก่อน คณบดีของ cambridge ยังถามผมว่า ทำไมอยากมาเรียนที่ cambridge ล่ะ ในเมื่อจุฬาฯ เองก็มี business school ที่ดีมากอย่าศศินทร์ ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ครับที่เค้าจะไม่รู้จักเรา และมาตรฐานของเรา จุฬา ตั้งมาจะเป็นร้อยปี มีเด็กไปจบเมืองนอกที่ดังๆ มาเป็นพันๆ หมื่นๆคนแล้ว และฝากถึงพวกองุ่นเปรี้ยวด้วยนะ ว่าช่วยเพลาๆหน่อย ถ้าคนได้สองกว่าที่นี่โง่ หรือ ขี้เกียจ แล้วพวกที่ไม่มีปัญญาแม้แต่จะเข้า นี่ควรเรียกว่าอะไรหรือ ?? ผมขอเรียกว่า พวกโง่กว่าควายและยังอาศัยอยู่ในกะลาซะด้วย จากคุณ : innocuous - [ 26 ม.ค. 50 15:52:54 A:172.21.227.79 X:137.132.3.11 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ถ้าเทียบ gpa กับคะแนนมาตรฐานอย่าง gmat ก็จะรู้ว่าที่ไหนกดเกรด ไม่กดเกรดนะ ไม่เคยเห็นเด็กวิศวะได้ gmat ต่ำกว่า 600 แม้จะเป็นคนจบแค่ 2.2-2.3 ในขณะเดียวกันเห็นมานักต่อนักแล้ว พวกเกียรตินิยมอันดับหนึ่งหลายๆที่ สอบไม่ได้แม้แต่ 550 อย่างนี้จะบอกได้มั้ยว่า ที่ไหนกดเกรด ที่ไหนไม่กดเกรด (หรืออาจจะถึงขั้นปล่อยเกรด) อย่ามาเถียงข้างๆคูๆนะว่าเทียบกันไม่ได้ การเปรียบเทียบด้วยข้อสอบมาตรฐานอย่าง gmat นี่น่าจะเที่ยงธรรมที่สุดแล้ว ไม่งั้นทั่วโลกเค้าคงไม่ใช้กันหรอกนะ และมีรายงานออกมานักต่อนัก รับรองโดยโรงเรียนธุรกิจชั้นนำทั่วโลกว่าคะแนน gmat สะท้อนความสามารถในการเรียนได้ดีกว่า gpa ซึ่งมาตรฐานการให้คะแนนสะเปะสะปะมากตามความยากง่ายของแต่ละคณะ สถาบัน แม้แต่คนที่จบตรี ivy league ในอเมริกา คนที่จะได้ gmat เกิน 700 ส่วนใหญ่จะจบตรี เกิน 3.50 แทบทั้งนั้น ถ้าเด็กสองกว่าจากไทยทำได้เท่านี้ จะอนุมานได้มั้ยว่าสองกว่าของเราไม่ได้ด้อยกว่า 3.50 ของมหาลัยชั้นนำเมืองนอก อย่างนี้จะเรียกว่าเรากดเกรดได้มั้ย ลองคิดดู จากคุณ : innocuous - [ 26 ม.ค. 50 16:08:20 A:172.21.227.79 X:137.132.3.11 ]

ความคิดเห็นที่ 49 1. คุณ krisdauw ค่ะ อย่าคิดว่าเราไม่รู้สิค่ะว่าจะเรียนอย่างไรให้ได้ดี เราพูดทั้งในแง่ quantity & quality ของ effort ที่ลงไปค่ะ แต่ถ้าคุณเรียนในภาควิชาที่นโยบายให้ A 2-5% กับบางคณะที่แจก A ทั้งยังไม่นับ (1) ความยากง่ายในวิชาที่เรียน (2) ความสามารถของผู้เรียน แต่มาให้เกรดอิงกลุ่มโหดแบบนี้ เกรดก็ไม่ดีสิค่ะ 2. คุณบอกว่าไม่ดีถ้าเทียบกับคนอื่น ในความเห็นส่วนตัว เกรดควรแปรตามความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่ขึ้นกับ batch/class โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ใช่ terminal degree แบบ mba หรือ professional เกรดมีผลต่อการเรียนในระดับสูงขึ้นแน่นอน ฟันธง!! 3. ที่ยกตัวอย่างไปนั้น เพื่อให้เห็นภาพค่ะ ว่าพอเราตัดรวมกับคณะอื่น enlarge population เราถึงจะได้ A กัน ภาพที่ว่าพอเราเรียนตัดกันเอง เราเหนื่อยค่ะกว่าจะได้ A เพราะมันก็เขี้ยว ๆ (เคี่ยว ๆ ?) นี่พูดถึงในวิชาที่แจก A เป็นปกติ (สัก 10%) อย่าง Cal I II III นะคะ ในหลายวิชาที่เรียนในภาคเราไม่ได้ partial credit เลยถ้าคำตอบผิด เกรดก็แป๊ก 4. ส่วนตัวเรียนตรี เกรดไม่ดีค่ะ 2.9 แต่เกรดโทดี 3.98 ได้มีโอกาสเรียนเอก คุยกับเพื่อนเป็นสิบคน บอกเหมือนกันว่าเกรดตอนตรีเนียะ เป็น anomaly อย่างหนึ่งในชีวิต ที่พูดว่า "กดเกรด" ไปไม่ได้หมายความทั้งจุฬา เฉพาะวิศวะ เพราะรู้แค่นั้นค่ะ 5. ในแวดวงการศึกษาเนียะ ทุกคนได้รับโอกาสในการรับพิจารณาเท่าเทียมกันค่ะ คงไม่ได้มานั่งดูหรอกว่านี่มาจากประเทศด้อยพัฒนาหรือเปล่า ถ้า admission committee ขยัน เค้าจะทำหน้าที่ขวนขวาย ทำ road show ค่ะ ที่เค้ารู้ก็คงแค่เป็นมหาลัยดีของประเทศนี้ เด็กต้องแข่งขันสอบเข้า เป็นวัฒนธรรมของเอเชีย อะไรเทือกนี้ ไม่ได้พูดว่าเราดีเด่นเสียจนเค้าต้องรู้จัก ผิดประเด็นหรือเปล่าค่ะ 6. อาจารย์มีเหตุผลในการกดเกรดค่ะ เด็กจะได้ขยันและรอบคอบ เพราะบางวิชามีผลต่อการประกอบวิชาชีพ ถ้าเกรดไม่ได้มีผลต่อการเรียนต่อ สอบชิงทุน และโอกาสอื่น ๆ ในชีวิต ก็อาจเฉย ๆ ค่ะ ถามเกรด ก็บอกเกรด + ชื่อมหาลัยไป แต่นี่..ไม่ใช่ หลายคนพูดไปอาจรู้สึกคับแค้นกับคำเย้ยหยันไยไพ แต่ส่วนตัว แค่อยากให้เข้าใจ...เพราะมันก็เป็นอดีตไปแล้ว แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 50 17:13:34 จากคุณ : Mamuangkuan - [ 26 ม.ค. 50 16:35:32 ]

ความคิดเห็นที่ 50 [ในขณะที่เพื่อนที่ไปเรียนเศรษฐศาสตร์ บัญชี ที่อื่น (แน่นอนเพราะเข้าวิศวะไม่ได้) ซึ่งจบด้วยเกรดตั้งแต่ 3.50-3.9 กลับไม่มีใครได้ toefl เกิน 250 และ gmat เกิน 600 สักคน เลยไม่มีใครเหล่านี้เข้า top 30 ได้สักคน] ^ ^ ^ อ้าว เหมารวมซะงั้น -_-" จากคุณ : ตี๋น้อยคับ - [ 26 ม.ค. 50 16:35:47 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ไม่ได้เหมารวมครับ พูดถึงเฉพาะกลุ่มตัวอย่างเล็กๆที่รู้จักจริงๆ มิได้มีเจตนาจะ make inference ไปยัง true population แต่อย่างใด จากคุณ : innocuous - [ 26 ม.ค. 50 16:46:25 A:172.21.227.79 X:137.132.3.11 ]

ความคิดเห็นที่ 52 บางคนชอบเปรียบ apple with orange นะครับ (ซึ่งฝรั่งเค้าบอกเอามาเปรียบกันไม่ได้) แน่นอน คนที่เอ็นเข้าได้ (ถ้าไม่ได้เดาข้อสอบมั่ว หรือเส้นเข้าไป) ถือว่าเก่งในระดับหนึ่ง แต่เวลาจะเปรียบกันก็ต้องเปรียบกันกับตอนที่เข้าไปเรียนแล้วสิครับ จะเอามาเปรียบกับตอนเกรด สี่ ที่ได้ตอน ม.ปลายได้อย่างไร ที่สำคัญคือ ตอนเข้าไปเเล้ว สมมติว่าเราได้ เกรดสองในวิชาหนึ่ง ในขณะที่คนที่ได้ เอ มีอยู่สามคน (assume การตัดเกรดแบบอิง curve) การที่เราคะแนนห่างจากคนที่ "เก่งๆ"ที่ไปกระจุกตัวกัน นั่นก็เพราะเราทำคะแนนได้ไม่ถึงพวกคนเหล่านั้นเอง ไม่ใช่หรือครับ (จะจากปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ไม่สำคัญ เช่น อาจจะอ่านหนังสือไม่เท่าคนที่ได้เอ อาจจะอ่านหนังสือน้อยรอบกว่า ฯลฯ) สิ่งที่ผมเน้นคือ ตัวเรา(ที่ได้สอง)ทำคะแนนห่างจากเด็กเก่งๆที่ไปกระจุกตัวกันอยู่ในคณะนั้นเอง มันเป็น"ผลงาน" ของเราเองไม่ใช่หรือครับ จะมาหาว่าอาจารย์ไป "กด"เกรด ได้อย่างไร (คุณ innocuous พูดเองไม่ใช่หรือว่า "อ่านหนังสือจนดึกแล้วมันยังได้เท่านี้เอง ช่วยไม่ได้" ก็แสดงว่า คุณทำคะแนนได้ไม่เท่าเพื่อนๆเอง แล้วจะว่าคณะวิศวะ (หรือคณะเเพทย์)หรือทั้งจุฬา "กด"เกรด ได้อย่างไร) อีกอย่างนะครับ บางคนที่ไม่ได้เรียนวิศวะ ไม่ได้แปลว่าเขาเข้าไม่ได้ เขาอาจจะไม่สนใจด้วยซ้ำ คือไม่อยากเข้าอยู่แล้ว ให้เข้าฟรี ก็ไม่เรียนอยู่แล้ว (อย่างผมเอง) เพราะไม่ชอบ เพราะฉะนั้นเขาก็ไปเรียนคณะอื่นๆ ส่วนเรื่องที่จุฬาเป็นที่รู้จักหรือไม่ อย่างที่ผมเรียนไปข้างบน มีส่วนหนึ่งที่รู้จักจุฬา แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคณะกรรมการรับสมัคร และทุกมหาลัย "ต้อง" รู้จักจุฬา ใช่ไหมครับ หรือ มีการเขียน rank ของมหาลัยในเอเซียหรือทั่วโลกไว้ติดโต๊ะคณะกรรมการใช่ไหมครับ ยกตัวอย่างผมถาม doctoral chair ของผมสองคน ซึ่งเค้าเป็นคนรับผมเข้ามาเรียนที่นี่ (เมกา) ถามเค้าว่ารู้จัก chulalongkorn มั้ย เค้าบอก ไม่เคยได้ยิน (อาจจะเค้าโลกแคบเอง หรือเป็นเพราะไม่เคยมีนักเรียนจากจุฬามาเรียนที่ภาควิชานี้มาก่อน แต่นั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า ไม่จำเป็นว่าคณะกรรมการ "ต้อง"รู้จักจุฬา) ส่วนเรื่อง standardised test ก็เช่นเดียวกัน เห็นคุณถามมาว่า "จะอนุมานได้มั้ยว่าสองกว่าของเราไม่ได้ด้อยกว่า 3.50 ของมหาลัยชั้นนำเมืองนอก อย่างนี้จะเรียกว่าเรากดเกรดได้มั้ย " ผมก็อยากจะตอบว่า ไม่น่าจะอนุมานแบบนี้ได้ เพราะว่าถึงแม้ข้อสอบ gmat จะมีการคิดคะแนนและออกแบบข้อสอบที่อยู่ในเกณฑ์เดียวกันทั่วโลก (นั่นคือความหมายของ standardised test) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการอนุมานที่คุณพูดจะถูกต้อง สาเหตุคือ เด็กไทยที่ได้จีแมทเยอะ แต่จีพีเอน้อย อาจจะได้คะแนนเยอะเพราะว่าไปติว trick การทำข้อสอบจากสงวน หรือที่ไหนก็แล้วแต่ (คนฝรั่งส่วนใหญ่ไม่มีเงินจ่ายค่าเรียนที่แคปแลน หรือ ปรินซ์ตัน เพราะแพงเหลือเกิน ถ้าเทียบกันสงวน หรือบีบีแอนซีบ้านเรา) หรือว่ามีพื้นฐานคณิตศาสตร์มาดี (อย่าลืมว่า ข้อสอบคณิตศาสตร์ทั้ง gmat และ gre ไม่ได้ยากเหมือนวิชา calculus หรือ principles of algebra ที่เรียนกันในมหาลัย) และอย่าลืมว่า คนที่มาสอบ GRE, GMAT นั้นมีหลาย background บ้างมาจากวิศวะ บ้างมาจากอักษร บ้างมาจากบัญชี เพราะฉะนั้นคนที่ได้คะแนนสูงจากข้อสอบเหล่านี้ คงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ในเชิงเกรดของปริญญาตรี หรือในเชิงสถาบัน บางคนจบบัญชี แต่ได้คะแนนเลขของ GRE เท่ากับคนจบจากวิศวะเลย (คือเกือบเต็ม) แล้วอย่างนี้จะวัดมาตรฐานของเกรดและ background กันได้อย่างไร ข้อสอบ standardised test หลายๆอัน เช่น Toefl การที่สอบได้คะแนนสูงๆ ก็ไม่ได้หมายความอีกเช่นกันว่าจะบอกเกี่ยวกับ academic background ของคนเหล่านี้ได้ (นั่นคือ ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบในเชิงเกรดของต่างมหาลัยแบบที่คุณ innocuous ยกมาในเรื่อง GRE ได้) และมากไปกว่านั้น ข้อสอบ standardised test แบบนี้ ไม่ค่อยบอกถึงความสามารถจริงๆ ของนักเรียนเท่าไร ถ้ายกตัวอย่าง TOEFL ก็เห็นว่าส่วนใหญ่ที่ได้คะแนนกันสูงๆ ก็เพราะว่าไปเรียนทักษะการทำข้อสอบมาทั้งนั้น หรือไปเรียนวิธีเขียนแบบโทเฟิลมาทั้งนั้น พอมาถึงที่นี่ก็เขียนกันจริงๆไม่ได้สักที standardised test ไม่ได้หมายความว่าจะบ่งความสามารถของนักเรียนได้ในทุกกรณี แต่ข้อสอบมาตรฐาน(standardised test) หมายความว่า มีการคิดคะแนน และมีการออกแบบรูปลักษณ์ข้อสอบให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสำหรับทั่วโลก (หรือ ทั่วประเทศ ฯลฯ) ต่างหาก เพราะฉะนั้นเวลาเปรียบเทียบอะไร ก็ต้องเปรียบเทียบให้อยู่ในกลุ่มเดียวกันนะครับ จากคุณ : krisdauw (krisdauw) - [ 26 ม.ค. 50 17:04:14 ]

ความคิดเห็นที่ 53 สงสัยจะคุยกับบัวใต้น้ำอยู่จริงๆ เหนื่อยมาก กรุณาดูตัวเองก่อนวิจารณ์ว่าคนอื่นไม่มีตรรกะ หรือไม่รู้เรื่อง apple orange อะไรของคุณหรอกนะ ไม่ได้อยากจะอวดตัวนะ แต่ผมก็มากจาก U top ten ฉะนั้นก็คงไม่ได้โง่ไปกว่าคุณหรอก ได้โปรดอย่าทำมาสั่งสอน เราเข้าใจหรอกนะ ว่าไม่ว่าจะเรียนที่ไหน มันก็ต้องมีการกระจายตัวของเกรด แต่ถ้าคณะส่วนใหญ่ในประเทศนี้ หรือมหาวิทยาลัยนี้ สมมติให้ A สัก 15% B สัก 30% C สัก 30% D สัก 20% F ไม่เกิน 5% กับอีกคณะหนึ่งที่รับเด็กด้วยมาตรฐานที่สูงกว่า แต่การให้เกรดเป็นแบบนี้ A น้อยกว่า 5% B น้อยกว่า 20% C 50%-70% D, F มี ทุกวิชา ขึ้นกับความยากง่าย วิชาโหดๆ อาจมี F ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งบางครั้งแม้แต่เด็กโอลิมปิกก็ยังตก วิชาที่ง่ายหน่อย อาจมี D,F รวมกันประมาณ 20% แต่ยังไงต้องมีคนตก เพราะตัดอิงกลุ่ม ต่อให้ทั้งห้องสอบได้เกิน 80% ก็ต้องมีคนตกอยู่ดี คุณยังบอกไม่ได้อีกหรือว่ามันมีการกดเกรดหรือไม่ กรุณาตัดมิจฉาทิฐิออกไป (ไม่ว่าจะเพราะเคยสอบเข้าที่นี่ไม่ได้ หรือ อะไรก็แล้วแต่) แล้วลองบอกอีกทีว่าคุณไม่เห็นความแตกต่าง ถ้าเช่นนั้นผมขอให้คุณปรึกษา psychologist หรือ physician โดยด่วน ไม่สมองหรือจิตใจคุณต้องมีปัญหาแล้ว ปล แล้วไอ้เรื่อง bell curve อะไรของคุณน่ะ มันง่อยมากๆขอบอก ถ้าไม่ตกสถิติจริงๆ คงรุ้ว่ามันเอา 2 curve ที่มาจากคนละประชากรมาเทียกับไม่ได้อะ สมมติ 2 curves มันจะกระจายตัวเหมือนกันก็เถอะ แต่ถ้า mean มันต่างกันมากขนาด 99th percentileของ population ที่หนึ่ง มันยังไม่แตะ 1st percentile population ที่2 ยังจะตำหนิว่าที่โหล่ของ population ที่ 2 มันโง่กว่าหรือขยันน้อยกว่าคนส่วนใหญ่ใน population ที่ 1 อีกหรือ โง่บัดซบจริงๆ จากคุณ : innocuous - [ 26 ม.ค. 50 17:33:25 A:172.21.194.228 X:137.132.3.11 ]

ความคิดเห็นที่ 54 แล้วถ้าคะแนนเอ็นท์ก็วัดอะไรไม่ได้ gmat ก็ยังวัดอะไรไม่ได้ ผมว่าคุณไปบวชเถอะ อย่าเรียนเลย เพราะคุณไม่เชื่อเครื่องมืออะไรในการวัดผลการศึกษาเลยสักอย่าง ทั้งที่วงการการศึกษาทั่วโลกเค้าเชื่อถือกัน หรือว่าอะไรที่คุณทำได้ไม่ดี คุณก็จะปฏิเสธไปหมดทุกอย่าง ? จากคุณ : innocuous - [ 26 ม.ค. 50 17:40:33 A:172.21.194.228 X:137.132.3.11 ]

ความคิดเห็นที่ 55 อืมมมมมมมม ผิดเองที่ดันทะลึ่งไปเรียนวิศวะจุฬา ประมาณว่าถ้าเรียนที่อื่นกรูได้เกรดสูงกว่านี้เเน่นอน เเหม ก็ต้องยอมรับสิครับว่ามีคนที่เก่งกว่าคุณจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : Jamba_juice - [ 26 ม.ค. 50 18:26:50 ]

ความคิดเห็นที่ 56 คุณ innocuous ครับ คุณจะใช้วาจาแบบที่ไม่มีคำด่ารุนแรงไม่เป็นหรือครับ (เช่น "โง่บัดซบ" ฯลฯ) คนที่จะไปพบจิตแพทย์น่าจะเป็นคุณ เรื่องแค่งี้ยังต้อง "องุ่นเปรี้ยว" โกรธเป็นฟืนเป็นไป เรื่องไม่ได้เถียงกันใหญ่โตเสียหน่อย (เพราะอาจจะร้อนตัวที่ผมว่าว่าคุณได้เกรดไม่เท่าคนเก่งๆของคณะหรืออะไรก็แล้วแต่) เข้าเรื่องที่คุณยกตัวอย่างมา ผมเห็นด้วยว่ามีความแตกต่างของสองสถาบัน (จากตัวอย่างที่คุณยกมา) แต่สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยคือ ความไม่(น่าจะ)เป็นจริงของสถานการณ์ การเกรดแบบ bell curve จริงๆ นั้นหลักของการเกรด (คุณเรียนสถิติมาหนิ) คือ ต้องหาตรงกลางก่อนใช่ไหมครับ แล้วหา deviation ออกไป และการเกรดแบบ bell-curve คือ จะมีนักเรียนที่ได้ เอ พอๆกับ นักเรียนที่ได้เอฟ กลับไปดูตัวอย่างของคุณข้างต้น มหาลัยแรก ให้คะแนน เอ สิบห้า เอฟ ห้าเปอร์เซ็น ส่วนตัวอย่างที่สอง เอ น้อยกว่า ห้า แต่เอฟ สี่สิบเปอร์เซ็น นี่มันสถานการณ์ในอุดมคติหรือไงครับ ต่างกันถึงขนาดนี้ แน่นอน เราคงเกรดแบบ classic, strict bell curve ที่ผมพูดข้างต้นไม่ได้ (คือมีการเฉลี่ยกระจายตัวเท่าๆกัน สำหรับ เอ และ เอฟ หรือ ดี พอๆกับ บี) นั่นคืออาจารย์จะต้องปรับระดับคะแนน และปรับจำนวนนักเรียนต่อเกรดไปตามสถานการณ์ เช่น บางทีข้อสอบยากไป คนที่ได้คะแนนสูงสุด ทำได้น้อยมากๆ บางทีเราก็ต้องเพิ่มคะแนนให้นักเรียนก่อนไปเปรียบเทียบกับคะเเนนที่เราคิดว่าจะเป็น benchmark ที่เหมาะสม (หรือกรณีที่ทั้งห้องสอบได้เกินกว่า 80 เปอร์เซ็น เราก็ต้องปรับจำนวนนักเรียนที่ตกและที่ได้เอ และปรับระดับคะแนนดิบไปตามสมควร) ปัญหาที่พูดกันอยู่คือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่อาจารย์ตั้งใจมาตั้งแต่ก่อนเริ่มคอร์สว่าจะให้เอ ห้าเปอร์เซ้น และให้เอฟ สี่สิบเปอร์เซ็น (ถ้าอาจารย์จะลิมิตจำนวนนักเรียนต่อเกรด น่าจะลิมิตให้เข้าในลักษณะที่ เอ มีจำนวน เท่ากับ เอฟ และ บี กับ ดี มากกว่า) การที่เอฟมี สี่สิบเปอร์เซ็น และเอ ห้าเปอร์เซ็น น่าจะมาจากคะเเนนปลายภาค และนักเรียนสี่สิบเปอร์เซ็นนั้นทำคะแนนเกาะกลุ่มกันมาก และ ได้คะแนนน้อยในระดับที่สมควรได้ เอฟ ต่างหาก (ถ้านำไปเทียบกับ benchmark ทั่วๆไป) คำถามก็คือ ทำไมคุณไม่ทำให้ได้อยู่ในระดับที่คนที่ได้เอ (ไม่ว่าจะห้าเปอร์เซ็น หรือ สิบเปอร์เซ็น) ที่เค้าได้กันล่ะ หรือคุณทำไม่ได้เองหรือเปล่า โทษใครได้ครับ (หรือว่า พวกนั้นเค้า"เก่งเกินไป"???) แต่ใครจะรู้ สถานการณ์ที่คุณยกมาอาจจะเป็นจริงในคณะวิศวะจุฬาก็ได้ สงสัยต้องเขียนไปถามคณบดีให้ออกมาชี้แจงแล้วมั้งครับว่าทำไมอาจารย์ถึงโหดขนาดนั้น(ถ้าเป็นจริง) ถ้าคุณคิดว่าคะแนนอย่าง gre กับ toefl วัดผลได้(มากมาย)นักล่ะก็ อันนี้ก็เรื่องของคุณ แต่ว่าผมไม่ได้องุ่นเปรี้ยวแน่นอน (เห็นคุณบอกว่า อะไรที่ผมทำได้ไม่ดี ผมปฏิเสธ) เพราะว่า คะแนน จีอาร์อีของผม โดยเฉพาะด้านภาษาอังกฤษ ผมรับรองได้ว่าผมไม่เป็นรองใคร แม้แต่ฝรั่งก็ตาม (แต่ไม่ได้หมายความว่าผมพูดภาษาอังกฤษเก่งกว่าฝรั่ง หรือใช้ภาษาได้ดีกว่าฝรั่ง นะครับ อันนี้คือที่ผมชี้ว่ามันวัดไม่ได้หรอก) จากคุณ : krisdauw (krisdauw) - [ 26 ม.ค. 50 18:28:41 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ลบข้อความส่งซ้ำ แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 50 18:29:30 จากคุณ : krisdauw (krisdauw) - [ 26 ม.ค. 50 18:28:58 ]

ความคิดเห็นที่ 58 อยากจะเขียนไปถามคณบดี ก็เชิญเลย จะ provide ข้อมูลให้ เชิญ verify ได้ตามใจชอบ 1. วิชา soil mechanics สอนโดย อาจารย์ ชื่อขึ้นต้นด้วย ส ปัจจุบันไปเป็นอธิการบดีมหาลัยอื่น รุ่น ปีการศึกษา 2537ไปเช็คดูได้ว่า D-F ครึ่งภาค (หรือเกิน) จริงหรือไม่ 2. วิชา RC design รุ่นเดียวกัน มีเด็กโอลิมปิกได้(และสอบเอ็นท์ได้ที่ 1 ใน5 ของประเทศได้หรือไม่) F จริงหรือไม่ ยังมีอีกหลายวิชา เช่นของภาคไฟฟ้า แต่ขอไม่ให้ข้อมูล เพราะไม่ได้เป็นนักเรียนของภาคนั้น และเรื่อง bell curve อะไรอะ เลิกซะทีเถอะ ที่บอกว่ามันกดๆๆๆ มาจนถึงตอนนี้ก็เพราะการให้เกรดมันอิงกลุ่มแต่ออกไปในแนวไม่ normal distribution น่ะสิ แต่มัน skewed to the left อย่างแรงถึงแรงที่สุด (a, b น้อยกว่า d, f มากๆๆ) ไม่ต้องไปเทียบกับคณะอื่น สถาบันอื่นก็ได้ แค่เห็น curve แบบนี้ เข้าใจหรือยังว่ามันกดเกรดจริงหรือไม่ และถ้า add info เข้าไปอีกว่า การให้เกรดแบบนี้ มันเกิดขึ้นในหมู่คน top 1% ของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยทั่วประเทศ คำตอบคุณจะเป็นยังไง (ถ้าคุณตอบแบบจริงใจ และ ไม่คิดจะเอาชนะคะคาน) และไม่ต้องเอาคำว่าองุ่นเปรี้ยวมาใช้กับผมเลย ผมอาจจะมีความคับข้อง คับแค้นใจที่โดนกระทำให้ได้รับเกรดต่ำๆจากที่นี่ (ทั้งๆที่มั่นใจว่าไม่ได้โง่) แต่ในระยะยาวกับภูมิใจนะที่ได้จบจากที่นี่ พบเจอคนเก่งๆ มากมาย (แม้จะสู้เค้าไม่ได้ก็เถอะ) มันเป็นโอกาสอย่างหนึ่งที่คนไม่เคยสัมผัส จะจินตนาการไม่ถูกจริงๆ (แบบ ม ปลาย ร้องไห้ถ้าไม่ได้เกรด 4 แต่อยู่ที่นี่กลับต้องบนบานศาลกล่าวหลายรอบมากเพียงเพื่อขอเกรด C หรือ D) และ การเจออะไรโหดๆ มันทำให้เราสู้ไม่ถอยในแง่ของการศึกษา และ ไม่พอใจถ้าไม่ได้พยายามจนสุดความสามารถ(ไม่เหมือน ม ปลาย ที่เล่นไปเล่นมาก็ได้ 4.00 ได้) และสุดท้ายผมไม่มีอะไรจะองุ่นเปรี้ยว (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคุณ) เพราะสุดท้ายผมก็จบ u top ten โดยเรียนได้ดีกว่าคนส่วนใหญ่ของ class ซึ่งถ้าส่วนตัวให้เทียบการให้เกรดทั้งสองที่ ผมยังยืนยันว่าที่เมืองไทย กด อยู่ดี แม้จะเทียบกับ u ระดับโลกที่เคยสัมผัสมาก็เถอะ คุณน่าจะได้มีโอกาสสัมผัสการเรียนที่นี่จริงๆนะ ไม่รู้ดิ ให้พูดให้ตายก็คงไม่เข้าใจมั้ง เอาเป็นว่า ขอจบแค่นี้ละกัน สำหรับการโต้เถียงกับคุณ ยังไง ก็ฝากไปถึงคนตั้งกระทู้ด้วยว่า ยอมรับเถอะว่ามันกดเกรดจริงๆ มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ตั้งคณะแล้ว และอาจจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป (แต่มันก็เป็นเหตุผลนึงที่ทำให้มันมีชื่อเสียงมาจนถึงตอนนี้ไม่ใช่หรือ) และภูมิใจไว้เถอะว่าถึงเราได้สองกว่า มันก็เป็นสองกว่าจากที่ๆ เข้ายาก และเรียนยาก มันยังดีกว่าได้สี่ จาก ที่ๆมันเข้าง่าย และ แจกเกรดไม่ใช่หรือ (ถึงแม้เราจะเสียโอกาสไปมากมายก็เถอะ) ยังไงให้ไปแก้ตัวตอนทำพวก gmat, gre , toefl รับประกันว่าช่วยได้เยอะ เพราะส่วนตัวก็ผ่านตรงนั้นมาแล้ว พอได้สัมภาษณ์ทุกที่จะถามเหมือนกัน ไม่ว่า cambridge, oxford, lbs, berkeley ว่าทำไมเกรด ป ตรี ต่ำนัก เราก็บอกเค้าไปตามจริงว่าการให้เกรดมันไม่ปกติ เค้าเห็นคะแนน gmat แล้วเค้าก็ไม่ได้ question อะไรต่อ สุดท้ายเรายังเชือว่ามหาวิทยาลัยต่างประเทศ (ที่มาตรฐานสูงๆนะ ไม่ใช่มหาลัยหลังเขา) เค้ามีข้อมูลมหาลัยต่างประเทศ รู้ว่าที่ไหนมาตรฐานเป็นยัง และเค้ามีวิธีที่จะ adjust GPA ที่มาจากที่ต่างๆให้มันเทียบกันได้ (โดยอาจจะดู correlation กับคะแนน gmat ที่เก็บมาจากผู้สมัครหลายๆปี) แต่เพราะเราเกรดต่ำ ด้วยความไม่ประมาทก็พยายามทำให้สูงที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่าง average gmat เค้าอยุ่ที 690 พยายามทำให้ได้สัก 730 (ซึ่งไม่ได้ยากมาก) ก็จะชดเชยเกรดที่ต่ำของเราได้ จากคุณ : innocuous - [ 26 ม.ค. 50 19:03:46 A:172.21.194.228 X:137.132.3.11 ]

ความคิดเห็นที่ 59 " ถ้าคุณคิดว่าคะแนนอย่าง gre กับ toefl วัดผลได้(มากมาย)นักล่ะก็ อันนี้ก็เรื่องของคุณ แต่ว่าผมไม่ได้องุ่นเปรี้ยวแน่นอน (เห็นคุณบอกว่า อะไรที่ผมทำได้ไม่ดี ผมปฏิเสธ) เพราะว่า คะแนน จีอาร์อีของผม โดยเฉพาะด้านภาษาอังกฤษ ผมรับรองได้ว่าผมไม่เป็นรองใคร แม้แต่ฝรั่งก็ตาม (แต่ไม่ได้หมายความว่าผมพูดภาษาอังกฤษเก่งกว่าฝรั่ง หรือใช้ภาษาได้ดีกว่าฝรั่ง นะครับ อันนี้คือที่ผมชี้ว่ามันวัดไม่ได้หรอก) " อาจตรงข้ามกับความเชื่อของหลายคนๆในนี้ แต่บางที GRE มันไปฝึกฝนทำข้อสอบกันได้ มี website ของจีนแดงที่มีข้อสอบเก่าที่เพิ่งสอบเสร็จ คนจีน เกาหลี อินเดีย ได้คะแนน GRE สูงมาก อย่างที่ MIT Engineering School ไม่ดูคะแนน GRE แล้วนะ ถามคนที่จบจาก Ph.D. MIT ทางวิศวะ เขาไม่ได้ส่งคะแนน GRE และ TOEFL อาจไม่ต้องด้วย ถ้าจบโทเมืองนอก เลย waived และคะแนนปริญญาตรี GPA เขาก็ธรรมดา แต่โทได้ 4.0 ( ซึ่งในอเมริกา คนจีน อินเดีย ยิว ได้ perfect score มีเยอะมาก ) เขาดูอย่างอื่นด้วย เช่น Recommendation Letters, SOP หลักฐานอยู่ตรงนี้ครับ http://www.eecs.mit.edu/grad/faqs.html 13. What tests arenecessary for applying to EECS? The only test that is necessary is the TOEFL test for international students. We do NOT use any of the GRE test scores. 14. Can the TOEFL tests be waived in certain cases for international students? The Department will grant an automatic TOEFL waiver to any student whose first language is English, any student who has been studying or working in the US for two or more years, or whose undergraduate institution uses English as the language of instruction. จากคุณ : ....... - [ 26 ม.ค. 50 19:07:33 A:58.64.127.197 X: TicketID:135738 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ขี้เกียจอ่านนะครับ แต่ยังไงรบกวนคุณ krisdauw ตอบ คห ผม ด้วยครับ คห 27 ครับ (บวก 28 ด้วยก็ดี) เอาสั้นๆ นะครับ ขี้เกียจอ่าน ด้วยความเคารพ จากคุณ : สวัสดีครับ (imable) - [ 26 ม.ค. 50 20:05:05 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ผมมาเสริมคุณ imable จากความเห็นที่ 27 นะครับเพราะบังเอิญผมก็เป็นคนหนึ่งในห้องเรียนนั้นที่ได้ D (ตัวแรกและตัวเดียวที่ได้ตลอดสี่ปี) ที่ว่ากดเกรดเนี่ย ส่วนตัวผมคิดว่าอาจจจะมาจากการที่หลายๆ วิชาออกข้อสอบยากมาก ส่วนสาเหตุนั้นผมคิดว่า เหตผลหลัก: ข้อสอบปกติอาจจะทำให้การตัดเกรดลำบากเนื่องจากนิสิตจะได้คะแนนใกล้เคียงกันมาก  สมมุติว่าข้อสอบมีหกข้อ จะมีสองข้อที่เป็นคำถามพื้นฐานซึ่งนิสิตควรจะทำได้  อีกสองข้อจะยากขึ้นอีกพอสมควร  ส่วนสองข้อสุดท้ายมักจะเป็นตัววัดว่าใครจะได้ A ในวิชานั้นๆ  หมายความว่าข้อสอบมักจะออกไปในเชิงลึกมากกว่าเชิงกว้างซึ่งทำให้หลายๆ คนบ่นกันว่าอ่านหนังสือเยอะแต่ก็ยังทำข้อสอบไม่ได้ เหตุผลรอง: คนเก่งมักจะมาพร้อมกับ ego สูง  นิสิตวิศวะจุฬาฯ ก็เช่นกัน  การออกข้อสอบยากๆ อาจจะทำให้นิสิตเรียนรู้ที่จะยอมรับในตัวผู้อื่นหรืออาจจะเป็นแรงกระตุ้นให้พยายามมากยิ่งขึ้น ที่ผมบอกว่าข้อสอบยากนั้น ผมหมายถึงคำถามที่พลิกแพลงไปจากตัวอย่างในหนังสือหรือการบ้านไปมากกว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการศึกษาในระดับปริญญาตรี  ผมเข้าใจและเชื่อว่าในระดับปริญญาตรี นักเรียนมีหน้าที่รับทฤษฎีหรือความรู้พื้นฐานจากอาจารย์  อาจารย์จะสร้างโจทย์พร้อมกับวิธีแก้ปัญหาให้นักเรียนเป็นการทดสอบ  ถ้าหากนักเรียนสามารถใช้ความรู้นั้นๆ เป็นเครื่องมือในการหาคำตอบได้ ผมก็ถือว่าบรรลุจุดมุ่งหมายของปริญญาแล้ว  ส่วนในระดับสูงๆ ขึ้นไป นักเรียนถึงจะมีหน้าที่หาวิธีแก้ปัญหาที่หลากหลายเอง หรือบางครั้งอาจจะต้องตั้งโจทย์เองด้วย  ถ้ามองในแง่ดี อาจารย์อาจจะตั้งใจอยู่ลึกๆ ในการแยกกลุ่มนิสิตที่มีความพร้อมในการเรียนต่อในระดับสูงออกจากจากกลุ่มก็เป็นได้ ข้อสอบวิชาระดับปริญญาตรีที่ผมเรียนที่ UCD จะค่อนข้างตรงไปตรงมาเมื่อเทียบกับข้อสอบที่ผมเคยทำที่วิศวะจุฬาฯ (ภาคไฟฟ้า) อาจจะมีซักหนึ่งข้อที่คำถามค่อนข้างยาก แต่นอกเหนือจากนั้นจะไม่ต่างจากที่นักเรียนเคยเรียนมามากนัก ถ้านักเรียนเข้าเรียนครบ ทำการบ้านครบ เข้าใจเนื้อหาพื้นฐาน ส่วนใหญ่มักจะได้ไม่ต่ำกว่า B แต่ในกรณีข้อสอบที่วิศวะจุฬาฯ คุณสมบัตินี้มักจะมีค่าเทียบเท่ากับเกรด C เท่านั้น  ตัวผมเองก็เหมือนกับคนอื่นอีกหลายๆ คนที่ได้เกรดสองกว่าตอนเรียนปริญญาตรี  แต่พอมาเรียนปริญญาโทเมืองนอกก็ได้เกรดเหมือนๆ กับคนอื่นในชั้นที่จบด้วยเกรดสูงๆ มา (ทั้งคนไทยและต่างชาติ) มีอีกอย่างที่ผมอยากจะพูดถึง บางวิชาในระดับปริญญาโท/เอกที่ผมเรียนที่อเมริกามีเนื้อหาคล้ายๆ กับวิชาที่ผมเคยเรียนมาแล้วตอนอยู่ที่วิศวะจุฬาฯ  ผมคิดว่าภาควิชาตั้งมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูงมากซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ถ้ามองแต่เจตนาแล้ว ผมเชื่อว่าภาควิชาย่อมมีความหวังดีต่อนิสิตทุกคนแน่นอน ขอบคุณครับ จากคุณ : Intania 80 (Leila) - [ 26 ม.ค. 50 22:43:13 ]

ความคิดเห็นที่ 62 I got 2.48 from CU myself!! :) Grading was tough... Around 70% of my classmates got C (in that time, there was no (+) things.) Well, academically, we're good... but, it sabotages many of us when we try to apply for a university in the US. A norm in grading in the US is different than it is in Thailand though. In my school, most of students get a B for their "normal" performances. Thus, many of professors (in general) consider a "B" student as a "default" one.... and deem those whose got GPA lower than 3.0 as "below" averages. In this case, any graduates whose had their GPA lower than 3.0 would have less chance to be selected. So, based on this, many CU graduates may have less chance to get into many graduate schools in the US. แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 50 23:38:02 จากคุณ : amatuer translator - [ 26 ม.ค. 50 23:37:06 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ผมชอบความเห็นคุณ Intania 80 อ่ะ อ่านแล้วมีน้ำหนักดี ตอบเข้าเรื่องคำถามของคุณ imable ความเห็นที่ 27 กับ 28 เกี่ยวกับวิชาใช่ไหมครับ ถ้าผมจำไม่ผิด วิชานึง มีนิสิตได้เอ คนเดียว ที่เหลือ 149 คนนั้นไม่ได้ อันนี้ผมไม่ทราบว่าการตัดเกรดของอาจารย์ท่านนั้นเป็นอย่างไร (หมายความว่า ไมทราบว่าลักษณะการกระจายตัวของคะแนนดิบของนักเรียนทุกคน หรือคะแนน mean เป็นเท่าไร และทำไมไม่สามารถตัดคะแนนแบบ classic bell curve ได้ ฯลฯ) แต่ผม"เดา"ว่า อาจจะอธิบายได้ว่า นักเรียนคนที่ได้เอ ทำคะแนน โดดไปจากคนอื่นจริงๆ (ผมว่ามันยากอยู่สำหรับอาจารย์ในการตัดสินใจให้เกรด ถ้านักเรียนคนนั้นทำได้ดีกว่าคนอื่นอย่างเห็นชัด) โดดในขนาดที่ว่า ไม่ว่าอาจารย์จะตัดเกรดแบบช่วยขนาดไหน มันก็ยังให้เอกับคนคะแนนรองๆลงมาคนอื่นๆไม่ได้ ผมไม่ได้บอกว่าคนที่ได้สอง นั้นไม่เก่ง หรือโง่ (แบบที่ข้อความผมอาจจะสื่อไปในทางนั้น) แต่ผมแค่พูดว่า ถ้าจะเป็นความผิด ผมคิดว่าเป็นของตัวนิสิตเอง ที่ทำไมไม่ทำให้มันได้สูงเท่าที่คนได้เอ คนอื่นได้กัน (แค่นั้นเองครับ) ผมเชื่อจริงๆว่าคนที่เป็นอาจารย์จะตัดเกรดที่ให้ประโยชน์กับนักเรียนส่วนใหญ่ได้ดีที่สุดครับ ถ้าตัดเกรดแบบที่เอื้อประโยชน์แล้วมันยังได้นักเรียนเอคนเดียว มันคงเลี่ยงไม่ได้จริงๆ วกกลับมาที่ความเห็นของคุณ Intania ถ้าวิชานึงออกข้อสอบยาก และมีข้อสอบตัดเอ สองข้อ ในเชิงลึกนั้น ก็แสดงว่าต้องยอมรับว่าคนที่ได้เอไป ทำได้ด้วยความสามารถเขาจริงๆ (แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่น"โง่"กว่า แต่หมายความว่านักเรียนที่ได้เกรดประมาณกลางๆ curve ทำได้พอๆดีกัน เหมือนคนส่วนใหญ่ คือ "ได้มาตรฐานของคณะ" แต่ไม่ได้"โดดเด่น"เท่าคนที่ทำได้เอ เท่านั้นเองครับ คุณ imable) แต่สิ่งที่ผมค้านคือ บอกว่าการที่นิสิตได้เกรดไม่ดี เป็นเพราะอาจารย์"กด"เกรด ผมเชื่อว่าเป็นเพราะเราทำคะแนนได้ไม่"โดดเด่น"เท่าเพื่อนๆที่ได้เอ ต่างหาก (แต่การจะพูดว่า ให้เกรดยาก ขนาดเด็กโอลิมปิกยังตก นี่ผมว่าเป็น argument ที่ใช้ไม่ได้ เพราะว่า เด็กโอลิมปิกฟิสิกส์ ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะเก่งเครื่องกล ฯลฯ หรือ เด็กโอลิมปิก อาจจะพลาดไปได้ในแง่ใดก็แง่หนึ่ง เด็กโอลิมปิกไม่ได้เป็น "มาตรฐาน"ของวิชานั้นๆเสียหน่อย) ผมก็เชื่อแบบคุณ intania แหละว่า ภาควิชาและอาจารย์มีความหวังดีต่อนิสิต อาจารย์คงตัดเกรดอย่างดีที่สุดแล้วล่ะครับ สำหรับสถานการณ์ในวิชาหนึ่งๆ จากคุณ : krisdauw (krisdauw) - [ 26 ม.ค. 50 23:45:49 ]

ความคิดเห็นที่ 64 รู้ว่าอาจโดนด่า แต่ก็อยากจะโพ้สท์ มีเด็กจุฬาฯ คนหนึ่งนี่แหล่ะ มาด่า หาว่าเราทำให้เขาเสียเกียรติภูมิ (ไม่รู้ว่ามันคืออะไร) ในวันที่เกรดออกมา แล้วเราได้คะแนนมากกว่า (อันนี้ก็ไม่รู้ว่าเขารู้มาได้อย่างไร) เข้าใจว่าแอบไปสืบมา จำได้ดี ทั้ง ๆ ที่เราไม่สนิท ไม่รู้จักเขาเลยเป็นการส่วนตัว แล้วเขาก็ยังไม่รู้ด้วยว่าเราจบมาเกรดสองจุดศูนย์หนึ่ง อีกคนหนึ่ง มาพูดแบบรู้ไหมว่าพี่จบจากที่ไหนมา แล้วก็บรรยายว่าจบโทสามจุดหก จุฬาฯ เราก็เฉย ๆ เขาก็เล่าต่อเรื่องเงินเดือนว่าเขามาก เราก็เฉย ๆ อีก เขาบอกว่า พี่ทำงานที่บริษัทนี้เลยนะ ดังมาก เราก็เฉยอีก เพราะไม่ได้คิดอะไร เกรดเลว ๆ อย่างผมคงไม่คิดไปสมัครบริษัทอย่างงั้นหรอก จนเขาเล่าต่อว่า เขานี่แหล่ะที่ได้เงินเดือนเท่านี้ จนถึงตอนนี้พึ่งรู้ว่า บริษัทที่เราทำงาน รวมถึงเงินเดือนเราสูงกว่าเขา แม้ว่าตอนจบเกรดเขาจะสูงกว่าเรา ก็เลยแอบดีใจ แต่ไม่ได้แข่งอะไรนะ เฉย ๆ วันหลังพี่เขามารู้จากเพื่อน โกรธใหญ่เลย หาว่า เราเสแสร้งแกล้งโง่ แกล้งจน ทำไมไม่พูด จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้คิดจะแข่งขันกับใครแต่แรกแล้ว ชอบอยู่แบบธรรมดามากกว่า สุดท้ายละ อันนี้ฟังเขาเล่ามา คนรู้จัก น้องคนนึงจบจุฬาฯ มาไปสมัครงาน ตอบดีทุกอย่าง แต่ไม่รู้ไปพูดท่าไหนเข้า เขาถามว่า เพราะอะไรพี่จึงควรรับเราเข้าทำงาน เขาดันตอบไปว่าเรียนมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศ ไม่ใช่อย่ารามฯ หรือเอกชนฯ ที่พวกเอ็นท์ไม่ติดไปเรียนกัน จึงสรุปได้ว่า ควรได้เงินเดือนสูง สุดท้ายเลยไม่ได้ทำงานเงินเดือนดีดี ไปทำงานบริษัทแห่งหนึ่งแทน แต่ก็มีปัญหาเพราะทำงานได้ไม่นานก็ออกอีก ป.ล. พูดแล้วจะหาว่าใส่ร้าย แต่ก็ไม่ได้ใส่ร้าย เพราะรู้ว่าเก่งจริง แต่ที่เจอคือ คนที่เรียนวิศวของพระจอมเกล้าลาดกระบังฯ นี่น่าจะเก่งสุด (ในความคิด)เพราะคะแนนออกมา สามคนที่มาจากลาดกระบังฯ คะแนนแซงคนอื่นทุก ๆ คน ในทุก ๆ วิชา ที่เป็นวิศวะ (เราไม่ได้เรียนวิศวะ) แต่ทุกคนยืนยัน โดยเฉพาะคนที่จบเกษตรไฟฟ้า แล้วพวกนี้ก็ได้เป็นติวเตอร์ในวิชาเศรษฐศาสตร์ กับไฟแนนซ์อีก ทั้ง ๆ ที่มีเด็กหลาย ๆ คนที่นี่เรียนเอ็ม บี เอ แต่ก็ยังทำไม่ได้ ผมก็เคยโดนต่อว่าหลายครั้ง เรื่องเอ็นท์ไม่ติดว่า โง่ หัวไม่ดี ผมก็เฉย ๆ เขามักจะเล่าว่า เขาต้องตั้งใจเรียนเตรียมฯ สวนกุหลาบ แล้วเข้าจุฬาฯ เรากล้าตียังไง ถึงมาเรียนแบบนี้ เรียนแค่สองจุดหนึ่งเนี่ยนะ บางครั้ง (ตอนแรก ๆ)ก็น้อยใจเหมือนกัน เพราะเราไม่เคยคิดแข่งกับใคร ไม่เคยมีสีมีเส้นอะไรทั้งนั้น ฟังแล้วก็เสียความรู้สึก ยังจำได้ดี ตอนไปสมัครงาน บริษัทคนไทยบริษัทหนึ่ง ที่เขารับคนที่เขียนจดหมายภาษาอังกฤษไม่ได้ ตอบคำถามไม่ได้ เข้าทำงานมากกว่าเราที่ทำได้ทั้งสองอย่าง เพราะจบมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะก็มีคนเรียกตัวก่อนจบแล้ว บางครั้งเวลาถามหรือเวลาพูดอะไร ทำให้รู้สึกเหมือนต้องคอยระวัง ว่าเขาจบที่ไหน และเราควรจะวางตัวอย่างไร ทั้ง ๆ ที่เราก็คนไทยเหมือนกัน อยู่ประเทศเดียวกัน แต่หลายครั้งรู้สึกว่าเหมือนอยู่คนละวรรณะ พูดไม่ถูก ตอนเรียนตอนทำงานด้วยกัน เราก็ทำเยอะ ตอบหน้าห้องก็คิดว่าเยอะกว่าเขาอีก เกรดก็ออกมาพอ ๆ กัน แล้วยังโดนหาว่าคิดแข่งกับเขา ซึ่งไม่เคยคิดเลย ยอมรับว่าทุกวันนี้ถ้าให้ไปเอ็นท์ใหม่ก็เอ็นท์ไม่ติดอยู่ดี เพราะที่บ้านไม่ค่อยมีเรียนมหาวิทยาลัย เรียนปวช. รวมถึงพี่ชายด้วย เพราะบ้านเราเป็นบริษัท แม่ก็คนจีน ไม่ได้เรียนสูง อาศัยกระตือรือล้นเลยมีตังส่งลูกหลายคนต่อนอกได้ วันนี่พี่ชายจบราชภัฎ เขาเปิดบริษัทเล็ก ๆ หาเงินให้บ้านได้เยอะแยะ เขาไปเรียนต่อนิด้าสิ่งที่เขาเจอคือ มีคนบอกว่าเขาไปชุบตัว ซึ่งคนเป็นเจ้าของบริษัทเนี่ยจะไปชุบตัวอีกทำไม เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน คนนั้นเค้าพูดว่า พี่สาวเขาเรียนหนัก เครียดมาก ๆ เพราะนิด้า ไม่ใช่ง่าย ๆ ถึงจบธรรมศาสตร์เกรดสูง ๆ ก็ยังยากอยู่ดี เราก็บอกว่า ถึงว่าสิ พี่ชายขนาดต้องทำงานน้อยลงเยอะ เพราะแบ่งเวลาเรียนไปมากขึ้น เขากลับพูดว่า จบราชภัฎแล้วต่อนิด้าเนี่ยนะ ภาคธรรมดาหรือสมทบ ไม่อยากจะพูดเลยว่าเรียนกับพี่แกนั่นแหล่ะ ทุกวันนี้เลยเซ็งอารมณ์ไม่อยากคุยด้วยเลย รู้สึกว่า เหมือนโดนเปรียบเทียบ แข่งขัน ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยแข่งขันกับใครเลย ที่บ้านส่วนใหญ่เรียนเพราะอยากเรียน มีความสุข เพราะเรารู้ว่า วันหนึ่งก็ต้องมาช่วยที่บ้านทำงาน ป.ล. น้องชายคนเล็กก็โดนหลายคนดูถูกว่า ไม่มีปัญญาเข้ามหาวิทยาลัย ต้องเรียนช่างกล พวกตีรันฟันแทง อยากบอกเหมือนกัน ว่าทุกวันนี้ที่มาเรียนต่อเมืองนอก จนจบโทได้สองใบเนี่ย เงินส่วนใหญ่มันส่งมาจ่ายค่าเทอมทั้งนั้น พูดไม่ถูกว่าคนเรามันคิดกันยังไง มหาวิทยาลัยดีมันก็ดีอยู่แล้ว แต่ทำไมต้องไปแข่ง แข่งจนไม่รู้เรื่อง แข่งกับคนใกล้กัน เพื่อนกัน ญาติกัน ดูถูกกัน กีดกันกัน ทำไมคน(ไทย) เราไม่ไปแข่งกับชาติอื่น กีดกันคนอื่น ๆ ร่วมมือร่วมใจกันให้มันดี ๆ ขอโทษครับ ที่นอกเรื่องไปหน่อย จากคุณ : .... - [ 27 ม.ค. 50 01:39:15 A:203.88.224.224 X: TicketID:091427 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ผมเข้าใจคุณ 64 นะ เพราะว่าหลายๆคนก็ชอบเปรียบเทียบทั้งในเชิงสถาบันและเชิงผลการเรียน ผมว่าการเปรียบเทียบมันไม่ค่อยจะยุติธรรมนัก ถ้ามันไม่ได้อยู่ในเกณฑ์เดียวกัน (เช่น เปรียบเทียบมหาลัยหนึ่งกับอีกมหาลัยหนึ่ง) แต่ผมไม่คิดว่า นักเรียนไทยแข่งกันเอง (หรือไม่คิดว่านักเรียนชาติเดียวกันควรจะไปแข่งกับชาติอื่น) นั่นคือ ผมเห็นด้วยส่วนหนึ่งที่ว่า เรียนไปก็ทำตัวเองให้ดีมากที่สุด เท่านั้นพอ (ถ้ามากที่สุดแล้วยังไม่ได้ เอ ก็แสดงว่า มันมีปัจจัยที่น่าจะแก้ไขได้ เช่น ต้องพยายามมากอีก หรือต้องพยายามมากกว่าเด็กที่ได้เอ สองเท่า เราถึงจะได้เอ) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่าเราไป "แข่ง"กับใคร ใช่ป่ะครับ เพราะว่าก็เพื่อนๆกันทั้งนั้น แค่อยู่ที่ว่าเราทำคะแนนเราอยู่ได้ในระดับไหน relative to เพื่อนๆเท่านั้นเอง (ผมไม่คิดว่านี่คือการ "แข่งขัน" แต่คิดว่าเป็นแค่ลักษณะที่อาจจะอำนวยให้คิดว่า"เหมือน"การเเข่งขัน แต่มันเป็นแค่วิธีการประเมินผล เท่านั้นเอง) ผมเชื่อนะว่าน้อยคนนักในมหาลัยที่จะคิดว่า "ชั้นต้องทำคะแนนได้มากกว่าเพื่อนชั้น ให้มันมาแซงไม่ได้ ต้องเอาดีกว่ากันให้ได้" อย่างนี้สิครับคือการแข่งขัน ที่จุฬาเองก็เช่นกัน ก็เพื่อนๆกันทั้งนั้นแหละครับ ไม่มีใครคิดที่จะเอาชนะใครหรอก (แต่วิธีการประเมินผลที่แรงค์คะแนนเป็นลำดับ มันชวนให้คิดอย่างนั้นจริงๆ) ขอฝากถึงคุณ innocuous ด้วยแล้วกันถ้ายังเข้ามาอ่านอยู่ว่า ผมขอโทษถ้าข้อความของผมฟังแล้วเหมือนสบประมาทคุณ  ผมไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลย และความเห็นของผมก็ไม่ได้มาจาก personal feelings กับคุณ   ผมเห็นด้วยกับคุณเสียอีกที่ว่าจุฬามีเด็กเก่งเยอะ เพราะฉะนั้นการทำได้เอ คงยาก  แต่แค่ผมไม่เห็นด้วยที่ว่าเป็นนโยบาย หรือธรรมเนียมปฎิบัติ ของคณะ หรือ ภาควิชา หรือ ทั้งมหาลัย ที่ต้องการให้เกรดนักเรียนต่ำๆ (หรือกดเกรด)   เท่านั้นเองครับ  และการได้เข้ามาแสดงความเห็นกับคุณก็ทำให้ผมเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับคณะวิศวะครับ  หวังว่าคุณคงไม่โกรธ แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 50 02:28:01 จากคุณ : krisdauw (krisdauw) - [ 27 ม.ค. 50 02:05:18 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ผมไม่ได้จบจากจุฬา ผมเลยไม่รู้ว่ามีเรื่องกดเกรดหรือไม่ แต่ถ้าเราไม่ชอบการกดเกรด มันก็ง่ายนิดเดียว ก็แค่ย้ายไปเรียนที่อื่นที่ไม่มีการกดเกรด เท่านั้นเองครับ คุณก็จะสามารถทำเกรดได้สงๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สุดท้ายคุณภาพของตัวคุณเอง ก็จะอยู่ที่ผลงานที่คุณทำออกมา ไม่ใช่เกรดการเรียน หรือสถาบันที่คุณเรียน ดังนั้น จึงไม่แปลกว่า บางคนเรียนห่วย สถาบันไม่ดัง แต่ได้ตอบรับเข้าที่ดีๆ ก็เพราะเค้าสามารถ หาสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า เค้ามีดีกว่าคนอื่น ถึงแม้ว่าเค้าเรียนห่วย ตย. ชัดเจน ก็พวกสาขา Art ถ้าคุณมี portfolio ดีๆ เค้าก็รับคุณเข้าเรียนแล้วล่ะ แต่ถ้าคุณจบมาเกรดสี่เลย แต่ไม่มีหลักฐาน หรือผลงานอย่างอื่นให้เค้าเห็น มันก็จะดู น้ำหนักน้อยลงไปเช่นกัน ในสาขาอื่นๆ ก็จะเป็นพวกหลักฐานการทำงาน ผลงาน หรืออะไรก็ตามแต่ แสดงให้เห็นว่าเรามีความสามารถจริงๆ จากคุณ : อานะ - [ 27 ม.ค. 50 02:38:00 A:70.23.20.50 X: TicketID:136397 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ขอแย้งคุณ krisdauw นะครับ คุณบอกว่าข้อสอบมาตรฐานทั่วโลกอย่าง GMAT นั้นวัดไม่ได้ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ เกรดเฉลี่ยของแต่ละมหาลัยนั้นยิ่งวัดไม่ได้ยิ่งกว่าในทางสถิติครับ เพราะ 1. ข้อสอบคนละอันกันครับ 2.จำนวนประชากรนั้นน้อยกว่าอย่างมหาศาล 3. ประชากรแต่ละกลุ่มถูกคัดมาก่อนแล้วโดยคะแนนเอนทรานซ์ ถ้าคุณเข้าใจสถิติดีพอก็จะเห็นได้ว่ามันมีความไม่มาตรฐานอย่างแรงหากใช้ bell curve ของใครของมันตัดสินความสามารถในการเรียนเด็ก มีตัวอย่างอีกอันหนึ่งก็คือรุ่นพี่ผมเองครับ ซิ่วไปอยู่วิศวะ xxx แกก็แบบว่าเรียนไปวันๆแบบเซ็งๆ (ไม่ได้ไปเรียนเลย มาอยู่กับพวกผมนี่แหละ) ผลสอบออกมาได้ที่1 ของภาควิชาที่นู่นเฉยเลยครับ พี่แกบอกว่าข้อสอบที่นู่นนี่ ความรู้เลขตอนมัธยมก็พอแล้ว (อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างอันเดียวนั้นไม่สามารถตีความได้ในทางสถิติ) พูดในอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้า GMAT/GRE วัดคนได้ไม่ค่อยดี GPA นั้นก็วัดอะไรไม่ได้เลยล่ะครับ มันบอกแค่ว่าคุณเก่งกว่าคนในกลุ่ม แล้วคนในกลุ่มคุณเป็นใคร? ขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดอีกอันละกันนะครับ สมมติว่าเกรด A ของวิชา Calculus นั้นคือ > 2sd วิศวะจุฬาบางรุ่นเนี่ย แค่เด็กโอลิมปิคทั้งหลายแหล่ก็เกิน 2sd แล้วครับ ที่เหลือก็เด็กที่หนึ่งโรงเรียนบ้าง ที่หนึ่งจังหวัดบ้าง โอกาสที่เด็กเก่งระดับชาวบ้าน (เช่นผม) จะได้เกรด A นั้นแทบไม่มีเลย ในขณะเดียวกัน คนที่ได้ที่รองๆจากผมบางคนจากโรงเรียนเดียวกัน เขาไปตัดเกรดกับคนที่ได้ที่รองๆลงไปอีก เขาก็ได้ A ได้ B ฉลุยครับ แต่หลังจากผมหลุดพ้นจากการตัดเกรดกับกลุ่มประชากรนั้นแล้ว เกรดผมก็พุ่งขึ้นมาอีกครับครับ ผมไปสอบ GRE/GMAT เทียบกับกลุ่มประชากรทั่วโลกก็ได้ตั้ง 90 กว่า percentile (ขณะที่ตอนอยู่ในวิศวะนั้นได้แค่ 30-40 percentile) นี่แสดงว่าตัดเกรดกับใครนั้นมีผลอย่างมากครับถ้าตัดเกรดแบบ bell curve เพียวๆแบบนี้ แต่ก็อย่างที่บอกล่ะครับ โลกเรามันไม่มีอะไรแฟร์อยู่แล้ว แค่เกิดมาก็ไม่เท่ากันแล้วครับ อย่างผมก็ถือว่าได้เกรดน้อยมา แลกกับการได้เจอเพื่อนเก่งๆ (ก่อนหน้านั้นรู้สึกว่าตัวเองโคตรเก่ง พอหลังจากนั้นค่อยรู้ว่ายังมีคนเก่งกว่าหวะ) ผมว่าคุ้มครับ จากคุณ : me - [ 27 ม.ค. 50 02:59:59 A:172.188.107.83 X: TicketID:136257 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ส่วนเรื่องเกรดนั้น ถ้ามีคนทำ A ได้ ก็้องมามองดูที่ตัวเราเองแล้วครับว่า เราแย่ หรือมีอะไรที่สู้คนที่ได้ A ไม่ได้ แต่ถ้าคุณได้พยายามเต็มที่แล้วที่จะคว้า A มาครอง แต่ก็ทำไม่ได้ อันนี้ก็ต้องยอมรับว่าตัวเรายังมีดีไม่พอ เหมือนคนที่เค้าได้ A มา กดเกรด หรือไม่กดเกรด การที่ได้ไปถามผู้ที่คิดคะแนน จะได้คำตอบมากกว่าการมานั่งคิดเองครับ ผมแนะนำว่าไปคุยกับอาจารย์ท่านนั้นๆเลยว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ใช้เกณฑ์อะไรในการตัดเกรด จากคุณ : อานะ - [ 27 ม.ค. 50 03:01:02 A:70.23.93.235 X: TicketID:136397 ]

ความคิดเห็นที่ 69 คุณ ME ครับ ผมไม่ได้บอกว่า GMAT วัดไม่ได้ครับ ผมบอกว่าวัดไม่ได้มากมาย ต่างหาก (นั่นคือ วัดได้ในถึงระดับหนึ่ง) และผมไม่ได้บอกเลยว่า เกรดตอนมหาลัยวัดอะไรได้ (ถ้าไปเปรียบเทียบกับมหาลัยอื่น หรือคณะอื่น) อย่างที่คุณพูดไงครับ ว่าเกรดจากกราฟ normal distribution คือเป็นเกณฑ์ของกลุ่ม แต่กลุ่มคุณนั้นเป็นใครก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นผมคิดว่าคณะกรรมการรับสมัครคุณเข้าเรียน เค้าคงตระหนักถึงความเทียบกันไม่ได้ ของผลการเรียน และ GMAT ล่ะครับ เลยต้องดูหลายอย่างประกอบกัน (แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า การตัดสินใจจะถูกต้องเสมอไปอีกเช่นกัน นักเรียนอีกคนที่คะแนนจีแมทต่ำกว่า จีพีเอต่ำกว่า อาจจะ perform better ใน graduate school ก็เป็นไปได้ครับ) สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ คือ เกรดของวิศวะจุฬาคือการวัดกันภายในประชากรของคณะ หรือวิชา หรือ ภาควิชา แสดงให้เห็นว่า นิสิตคนหนึ่งได้คะแนนเหมาะที่อยู่ในกลุ่มไหน เมื่อเทียบกับนิสิตที่เรียนวิชาเดียวกัน ดังนั้นถ้าจะพูดให้ถูกคือ จุฬาอาจจะได้เกรดยากกว่าที่อื่น เพราะว่ามีคนเก่งๆที่ทำคะแนนสูงๆได้หลายคน แต่พูดไม่ได้ว่า อาจารย์กดเกรด ใช่ป่ะครับ เพราะมันคือคะแนนของเรา in relation to คะแนนของชาวบ้าน (ในคอร์สเดียวกัน ปีเดียวกัน อาจารย์คนเดียวกัน) จะนำเกรดนี้ไปเทียบกับคอร์สเดียวกัน แต่ปีอื่น ก็ไม่ถูกต้องแล้วครับ เอางี้แล้วกันผมเล่าจากประสบการณ์ตัวเองดีกว่า ปัจจุบันผมกำลังสมัครเป็น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (tenure track) ที่เมกานี่แหละ มันมีหลายขั้นตอน ขั้นตอนหนึ่งคือ สัมภาษณ์ ถ้าผ่านจะเหลือสองคน ซึ่งหลังจากนั้นจะเชิญไปที่ campus ไปแสดง presentation เผอิญผมได้รับเชิญหนึ่งในสอง และเผอิญผมทราบมาว่า คนที่ได้รับการสัมภาษณ์เบื้องต้น มีนักเรียนจากฮาร์วาร์ดมาด้วย แต่เขาไม่ผ่านสัมภาษณ์ เพื่อไป campus visit สิ่งที่ผมต้องการจะบอกจากประสบการณ์นี้คือ ชื่อมหาลัย เกรด หรือปัจจัย อื่นมีส่วนบ้าง แต่ไม่ทั้งหมด คณะกรรมการ (ไม่ว่าจะรับสมัครเข้าเรียน หรือสมัครเป็นอาจารย์) เค้าจะดูหลายๆอย่าง ชื่อมหาลัยอย่างเดียวไม่สามารถ guarantee ได้ว่า คุณจะเป็น good fit สำหรับที่ที่นึง ครับ (ไม่งั้นเค้าคงรับคนที่ได้เกรดพอๆกันจากฮาร์วาร์ด ซึ่งมีนักเรียนเก่งๆรวมกันเยอะกว่ามหาลัยผมแน่นอน ไปแล้วครับ คงไม่มานั่งสัมภาษณ์ให้เมื่อยหรอกครับ) และผมก็ไม่ได้คิดว่า ผมเก่งกว่าเขา หรือ เปรียบเทียบกับเขาได้ในแง่ใด เพราะว่าเราสองคนมี research agenda, publication, educational background, etc ต่างกันน่ะครับ (อ้อ แต่ก็เป็นไปได้อีกว่า เค้าอาจจะ offer campus visit ให้คนฮาร์วาร์ดคนนั้น แต่เค้า decline offer อันนี้ผมไม่ทราบ) สรุปว่า เกรด ชื่อเสียงมหาลัย จีแมท จีอาร์อี SOP publication ทุกอย่างมีส่วนหมด เพราะไม่มีวิธีใดวิธีหนึ่งที่วัดได้ถึงคุณภาพของนักเรียนครับ จากคุณ : krisdauw (krisdauw) - [ 27 ม.ค. 50 03:22:03 ]

ความคิดเห็นที่ 70 จุฬาจะกดเกรดหรือไม่กด ผมไม่รู้ แต่หลังจากอ่านกระทู้นี้ รู้สึกว่าเด็กจุฬาบางคนนี่ EQ ต่ำจริงๆ จากคุณ : 555 - [ 27 ม.ค. 50 06:10:10 A:207.216.21.89 X: TicketID:105835 ]

ความคิดเห็นที่ 71 อ่าเห็นด้วยกับคุณ 555 จริงๆ จากคุณ : 666 - [ 27 ม.ค. 50 11:11:13 A:125.25.135.42 X: TicketID:038481 ]

ความคิดเห็นที่ 72 เลิกๆกันไปเถอะครับ กระทู้นี้ จริงๆเถียงกันไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเนอะ คนที่เคยเรียนส่วนใหญ่คงมีความเห็นตรงกันว่ามัน "กด" จริง (โดยเฉพาะพวกที่อยู่ภาคใหญ่ ภาคยาก) แต่คนภายนอกไม่ว่าจะฟังยังไงคงไม่สามารถจินตนาการออก เพราะที่มีมันแบบ one of a kind จริงๆ แต่อย่างว่านะ มันก็แค่ส่วนหนึ่งของชีวิต ได้เกรดห่วยๆตอนนั้น ไม่ได้หมายถึงชีวิตที่เหลือจะห่วยสักหน่อย มันอาจจะมีท้อบ้างตอนเพิ่งจบ จะขอทุนอะไรก็ไม่ได้ (ไม่มีสิทธิแม้แต่จะสมัคร เพราะเกรดไม่ถึง) ได้แต่มองเพื่อนๆที่เรียนสู้เราไม่ได้ตอน ม ปลาย ได้ทุนกันทุกคน จะเอาเงินตัวเองไปเรียนก็ยังไม่กล้าสมัครยูดีๆ เพราะเกรดเราไม่ดีอีก แต่พอผ่านมาหลายๆปี ทำงานมานานๆ พอมองกลับไป ชีวิตนี้มีครั้งเดียวที่ได้สัมผัสเกรดสองกว่า ได้ D, F, W ทุกเกรดที่เค้าให้กัน มีอยู่ใน transcript หมด คนอื่นมองก็เห็นเป็นเรื่องตลกเหมือนกัน มีอย่างที่ไหน ม ปลาย ได้ 3.9 กว่าๆ จบ topn-ten MBA, การงานดีเป็น manager บริษัท inter. แต่เกรด ป ตรี 2.7-2.8 แถม D มากกว่า A จริงๆ เวลาใครถามเดี๋ยวนี้ก็พยายามทำให้เป็นเรื่องตลกไปแล้ว เพราะดูไปดูมามันก็ขำจริงๆ คือมันเป็น profile ส่วนหนึ่งที่ contrast กับ ส่วนอื่นๆอย่างน่าขันจริงๆ จะกดเกรด ไม่กดเกรดก็ช่างมันเถอะ สุดท้ายมันขึ้นกับว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากการเรียนตรงนั้น และ เอามาทำประโยชน์อะไรให้องค์กรได้มากกว่า การกดเกรดมันก็ทำให้นักเรียนมีความกดดัน (เพราะกลัว F) และได้พยายามจนสุดความสามารถ ซึ่งก็อาจเป็นกลยุทธอันหนึ่งในการ develop someone to his full potential ก็ได้นะ แม้มันจะเป็นกลยุทธที่ออกจะโหดไปหน่อยก็เถอะ ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่มาแลกเปลี่ยนความเห็น ก็ได้เห็นมุมมองที่แตกต่างของหลายๆคน (ถ้าจะมีอาการน็อตหลุดไปบ้าง ก็ขอโทษด้วย) สำหรับคุณ krisdauw ถ้าผมพูดแรงไปในบางส่วนก็ขออภัย ผมเคารพในความคิด ความเชื่อของคุณ แต่ยังไงก็อยากให้มองกว้างๆ ยอมรับความเห็นของ "คนใน" ที่สัมผัสตรงนั้นมาจริงๆบ้าง พวกเราไม่ใช่พวกรำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง เรียนไม่ดีแล้วไปโทษระบบ และเราก็ไม่ได้มาขอความเห็นใจอะไรในนี้ เพียงแต่อยากนำเสนอข้อมูลตามที่มันเป็นจริงก็เท่านั้น มันก็แค่ hurt ตอนได้ยินคำพูดประมาณว่า ไม่ได้พยายามเต็มที่หรือเปล่าถึงได้แค่นั้น ทั้งๆที่ผมมั่นใจว่าทุกคนได้ทำจนสุดความสามารถ แม้แต่คนที่ได้ F แค่หวังว่าคุณคงเข้าใจและเปิดใจว่าทุกที่มันไม่เหมือนกัน และระบบที่คุณเคยเห็น เคยสัมผัส มันอาจจะไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอีกที่หนึ่งได้ด้วยตรรกะเดียวกัน นโยบายของคณะ มหาวิทยาลัยที่คุณเคยสัมผัส มันก็ไม่สามารถโยงมาอธิบายอีกคณะ อีกมหาวิทยาลัยที่เค้ามาวัฒนธรรม ความเชื่อ นโยบายการให้เกรดที่ค่อนข้างต่างจากที่อื่นๆ ได้ และอย่างที่คุณบอก ไม่มีอะไร personal ต่างคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ ทำประโยชน์ให้ชีวิต ให้องค์กร ให้ประเทศชาติต่อไปดีกว่าครับ จากคุณ : innocuous - [ 27 ม.ค. 50 13:40:30 A:172.21.225.151 X:137.132.3.11 ]

ความคิดเห็นที่ 73  ลงเอยด้วยดี   ไม่ได้สนู๊ปด๊อกเค้ามาละเเย่เลย กระทู้นี้ จากคุณ : Jamba_juice - [ 27 ม.ค. 50 14:22:00 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ขอบ่นนิดนึง รำคาญพวกชอบเสริม ชอบชักใบให้เรือเสียค่ะ ประเภทแอบกระแนะกระแหนเนียะ นิสัยไม่ใช่ลูกผู้ชายเสียเลย เอ๊ะ หรือผู้หญิงค่ะ!! เห็นชื่อคุณ krisdauw แอบเช็คใน blog คิดว่าอาจเคยเจอกันนะค่ะ ไม่ที่ eugene (uo) ก็ seattle (uw) นี้แหละค่ะ แต่คิดว่าคงจำหน้ากัน ไม่ได้แล้ว เพราะย้ายฝั่งมาได้หลายปีดีดักค่ะ อย่างที่ให้ความเห็นไป 2 ความเห็นข้างบน หวังว่าคุณ krisda และผองเพื่อนคงเข้าใจนะคะ ถ้าไม่คุ้นเคยกับระบบการศึกษาไทย ต้องขอโทษด้วย จริง ๆ เคยอยู่ or ที่บอกว่า osu เด็กไทยเป็นกระตัก เหตุผลนึงที่ได้รับทราบมา คือเค้า lower admission requirement ในบางโปรแกรมให้นะคะ เพราะพวกที่รับมาเกรดน้อย ๆ จากบางที่ แต่ส่วนใหญ่เรียนได้ดี ก็สร้าง impression ให้กับ committee ได้พอควรค่ะ อีกที่ก็ ncsu ค่ะ เพราะเพื่อนก็ได้ประมาณ 2.5 แต่ก็เข้า u นี้ได้ และก็ได้เรียนถึงเอกชนิด outstanding เพียงแค่ไม่ได้รับทุนในปีแรกให้น่าน้อยใจเท่านั้น จากคุณ : Mamuangkuan - [ 27 ม.ค. 50 15:15:46 ]

ความคิดเห็นที่ 75 สวัสดีทุกคน และ ขอบคุณ krisdauw ครับ จากคุณ : บายบาย (imable) - [ 27 ม.ค. 50 16:57:07 ]

ความคิดเห็นที่ 76 In fact, I think this is กดเกรด krab because the teacher didn't consider the fact that a majority of the population are highly above average in Math. In statistics, bell curve works when the population is random krab. That's why I said you may not fully understand bell curve krab :) 2.7 of P' or N' above was not serious krab compared to mine. I got GMAT score higher than many thai- harvard guy, but because of my low GPA, the best U I got was just top20 in the UK. However, this may be my good luck krab. I graduated there with very high mark compared to my classmates (if I went to harvard, I wouldn't have had excellent results like this, right?). After graduating, I got the interview and got the job in the UK - the only non-EU student to get a job. My boss (PhD from top5 U of the world) was is always so surprised about my math skill and scientific knowledge. It happens that I know undergrad math better than my colleague, a math graduate, do. So I believe this is กดเกรด krab. But as I always say, life is unfair anyway .. :) จากคุณ : me - [ 27 ม.ค. 50 17:33:24 A:172.212.16.115 X: TicketID:136257 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ผมเห็นว่าการที่อาจารย์ออกข้อสอบยากๆ และ ให้เกรด เอ กับบีบวก กับนักเรียนจำนวนน้อยคน เป็นกลวิธีที่ทำให้นักเรียนตั้งใจเรียนหนักมากขึ้น และ รักษามาตรฐานของคณะดีแล้วครับ อย่างแรกคือ คนที่เก่งแบบสุดๆ จริงๆ (พวกระดับเหรียญทอง) ถ้าเขารู้ว่ายังไงๆ เขาก็ได้เอ เช่นวิชานึงให้เอสามสิบคนจากร้อยคน เขาคงไม่ตั้งใจค้นคว้าเรียนจนลึกๆ หรอกครับ ขณะที่นักเรียนปานกลางๆ ก็คงไม่ค่อยตั้งใจไปอีกเพราะคิดว่าหัวระดับฉันทำยังไงๆ ก็บีหรือซีอยู่แล้ว อย่างตอนปีหนึ่งที่คณะวิศวะเรียนฟิสิกส์ รหัสเดียวกัน เนื้อหาเดียวกัน กับคณะวิทยาศาสตร์ แต่อาจารย์วิทยาศาสตร์ขอสอบแยก ตัดเกรดแยกและมีคนบ่นๆ กัน ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วครับ เนื่องจากไม่งั้นคณะวิศวะต่อให้ได้เอก็คงไม่มีใครภูมิใจแน่ๆ จากคุณ : ความเห็นในอีกมุมหนึ่ง - [ 27 ม.ค. 50 19:38:05 A:221.186.221.238 X: ]

ความคิดเห็นที่ 78 เอ่อ... น้อง Volta ไม่เข้ามาตอบแล้วเหรอครับ จากคุณ : L-Nets - [ 28 ม.ค. 50 13:33:49 ]

ความคิดเห็นที่ 79 จริงๆน่าจะตัดรวมนะครับ เพื่อความเป็นธรรม ไม่งั้นมหาลัยก็กลายเป็นมีสองมาตรฐานน่ะสิ รุ่นผม วิชาcalculs physics รหัสเดียวกัน เรียนเหมือนกันทุกอย่าง แต่ตัดแยกกันจากคณะอื่น ผลคือ mean คณะวิศวะ สูงกว่าคณะอื่น 2 เท่า แบบถ้าเอามารวมกัน คนได้ C ของวิศวะ เผลอๆ ได้คะแนนสูงกว่า คนได้ A อีกคณะเสียอีก ในขณะที่คนได้ F วิศวะ ดูยังไงก็ไม่น่าได้ต่ำกว่า C ถ้าไปอยู่อีกคณะหนึ่ง จริงๆ มันถูกต้องเหรอครับ ยังไงก็เรียนจุฬา เหมือนกัน วิชาเดียวกัน มันเหมือนสองมาตรฐานหรือป่าว เวลาไปเรียนต่อ สมมติสมัครที่เดียวกัน admission เค้าเห็นผลการเรียนผมกับอีกคนที่มาจากอีกคณะ เค้าได้ A ผมได้ C admission เค้าก็ต้องมองว่าผมห่วยกว่าเห็นๆ ไม่โง่กว่าเค้าก็ต้องขี้เกียจกว่าเค้า ใครจะมาเข้าใจว่าแม้แต่คณะเดียวกัน ก็ยังยากง่ายไม่เหมือนกัน แม้จะเป็นวิชาเดียวกัน สรุป เรียนวิศวะ ซวยจริงๆครับ ได้ความโก้นิดหน่อย แต่อย่างอื่น หลังจากเข้ามาเรียนแล้ว เสียบเปรียบทุกอย่างครับ จากคุณ : last - [ 28 ม.ค. 50 15:23:39 A:172.21.225.151 X:137.132.3.11 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ไช่ครับผมก็งงเหมือนกันว่าทำไมวิศวะต้องทำแบบนั่นหรือว่าเขากลัวคนคณะอื่นจะได้เกรดต่ำไปเนื่องจากยังไก็สู้พวกเลขกับวิทยไม่ได้ ดีไม่ดีท่าให้เด็กวิศวะไปลงเรียนวิชาพวกบัญชีเศรษฐศาสตร์แล้วให้ตัดคะแนนรวมกันข้อสอบเดียวกันผมคิดว่าเด็กวิศวะยังจะได้คะแนนสูงกว่าเลยเนื่ิองจากหัวอาจจะไวกว่า ได้เจอของยากยากมามากกว่า  จริงจริงแล้วผมไม่ได้เรียนที่จุฬาแล้วครับ แต่เคยเรียนที่วิศวะจุฬาอยู่ ๒ เดีอนก่อนย้ายมาเมกา แต่ที่ผมสงสัยและตั่งกระทู้ขึนมาเพราะเพื่อนผมที่วิศวะจุฬามันอยากรู้ว่าท่ามันจะต่อโทที่ดังดังมันจะต้องทำไงมั่งแล้วผมไม่รู้จะตอบเรื่ิอง GPA ที่ไห้ยากของวิศวะจุฬายังไง แต่ผมมาเรียนที่เมกาแล้วผมต้องยอมรับเลยว่าวิศวะจุฬาให้ เกรดยากกว่าคณะวิศวะดังดังของอเมกาจริงจริง เพราะตอนอยู่ม ปลาย มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่เรียนมาด้วยกันจะรู้กันว่ามีคนหนึงจะเก่งสุดในกลุ่มแต่ตอนนี้มันเรียนอยู่วิศวะจุฬาแล้วพอมาเทียบGPA กันมันดันได้น้อยสุด(3.65) คนอื่นอื่นที่ตอนอยู่มปลายสู้ไม่ได้ไปอยู่ วิศวะ Berkeley(3.9) วิศวะ Illinois (3.7กับอีกคน 3.85) เศรษฐศาสตร์ U of Chicago(3.9 แต่ลงเรียน Cal 3 ตั่งแต่ปีหนึ่งเทอมแรกเพราะตอนแรกคนนี้กะจะเรียนวิศวะ) ส่วนความรู้ด้านเลขด้านวิชาการทั่งที่มันได้เกรดน้อยสุดมันยังรู้เยอะและแน่นกว่าคนอื่นอื่นที่ได้เกรดเยอะกว่ามันผมคิดว่าท่าเพื่อนผมคนนี้ที่อยู่จุฬามันไปเรียนมหาลัยดังดังของเมกามันได้เกิน 3.8 แน่แน่ มันก็เลยสงสัยว่าอย่างนี้มันจะเสียเปรียบพวกผมตอนมาเรียนต่อไหม(จริงจริงเพื่อนผมคนนี้มันยังไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไรแต่ปํนหาคือเพื่อนผมคนอื่นอื่นอีกประมาณ 10 คนจากโรงเรียนผมที่ได้ตำ่กว่า 3 ที่วิศวะจุฬาทั่งทั่งที่ผมคิดว่าท่าพวกนี้มาเรียนเมกายังไงก็น่าจะได้เกิน 3 เพราะที่เมกาเขาตัดเกรดกับคณะอื่น ไม่ไช่ตัดเกรดกันแค่ในวิศวะ) จากคุณ : จขกท (volta) - [ 29 ม.ค. 50 03:20:32 ]

ความคิดเห็นที่ 81 จากคุณ : last <--- คิดว่าตอนนี้รหัสวิชาต่างกันแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็น Calculus หรือ Physics ดังนั้นก็ตัดเกรดแยกกันตามรหัสวิชา (คือ ของวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์เรียนกันคนละตัว) <<--- ตอนนี้ของผมคือเมื่อสามสี่ปีก่อนนะครับ (ปัจจุบันไม่ทราบจริงๆ) ถ้าเรียนตัวเดียวกัน เช่น ภาควิชาเคมีวิศวกรรม (อยู่ในคณะวิทยาศาสตร์) ต้องไปเรียนบางวิชารหัสเดียวกับคณะวิศวะ ก็โดนตัดรวมกันครับ ปล. บัญชี หรือ เศรษฐศาสตร์ ถึงแม้จะเรียนวิชา Calculus เหมือนกัน แต่รหัสวิชาไม่เหมือนกันนะครับ (เนื้อหาที่เรียนก็ไม่เหมือนกันด้วย) ปล2. ถ้าคิดอย่างนี้ สงสัยคณะแพทย์ก็คงต้องมาบ่นต่อด้วยว่า ถ้าต้องเรียนวิชา เคมี ตัวเดียวกับคณะวิศวะ เกรดตัวเองคงจะดีกว่านี้แน่เลย ปล3. บางมหาวิทยาลัยในต่างประเทศรู้จักมหาวิทยาลัยในเมืองไทยจริง แต่ไม่ใช่ทุกมหาวิทยาลัย ทุกคณะ ฯลฯ ปล4. คณะวิศวะของอเมริกาที่ดังๆ เช่น MIT, Stanford, Texas, GATech, USC โดยมากก็รู้จักมหาวิทยาลัยในไทยดีนะครับ แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 50 06:06:00 จากคุณ : L-Nets - [ 29 ม.ค. 50 05:58:58 ]

ความคิดเห็นที่ 82 .คณะแพทย์ก็คงต้องมาบ่นต่อด้วยว่า ถ้าต้องเรียนวิชา เคมี ตัวเดียวกับคณะวิศวะ เกรดตัวเองคงจะดีกว่านี้แน่เลย" สมัยนี้ไม่ทราบครับ แต่สมัยผมไม่มีเหตุการณ์นี้แน่นอนครับ เพราะรุ่นนั้น คะแนนต่ำสุดวิศวะ ยังสูงกว่าหมอครับ ทั้งๆที่วิศวะรับ600 กว่าคน หมอรับ 150 คน แต่สมัยนี้อาจเปลี่ยนไปบ้าง (คือวิศวะ ไม่บูมเท่าก่อน) จากคุณ : last - [ 29 ม.ค. 50 07:59:04 A:218.186.178.174 X:218.186.9.4 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ^ Looking at my highschool peers who went to CU medical school, I do not think they will be any better at chemistry than CU eng students. Given also that, all gold/silver/bronze medalists of Chem Olympiad entered engineering department in my year. I believe it would be a case as 81# claimed if we are to compete biology or anatomy with them. จากคุณ : Good deal - [ 29 ม.ค. 50 09:51:52 A:136.18.216.140 X:136.18.216.140, 12.41.112.201 ]

ความคิดเห็นที่ 84 เหอๆ ไม่คิดว่าจะกลายเป็นกระทู้โต้เถียงกันขนาดนี้เลยค่ะ เป็นคนหนึ่งที่เปิดเข้ามาดูเพราะเป็นคำถามที่โดนใจ และเรากำลังประสบปัญหาคล้ายๆแบบนี้อยู่ ไม่ได้บอกว่าของมหาลัยอื่นไม่ดี ไม่ได้บอกว่าคณะอื่นไม่ดี เราเคารพในความภาคภูมิใจ ในคณะ ในมหาลัยของแต่ละบุคคล มันคือสิ่งที่เรากำลังบ่นอยู่ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงของการสมัครเรียนต่อของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ เราเป็นคนหนึ่งที่ได้เกรดค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับภาคอื่นๆ คณะอื่นๆ แต่สำหรับในภาคเราเองแล้ว คะแนนเราอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหาที่เราเผชิญ มันเกิดมาจาก เราเปลี่ยนสายการเรียนจากปริญญาตรีไปค่อนข้างมาก ทำให้เราต้องนำเกรดไปแข่งกับผู้ที่เรียนสายตรงมา หรือสายใกล้เคียง ซึ่งมีระบบการเรียนที่ไม่เหมือนกัน เกรดของพวกเขาเหล่านั้น สูงกว่าเราอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเราเป็นมหาลัยเรายอมรับว่า เราคงเลือก คนที่เรียนสายใกล้เคียงและเกรดสูงกว่าแน่นอน ในความเห็นของเรานะ มีผลกระทบอย่างมากค่ะต่อการพิจารณา ในกรณีเรียนไม่ตรงสาย แต่กรณีเรียนต่อวิศวะโดยตรงอาจมีผลนิดหน่อยค่ะ จากคุณ : vecteri - [ 29 ม.ค. 50 10:35:36 ]

ความคิดเห็นที่ 85 แต่มีจริงนะคะ ประเภทวิชาที่คนเกรด A น้อย F เยอะค่ะ ตอนปี 1 วิชา Drawing (บังคับ) คนลงเรียนราวๆ 350 คน ได้ F 60 กว่าคน D 90 กว่าคนค่ะ ในขณะที่ A มีไม่เกิน 20 คน เราเคยสงสัยทำไมคณะอื่นเขาได้เกียรตินิยมกันเยอะจัง ตอนเรานั่งรอรับปริญญาในหอประชุม เขาแจกหนังสือที่มีรายชื่อคนที่รับปริญญา พร้อมแยกประเภท เกียรตินิยมอันดับ 1,2 และสามัญชนอย่างพวกเราๆ เรานั่งนับรายชื่อของคณะหนึ่ง จำนวนบัณฑิตทั้งหมด 130 กว่าคน ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ทั้งหมด 50 กว่าคน ได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ทั้งหมด 60 กว่าคน บางคณะ ได้เกียรตินิยมกันครึ่งคณะ เราเริ่มกลับมามองคณะเรา บัณฑิตทั้งหมด 670 กว่าคน มีเกียรตินิยมอันดับ 1 ทั้งหมด 10 คน!!!! เกียรตินิยมอันดับ 2 ทั้งหมด 27 คน !!!! เหล่าเทพเรามีเพียง 37 คน ทำไมเป็นแบบนี้หว่า อย่างรู้จังเลยว่าทำไมบางคณะเขาได้เกียรตินิยมกันเยอะจังค่ะ (อยากรู้จริงๆค่ะ ไม่มีเจตนาลบหลู่คณะใดๆค่ะ) จากคุณ : vecteri - [ 29 ม.ค. 50 10:56:40 ]

ความคิดเห็นที่ 86 เห็นใจนะครับ เพราะผมอยู่นิติ ม.ธ. ก็เจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกันครับ จากคุณ : QaQ - [ 29 ม.ค. 50 20:22:15 A:125.26.53.176 X: TicketID:117957 ]

ความคิดเห็นที่ 87 จริงๆครับ ผมอยู่นิติ มธ. ที่นี่ให้คะแนน แบบ0-100 คะแนน ไม่มี เอบีซี  ไม่มีเก็บคะแนน สอบที่เดียวรู้ผลเลย ตกที่คะแนนไม่ถึง60   ปกติเขาตกได้Fกันที่50 ถูกไหมเกียรตินิยมอันดับ1ที่นี่ต้อง 85 ขึ้น   แต่รู้ไหม บางวิชาคนได้สูงสุด วิชานั้นได้แค่ 80 คะแนน  แล้วไม่มีวิชาไหนไม่มีคนสอบตก  ถ้าอาจานโหดๆหน่อย ก็ตก ไป 90 % บางคนก็ลง1เทอม ก็สอบตกหมดเลย 555555555 ใครที่ไม่เคยสอบตกมาก็จะมาตกที่นี่แหละ ทั้งภาค ปกติ + ภาคบัณฑิต   แค่นี้แหละสำหรับ นิติอันดับ1ของประเทศไทย จากคุณ : เอ็กซ์ (sammyjungg) - [ 30 ม.ค. 50 00:11:47 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เวอร์ไปหรือป่าวกับคำว่า "นิติอันดับ 1 ของประเทศไทย" สมัยเอ็นท์จำได้ว่า นิติฯ คะแนนต่ำมาก ประมาณว่าเค้าให้เลือกห้าอันดับ ไล่ลงมาจากอันดับถึงอันดับห้าที่เลือก หาที่ลงให้ นิติฯ มธ ไม่ได้เลย เพราะอันดับห้าที่เลือกตอนนั้นก็ยังคะแนนสูงกว่านิติเยอะ 555 จากคุณ : เว่อร์ - [ 30 ม.ค. 50 01:47:14 A:218.186.182.2 X:218.186.8.13 ]

ความคิดเห็นที่ 89 แล้วคนรู้จักที่ไปเรียนก็มีแต่พวกเรียนห้องบ๊วยๆ ตอน ม ปลายอะ จากคุณ : เว่อร์ - [ 30 ม.ค. 50 02:07:17 A:218.186.182.2 X:218.186.8.13 ]

ความคิดเห็นที่ 90 กดเกรดหรือไม่ ถ้าอยู่คนละคณะกันก็เหมือนจะพูดกันคนละภาษานะครับ บางทีการอ้างอิง bell curve หรือการอิง เกณฑ์คะแนน อาจจะแก้ได้ ถ้าอาจารย์จะทำจริงๆ ประสบการณ์ตรงที่เจอมา อาจารย์บางท่านตัดเกรดแบบเอามัน (ครับ เอามัน) ให้เอซักคนละกัน บีอีกแปด ซีซะยี่สิบห้า ที่เหลืออีกเกือบห้าสิบนี่ก็ด๊อก กับเอฟน่ะครับ ศาสตราจารย์บางท่านเหมือนเป็นสมมติเทพ(ก็ว่าได้) สั่งให้เพื่อนในรุ่นไปตัดผมให้สั้นก่อน ไม่งั้นก็ไปถอนวิชาเค้า (หรือติด F)ได้เลย ผมว่ามันค่อนข้างไร้หลักการและเหตุผลน่ะครับ การบ้าน เห็นมีคนพูดถึง RC-Design การบ้านส่งไปแต่ละครั้ง ทำถูกให้เต็มสิบ รองลงมาเป็นสาม กับศูนย์คะแนน ทำผิดทีก็น้ำตาไหลแล้วครับ คะแนนเก็บจากการบ้าน(ซึ่งควรจะได้ดีๆ) ก็แย่ไปแล้ว ที่นี่ (ออสติน) อาจารย์บอกว่าเด็กส่งมาก็ให้เค้าไปเลยเจ็ดคะแนน ถ้างานแย่จริงๆก็ให้แปด ไม่งั้นก็ต้องให้เก้าหรือสิบ มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยนะครับ มีผลอย่างมากมายจริงๆในการสมัครเรียนต่อ ถึงจะมีหลายคนพูดว่า admission committee ที่นี่เค้ารู้จักมหาลัยเรา หรือรู้จักคณะเรา แต่ถ้าเค้าจะเลือกรับ เค้าคงรับเด็ก 3.0+ จากที่อื่น(ทั้งจากเมืองไทยและประเทศอื่น) มากกว่าเด็ก 2.5 - 3.0 จากวิศวะจุฬา บอกตรงๆว่าการแข่งขันมันยากมากครับ เพราะนอกจากจะต้องแข่งขันกับตัวเองในการพยายามทำโพรไฟล์อื่นๆให้แข็ง และแก้ปัญหาเรื่องเกรดน้อยแล้ว ยังต้องแข่งกับคนสมัครจากที่ต่างๆ ที่ไม่มีปัญหาเรื่องเพดานเกรดต่ำ ผมว่าเรียนต่อในสายวิศวะ น่าจะไม่ยากไปกว่าทางด้านบริหารธุรกิจ บอกตามความรู้สึกเลยว่า ยาก ยากจริงๆครับ ท๊อป 5 มหาลัยด้านนี้ คนที่เข้าได้นั้นเกรด 3.0+ (หรือจริงๆแล้ว 3.5+) กันเกือบจะหมด พวกนี้เค้าไม่ต้องไปอธิบายน่ะครับว่าทำไมเกรดเราห่วย เราอธิบายไปเค้าก็ว่าแก้ตัว มันฟังให้ขึ้นยากว่าทำไม admission committee ต้องมารู้ด้วยล่ะว่าวิศวะจุฬา เกรดเป็นแบบไหน สู้เค้าไปรับเด็กจบบัญชี (สมมตินะครับ) เกรด 3.2 ก็ยังดีกว่าเด็กวิศวะ 2.7 นี่นา คนที่เกรดน้อย(วิศวะ)แล้วเข้า MBA ยูท๊อปได้นั้นผมมองว่าเค้าต้องมีหนึ่งในสามอันนี้ (นอกเหนือไปจากคะแนนโทเฟลและจีแมตที่ดี) 1.ทุน (ปูน, ปตท., แบงค์ชาติ, etc.) 2.ประสบการณ์ทำงานดีมาก 3.ที่บ้านมีอะไรให้โม้ หรือสานต่อได้ (*) หรือ ใช้บริการคอนเซาล์ท อิดิทเอสเส ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าต่อให้จบโทต่างประเทศมาแล้วหนึ่งใบ โทเฟลสวย จีแมต 700+ ก็ยังเข้ายากมากมากครับ ถ้าไม่มีปัจจัยทั้งสาม และ (*) ที่กล่าวด้านบนนี้ มันเหมือนเป็น anomaly in life จริงๆเหมือนที่มีคนพูดไว้ด้านบน ยอมรับว่าพิมพ์ไปก็อึดอัดไป กดเข้ากระทู้นี้เพราะรู้สึกว่าจะต้องมีคนมาโพสต์กันมากมายแน่นอน แล้วก็จริงตามคาด น้องๆพี่ๆที่ตกที่นั่งเดียวกันก็อย่ายอมแพ้นะครับ อย่างน้อยขอให้เราได้ลองสมัครดู ได้ไม่ได้เราไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ เราคงทำได้แค่ทำส่วนอื่นของใบสมัครเราให้ดีที่สุดเท่านั้นเองนะครับ = ] จากคุณ : KwAnGiEs (KwAnGiEs) - [ 30 ม.ค. 50 07:09:30 ]

ความคิดเห็นที่ 91 "สมัยนี้ไม่ทราบครับ แต่สมัยผมไม่มีเหตุการณ์นี้แน่นอนครับ เพราะรุ่นนั้น คะแนนต่ำสุดวิศวะ ยังสูงกว่าหมอครับ ทั้งๆที่วิศวะรับ600 กว่าคน หมอรับ 150 คน แต่สมัยนี้อาจเปลี่ยนไปบ้าง (คือวิศวะ ไม่บูมเท่าก่อน) " จากคุณ : last - [ 29 ม.ค. 50 07:59:04 A:218.186.178.174 X:218.186.9.4 ] เรื่องนี้ไม่จริง.. คนอื่นเค้าเข้ามาอ่านจะหาว่าพวกเด็กวิศวะหลงตัวเอง... หมอจุฬาคะแนนต่ำสุด สูงกว่า วิดวะ ทุกปีครับ..ถ้าเป็นช่วงที่ผมเอ็นท์.. ช่วงปี 30-40 แต่ก็ถูกที่คณะวิศวะเป็นศูนย์รวมเด็กหัวกะทิ เพราะมีเป็นร้อย.. แต่ละสถาบันก็มีที่ละหลายร้อย..ผิดกับหมอที่มีหลักสิบถึงร้อยกว่าๆ... จากคุณ : เด็กวิดวะ (ซาลาเปาไส้เค็ม) - [ 30 ม.ค. 50 10:21:54 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ความเห็นส่วนตัวนะคะ เราว่า วิศวะ จุฬา ไม่ได้กดเกรดอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ จากคุณ : Conglomerate - [ 30 ม.ค. 50 11:15:13 ]

ความคิดเห็นที่ 93 สงสัยสมัยที่คห. 88 เอ็นฯคงจะนานมากๆๆๆๆๆๆแล้ว สมัยนั้นนิติคงยังไม่บูม ยังไม่ค่อยมีคนอยากเรียนเหมือนสมัยนี้มั้งคะ สมัยนี้มีแต่คนแย่งกันเรียนค่ะ จากคุณ : GirlThing - [ 30 ม.ค. 50 14:57:27 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ผมกับเพื่อนจบวิศวะจุฬามาด้วยกันครับ เจอประสบการณ์ตรงกับตัวเองเลย เกรด 3.0 กับ 2.8 toefl 600 up gmat 700 up โดน u top ten ปฏิเสธ ok profile ด้านอื่นอาจไม่ strong แต่ผมเชื่อว่าเกรดมีผลมากครับ จากคุณ : อดีตแก้ไขไม่ได้ (winggadium) - [ 30 ม.ค. 50 18:44:25 ]

ความคิดเห็นที่ 95 นิติธรรมศาสตร์ก็ยังมีชื่อดีกว่านิติจุฬาละกันคุณ เว่อร์ จากคุณ : sammyjungg - [ 31 ม.ค. 50 02:34:45 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ยุคก่อนนิติอาจไม่บูม แต่ตอนนี้มันกลับกันแล้วคุณ วิศวะคะแนนหดหมดแล้ว 555 จากคุณ : sammyjungg - [ 31 ม.ค. 50 02:35:42 ]

ความคิดเห็นที่ 97 วิศวะ จุฬา ไม่ได้กดเกรดอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ จากคุณ : SF man - [ 31 ม.ค. 50 05:58:15 ]

ความคิดเห็นที่ 98 รำคาญความเห็นแบบสองคนข้างบนมาก มาพ่นๆอะไรไร้สาระแล้วก็ไป no substance สุดๆ เรียนอยู่ที่ไหนก็คงเป็นตัวเสื่อมเสียของที่นั่น จากคุณ : ... - [ 31 ม.ค. 50 11:41:02 A:218.186.179.142 X:218.186.8.13 ]

ความคิดเห็นที่ 99 คุณซาลาเปาไส้เค็ม ความเห็นที่ 91 ลองเช็คข้อมูลปี 36-38 ก่อนดีมั้ยครับ ถ้าไม่มีแล้ว ทิ้ง email ไว้ จะลองส่งไปให้ดูครับ พอดีอยู่ผมและน้องชาย 2 คน (เรียนหมอคน วิศวะคน) เอ็นท์แถวปีนั้นพอดี เลยมีข้อมูลอยู่ครับ ผมว่าขึ้นกับภาควิชาด้วยครับ จริงอยู่ปี 1 เหมือนถูกกดเกรดกันทั่ว แต่พอเข้าภาคบางภาค หลายคนได้เกรดดีขึ้นเยอะครับ ภาคใหญ่ส่วนใหญ่จะโหด ใครเรียน EE math คงทราบ ตัดเกรดเทอมแรกกับเทอมสองต่างกันเยอะเลยครับ อาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่าน เช่น อาจารย์ณรงค์ อยู่ถนอม (ตอนนี้ท่านเป็นคณบดีที่ ม.ศรีปทุม) ก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ครับว่าให้ปรานีกับนิสิตหน่อย เพราะมีปัญหาตอนเรียนต่อ/ทุนค่อนข้างมาก ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้วครับ เกรดเฉลี่ยของชั้นปีตอนจบ คะแนนดีขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ทั้งที่วิศวะ ไม่บูมเหมือนแต่ก่อน แต่เกรดมีประจุ + อาจารย์โหดน้อยลงครับ จากคุณ : Bank846 - [ 31 ม.ค. 50 13:40:09 A:202.142.199.114 X: TicketID:137537 ]

ความคิดเห็นที่ 100 เห็นด้วยกับคุณ KwAnGiEs ความเห็น 90 ค่ะ RC design เป็นอีก 1 วิชาที่คะแนนที่ได้มาช่างยากลำบากยากเย็นจริงๆ Structure Analysis ด้วยค่ะ เราเจอหลายคนที่เรียน 3 รอบกว่าจะผ่าน แล้วสถิติที่เราเจอมากสุดตอนนี้คือ เรียน 4 รอบค่ะ (ไม่ผ่านนี่คือ F นะคะ) จากคุณ : vecteri - [ 2 ก.พ. 50 23:57:40 ]

ความคิดเห็นที่ 101 เฮ้อ มหาลัยเทพเขาคุยกัน ลูกพระจอมชาวชงโคหยั่งเราคงได้แต่นั่งดู โอ้ว เทพลงเต็มกระทู้เลย ไปนอนฟังเสียงเครื่องบินดีกว่า ลัลล้า จากคุณ : จาจาบิงแปงร่างเป็นไอ้มดเขียว - [ 3 ก.พ. 50 00:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 102 คห.88 แสดงว่าที่คุณเลือกคณะ ไม่ได้เลือกเพราะความชอบ แล้วจะเลือกเพื่ออะไรล่ะคะ ใส่ไปให้เต็มๆอ่ะเหรอ แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน อยากเรียนอะไรไม่เหมือนกัน  อย่าบอกนะว่าชีวิตคุณไม่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎหมายเลย เหอะๆ -- ถึงคห.95และทุกคน   หึหึ เราเข้ามาในกระทู้นี้เพราะอยากมาอ่านดู อ่านๆอยู่เป็นเรื่องวิศวะ แต่ไปไปมาๆกลายเป้นเรื่องนิติ แต่ได้เห็นความคิดของเด็กนิติมธ.บางคนแล้ว เรารู้สึกดีใจอ่ะ ที่ไม่เลือกเรียนนิติมธ.ตอนแอทมิทชั่น   เราเลือกนิติจุฬาอันดับ 1 ตอนนี้เราเรียนที่นิติจุฬา เราไม่เคยเสียใจที่เลือกนิติจุฬาเลย อย่างน้อยเราก็รู้สึกดีที่อยุ่ในสังคมดีดี ไม่มีเพื่อนที่มีความคิดเสื่อมๆ เหยียบย่ำคนอื่นแบบคห.95 เราไม่ได้ว่าเด็กนิติมธ.ทุกคนนะ เพื่อนเราที่ดีดี เปงเด็กนิติมธ.ก็เยอะ สนิทกันๆๆ  แต่ว่าจากการสังเกตแล้ว นิติจุฬาไม่ได้ไปหาเรื่องนิติมธ.หรือสถาบันอื่นเลย มีแต่คนอื่นมาด่าพวกเรา ถ้าคณะคุณดีจริงทำไมคะแนนแอทมิทชั่นน้อยกว่าคณะเราเยอะล่ะคะดูจากคะแนนรวมทุกวิชา ในแต่ละเอเน็ตเลยน่ะ(ไม่อยากพูดนะ แต่มันทนไม่ไหวแล้ว เราก็คนนะเว้ย )   คณะเราอาจจะไม่มุ่งพัฒนานิสิตทางศาล +มหาชน แต่จะมุ่งทางกม.ธุรกิจกับกม.ระหว่างประเทศกันมากกว่า แต่จะบอกว่าคณะเราไม่หยุดแค่นี้แน่ ตอนนี้ด้านศาล ทางสาขากม.แพ่ง- อาญาและมหาชนคณะเราเริ่มพัฒนาขึ้นมาแล้ว เห็นจากอจ.บางคนเริ่มมีส่วนร่วมในงานต่างๆมากขึ้น   ยิ่งได้อ่านกระทู้นี้ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า คิดถูกที่เรียนนิติจุฬาแล้วล่ะ ขอบคุณมากนะคุณsammyjungg สงสารธรรมศาสตร์ที่มีคนอย่างคุณจริงๆ เฮ้อ *** -ขอตอบเรื่องวิศวะ เรามีเพื่อนที่อยู่วิศวะจุฬาทั้งพวกเทพ 3.6  ท๊อปบ่อยๆ ยันพวก 2 ต้นๆเลยอ่ะ  เราคิดว่าบางคนเค้าเก่งอยู่แล้ว เพื่อนที่3.6มันไม่เห็นขยันไรเลย เมาตลอด ตอนนี้อ้วนขึ้นเพราะบวมเบียร์กะเหล้าด้วย แต่เกรดยังไม่ตก เทพอยุ่  เราว่าเกรดบางทีมันก็ช่วยวัดได้นะว่าเราเหมาะกับงานด้านนั้น เหมาะกับคณะนั้นรึเปล่า เราว่าถ้าเราเก่งจริง ไม่เสียเปรียบการเรียนในยูดีดีหรอกจ้า อย่ายอมแพ้ละกัน  สู้ๆ ทำไมไม่ลองพัฒนาตัวเองให้กลายมาเป็นเทพแทนล่ะคะ ไม่ว่าจะเรียนที่ไหน ถ้าคุณทำตัวให้เก่ง ยังไงก็ไม่เสียเปรียบร้อก  อย่ามาดูถูก+เหยียบกันเลย ปัญญาชนกันหมดแล้วนะคะ  เอาเวลามาช่วยพัฒนาประเทศกันดีกว่า จากคุณ : ฬ49 (pukkajr.) - [ 4 ก.พ. 50 16:45:06 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ข้อเสียการเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำก็ตรงนี้แหละมั้ง สร้างegoที่ไม่ควรจะมีขึ้นมา จริงๆก็ไม่ถึงกับพูดได้เต็มๆว่าข้อเสีย เพราะมันขึ้นกับนิสัยและทัศนคติส่วนบุคคลเป็นส่วนใหญ่   คนเราก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ  เป็นธรรมดาที่จะพูดว่าที่ๆตัวเองเรียนนั้นยาก กดเกรด  ดีมาก  เพราะมันเสริมegoตัวเองที่เรียนอยู่หรือจบมาได้ดี การเห็นค่าในตัวเองเป็นเรื่องดี  แต่ระวังอย่างให้มันมากไปจนเป็นภัยย้อนกลับมาหาตัวเอง เราก็จบจากหนึ่งในที่ๆถูกพาดพิงในกระทู้นี่ล่ะ ก็รักมหาวิทยาลัยและภูมิใจที่เรียนที่นี่มาค่ะ  แต่เห็นการเถียงกันเพื่อข่มและเหยียบคนอื่นให้สูงกว่ากันในกระทู้นี้แล้วเหนื่อยใจจัง วิชาความรู้ไม่พอหรอกนะคะในการเป็นคนดีคนเก่งในสังคม   ทัศนคติที่ดีต้องมีเคียงคู่ด้วยค่ะ จากคุณ : #^_^# นู๋อายยย - [ 7 ก.พ. 50 02:50:50 ]

ความคิดเห็นที่ 104 "ดีไม่ดีท่าให้เด็กวิศวะไปลงเรียนวิชาพวกบัญชีเศรษฐศาสตร์แล้วให้ตัดคะแนนรวมกันข้อสอบเดียวกันผมคิดว่าเด็กวิศวะยังจะได้คะแนนสูงกว่าเลยเนื่ิองจากหัวอาจจะไวกว่า ได้เจอของยากยากมามากกว่า"  <<< ไม่ชอบคำพูดนี้เลยครับ วิชามันคนละแนวด้วยซ้ำ แต่พูดไปก็เท่านั้นแหละ เดี๋ยวเรื่องจะยาวเสียเปล่าๆ ปล. เห็นด้วยกับความเห็นที่ 103 ครับ จากคุณ : T@Mbaqui - [ 8 ก.พ. 50 01:19:31 ]

ความคิดเห็นที่ 105 เข้าใจไม่เข้าใจไม่รู้ค่ะ แต่ถ้าคนที่มาสัมผัสก็จะรู้ค่ะ ว่าอยู่ท่ามกลางคนเก่งมากๆเยอะๆมันเป็นยังไง เฮ้อแค่นี้แหละ จากคุณ : sweet natural - [ 9 ก.พ. 50 14:32:30 ]

ความคิดเห็นที่ 106 สนับสนุนความเห็นคุณ me (ความเห็น 41) นี่คืออีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งน่าจะเห็นได้ชัดว่า "กดเกรด" จริงนะครั http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01fun01280150&day=2007/01/28&sectionid=0146 สติปัญญาระดับนี้ ถ้าจะเรียน mit ก็เรียนได้แน่นอนครับ แต่เข้าไม่ได้ เพราะเกรดไม่ถึง3.8 (3.5 ก็ยังไม่ถึง) ถ้ามหาลัยไม่กดเกรดจนเกินไป สมองแบบนี้จะได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งก็คงไม่น่าเกลียดมั้ง แต่เพราะให้เกรดยากเกิน น้องคนนี้เลยไม่สามารถเข้า mit, berkeley ได้ (แม้ georgia tech จะเริดอยู่แล้ว แต่ถ้าได้ mit ได้ก็ยิ่งดีใช่มั้ย) เห็นแล้วนึกถึงเกียรตินิยมอันดับหนึ่งที่อื่นหลายๆคนที่เคยรู้จัก เตรียมตัวเป็นปี ยังทำ toefl, gmat ให้เกิน 600 ไม่ได้ แต่สุดท้ายก็เข้ามหาวิทยาลัยดังๆเมืองนอกได้ (โดยเฉพาะในอังกฤษที่เน้นเกรดเป็นหลัก) แล้วซาบซึ้งกับคำว่า โลกนี้ไม่มีความยุติธรรมจริงๆ เฮ้อ จะว่าใครได้ ก็ต้องต่อว่าอาจารย์ในวิศวะ นั่นล่ะ จะกดไปถึงไหนไม่รู้ งกไปตัวเองก็ไม่ได้รวยขึ้นมาสักหน่อย ไม่เข้าจริงๆ จากคุณ : ... - [ 9 ก.พ. 50 17:09:51 A:218.186.182.123 X:218.186.9.2 ]

ความคิดเห็นที่ 107 คห 104ครับท่าไม่เชี่อลองดูได้ มหาลัยที่ผมเรียนอยู่ อันดับ 4 วิดวะ อันดับ1บัญชีของเมกา เด็กวิดวะไปลงเรียนวิชาบัญชีได้เกรดtopของวิชาเลย แต่ท่าเด็กบัญชีมาเรียน differential equation หรือ quantum physic ของวิดวะเหอะๆไม่รู้จะได้เกิน mean เปล่า จากคุณ : อดีตวิดวะสามย่าน - [ 10 ก.พ. 50 12:05:17 A:130.126.215.10 X: TicketID:137771 ]