Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    K-1, K-3.. แต่งงานแล้ว.. จดทะเบียนแล้ว..แต่...............................

    แต่งงานแล้ว.. จดทะเบียนแล้ว.. แต่สามีใช้เงื่อนไขเรื่องกรีนการ์ดมาบีบบังคับ.. ทำยังไงดี



    การยื่นเรื่องขอปรับสถานะไม่มีกำหนดว่าต้องทำภายในกี่วัน ฉนั้น หลังจากจดทะเบียนแล้ว
    ยื่นเมื่อไหร่ก็ได้  แต่ที่ควรยื่นเนิ่นๆ ก็เพราะใช้เวลานาน ถึงนานมาก... ระหว่างปรับสถานะ  
    ก็จะมีสิทธิ์ขอเวิร์คเพอร์มิทได้ การมีเวิร์คเพอร์มิท จะทำให้สามารถขอเลขโซเชี่ยลได้
    ทำใบขับขี่ได้ และทำ photo ID ได้  ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้
    สามารถทำงานได้โดยที่ยังไม่มีกรีนการ์ด

    สรุปว่า ระหว่างที่ยังไม่ได้กรีนการ์ดนี่ คุณสามารถหางานทำ ฯลฯ ได้เหมือนคนที่มีกรีนการ์ด
    ทุกประการ ยกเว้นการเดินทางออกกนอกประเทศ  ถ้าคุณยังไม่มีกรีนการ์ด คุณต้องยื่นเรื่องขอ
    Advance Perole ซึ่งเป็นเหมือนเอกสารประกอบหนังสือเดินทางเข้า-ออก อเมริกา
    และคุณต้องรอให้ได้รับอนุมัติก่อน ถึงจะเดินทางได้

    ระหว่างนี้หากเริ่มมองเห็นปัญหา  เริ่มรู้สึกกดดัน ทะเลาะกันบ่อยๆ  สิ่งที่ควรทำคือ พยายามนิ่งไว้
    และเก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆ โดยไม่ให้สามีรู้  ยิ่งมากยิ่งดี  ทำแบบสำนวนจีนว่า *ใช้ความสงบ
    สยบความเคลื่อนไหว*  ถึงจะโกรธแค้นยังไงก็ต้องทน  และที่ห้ามเด็ดขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ที่
    มีลูกด้วยกัน  คือ **ห้ามท้าหย่า**  เพราะตามกฏหมาย ถ้าฝ่ายหญิงไม่ได้ทำงาน และมีลูกด้วยกัน
    มีสิทธิ์ได้รับเงินค่าเลี้ยงดูบุตรไปจนเด็กอายุ 18  ผู้หญิงอเมริกันเองโดนสามีบันดาลโทสะ
    ทำร้ายร่างกายพลาดไปจนถึงตายปีละเป็นพันๆคน  ที่ตั้งใจฆ่าเพื่อที่จะได้ไม่ต้องแบ่งสินสมรสก็มาก
    ผู้หญิงไทยเองก็มีไม่น้อยที่โดนฆ่าหมกป่าเพราะไปท้าหย่า ท้าแบ่งสมบัตินี่แหละค่ะ

    ถ้าที่บ้านมีสแกนเนอร์ ให้สแกนแล้วส่งเป็น attachment ถึงตัวเองที่อีเมล์แอดเดรสที่ใช้เฉพาะกิจ
    เพื่อที่ว่าเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา จะได้มีสำเนา ไม่งั้นออกมาตัวเปล่า หลักฐานอะไรไม่มีสักชิ้น
    สรุปว่าทำยังไงก็ได้ ให้มีสำเนาเอกสารเหล่านี้เก็บไว้ใช้  เอกสารที่ว่านี่คือ...

    1. หลักฐานของตัวคุณเอง พาสปอร์ต สูติบัตรของตัว.. +ของลูก (ถ้ามีลูกด้วยกัน หรือมีลูกติดมา
    จากการแต่งงานครั้งก่อน)  I-94  หนังสือรับรองว่าไม่มีประวัติอาชญากรรม  ใบรับรองแพทย์  
    สำเนาเอกสารทั้งหมดที่ยื่น INS  และ Notice of Receipt ถ้ามี ฯลฯ

    2. หลักฐานเกี่ยวกับตัวสามี เช่นเลขโซเชี่ยล  ใบขับขี่  บัตรเครดิต  ทะเบียนรถ สเตทเมนท์
    ธนาคาร ฯลฯ  ที่ต้องมีเพราะถ้าระยะเวลาการแต่งงานสั้น มันไม่ค่อยน่าเชื่อถือถ้าคุณไม่รู้เรื่อง
    อะไรเกี่ยวกับตัวสามีคุณเลย  บางรายแต่งงานกันแค่ 6 เดือนเท่านั้นค่ะ  โดนซ้อมจนทนไม่ไหว
    มีหลายรายค่ะ

    3. หลักฐานที่แสดงว่า แต่งงานและอยู่ด้วยกันจริง เช่น ใบเสร็จต่างๆ  ที่มีชื่อร่วมกัน รูปถ่าย
    ที่ถ่ายด้วยกันที่บ้าน หรือตอนไปเที่ยว  รูปถ่ายงานแต่งงาน  จดหมาย สิ่งตีพิมพ์ที่ส่งถึงฝ่ายหญิง

    4. หลักฐานพิสูจน์ว่านอกใจ หรือ abuse เรื่องนอกใจนี่ก็สำเนาอีเมล์ จดหมาย หรือใบจองตั๋วเครื่องบิน
    ถ้ารู้ว่าเค้าบินไปหากัน หรือใบเสร็จถ้ารู้ว่าเค้าซื้อของขวัญราคาแพงๆ ให้กัน หรือแอบอัดเทป
    การสนทนาทางโทรศัพท์ ส่วนเรื่อง abuse ถ้าไม่ใช่ การทำร้ายร่างกาย หลักฐานก็มักจะเป็น
    คำให้การของพยานเสียเป็นส่วนมาก

    5. หลักฐานอื่นๆ  ตรงนี้สำคัญค่ะ  อย่างการโทรไปปรึกษาศูนย์ Hotline หรือ Women Shelter
    ของท้องถิ่น เล่าเรื่องให้เค้าฟังก่อน ถามว่าคุณควรจะทำอย่างไร การให้ที่พัก ทางศูนย์เหล่านี้
    จะจัดให้คุณก็ต่อเมื่อเห็นว่า ขืนปล่อยให้คุณอยู่ตามลำพัง อาจเป็นอันตรายถึงขั้นเลือดตกยางออก
    หรือพลาดพลั้งถึงตายได้ ยิ่งในกรณีที่สามีเป็นคนโมโหร้าย  ให้คุณจดบันทึกไว้ว่า โทรไปที่เบอร์อะไร
    วันที่ เวลา หน่วยงานนั้นชื่ออะไร คนที่คุณพูดด้วยชื่ออะไร  เวลาคุณเขียนสเตทเมนท์ส่ง INS
    ให้ใส่ข้อมูลนี้ลงไปด้วย เพราะหน่วยงานพวกนี้ เค้าจะมีการอัดเทปโทรศัพท์ที่คนโทรเข้ามาปรึกษา
    เหมือนกับ 911  ทาง INS สามารถสุ่มเช็คได้ว่าคุณโทรไปจริงหรือไม่  ถ้าจริง..... ก็จะเป็นประโยชน์
    กับรูปคดี

    การโทรแจ้ง 911  หรือโทรแจ้งตำรวจที่เบอร์ทั่วไป ก็เหมือนกัน  ถ้าไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอย่าโทร 911
    ถ้าต้องการแค่ให้ลงบันทึกประจำวัน ให้บอกไปว่าคุณต้องการให้ลงบันทึกประจำวัน ถ้าสื่อสาร
    ไม่ชัดเจน ตำรวจมักเหมาเอาว่าคุณต้องการให้จับคู่กรณีและดำเนินคดี ซึ่งบางทีมันเป็นเรื่อง
    เกืนกว่าเหตุ เค้าจะไม่ทำให้  เพราะฉนั้นถ้าตำรวจบอกว่าทำอะไรไม่ได้ อย่างเรื่องของสามีภรรยา
    ให้บอกไปให้ชัดเขนว่า ต้องการแค่ให้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน

    ในกรณีที่มีการทำร้ายร่างกาย หรือมีอาวุธปืนเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้โทร 911 ทันที ถ้าบาดเจ็บถึงกับ
    ต้องไปโรงพยาบาล ให้เก็บสำเนาใบรับรองแพทย์ไว้ให้ดี เอาไว้แนบเรื่อง เป็นประโยชน์มากค่ะ

    6. คำให้การของพยาน คำว่าพยานในที่นี้คือผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ว่า relationship ของคุณกับสามี
    ลุ่มๆ ดอนๆ อย่างไร...  สามีปฏิบัติต่อคุณซึ่งเป็นภรรยาอย่างไร... คุณมีความคับข้องใจ อันเนื่อง
    มาจากพฤติกรรมของสามีอย่างไร


    สิ่งที่ต้องรู้ + ต้องทำ...

    ข้อแรก... ต้องรู้ว่าตัวเองมาด้วยวีซ่าอะไร  เคยเจอคนจบปริญญาตรีเมืองไทย  ทำงานมาก็หลายปี
    ไม่ทราบอะไรเลย ถามดูได้ความแค่ว่าวีซ่าเค.... 1 หรือ 3 ไม่รู้  รู้แต่ว่าพอมาถึง ตม ดึงเอกสารไปใบนึง
    ไม่รู้ว่าเอกสารอะไร สรุปว่าถามอะไรไม่ได้คำตอบเลย..  แล้วหนีสามีออกจากบ้านมา ก็ไม่ได้เอา
    เอกสารอะไรติดตัวมาด้วยเลยนอกจากพาสปอร์ต  ฉนั้น ศึกษาด้วยตนเองบ้างในเรื่องพวกนี้
    เพราะเวลาไปปรึกษาทนาย หรือโทรไปปรึกษา INS เค้าจะต้องรู้ข้อมูลพวกนี้ก่อน ถึงจะให้คำตอบได้

    ข้อสอง.. เอกสารประจำตัวทุกอย่างเก็บไว้ให้ดี สำเนาทุกอย่างเก็บไว้... จำเป็นมากค่ะ
    อันนี้รวมทุกอย่างตั้งแต่พาสปอร์ต  ทะเบียนสมรส สูติบัตร สำเนาทุกอย่างที่ส่งไปกับฟอร์ม I-485, I-765 ฯลฯ

    ข้อสาม.. ให้เขียนไดอารี่  คือเจอเรื่องก็ให้บันทึกไว้ทันที  อย่าปล่อยไว้เพราะนานไปมักจะลืมรายละเอียด
    ปลีกย่อยซึ่งบางทีเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี  เวลาเขียนสเตทเมนท์ยื่น INS จะทำให้ง่ายเข้า

    ข้อสี่.. พยายามสร้างพยาน สร้างหลักฐาน  การเล่าเรื่องคับข้องใจให้คนอื่นฟัง พยายามให้มีหลักฐาน
    เช่นส่งเป็นอีเมล์ หรือส่งเป็นจดหมาย เพราะเวลา INS เช็คเรื่องกลับ พยานก็สามารถยืนยันได้ว่ามีหลักฐาน
    ว่ารับรู้เหตุการณ์จริง  ยิ่งในกรณีที่สามี Abuse ในหลายๆ เรื่องยกเว้นไม่เคยทำร้ายร้างกาย  พยานบุคคล
    จะมีบทบาทสำคัญมากในเคสแบบนี้ และจะเป็นผลดีมากๆ   ถ้าพยานเป็นเพื่อน หรือ คนในครอบครัว
    ของฝ่ายชาย อดีตภรรยา หรือคนรู้จักที่เป็นอเมริกันซิติเซ่นมาเป็นพยานให้ จะมีน้ำหนักดีมากๆ  
    ทั้งนี้ พยานจะต้องเป็นคนที่มีปูมหลังน่าเชื่อถือด้วยนะคะ เช่น ไม่มีประวัติอาชญากรรม ยาเสพติด ฯลฯ


    ***สิ่งสำคัญที่ควรทราบเกี่ยวกับขั้นตอนการปรับสถานะในกรณีแบบนี้คือ***  

    1.ถ้าเกิดเหตุขึ้นหลังจากจดทะเบียน แต่ยังไม่ได้ยื่นปรับสถานะ  อาจจะเพราะสามีเล่นเกม หรือใช้เงื่อนไขนี้
    เป็นเครื่องต่อรองในการบงการชีวิตคุณ  สรุปว่าถ้าเค้าไม่ยื่นเรื่องให้  ไม่เตรียมหลักฐานการเป็นสปอนเซ่อร์
    ให้ ฯลฯ  คุณเก็บรวบรวมหลักฐานตามที่ว่ามาข้างบน แล้วก็ยื่นเรื่องด้วยตัวเองเลยค่ะ

    ให้ยื่นฟอร์ม I-360 พร้อมกับ I-485  แบบฟอร์ม I-360 ใช้สำหรับกรณีที่เป็นเคส domestic abuse  
    โดยต้องส่งไปที่เวอร์มอนท์  ส่วน I-485 นั้น ยื่นคนละที่กัน  ให้ดูรายละเอียดจากคำแนะนำในฟอร์มว่า
    รัฐไหนให้ส่งไปที่ไหน

    2. ถ้ายื่น I-485 ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติ  ยังไม่ได้รับ Notice of Receipt  หรือได้รับแล้ว
    หรือโดนนัดไปพิมพ์ลายนิ้วมือแล้ว อะไรก็แล้วแต่  ให้ยื่นฟอร์ม I-360 อย่างเดียว  พอได้รับการอนุมัติ I-360
    ก็ให้ส่งสำเนาเอกสารฉบับนี้ไปที่สำนักงาน  INS ที่คุณยื่น I-485 ไว้

    ผลการพิจารณาเคสในหมวด I-360 จะเร็วมาก ถ้าหลักฐานครบุถ้วน จะใช้เวลาไม่ถึง 6 เดือน
    ระหว่างนี้คุณมีสิทธิ์ขอเวิร์คเพอร์มิท ขอเลขโซเชี่ยล ทำใบขับขี่ ฯลฯ ได้  เพราะฉนั้น ไม่ต้องกลัวว่า
    จะไม่มีสถานะทางกฏหมาย ถึงขั้นตอนนี้จะใช้เวลา แต่ถ้าหลักฐานพร้อม ไม่ค่อยพลาดค่ะ  
    ส่วน I-485 จะใช้เวลาประมาณ 10-12 เดือนหลังจากทราบผล I-360 แต่ถ้าเป็นเคส physical abuse
    จะเร็วกว่านี้มากค่ะ


    ***สำหรับคนที่ยื่นขอกรีนการ์ดโดยวิธีนี้  ระหว่างยื่น แยกทางกันแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องหย่าก็ได้  
    แต่ว่าระหว่างดำเนินเรื่องไปจนจบคือจนโดนเรียกสัมภาษณ์กรีนการ์ด คุณต้องหย่าเรียบร้อยแล้ว
    เมื่อถึงตอนนั้น  สรุปง่ายๆ ว่า เวลาสัมภาษณ์กรีนการ์ด คุณต้องหย่าแล้ว และต้องมีงานทำเลี้ยงตัวได้
    และมีระเบียบอีกข้อนึงว่า........

    *** ระหว่างที่เรื่องยังไม่จบนี่ *ห้ามแต่งงานใหม่*ค่ะ  หลังจากได้เรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นไร.....***

    จากคุณ : Lawanwadee - [ 15 ก.พ. 50 06:41:51 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom