Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เล่าประสบการณ์สมัครเป็น Assistant Professor ที่อเมริกา

    เนื่องจากวันนี้ผมเพิ่งได้รับ offer กับต่ำแหน่ง Assistant Professor in English Language จาก U of Houston นะครับ เลยอยากเขียนเล่าประสบการณ์การสมัครเป็นอาจารย์ในประเทศอเมริกา เผื่อว่าเพื่อนๆคนไหนที่กำลังเรียนอยู่ หรือกำลังจะจบ หรือกำลังจะมาเรียน อาจจะได้นำไปใช้กับสถานการณ์ตัวเองนะครับ

    เริ่มต้นเลยก็ต้องบอกว่า งานเป็นอาจารย์ที่เมกานั้น มีสองประเภทใหญ่ๆ คือ tenure-track กับ non-tenure track อันแรก ( tenure track) นั้น เป็นตำแหน่งที่ก้าวไปสู่ตำแหน่งประจำหรือถาวร (permanent position) ส่วนตำแหน่งที่สอง เป็นตำแหน่งที่เป็นลูกจ้าง ถ้าพูดง่ายๆ คือ เค้าจ้างให้มาสอนอย่างเดียว และถ้าเค้าไม่ต้องการเรา เค้าก็จะไม่จ้างเราเมื่อไรก็ได้ครับ

    แต่แน่นอน เมื่อตำแหน่งแบบที่หนึ่งดีกว่า เค้าก็ต้องคาดหวังเรามากกว่าด้วย เช่น 1) ต้องมีผลงานตีพิมพ์ไม่ต่ำกว่ากี่ชิ้น แต่ละชิ้น impact factor ต่อวงการวิชาการมากเท่าไร 2) ต้องมีการสอนที่ดี และ 3) ต้องมีการทำ service ให้มหาวิทยาลัย เช่น เป็นคณะำกรรมการหลักสูตร ต่างๆ  เค้าจะเอา ปัจจัยเหล่านี้มาประเมินเราเมื่อสิ้นปีที่หก และถ้าผ่าน ก็ดีใจได้เลยว่า ไม่มีใครมาแตะเราได้ตลอดชีวิต และคุณไม่ต้องตีพิมพ์อีก แต่ถ้าไม่ผ่าน คุณก็ม้วนเสื่อหางานใหม่ได้เลยครับ

    ตำแหน่ง tenure track นี้ เริ่มต้นเข้าไปจะเป็น Assistant Professor เลย เมื่อผ่านประเมิณปีที่หก จะได้เป็น Associate Professor ครับ (ซึ่งต่างจากเมืองไทย เพราะเมืองไทยเข้าไปเป็น อ. เฉยๆ และเมืองไทยสอนนาน ก็ได้ตำแหน่ง ผศ มาเอง ไม่ค่อยเน้นผลงานตีพิมพ์ในระดับนานาชาติเท่าไร โดยเฉพาะสายมนุษยศาสตร์)

    ในใบประกาศหางาน เค้าจะระบุมาเลยว่า เป็นตำแหน่ง tenure หรือ non-tenure ซึ่งก็แน่นอน ตอนผมสมัคร ผมเลือก tenure ทั้งหมด (เพราะไม่อยากย้ายไปมาบ่อยๆ และต้องการ security ในการทำงานน่ะครับ)

    ขั้นตอนการสมัครเป็นอาจารย์

    1 หางานจากแหล่งต่างๆ เช่น Chronicle of Higher Education หรือจากแหล่งอื่น ตามแต่สาขาของคุณ (ลองปรึกษาอจ ที่ปรึกษาดู) ของผมเนื่องจาก Department of English เป็นสิ่งที่ทุกมหาลัยต้องมี เค้าเลยมี Association of english department ซึ่งเป็นเวปไซมีคนมาลงโฆษณา ก็สะดวกไปอีกแบบ ผมก็หาจากเวปนี่แหละ

    งานที่เมกา จะโฆษณาและรับสมัครก่อนเข้ารับตำแหน่งหนึ่งปี (นั่นคือ ถ้าคุณจะสอน Fall, 2007 คุณต้องสมัคร Fall, 2006 ครับ)

    2 เขียน cover letter เตรียม curriculum vitae (เรียกย่อๆ ว่า vita) เตรียม dissertation abstract ให้เรียบร้อย แล้วเอามาเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามแต่ละมหาลัยที่คุณส่ง (ใครอยากดูตัวอย่าง อีเมลล์มาขอของผมได้)  มันจะมีรูปแบบของมันเลย  ผมก็ต้องดูของรุ่นก่อนๆอีกทีเหมือนกัน

    2. รอเค้าขอ additional material บางที่จะขอ chapter of your dissertation หรือ เอกสารเพิ่มเติม เช่น ทรานสคริป หรือ ใบประเมินการสอนของนักเรียนตอนปลายเทอม ฯลฯ ถ้าขึ้นตอนนี้คุณผ่านอีก ก็ไปขั้นต่อไป

    3. รอเค้าเรียก ถ้าคุณ look good on page (นั่นคือ ถ้าเค้าสนใจคุณจากข้อมูลที่คุณส่งไปเบื้องต้น สนใจหัวข้อ dissertation คุณ) เค้าจะโทรมาขอสัมภาษณ์ (บางที่สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ถ้าเป็นโรงเรียนจนๆนิดนึง) บางที่เค้าจะให้เราบินไปสัมภาษณ์ ที่ๆเราจะบินไปสัมภาษณ์ ส่วนใหญ่จะเป็น national conference ของสาขาคุณ เช่น ของผมมีงานสัมนาเกี่ยวกับวรรณคดี และภาษาอังกฤษทุกปี ช่วงคริสมาสต์ คนที่เข้าร่วมประชุมก็ถือโอกาสนี้แหละเป็นโอกาสสัมภาษณ์ (นั่นคือ ผมต้องซื้อตั๋ว จองโรงแรม และบินไปสัมภาษณ์

    ปรกติแต่ละโรงเรียนเค้าก็จะจองห้องในโรงแรมไว้ คุณนัดไว้กี่โรงเรียน คุณก็ต้องเดินสายสัมภาษณ์ตามโรงแรมน่ะแหละครับ ข้อแนะนำคือ ต้อง schedule เวลาสัมภาษณ์แต่ละที่ให้ห่างกันอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง เผื่อคุณหลงทางหาโรงเเรมไม่เจอ เผื่อคุณหิวน้ำ ฯลฯ

    ภาควิชาอื่นก็จะมีสัมนาต่างๆกันไป เช่น เศรษฐศาสตร์ก็มีของเค้า วิศวะก็มีของเค้า

    ก็เหนื่อยและลงทุนหน่อยละครับ ตอนเค้าโทรมาขอสัมภาษณ์ ผมมีห้าโรงเรียน และผมก็บินไปที่ฟิลลาเดลเฟียเมื่อปีที่แล้ว(ถือโอกาสเที่ยวไปด้วยเลย) ขั้นตอนนี้ อย่างน้อยๆ เสียประมาณแปดร้อยเหรียญ (รวมตั๋วเครือ่งบิน รวมโรงแรม ค่าชุดสูท จิปาถะ ฯลฯ)

    4. หลังจากกลับมาบ้าน ก็รอ รอ และรอ รอโทรศัพท์ครับ ว่า เมื่อไรจะมี request for fly-back คือ ถ้าเค้าเจอเราแล้วเค้าชอบเรา ขั้นตอนต่อไปเค้าจะ request a campus visit นั่นคือ ให้เราไป present paper (ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะ present a dissertation chapter น่ะแหละ) และไปสัมภาษณ์สด (หนึ่งชั่วโมง) กับ faculty member ของมหาลัยนั้นๆ อีกที เค้าก็จะถามแบบว่า how would you deal with ....situations? Where do you see yourself as a scholar here? What texts would you use in this course? blah blah blah

    และขั้นตอนนี้ คุณก็จะเจอกับ Dean เจอกับ Provost เจอกับ Chair of department ฯลฯ ขึ้นตอนนี้ใช้เวลาทั้งสิ้นสามวันสองคืน (บอกเลยว่าเหนื่อยๆมากๆ คุณจะเดินทั้งวัน พูดทั้งวัน) แต่ขึ้นตอนนี้ ฟรี ครับ เค้าออกทุกอย่างให้คุณ ค่าตั๋ว ค่าข้าว ค่าที่จอดรถที่แอร์พอร์ท และอื่นๆ

    5. รอ รอ และ รอ และรอ โดยทั่วไปในขั้นตอนที่สี่ (campus visit ข้างบน) เค้าจะเชิญคนไปประมาณ 2 คน หรืออย่างมาก สาม (เพราะว่าเป็นขั้นตอนที่แพงมากๆ) เพราะฉะนั้น คุณถือได้ว่าคุณเป็น หนึ่งใน finalists ใช่ป่ะครับ

    เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไปเป็นคนแรก คุณก็ต้องรอ และ รอ ให้ทุกคนไปเสร็จแล้ว และรอจนคณะกรรมการปรึกษากับเรียบร้อย คุณก็จะรู้ โดยทั่วไป เค้าจะ rank พวก finalist ไว้ ใครเป็นอันดับ หนึ่ง หรือ สอง และเค้าจะ offer job ให้กับ first rank ก่อน ครับ และให้เวลาสองอาทิตย์ ถ้าปฏิเสธ งานก็จะตกมาที่คนที่สอง ต่อไปครับ

    6. เมื่อได้ offer อย่าตอบรับทันที (เพราะแน่นอน คุณยังหวังไว้ว่าจะได้ตอบรับจากที่อื่นอีก ) และคุณบอกให้เค้าส่งรายละเอียดมาให้คุณเช่น เงินเดือน สอนซัมเมอร์ได้ตังค์เท่าไร อุปกรณ์สำนักงาน มีไรบ้าง (เช่น คอมพิวเตอร์ ฯลฯ) คุณสามารถ negotiate ได้ เรื่องวีซาทำงานก็เหมือนกัน ถ้าเค้าจะเอาคุณ เค้าต้องออกให้คุณฟรีนะครับ  อันนี้ไม่ต้องห่วงครับ

    ขั้นตอนสุดท้าย ก็ไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา ฯลฯ ว่าจะเอาดีหรือไม่


    ส่วนตัวผมนั้น ผมมาถึงขั้นสุดท้ายนี้แล้ว ผมได้รับ offer จาก u of houston, houston (ดีใจมากเลย) แต่ผมก็มีที่อื่นๆอีกที่สองที่ ที่จะต้องเอามาชั่งน้ำหนักดูว่าจะเอาอะไรกันแน่ครับ

    แต่ใจผมเอนเอียงไปทาง u of houston นี่แหละ เพราะว่าผมชอบเมืองใหญ่ ชอบแสงสี และชอบมหาลัยตรงที่เป็นมหาลัยใหญ่ และยังมีคอร์สให้ผมสอนในทางที่ผมถนัด เช่น English Grammar, English Composition, Discousre Analysis, Old English เพราะฉะนั้นถือว่า "ลงตัว"

    นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่นว่า บ้านราคาไม่แพง ถ้าผมจะซื้อในภายหน้า (อย่างน้อยไม่แพงเท่าซีแอตเติลหรือนิวยอร์ค) หรือว่ามี medical school เพราะว่าน้องผมอยากมาทำ fellowship ที่เมกานี่ในสายสูติแพทย์ ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องเกร็ดเล็กน้อย แต่ก็สำคัญนะครับ เพราะว่า คุณต้องอยู่กับมันไปอีกนาน (บางทีอาจตลอดชีวิตเลยก็ได้) และผมไม่อยากย้ายบ่อยๆอ่ะครับ  

    แต่จริงๆแล้วที่คนส่วนใหญ่ทำกัน คือ เข้าไปสอนสักสองปี ตีพิมพ์เยอะๆ  แล้ว move on ครับ  คือ ก็สมัครไปมหาลัยใหญ่ๆกว่าต่อไปครับ  

    ที่ผมอยาก accept offer ปีนี้คือ ผมไม่อยากทำอีกแล้วอย่างนี้ปีหน้า บอกได้เลยว่า process นี้เหนื่อย มากๆ เขียนพวก cover letter กับจัดของเข้าซองนี่ เหนื่อยมากๆนะครับ และเสียเวลา ถึงแม้ว่ามันจะดูเล็กๆน้อยๆก็เถอะ ไหนจะต้องเตรียมตัวสัมภาษณ์ บินไปอีก บินไป campus visit อีก บอกได้เลยว่ามีช่วงนึง ผมไม่ได้นอนหลายวันมากๆ

    คำแนะนำของผม สำหรับคนที่อยากจะเป็นอาจารย์ที่นี่คือ
    1) ช่วงเป็นนักเรียนอยู่ พยายามส่ง paper ออกไป พยายามไป present งาน มันไม่สำคัญหรอกครับว่า คุณจะได้ลงเจอร์นัลที่ มีชื่อเสียงขนาดไหน หรือไป conference ที่ระดับโลกหรือเปล่า แต่มันแสดงให้เห็นถึง scholarly promise ครับ ว่าคุณมีแนวโน้มที่จะเป็นนักวิชาการที่ดีได้ (แต่ไม่ใช่ว่าเอาบทความไปลงหนังสือพิมพ์ นิตยสารบันเทิงอะไรเทือกนั้นนะครับ)

    เอาเปเปอร์ที่คุณทำใน graduate course น่ะแหละครับส่งไป ขอคำแนะนำอาจารย์ เอามาแก้ แล้วส่งไป เสียแค่ค่าแสตมป์ครับ ทำแต่เนิ่นๆ เพราะว่าเจอร์นัลบางอันมันมี turn over time สูงครับ (บางทีรอตั้งหกเดือนแน่ะ บางทีรอเป็นปี)

    คุณจะชนะ candidate คนอื่นๆ ก็ตรงนี้แหละครับ เชื่อผมเถอะ ผมล่ะเสียใจที่ตัวเองไม่ได้ทำแต่เนิ่นๆ มาทำตอนจวนตัว เลยสู้คนอื่นๆไม่ได้ ไม่งั้นคงได้ยูแบบ texas austin ไปแล้ว (ผมหลุดไปแค่สัมภาษณ์รอบแรกเอง แต่แน่นอนมันมีปัจจัยอื่นๆด้วยครับ)

    2. สมัครหว่านไปหลายๆที่ คุณไม่รู้ว่าใครจะเรียกคุณบ้าง ไม่ต้องกลัวครับ อย่างดีเค้าก้แค่โยนใบสมัครคุณลงถัง แต่เผื่อเค้าเห็นว่าคุณจะเป็น good fit for the program ได้ครับ   บางทีคุณอาจจะต้องสมัครพวก generalist ไว้บ้าง กันเหนียว เช่น คุณอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไหนสักด้านทางเศรษฐศาสตร์ แต่คุณก็ต้องลองสมัครเผื่อไว้สอนพวก intro to micro econ, intro to macro econ บ้างนะครับ  

    ในทางตรงข้าม บางทีคุณต้องสมัครงานที่เค้าเรียกว่า it's a strech for me.  คือ ไม่ใช่ทางคุณเท่าไร  แต่ก็พอถูไถสอนไปได้ครับ  ต้องเผื่อๆไว้ ทางหลักของเรา ทางทั่วไป กับทางฝืนๆ ไว้บ้าง คละๆกันไปครับ

    3. เขียนพวก c.v., cover letter ให้เสร็จภายในซัมเมอร์ก่อนที่คุณจะสมัคร ถ้าคุณมาทำตอน fall จะยุ่งมากๆ (ผมเองแหละที่ทำตอนฟอล แทบไม่ได้นอน บางทีจัดเอกสาร เป็นวันๆ)

    4. อย่างน้อยถ้าคุณยังไม่ได้ปริญญาเอก คุณต้องเป็น ABD (all but dissertation) และคุณน่าจะเขียนได้อย่างน้อย สามบทแล้วครับก่อนสมัคร เพราะเค้าอาจจะขอดู และคุณต้องไปพรีเซนต์อยู่ดี

    5. ขอจดหมาย recommend จากอาจารย์ คุณจะได้ตำแหน่งไม่ได้เลยถ้าไม่มีจดหมายจากอาจารย์ แถมอาจารย์ (โดยเฉพาะ chair of your dissertation) ต้องเขียนให้อย่างดีด้วยครับ บอกอาจารย์ไว้แต่เนิ่นๆ

    6. ไม่ต้องไปกลัวคู่แข่งครับ ไม่ใช่ว่าเราเป็น คนไทย หัวดำ จะสู้ฝรั่งไม่ได้นะครับ

    ดูผมสิ ผมเป็นคนไทย พูดอังกฤษก็ไม่ได้ดีอะไร เค้ายังให้ offer คนเอเซียอย่างเราไปสอนภาษาอังกฤษให้แก่คนฝรั่ง เพราะฉะนั้นถือได้ว่าเค้าเชื่อมือเราล่ะครับ เรียนมาจนถึงแบบนี้แล้ว เราสู้ฝรั่งหรือจีนหรือแขก ได้แน่นอนครับ

    ผมนึกได้เท่านี้แหละ มีไรอยากถามก็ถามมาได้นะครับ

    ปรับปรุงตัวสะกด

    แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 50 01:57:40

    จากคุณ : krisdauw - [ 7 มี.ค. 50 07:09:43 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom