ความคิดเห็นที่ 1 ดิฉันไม่ทราบว่าตั้งกระทู้ถามเรื่องแบบนี้ได้หรือไม่  แต่ถ้าแม่บ้านท่านใด คิดว่าไม่สุภาพไม่สมควร ก็แจ้งลบได้นะค่ะ จากคุณ : sunshine mommy - [ 18 เม.ย. 50 22:34:51 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ลูกสาวอายุ 11 ขวบเหมือนกันค่ะ เรื่องนี้คิดว่าจะให้เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปค่ะ เด็กอื่นจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบนะคะ แต่ลูกสาวกับเพื่อนรักของแกช่วงนี้แยกหญิงชายชัดเจน คือไม่ยุ่งเกี่ยวกับเด็กผู้ชายเลยค่ะ ไม่เล่นด้วย ไม่ทำกิจกรรมอะไรด้วย เหมือนกับแกกำลังอยู่ในระยะศึกษา identity ของความเป็นเพศหญิงหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ก็นานๆครั้งที่แกจะถามเรื่องเพศ อย่างเช่นเด็กๆเกิดมาอย่างไร การเป็นแฟนกันเป็นอย่างไร ส่วนมากก็จะให้พ่อของแกเป็นคนตอบ เพราะเขาเข้าใจอธิบายอะไรต่ออะไรได้ดีกว่า คือไม่เป็นวิชาการไปหมดอย่างแม่น่ะค่ะ :o) บางทีนั่งฟังพ่ออธิบายให้ลูกเข้าใจเรื่องอะไรต่อมิอะไรแล้วทึ่งค่ะ (คือไม่ใช่เรื่องเพศอย่างเดียวนะคะ) เรื่องเกี่ยวกับผู้ชายผู้หญิงนี่ยิ่งปล่อยให้เขาเป็นคนบอกลูกค่ะ เพราะเขาเป็นผู้ชาย เขาบอกอธิบายได้ดีว่าเด็กผู้ชายต้องการอะไร คิดอะไร เพื่อให้ลูกมองเห็นจากอีกด้าน เข้าใจจากอีกด้านด้วย มีเรื่องเดียวที่เขาปล่อยให้เป็นคนอธิบายให้ลูกฟังคือเรื่องของการมีประจำเดือน ก็ได้อธิบายลูกไปแล้ว เพราะเด็กในชั้นเดียวกับลูกเริ่มมีประจำเดือนกันบ้างแล้ว โดยส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าเราควรจับลูกมานั่งแล้วอธิบาย คิดว่าควรให้เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า ลูกสงสัยอะไรแล้วถาม แล้วเราถึงอธิบายคงดีที่สุดนะคะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 18 เม.ย. 50 22:57:10 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ลูกสาวอายุย่าง  9 ขวบแล้วค่ะ สอนเขาตามอายุมาตลอดนะคะ เริ่มจาก เบบี้เกิดได้ยังไง...ลูกสาวจะรู้ว่าสเปริ์มคืออะไร ไข่คืออะไร มาเป็นเบบี้ได้ยังไง...จู๋ และ จิ๋ม ต่างกันอย่างไร...รู้ในหลักสุขศึกษาค่ะ...สอนแบบนี้ไปก่อน เพื่อให้เขารูว่านี่คือธรรมชาติของมนุษย์ เขาจะได้เข้าใจตัวเองน่ะค่ะ เพราะขึ้น ปอ. 4 โรงเรียนจะสอนเพศศึกษา วันนึง ลูกสาวถามว่า จู๋เข้าไปในจิ่มได้ยังไง?? เราก็ตอบไปแบบธรรมดามากค่ะ บอกว่าเป็นฮอร์โทมนที่ร่างกายผู้ชายสร้างขึ้นมาเมื่อมีสิ่งกระตุ้น ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์...ทำให้จุ๋ขยายขนาด และสามารถสอดเข้าไปในจิ่มได้ ลูกก็ฟังแบบธรรมดามากค่ะ ไม่ตื่นเต้นอะไร..เรายังอธิบายไปถึงสัตว์ด้วยค่ะ เพราะมนุษย์ก็คือสัตว์ประเสิริฐเช่นกัน... ลูกถามต่ออีกว่า ทำยังไงไม่ให้เสปริ์มเข้าไปในจิ๋ม...แม่กำลังจะสอนเรื่องคอนดอมค่ะ พอดีที่บ้านหมดซะก่อน แฮ่ะๆ..แปะลูกไว้ก่อน ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้ส่งเสริมเรื่องเซ็กส์เลยค่ะ เพียงต้องการให้เขาเข้าใจ เพราะเติบโตกับสังคมสมัยใหม่ ตัวเองคิดว่า ต้องสอนให้มาก ให้เขารู้จากแม่ดีกว่าจากหนัง หรือเพื่อน เพื่อนลูก อายุ 11 ขวบ ชวนลูกสาวฟังเพลง+ดูการตูน จาก you tubeดิฉันเหวอเลยค่ะ รู้ๆอยู่ว่ายูทูบ มีสารพัดชนิดให้ดู บอกลูกสาวว่า ทีหลังห้ามเข้าเนทบ้านคนอื่นเด็ดขาด อีกหน่อย สมควรแก่เวลา ลุกกับแม่เข้าไปดูอะไรต่ออะไรด้วยกัน...ฯลฯ เห็นด้วยกับสามีคุณค่ะ เราเป็นแม่ไกล้ชิดลูกสาว ต้องสอนลูกค่ะ เรื่องนี้คุยยาว... เห็นด้วยกับคุณกุลธิดาที่ว่าให้สามีสอนเรื่องความคิดของผู้ชายต่อหญิงนะค่ะ เพราะตรงนี้ลูกคงอยากรู้ว่า แล้วผู้ชายเขาทำแบบนี้ เขาคิดยังไง ฯลฯ.. จากคุณ : แอนนาค่ะ - [ 18 เม.ย. 50 23:47:27 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เข้ามาฟังด้วยคนค่ะ ลูกสาว11ขวบเหมือนกันค่ะ กำลังกลุ้มๆ เหมือนกันค่ะ เพราะว่าพัฒนาการเขาเปลี่ยนไปและเริ่มที่จะเป็นสาว เป็นห่วงนะค่ะพยายามอธิยาบแต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะพ่อแม่เราไม่เคยพูดเรื่อง นี้กับดิฉันเลย จากคุณ : Fon_Sandiego - [ 19 เม.ย. 50 00:05:34 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ลูกชาย จะ 5 ขวบพรุ่งนี้แล้วค่ะ ส่วนลูกสาว 3ขวบครึ่ง ยังให้อาบน้ำด้วยกันอยู่ค่ะ แต่เริ่มแยกให้ฝึกใช้ฝักบัวอานน้ำเองใด้เกือบเดือนแล้วค่ะ              ลูกสาวจะแยกออกว่า พี่ชายมีจู๋ คุณพ่อมีจู๋  ของคุณแม่มีปิ๋ม ตัวเองมีปิ๋มอันเล็ก พี่ตุ๊ป(พี่คนไทยที่รู้จักค่ะ) มีปิ๋มใหญ่มากกก 55555  .... เวลาเข้าห้องน้ำลูกจะตามมาด้วยค่ะเห็นแม่อ่านหนังสือก็หยิบขึ้นมาอ่านมั่ง บางทีก็ถามว่า คุณแม่ทำสีแดงเหรอ(ช่วงมีเมนส์ค่ะ) ก็ตอบว่า " ค่ะ... หนูโตขึ้นก็ทำสีแดงเองใด้.."              ลูกชายตอนอายุ 4 ปี นั่งดูสารคดี ของยูบีซี เรื่องทารกในครรถ์ เค้าเห็นตัวอ่อนในท้อง เกิดสงสัยถามแม่ว่า " ทำไมน้องจู๋ยาวจัง" ( สายสะดือค่ะ คงเห้นช่วงที่ขาทารกมาบังพอดี)... เค้าบอกแม่ว่า เค้าตัวใหญ่แล้วเข้าไปอยู่ในท้องคุณแม่ไม่ใด้ ( คงรู้แต่ว่าเคยอย่ในท้อง แต่ไม่รู้ว่าออกมาทางไหนค่ะ)               อายุประมาณนี้ก็ให้ทราบถึงความแตกต่างขั้นต้นไปก่อนค่ะ ถ้าโตข้นหน่อยก็คงต้องมาลอกการบ้านคุณแม่ที่มีประสบการณืท่านอื่นๆ ศึกษาล่วงหน้าใว้ก่อนค่ะ จากคุณ : สะใภ้ลุงแซม (แม่ขา) - [ 19 เม.ย. 50 00:22:56 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เคยฟังรายการของเอ็นพีอาร์ รายการ Kojo Nnamdi Show เค้าพูดถึงเรื่องนี้พอดีเลยค่ะ ไปฟังได้ที่ http://wamu.org/programs/kn/07/01/11.php จำได้ว่าคิดว่าจะซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่าน http://www.sexandsensibility.net/home.html เตรียมไว้ค่ะ อีกวันได้ยินจากรายการวิทยุเหมือนกัน เป็นบทความจากวัยรุ่นหญิงอเมริกันค่ะ อายุประมาณ 16-17 เธอเขียนเรื่องความรู้สึกของตัวเธอเวลาพ่อแม่พูดกับเธอเรื่องเซกซ์ค่ะ ตรงที่ได้ยินแล้วชอบคือเธอบอกว่า เธอรู้ว่าเซกซ์น่ะทำอย่างไร ที่โรงเรียนสอนเรื่องทฤษฏี แต่บางเรื่องที่เธออยากรู้พ่อแม่ตอบได้ดีกว่า เช่น ความรัก ความสุข ความรับผิดชอบ พ่อกับแม่อธิบายและเป็นตัวอย่างกับลูกได้ค่ะ   ตอนนี้ลูกสาวห้าขวบกว่าค่ะ เท่าที่สอนก็เรื่อง private areas ค่ะ สอนว่าให้รู้ว่าห้ามคนอื่นมาดู มาจับน่ะค่ะ สอนว่าให้นั่งดีๆเวลาใส่กระโปรง ลูกๆก็เข้าใจนะคะ แล้วก็ตอบคำถามที่เค้าถามแบบตรงๆค่ะ ตอบสั้นๆ ตอบทุกคำถามค่ะ แต่ไม่ลงละเอียด ขอบคุณที่ตั้งกระทู้นะคะ ดิฉันได้มาอ่านความเห็นของแม่ๆคนอื่นเตรียมตัวไว้ค่ะ อีกไม่กี่ปีสองสาวที่บ้านก็จะเป็นสาวแล้ว จากคุณ : แม่ลูกแฝด - [ 19 เม.ย. 50 00:43:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 โลกสมัยนี้มันเปลี่ยนแปลงเร็ว ยิ่งกลับไปคิดถึงตอนที่เป็นวัยรุ่นมันสมัยก่อนกับสมัยนี้ต่างกันเยอะ  การเป็นพ่อ-แม่ยุคใหม่เนี่ยทำใจยากจริง ๆ ต้องเข้าใจโลกมาก ๆ  ด้วย เรื่องเซ็กส์เห็นควรว่าควรสอนแบบค่อยเป็นค่อยไป มีลูกวัยกำลังเล็กอยู่ ก็อยากเข้ามาเอาประสบการณ์จากแม่บ้านท่านอื่น ๆ เหมือนกันค่ะ ที่อยากสอนลูกมากที่สุด คือเรื่องการโกหกเป็นเรื่องน่าอาย คือคิดถึงตอนลูกโต ถ้าเค้ากล้าพูด กล้าบอก พ่อ-แม่ ในทุกเรื่อง อะไรที่คิดว่าจะเป็นปัญหามันก็จะไม่เป็นปัญหา จากคุณ : sri123 - [ 19 เม.ย. 50 02:33:12 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ดิฉันลูกสาวกำลังโตเป็นสาวทั้งคู่ค่ะ คนโต 13 ส่วนคนเล็ก กำลังจะ 11 เดือนกรกฏาคมนี้  ลูกดิฉันเหมือนคุณกุลธิดา คือเค้าจะแยกชายหญิง ชัดเจนไม่ค่อยเล่นด้วยกัน แล้วก็ไม่พูดถึง ไม่เหมือนตอนเล็ก ๆ จะยังมีชวนเพื่อนผู้ชายมาเล่นที่บ้าน เดี๋ยวนี้ไม่มีเลยค่ะ โรงเรียนที่นี่เค้าจะสอนเรื่องพวกนี้ตอนอยู่ ป.5 คือตอนที่ลูกสาวดิฉันอายุประมาณ 11-12 ปี  ปรกติดิฉันจะคอยพูดเรื่องพวกนี้กับลูก ๆ เสมอ ส่วนใหญ่จะตอนทานข้าวกลางวัน ที่สวิส เด็กเค้าจะต้องกลับมาทานข้าวกลางวันที่บ้าน   ก็จะเป็นตอนที่พร้อมหน้าพร้อมตาแม่ ลูก ส่วนพ่อไม่อยู่  ส่วนใหญ่ก็จะคุยแบบไม่เป็นงานเป็นการ  เหมือนเป็นการพูดคุยเรื่องทั่ว ๆ ไป เราอย่าไปทำเหมือนเป็นเรื่องน่าอายที่จะพูดเรืองนี้ จำได้ว่าช่วงตอนลูกสาวดิฉันอยู่ ป.5 เคยเห็นข่าวในทีวีจากเยอรมัน มีบ่อยมาก(ตอนนี้ก็ยังมีให้เห็นเป็นประจำ) ว่าเด็กอายุ 13-14 ก็ท้อง  แล้วก็มีลูกตอนยังเรียนหนังสืออยู่  เราก็จะอธิบายให้เค้าฟัง ถึงข้อเสียว่ายังเรียนหนังสือแล้วไปมีลูก ทำลายอนาคตของตัวเอง  ไปเล่นสนุกกับเพื่อนก็ไม่ได้ หรืออาจจะต้องออกจากโรงเรียน แล้วก็บลา บลา อีกหลายอย่างเลยค่ะ แล้วก็ถามเค้าว่าเค้าคิดยังไง คือให้เค้าออกความคิดเห็นด้วย  แล้วเคยถามเค้าว่ารู้วิธีป้องกันมั๊ย เค้าก็บอกว่าเค้ารู้หมดแล้ว เพราะว่าเค้าเรียนที่โรงเรียน แล้วเค้าก็แจกแจงให้เราฟังได้ถูกต้องด้วยค่ะ ดิฉันว่าเรื่องอย่างนี้ไม่ต้องมานั่งจับเข่าคุยกันหรอกค่ะ  ถ้าเราเห็นเหตุการณ์อะไรที่มันเกี่ยวเนื่อง ก็ค่อย ๆ สอน ค่อย ๆ อธิบาย เป็นเคส ๆ ไปน่าจะดีกว่านะคะ  อันนี้ขอยกตัวอย่านิดนึงนะคะ  เช่น เมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่ออสเตรีย ถ้าจำไม่ผิด มีเคสที่เด็กผู้หญิงกำลังเดินไปโรงเรียนแล้วถูกจับขึ้นรถตู้ไปโดยผู้ชายคนหนึ่ง แล้วเอาขังไว้ในห้องใต้ดิน เป็นเวลาหลายปี ข่าวนี้ดังมากในยุโรป เด็ก ๆ เค้าก็จะรู้เกี่ยวกับข่าวนี้ เค้าก็จะถามคำถามว่าเค้าจับเด็กคนนี้ไปทำไม  เราก็จะอธิบายให้เค้าฟังว่า เราเป็นเด็กผู้หญิงต้องระวังตัว เพราะพวกผู้ชายที่ไม่ดีจะจ้องทำร้ายเรา  รังแกเรา ฉะนั้นไม่ให้หยุดพูดคุยกับคนแปลกหน้าเป็นอันขาด  แล้วก็ร่างกายของเราผู้ชายห้ามมาแตะต้อง และห้ามไม่ให้ไปอยู่กับผู้ชาย สองต่อสอง ต้องชวนเพื่อนไปด้วยทุกครั้ง  อันนี้ดิฉันบอกลูกสาวว่าแม้แต่ครูผู้ชายก็ตาม (อันนี้เพราะมีข่าวครูล่วงละเมิดทางเพศของเด็กนักเรียนเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ ซูริค)  ดิฉันคิดว่าตอนนี้ลูกสาวคนโตของดิฉันเข้าใจเรื่องพวกนี้ดีพอสมควร (จากที่เรียนที่โรงเรียน บวกกับที่แม่บลา บลา อยู่บ่อย ๆ)  แต่ลูกสาวคนเล็กคิดว่าเค้ายังไม่เคลียเท่าไหร่  แต่ปีหน้าเค้าก็จะได้เรียนที่โรงเรียนแล้ว พอลูกสาวคุณเริ่มมีรอบเดือน ดิฉันคิดว่าตอนนี้ก็เป็นตอนที่เหมาะสมที่สุดที่จะคุยกับเค้าเรื่องการป้องกันนะคะ ส่วนหนังสือที่จะแนะนำ อันนี้ซื้อเมื่อปีที่แล้ว  ดิฉันคิดว่าเล่มนี้น่ารักดี มันเหมือนหนังสืออ่านเล่น เพราะการ์ตูนน่ารัก แล้วหนังสือก็สีหวานสวยด้วยค่ะลูกคนโตดิฉันอ่านเอง ไม่กี่วันก็จบเล่ม ส่วนคนเล็กดิฉันจับมานั่งอ่านด้วยกันค่ะ หนังสือชื่อ What's happening to me? หนังสือจะสอนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่  อย่างไร แล้วต้องทำยังไงกับมัน จะขอพิมพ์สารบัญให้ดูแล้วกันนะคะ Growing up, When will it happen?, Taller and wider, Getting hairy, Getting breasts, The bra business, How does it start? What`s it all about? The changes inside you...and on the outside, Why periods happen, Using towels, Using tampons Coping with periods, Your feelings, Good food, More about eating, Keep moving, Keep clean, From the neck up, How boys'bodies work Boys have worries too, Problems to avoid สำหรับคุณที่มีลูกชายก็มีอีกเล่มนึงค่ะสีฟ้าสำหรับเด็กผู้ชายค่ะ แต่ดิฉันไม่เคยเห็นข้างในนะคะ  เพราะว่าไม่มีลูกชายค่ะ(แอบอิจฉาเล็ก ๆ สำหรับคนที่มีลูกชาย อยากมีมั่ง ฮือ ฮือ) จากคุณ : edelweiss - [ 19 เม.ย. 50 04:47:17 ]

ความคิดเห็นที่ 9 รูปหนังสือค่ะ คลิกเข้าไปดูได้ที่ www.usborne.com ค่ะ จากคุณ : edelweiss - [ 19 เม.ย. 50 04:53:53 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นด้วยกับคุณ edelweiss ค่ะ ว่าสอนเป็นกรณีๆไป หรือเวลาที่ลูกถาม ก็ตอบตามนั้น คือคิดว่าถ้าจับเขามานั่ง แล้วอธิบายๆๆๆ เรื่องโน้นเรื่องนี้เสียทีเดียว เขาอาจโยงเข้ากับประสบการณ์จริงหรือเหตุการณ์จริงไม่ได้น่ะค่ะ คือการรับรู้ของเขายังจำกัดอยู่ บางเรื่องถ้าไม่มีอะไรมาเป็นตัวชี้นำให้เขาสนใจขึ้นมาก่อน แล้วเขาจะลืมค่ะ เรื่องโกหกที่น้องศรีพูดถึงก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันนะคะ ถ้าตราบใดที่ลูกไม่โกหก line of communication ระหว่างพ่อแม่ลูกเปิดอยู่เสมอ ปัญหาอาจจะมีจะลดลงมากเลย เพราะเราจะรู้ตลอดเวลาว่าลูกกำลังทำอะไร สภาพรอบตัวของแกเป็นอย่างไร เรื่องโกหกเท่าที่ทำๆอยู่ก็คือย้ำบอกแกบ่อยๆว่ามีอะไรให้พูดตามตรง ถึงทำผิดอะไร ถ้าบอกตรงๆแล้วจะไม่ทำโทษ แต่ถ้าโกหกแล้วจับได้ จะถูกลงโทษอย่างหนัก ก็ยังไม่เคยเจอกรณีที่ลูกโกหกแล้วจับได้เลยค่ะ (ไม่กล้าบอกว่าลูกไม่เคยโกหก เพราะอาจมี แต่เราจับไม่ได้เอง) อีกอย่างคือแกมีเพื่อนรักที่สนิทกันมาตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน พ่อแม่ก็เลยสนิทกันด้วย เราก็ compare notes กันตลอดเวลา คือเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับลูก เกี่ยวกับโรงเรียนของลูก เราโทรศัพท์คุยกันระหว่างพ่อแม่เสมอค่ะ ก็ได้เปรียบเทียบความเป็นไปของลูกๆ เพื่อดูให้เรื่องที่ลูกเอามาบอกไม่ขัดแย้งกันเอง ถ้าเรื่องอะไรลูกคนนึงบอกพ่อแม่อย่างนึง ลูกของพ่อแม่อีกคู่บอกอีกอย่าง คราวนี้ล่ะค่ะ เราก็มานั่งคุยกันว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไงกันแน่ แล้วเสาร์-อาทิตย์ลูกกับเพื่อนรักคนนี้ก็ผลัดกันมาเล่นที่บ้านของกันและกันทุกอาทิตย์ เวลามีงานอะไรในเมือง พ่อแม่ก็จะผลัดกันพาลูกไปเที่ยวด้วยกัน วิธีนี้ช่วยให้ลูกอยู่ในสายตาของเราได้ตลอดเวลาค่ะ แล้วลูกก็รู้ด้วยว่าพ่อแม่รู้เห็นความเป็นไปของแกใกล้ชิดขนาดไหน ถ้าแกจะทำอะไรไม่เหมาะสม แกก็ต้องคิดหนักแล้วล่ะค่ะ เอารูปลูกสาวกับเพื่อนรักของแกมาให้ดูค่ะ วันนั้นเป็นวัน St. Patrick ก็เลยเป็นคนพาแกสองคนเที่ยวงานค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 19 เม.ย. 50 05:43:23 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณทุกคนมากนะค่ะ ที่เข้ามาตอบ  ตอนนี้ดิฉันคิดว่าจะยังไม่พูดจนกว่าลูกสาวจะถามค่ะ  ถ้าแกถามแล้วค่อยอธิบาย เมื่อปีที่แล้วแกถามดิฉันนะค่ะว่าแกเข้าไปอยู่ในท้องดิฉันได้อย่างไร แต่ดิฉันไม่ได้ตอบแกหรอกค่ะ และแกก็ถามว่าแกออกมาได้อย่างไรทางไหนดิฉันอ้ำๆอึ้ง ไม่ตอบเพราะคิดว่าแกยังเด็กไม่สมควรรู้เรื่องพวกนี้ค่ะ ตอนนี้คิดว่าแกน่าจะรู้ไว้บ้างค่ะ  แต่ดิฉันก็สอนเรื่องของสงวนของแก ว่าอย่าให้ใครมาถูกมาจับ และก็สอนเรื่องทำความสะอาด และก็สอนว่าไม่ให้เอาเรื่องความเปลี่ยนแปลงของร่างกายไปบอกใคร เพราะเพื่อนแกดันมาบอกแกว่า  เธอมีขนรักแร้และก็ขน....แล้วนะ  ลูกสาวมาบอกดิฉัน ดิฉันอึ้งเลยค่ะ แม่ของเด็กเขาไม่ได้บอกลูกเขาหรือไงหนอ ว่าเรื่องส่วนตัวแบบนี้อย่าเอาบอกใคร ดิฉันเลยบอกแกว่าเรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องบอกใคร และเรื่องความแตกต่างของเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายแกก็เพิ่งรู้ เมื่อไม่นานนี้เองค่ะ ดิฉันไม่ได้บอกอะไรมากหรอกค่ะ แค่บอกว่าผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกัน แต่ที่แกรู้เพราะแกเห็นของจริง เด็กผู้ชายยืนฉี่อยู่ข้างรถพ่อเขาที่วอลมาร์ค แกมองใหญ่เลย ของแปลก ดิฉันเลยถามว่ารู้หรือยังว่า เด็กหญิงเด็กชายต่างกันอย่างไร แกบอกรู้แล้ว ส่วนเรื่องประจำเดือนนี่แกก็เห็นดิฉันมี ตอนแรก แกก็นึกว่าดิฉันเจ็บเป็นแผลเลือดออก ดิฉันก็อธิบายตรงนั้นไปแล้วค่ะ แกก็เข้าใจ แต่ตอนนี้ก็ยังเหลือเรื่องการมีเซ็กส์ การมีลูก การป้องกันการท้อง  การป้องกันพวกโรคที่อาจติดมาจากการมีเซ็กส์  และก็เรื่องอายุด้วยว่าพร้อมหรือไม่ที่จะมีเซ็กส์  อะไรพวกนี้แหละค่ะ   ดิฉันก็เข้าใจนะค่ะว่าโตขึ้นลูกก็ต้องมีเรื่องพวกนี้เพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติ  แต่ก็จะพยายามสอนให้แกเข้าใจให้มากที่สุด เวลาแกจะทำอะไรลงไป จะได้คิดให้ดีก่อนทำค่ะ    คุณ edelweiss ค่ะ ดิฉันสนใจหนังสือค่ะ จะซื้อมาให้ลูกสาวอ่านบ้างขอบคุณค่ะ    ลูกสาวคุณกุลธิดากับเพื่อนน่ารักดีนะค่ะ จากคุณ : sunshine mommy - [ 19 เม.ย. 50 09:10:40 ]

ความคิดเห็นที่ 12 จะขอเล่าประสบการณ์ตรงจากลูกสาวสองคนโต (ลูกติดสามี) อายุ 12 กะ 14... ตอนนี้ คนโต รู้เรื่องหม้ดคะ รู้ขนาดว่า เกย์ทำยังไงด้วยอ่ะคะ สองเดือนก่อน มีประชุมครอบครัว คือ พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายพบกัน... แม่เด็กเริ่มปรึกษาสามีดิฉันว่า ถ้าลูกคนโตจะมีเซ็กซ์ จะทำไง... สามีก็ตอบสบายๆ ถึงเวลาจะมี ก็มี ก็สอนให้รู้จักป้องกัน ... แหะ แหะ ดิฉันฟังแล้วจะเป็นลม ส่วนคนกลาง ปีที่แล้ว แกยังนึกว่า เบบี๋เกิดจากพ่อแม่อาบน้ำด้วยกัน ปีนี้ แกก็ไม่ได้สนใจอะไร นอกจากรักสวยรักงามมากขึ้น จากเดิมอาบน้ำเดือนละหน ก็เริ่มอาบวันเว้นวัน 55.. คิดว่า พอถึงเวลา พ่อเค้า (สามีดิฉัน) ก็คงปล่อยสบายๆ มังคะ ต้องบอกก่อนว่า สามีสนิทกะลูกๆ มาก... ตอนคนโตมีประจำเดือนครั้งแรก แทนที่แกจะบอกแม่แท้ๆ แกกลับโทรมาปรึกษาพ่อ สำหรับเรื่องพรรค์นี้ ดิฉันสังเกตว่า แกก็เรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนฝูงแกนั่นแหละ ยกเว้นเรื่องไหนยากจริงๆ แกก็มาคุยกะพ่อ และสังเกตว่า สามีดิฉันจะคอยถาม คอยคุยกับแกบ่อยๆ แต่ไม่พูดตรงๆ นะคะ บางที ใช้ช่วงเวลาที่ครอบครัวดูหนัง ดูหนังสือแล้วชวนคุย โดยใส่มุขฮาเยอะๆ  ทำให้คุยกันได้สบายๆ คนโตไม่คุยเรื่องแบบนี้กะแม่ คงเพราะแกเห็นว่า แม่แกหวาดผวามากเกินไปคะ และวิธีการคุยของแม่แกไม่เนียนเอาเสียเลย เจอกระทู้แบบนี้ ก็ดีนะคะ อีกไม่ถึงสิบปี ดิฉันก็คงต้องกุมขมับด้วยมั๊ง สังคมเมกัน...ตอนนี้ ทำได้ดีที่สุด คือจะพยายามหนิทหนมกะนู๋มรรคมากๆ แกจะได้กล้าคุยเน๊อะ และคิดว่า มีอะไรดิฉันก็คงพูดตรงๆ กะแกนะ กะว่า คงไม่ปล่อยให้สามีคุยกะลูกแค่ฝ่ายเดียว ดิฉันก็คงจะออกความเห็นด้วย เพื่อให้ลูกเห็นมุมมองวัฒนธรรมแบบไทยๆ และคงอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้ลูกฟังด้วยแหละ แหม๋ม เรื่องแบบนี้ ผู้ชายเค้าอาจแค่ทำเสร็จๆ ไป ให้หายอยาก จริงไหมคะ แต่ผู้หญิงไม่ใช่ขอแค่ให้ทำเสร็จๆ นี่ ...อ๋าย ชักจะเริ่มติดเรท... ปายดีกั่วคะ แว๊บบบ จากคุณ : มรรคณิชา - [ 19 เม.ย. 50 10:54:31 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สงสัยว่าไม่เห็นมีใครพูดถึงประสบการณ์ตัวเองบ้างเหรอ เพราะอย่างตอนเรียนม.สองที่เมืองไทย จำได้ว่าวันพุธหลังเลิกเรียนทางโรงเรียนจัดหนังพิเศษให้ดู แล้วบอกนักเรียน(ผ่านทางครู)ว่าแยกดูกันระหว่างหญิงและชาย ตอนนั้นนักเรียนก็สงสัยกันว่าดูอะไร ดูอะไร พอเข้าไปห้องประชุม ก็มีฉายหนังเกี่ยวกับเพศศึกษา สำหรับน.ร.หญิง ก็ฉายที่เกี่ยวกับสรีระผู้หญิง โดยหนังอธิบายนับแต่ร่างกายเปลี่ยนเข้าวัยรุ่น มีประจำเดือน จนกระทั่งการมีเพศสัมพันธ์ (ใช้ภาพวาดนะ ไม่ใช่ของจริง :)) ไปจนถึงการมีลูกออกมา เพราะฉะนั้น พอเข้าไปดูหนังนั้น ก็เข้าใจแต่ตอนนั้นเลย ในเรื่องพวกนี้ ที่บ้านไม่ได้สอนเลยนะ เลยสงสัยว่าตามโรงเรียนอย่างที่เมกานี่จะไม่มีสอนอย่างนั้นบ้างเชียวหรือ เพราะอย่างตัวเองตอนนั้นเรียนโรงเรียนไทย เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ยังมีสอนแบบฉายให้ดูเลย จากคุณ : Overseas - [ 20 เม.ย. 50 02:00:45 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่มีลูกสาว มีแต่ลูกชาย ตอนนี้อายุจะ 6 ขวบแล้ว ไม่คิดว่าเรื่องเพศสัมพันธ์จะเป็นเรื่องที่รอๆ ไปก่อน แล้วค่อยสอนค่ะ แต่คิดว่า ให้มองว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นส่วนหนึ่งของการสานต่อของสิ่งมีชีวิต ดังนั้นของตัวเองนี่ จะมีดีวีดีซี่รี่ย์ Il etait une fois (กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว)  ชุด la vie (ชีวิต) เนื้อหาจะมีทุกๆ เรื่องเกี่ยวกับชีวิต ของระบบต่างๆ ของร่างกาย ภาพเป็นการ์ตูนนะคะ การดำเนินเรื่องน่าสนใจมาก เพราะทำให้เด็กเข้าใจ ดังนั้นระบบสืบพันธุ์ก็เป็นหนึ่งในระบบต่างๆ ด้วยเช่นกัน เขาดู แล้วเขาก็เข้าใจ เวลาคุยกัน เขาจะอธิบายให้เราฟังได้ด้วยซ้ำ แต่ว่าอย่างถ้าพูดในแง่ของความรู้สึกรักใคร่อะไรนี่ มันเร็วไปที่จะคุยเรื่องนี้ อีกอย่าง ถ้าถึงเวลา มันมาเองนั่นแหละ ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกับความเข้าใจในเรื่องของระบบเสืบพันธุ์ หรือความเข้าใจในเรื่องความแตกต่างของสรีระร่างกายชายและหญิง อันนี้ในดีวีดี มีอธิบายเรื่องการเกิดด้วย ว่าเกิดได้อย่างไร มีเซลล์พ่อและแม่ ฯลฯ ลูกดิฉันดูแล้ว เขาเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น เช่น เมื่อก่อนคิดว่า เวลาจะมีลูก หรือมีน้องอยู่ในท้องแม่ คนเป็นแม่จะกลืนเด็กเข้าไป มีว่าจะพยายามที่จะเอาตัวเองกลับเข้าไปในท้องดิฉันใหม่ มีการบอกเสร็จว่า ให้ดิฉันอมเท้าเข้าไปก่อน แล้วค่อยๆ กลืนเข้าไปทั้งตัว ฟังลูกบอก แล้วก็ขำ แต่ว่าถ้าเรายอมรับว่า มันเป็นแบบนั้น คือต้องกลืนเด็กลง มันก็ไม่ถูกอีก พอจะอธิบายก็ต้องให้อยู่ในระดับที่เขาเข้าใจได้ พอได้ดูดีวีดีนี้ ใช่เลย ทำให้เด็กๆ เข้าใจในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ นอกจากนี้ ในเรื่องระบบอื่นๆ ของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ กระดูก หัวใจและหลอดเลือด เขารู้จักว่า ร่างกายประกอบไปด้วยเซลล์เล้กๆ ในเลือดก็มีเซลล์เม็ดเลือด ที่จะนำพาออกซิเจนไปทั่วร่างกาย อะไรทำนองนี้ คิดว่าถ้ามีสื่อที่เหมาะสม แล้วให้เขาได้เรียนรู้แบบเข้าใจ น่าจะดีกว่าที่จะคิดว่า เอ ถึงเวลาหรือยัง หรือว่า จะบอกดีหรือไม่บอกดี เพราะถ้าคิดว่า มันคือธรรมชาติของชีวีต ก็ไม่ใช่เรื่องน่าปกปิด ดีวีดีที่พูดถึงนี้ มีภาษาอังกฤษด้วยค่ะ จากคุณ : พธูไทย - [ 20 เม.ย. 50 02:35:12 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พออ่านเรื่อง private areas ที่คุณอ้อบอก อย่างลูกชายนี่ ดิฉันก็จะบอกเลยค่ะ ตั้งแต่ 4 ขวบแล้ว ว่า จุ๊ดจู๋ของเขาเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากใช้ฉี่แล้ว มันเป็นของส่วนตัวมากๆ ถ้าเวลาอยู่ที่โรงเรียนแล้วมีพี่เลี้ยงช่วยดูแลทำความสะอาด ถ้ามีใครก็แล้วแต่ ไม่ว่าเพื่อนหรือพี่เลี้ยงมาจับจุ๊ดจู๋เล่น ให้บอกพ่อแม่ คนที่จะจับของส่วนตัวนี้ได้ คือพ่อแม่ และหมอที่ไปหาตอนตรวจเท่านั้น คืออันนี้ ไม่ใช่ว่ามีลูกชายไม่ต้องระวัง ก็ต้องระวัง เพราะว่าสมัยนี้ประเภททำอนาจารเด็กแต่วัยเยาว์มันมีให้เห็น จากคนที่คิดไม่ถึงด้วยซ้ำ เท่าที่อ่านข่าวน่ะ อย่างพวก pedophile ทำเอาสุขภาพจิตเด็กแย่ไปเลยก็มีเยอะ ดังนั้นก็เลยสอนว่า จุ๊ดจู๋ข้า ใครอย่าแตะค่ะ เขาก็เข้าใจดีนะคะ (เห็นใจดิฉันหน่อย อยากร่วมแชร์ แต่ไม่มีลูกสาว) จากคุณ : พธูไทย - [ 20 เม.ย. 50 03:03:07 ]