ความคิดเห็นที่ 1 บ้านนี้มีนโยบายแบบนี้ค่ะ" เงินฉันคือเงินฉัน เงินเธอคือเงินฉัน แต่เงินฉันไม่ใช่เงินเธอ ถ้าฉันหาเงินได้ฉันเอาเข้าบัญชีฉันเท่านั้น" ค่าอาหาร ค่า ใช่จ่ายในบ้าน เป็นหน้าที่ของสามีค่ะ เนื่องจากเรารายได้น้อย ได้มั่ง ไม่ได้มั่ง มีงานก็มีเงิน ไม่มีงานก็เงินไม่มี ช่วงที่ไม่มีอะไรทำ สามีต้องจ่ายเอาไว้ให้ซื้อกับข้าว กะของใช้ส่วนตัวเล็กน้อย แต่ว่าจริงๆแล้ว เค้าจะปิดบัญชีเอาไว้ ให้อันนึง พร้อมด้วยบัตรเครดิต แล้วถ้าเราต้องการซื้ออะไร เข้าบ้าน หรือใช้ส่วนตัวก็ใช้บัตรอันนั้น(กรณีไม่มีเงินสดติดตัว) แล้วสามีก็จัดการจ่ายให้สำหรับเครียร์เครดิต ปลายเดือนค่ะ แต่เวลาที่เราหาเงินได้ เราก็ใช้บางส่วน ในการแต่งบ้าน แต่งสวนน้ะ ก็มีช่วยจ่ายๆอะไรในบ้านบ้างแต่ไม่เย๊อะน่ะคะ ที่จริงเราต้องเก็บเงินของเรา แยกบัญชีไว้ดีที่สุดค่ะ ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน และความไม่แน่นอนคือความแน่นอน จะเกิดอะไรขึ้นกะเราในอนาคตใครจะรู้ เราไม่เอาตัวเองไปตั้งไว้ในความประมาทเด็ดขาดค่ะ   รอฟังนโยบายบ้านอื่นต่อไปนะค้ะ จากคุณ : hamble pie - [ 7 พ.ค. 50 04:51:28 ]

ความคิดเห็นที่ 2 It sounds like your husband happy to control the family financial just by himself. However you may be able to discuss with him again and explain to him how necessary to have a special saving for your future and your child. I personally think that he would understand but it will take time. Otherwise ask him to have the joint account which you and him have the right to spend money as equal as officail....! To us we have 2 joint accounts( with no money..55) and personal accounts. I get paid which not much and I have to spend my money on food and other household stuff each month. If there is necessary thing needed to be bought and it is expensive so my husband will take care of. I have no savings at all as I spend all up my salary every single month. I often think that I should save some money but because I have to take care of household stuff which never ended spending , there fore I have never have money left for saving. If I get paid by commission I may be able to save some, and I hope I will be able to have that pay soon. In that case I will try to save some and I don't think my husband will disagree. Anyway I hope you and your husband can compromise and agree with each other for the best solution. Come to add more .....hehehe!!! My husband has to pay all the bills such as Rate notice( tax for the house) electricity, water and all mojor expenses. แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 50 06:38:55 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 50 06:37:41 จากคุณ : PoomPim..TMB - [ 7 พ.ค. 50 06:05:58 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ดิฉันเป็น ข้อ 2 ค่ะ มีบัญชีร่วม บัญชีสามี และบัญชีเรา อ๋อ สามีมีบัญชีร่วมกับแม่เค้าด้วยค่ะ แต่จริงๆ อันนี้เป็นเงินสามีที่เก็บไว้เป็นบัญชีฉกเฉิน  แต่ดิฉันไม่ได้ทำงานประจำ  มีงานบ้าง ไม่มีงานบ้าง เงินที่ได้มาก็ใช้ส่วนตัว ก็ช่วยสามีซื้อกับข้าว ซื้อของฝากทางบ้านที่เมืองไทย ก็หมดไปแล้ว ดิฉันไม่ได้มีเงินเก็บเงินกำเหมือนกัน สามีไม่ได้ให้เงินใช้ประจำเดือน เพราะตัวเค้าเองก็ไม่ได้ทำงานประจำ  ค่าใช้จ่ายในบ้านสามีออก ถ้าไม่มีตังค์ก็ขอค่ะ ตอนนี้เราสองคนซื้อคอนโดที่เมืองไทย โดยสามีเป็นคนผ่อน เคยถามสามีเหมือนกันว่าถ้าดิฉันมีรายได้มากกว่านี้ หักค่ากับข้าวแล้ว ดิฉันจะขอเปิดบัญชีเก็บเงินส่วนตัวได้หรือเปล่า เฮียก็บอก OK (ไม่ร้จริงหรือเปล่า) ดิฉันเห็นด้วยกับคณ hamblepie ในความเห็นท้ายๆ ว่าควรจะมีเงินเก็บของเราไว้บ้างเผื่ออนาคตข้างหน้า อะไรจะเกิดขึ้นเราก็ไม่ร้ มีเงินของเราไว้ บ้างก็อ่นใจดีค่ะ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 50 07:36:46 จากคุณ : แม่โคล่า (chuamalee) - [ 7 พ.ค. 50 07:35:36 ]

ความคิดเห็นที่ 4 บ้านเรามีสามบัญชีเลยค่ะ บัญชีของสามี ของเรา และบัญชีร่วมค่ะ แต่ว่าในทางปฎิบัติก็คือบัญชีร่วมนั่นเอง เพราะเงินเดือนของสามีจะเข้าบัญชีส่วนตัวเค้า เงินเดือนเราจะเข้าที่บัญชีส่วนตัวเรา พอหักค่าใช้จ่ายอะไรเสร็จแล้ว เราจะเอาเงินที่เหลือเก็บเข้าบัญชีร่วมน่ะค่ะเป็นบัญชีออมจะไม่ถอนเพราะเรามีแพลนที่จะลงทุนโดยซื้อบ้านอีกหลังแล้วให้คนเช่า เราไม่ได้คิดว่านี่เงินเธอ นี่เงินฉันเลยค่ะ เพราะแต่งงานกันแล้วเราเอาเงินเก็บของเราทั้งคู่มารวมกันค่ะ คือคู่เราประมาณเสมอกันน่ะค่ะ ก่อนแต่งงานเราทั้งคู่มีเงินเก็บพอๆกันทั้งๆที่สามีมีรายได้มากกว่าเยอะเพราะเค้าทำงานได้รายได้เป็นปอนด์ ส่วนเราไทยบาท แต่ว่าเราเก็บเงินเก่งสามีใช้เงินเก่ง หลังแต่งงานเราเลยแต่งตั้งตัวเองเป็น family financial manager สามีจะซื้ออะไรต้อง subject to approval ก่อนค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนี้เราทั้งคู่ทำงานอยู่ที่สิงคโปร์ สามีรับเงินเดือนที่อังกฤษได้มาก็เก็บเข้าบัญชีร่วม ส่วนค่าใช้จ่ายที่สิงคโปร์ก็ใช้เงินจากเงินเดือนเราเพราะเราได้เงิน sing dollar พอเงิน sing dollar เหลือเราก็จะแลกเป็นเงินปอนด์ไปฝากบัญชีร่วม ถึงบอกว่าในทางปฎิบัติบ้านเราเป็นบัญชีร่วมค่ะ จากคุณ : kutepim - [ 7 พ.ค. 50 08:15:40 A:202.156.14.10 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 2 บัญชีร่วมสองบัญชี หนึ่งที่อเมริกา สองที่บรูไน  บัญชีสามี บัญชีเรา อยู่กรณีคล้ายๆ คุณเบญค่ะ เพราะบัญชีส่วนตัวที่ว่า อยู่เมืองไทย ไม่มีบัญชีที่อเมริกา เพราะว่าไม่ได้อยู่ที่นั่น ไม่สามารถเปิดบัญชีได้ ไม่มีเลขประกันสังคม สามีเคยพยายามจะเปิดให้ ธนาคารไม่ยอม บัญชีสามีเงินทุกอย่างไหลเข้าบัญชีนั้นค่ะ เเล้วค่อยย้ายไป เข้าเงินลงทุนต่างๆ อีกที ส่วนบัญชีร่วมที่เมกา ดิฉันไม่เห็นว่ามันจะงอกเงยอะไร ส่วนใหญ่มีเอาไว้งั้นๆ ที่มีเงินเข้าออกทุกเดือนคือบัญชีร่วมที่บรูไน เพราะเราใช้กินอยู่จากอันนี้ บัตรเครดิตทุกอย่างประดามี เป็นบัตรเสริมที่มาจากสามีทั้งสิ้น แถมถ้าหย่ากัน ไอ้ที่เป็นชื่อเขา ก็เป็นของเขาค่ะ ดิฉันไม่มีสิทธิ์ ไอ้ที่เป็นชื่อร่วมดิฉันจึงจะเอามาได้ เพราะดิฉันเซ็นต์พรีนัพ แต่พรีนัพดิฉีน ดีหน่อยตรงที่มีวันเวลาหมดอายุ(เหมือนอาหารกระป๋อง) ไม่ใช่ระยะตลอดศก แค่สิบกว่าปี นี่เผลอเเป๊บๆ ก็จะสี่ปีแล้ว บัญชีส่วนตัวที่เมืองไทยมีเงินผ่านทุกเดือน เพราะเอาเงินจะการสอนจิ๋มมจ๋อยใส่เข้าไป บวกเงินให้ที่บ้านทุกเดือน เพราะรักษาเครดิตที่เมืองไทยค่ะ ไม่ได้มีเงินมากมาย ถึงขนาดที่เรียกว่า เก็บไว้เผื่อวันข้างหน้าหากเหตุการณ์ไม่เเน่นอน  และหากเกิดเหตุการณ์ไม่แน่นอน พรีนัพดิฉันป้องกันเอาไว้ ว่า ดิฉันต้องสามารถเมนเทนไลฟ์สไตล์เหมือนขณะที่แต่งงานได้ แต่ตกลงกันไว้ว่า หากย้ายกลับไปอเมริกา ดิฉันจะต้องมีบัญชีส่วนตัว และบัตรเครดิต ที่เป็นชื่อของตัวเอง เพราะ การไม่มีเครดิตเรคคอร์ดในอเมริกานั้น สร้างเครดิตของดิฉันเอง ทำให้เราไม่มีตัวตนทางการเงิน หากสามีล้มหายตายจากไป ทั้งจากแค่ชีวิตเรา หรือหายไปจากโลก ดิฉันจะได้ยังคงดำรงอยู่ได้ สามารถทำธุรกรรมกับธนาคารได้ กู้เงินได้ อย่างไม่มีปัญหา ไม่รู้ที่ฝรั่งเศสเป็นแบบนี้เหรือเปล่านะคะ เพราะเป็นเหตุผลที่หนักแน่นมาก ว่าทำไมทุกคนควรมี financial independence ค่าใช้จ่ายกินอยู่ จากบัญชีร่วม สามีเป็นคนออกค่ะ แต่คิดว่าถ้าย้ายประเทศ มีงานทำเป็นหนักแหล่ง หรือมีรายได้มากกว่านี้ จะหักเป็นเปอร์เซ็นต์ ออกมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านด้วย แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ค่าใช้จ่ายของลูก เมื่อลูกเกิดมาปุ๊บ เราจะทำcollege savingกับ 529 plan ให้ทันทีเลยค่ะ หักจากเงินเดือนสามีไปเลย เพราะค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่เมกาในระดับมหาวิทยาลัย เเพงมาก ลูกจะได้ไม่ต้องเป็นหนี้ เราจะได้ไม่ต้องกังวล ปฏิกิกริยาสามีของคุณเบญ คิดว่ามาจาก เขารู้สึกว่าโดนสั่นคลอนมากกว่า รู้สึกว่าจู่ๆ คุณเบญแบ่งเขา แบ่งเราขึ้นมา สามีอาจจะหัวโบราณนิดๆ ในเรื่องแบบนี้หรือเปล่าคะ อาจจะยังปรับตัวไม่ทัน เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องค่อยๆ โน้มน้าวให้เขาเห็นความสำคัญ เพราะที่เขาก้ำๆ กึ่งๆ อยู่ เพราะเขาไม่เห็นความจำเป็นนั่นแหละค่ะ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 50 08:51:50 จากคุณ : mrs.night owl - [ 7 พ.ค. 50 08:49:36 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ข้อสามคะ บัญชีส่วนตัวเขา บัญชีส่วนตัวเรา (แยกกัน) จริงๆ แล้วคล้ายๆ ของคุณเบจคะ เพราะรายได้ทั้งหมด เข้าบัญชีสามี รวมทั้งรายได้ของเราด้วย ส่วนบัญชีเราที่เปิดที่นี่มาจากเงินเก็บเล็กๆ น้อยๆ และตั้งใจจะให้เป็นบัญชีเงินออมสำหรับลูกคะ ตอนนี้ค่าใช้จ่ายต่างๆ สามีเป็นคนจัดการทั้งหมด แต่ถ้าขาดเหลือหรือช็อต เราก็จะช่วยบ้าง ดังนั้นบัญชีของเรานี่มันจะลดมากกว่าเพิ่ม เริ่มปีใหม่นี้ขอให้สามีโอนเข้าบัญชีเราเป็นประจำทุกเดือน จำนวนเงินไม่มากเท่าไหร่แต่อย่างน้อยก็เป็นเงินสำรอง ที่ต้องใช้ยามฉุกเฉินคะ จากคุณ : ลิตเติ้ลเกิร์ล - [ 7 พ.ค. 50 09:09:18 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มี 3 บัญชีค่ะ คือบัญชีเงินฝากประจำ อันนี้เป็นบัญชีเพื่อสะสมเงินไว้ใช้ยามแก่ :o) แล้วก็บัญชี checking ไว้ใช้จ่าย อีกบัญชีเป็น CD เพื่อเก็บเงินไว้ให้ลูก พี่มีรายได้มากกว่าคุณสามี แต่ไม่ถือเขาถือเรา 2 บัญชีแรกเป็นบัญชีร่วม ใครใช้ก็ได้ แต่ก็ใช้แต่บัญชี checking เท่านั้นค่ะ พี่ได้เงินเดือนแบบอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ปีนึงจะมี 2 เดือนที่ได้เช็ค (เป็น direct deposit) 3 ครั้ง ใน 2 เดือนนั้นเช็คเงินเดือนที่ได้เพิ่มขึ้นมาอีกใบก็จะโอนเข้าบัญชีเงินฝากประจำ หรือปีไหนที่ CD ของลูก mature ก็เข้า CD ของลูก ส่วนบัตรเครดิต ก็ต่างคนต่างมี ใบหนึ่งที่มีคนละใบเป็น debit card ของ checking account พี่เองมีอีก 2 ใบที่เป็น credit card ของเขามี credit card อยู่ใบ ก็ต่างคนต่างใช้ แต่สิ้นเดือนพี่เป็นคนเซ็นต์เช็คจ่ายค่าผ่อนบ้าน ค่ารถของทั้งสองคน จ่ายบัตรเครดิต คือเป็นคนที่รู้เรื่องรายรับรายจ่ายภายในบ้านมากกว่าเขาค่ะ แต่เขาก็รู้ เพราะเป็นคน balance checkbook ทุกเดือน เพราะพี่ไม่มีปัญญาทำเอง อะไรที่ต้องคำนวณแล้วต้องถอยห่างไปไกลเลยค่ะ เห็นด้วยกับกุ้งนะคะ ว่าปฏิกริยาของแฟนเบญเป็นอย่างนั้นก็เพราะโดนสั่นคลอน อยู่ดีๆเกิดมีการแบ่งเขาแบ่งเรา แกคงยังไม่คุ้นค่ะ คงต้องค่อยๆพูดให้เข้าใจค่ะ เรื่องแบบนี้ใช้เวลา จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 7 พ.ค. 50 09:11:38 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ดิฉันอยู่อเมริกา     บ้านดิฉัน ร่วม ทุกบัญชี ข้อ 1 ค่ะ สามีมีรายได้คนเดียว เธอเป็นนักบัญชี (ละเอียดมาก) ดิฉันไม่มีรายได้ เรามี 3 บัญชีร่วม 1. ออมทรัพย์ (ไม่ค่อยได้เก็บเท่าไหร่ พอเริ่มได้เป็นก้อน สามีก็จะโอนเอาไปลงทุนในตลาดหุ้น) 2.บัญชี checking เอาไว้ใช้จ่ายร่วมกัน บัตรเครดิตร่วม  ดิฉันไม่มีเครดิต 3.บัญชีลงทุนในตลาดหุ้น  เอาไว้เป็นกองทุนให้ลูกเรียน และเอาไว้เป็นเงินรีไทร์ของสามีและตัวเอง เสี่ยงดีมั้ยคะ ***ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน*** - กรณีเกิดสามีเป็นอะไรไป ดิฉันก็คงต้องหางานทำ(พอลูกเข้าเรียนเต็มเวลาสามีบังคับให้เรียนอะไรจริงจัง เพื่อจะได้ทำงานดี ๆ  เพราะตอนทำงานที่เมืองไทยก็ไม่ได้ทำงานสายที่เรียนมา ตอนนี้วิชาความรู้และประสบการณ์ขึ้นสนิมหมด)  ช่วงนี้เลี้ยงลูก และดูแลบ้านดูแลสามี ก็เรียนรู้เรื่องการจัดการเงินที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยตัวเอง และสามีก็แนะนำ ดิฉันและสามีทำพินัยกรรม เรียบร้อยแล้วค่ะ หากเป็นอะไรไปทั้งสองคน ก็หาคนดูแลลูกไว้แล้วค่ะ กลัวลูกไปอยู่ฟอสเตอร์โฮม   -กรณีดิฉันเป็นอะไรก่อน ก็จะมีเงินประกันชีวิตดิฉันเอาไว้ให้ลูกแน่นอน   -กรณีแยกทางกัน(ไม่ว่าเขาทิ้งเรา เราทิ้งเขา) เจรจาแบ่งสมบัติบ้าค่ะ  ถึงจะได้แค่ค่าเลี้ยงดูลูก ดิฉันก็ไม่กลัว เพราะไม่เคยย่อท้อกับการทำงานหนัก ส่วนตัวก็มีที่ดินได้จากพ่อแม่ที่เมืองไทย ก็บอกสามีนะคะว่ามีที่ดิน แต่เค้าไม่ยุ่ง ถึงราคามันไม่มาก แต่ก็แอบอุ่นใจว่าเก็บไว้ก่อน เอาไว้ขายหรือจัดการตอนเราเกษียณ ชีวิตแม่บ้านอย่างดิฉันมีเบื่อ ๆ  อยาก ๆ ค่ะ บางวันก็อยากออกไปทำงาน คิดถึงตอนทำงานที่เมืองไทย บางวันวิญญาณแม่บ้านดีเด่นเข้าสิง ฉันจะต้องเป็นแม่และเมียที่ดีที่สุด ไม่อยากทำงานนอกบ้าน แบบทุ่มเทปนขี้เกียจ ตอนคุณเบญมาโพสช่วงที่คุณหางาน ดิฉันก็ฮึกเหิมสุด ๆ ติดตามกระทู้คุณตลอด อยากหามั่ง  ก็ได้แนวคิดดี ๆ จากคุณ ขอบคุณค่ะ เห็นคุณเบญได้งานแล้วยังแอบดีใจด้วยเลยค่ะ ปฎิกิริยาของสามีคุณเบญ เห็นด้วยกับคุณข้างบนค่ะ คือเค้าโดนสั่นคลอนอำนาจทางการเงิน ตอนนี้ยังไงเงินคุณก็เข้าบัญชีร่วมไปแล้ว อย่าเคืองสามีนะคะ เป็นภรรยาที่ดี กัดฟันกรอด ๆ ๆ ท่อง ๆ ๆ (พยายามเข้าใจ ๆๆ) ถ้าดิฉันเป็นคุณ ก็จะลองคุยถึงเรื่องความไม่แน่นอนของชีวิต เรื่องอนาคตลูกกับสามี(ไม่เอากรณีแยกกัน เดี๋ยวเธอจะตกใจไปกันใหญ่)  เห็นคุณเบญยังไม่มีบัญชีเซฟวิ่งร่วม มีแต่ของสามี  อันนี้คุณเบญน่าจะปรึกษาเค้าเพื่อเปิดเซฟร่วม โดยกันเงินส่วนหนึ่งที่เป็นรายได้คุณเบญเข้าบัญชีนี้ ส่วนบัญชีอื่นน่าจะเหมือนเดิม คือเข้ารับผิดชอบจ่ายทั้งหมด เค้าเก็บส่วนเค้าเองเหมือนตอนที่คุณเบญยังไม่ทำงาน จากคุณ : ยายสาย - [ 7 พ.ค. 50 11:14:56 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เรามีับัญชีของตัวเองค่ะ เพราะเมื่อก่อนทำงาน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำงานแล้ว ตอนนี้ก็เลยมีแต่บัญชีแต่ไม่มีเงินเข้า ฮ่าๆ สามีโอนเข้าให้บ้างเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ส่วนที่เหลืออยู่ในบัญชีสามีหมดค่ะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เงินเค้าก็คือเงินเรา เงินเราก็คือเงินเราอีกเช่นกัน จากคุณ : Prinzessin auf der Erbse - [ 7 พ.ค. 50 12:41:44 ]

ความคิดเห็นที่ 10 โอ้โหขอบคุณทุกๆคนนะคะที่มาช่วยร่วมตอบ บัญชีร่วมนี้ก็เป็นชื่อสองคน บัตรเครดิต สองใบ (บัตรร่วม) ที่ผ่านๆมาก็ร่วมกันใช้ค่ะ (ก็ปีที่ผ่านมาๆไม่ได้มีงานทำแล้วก้ต้องเลี้ยงลูก ตอนถึงคราวอยากจะออกไปทำงานที่ได้เงินเล้กน้อย ก็ว่าลูกยังเล็กไม่คุ้ม) จริงแล้วเงินเดือนก็เข้าบัญชีร่วมชื่อสองคนไปค่ะ เพียงแต่ก้อนที่จะเข้ามาเป็นก้อนที่่สอง เลยอยากเก็บบ้าง(ไม่ได้กะว่าจะเก็บหมด แค่นิดหน่อย) พอพูดกับสามีเข้า แกก็คงรู้สึกสั่นคลอนอย่างที่คุณกุ้งและพี่ไก่ว่านะค่ะ เขาหาว่าเราไม่แฟร์ ตอนเขาหาเงินคนเดียวเราก็ร่วมกันใช้ แล้วตบท้ายให้ว่า ถ้าอยากแยกบัญชีก็ตามใจไม่ขัดข้อง(ยินดีด้วยอีกต่างหาก) แต่ให้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน (และจ่ายค่าซ่้อมรถ(ที่เพิ่งเสียซ่อมไปเสร็จ)คืนให้เขาด้วย พูดไม่ออกเลยอ่ะค่ะ เฮ้อ ไม่รู้ว่าแยกไปจะคุ้มไหม ปกติเราเป็นคนซื้อของ ทั้งของบ้าน ของกิน ของลูก ของส่วนตัว เดี๋ยวเลิกงานกลับบ้านจะกลับมาเขียนต่อค่ะ จากคุณ : BFR - [ 7 พ.ค. 50 13:15:33 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ที่บ้านนี่บัญชีร่วมเป็น savings ค่ะ  ต่างคนต่างมีบัญชี checking กับ เดบิทการ์ด เครดิตการ์ด ของตัวเอง รายได้หลักมาจากพ่อบ้าน เธอใช้วิธีเขียนเช็ค สั่งจ่ายดิฉันเป็นรายเดือน เพราะดิฉันเป็นคนจ่ายเบี้ยประกัน   ค่ากับข้าว ค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ ทุกอย่างในบ้าน ถ้าไม่พอก็บอก เพราะบางทีมีเหตุ เช่นซ่อมรถเป็นต้น   ก็จะมีเงินเหลือติดบัญชีไว้ตลอด  แต่ดิฉันเป็นคนทำบัญชีทั้งหมด  ตัวเองไม่ได้ทำงานประจำค่ะ   งานที่เคยทำก็เป็น on-call ทั้งนั้น รายได้ไม่มากมายถ้าเทียบกันแล้ว  พ่อบ้านไม่เคยมาถามว่าใช้เงินยังไง   หรือเงินที่หาได้ไปไหนหมด  ตรงกันข้ามกลับโดนถามว่า ทำไมไม่ซื้อเสื้อผ้าหรือของสวยๆ งามๆ แพงๆ อย่างผู้หญิงอเมริกันทั้งหลายบ้าง แหม.. ก็มันเสียดายนะ ที่นี่อะไรก็แพง แล้วทุกวันนี้ก็มีเกินพอ ไม่รู้จะขนซื้อไปทำไมนักหนา จริงๆ แล้วเงินที่ตัวเองหาได้ ส่งไปเข้าบัญชีแบงค์ในเมืองไทยค่ะ มีเครดิตการ์ดตรงนั้นอยู่ด้วย เผื่อฉุกเฉิน   แล้วก็เป็นการรักษาเครดิตด้วย เพราะวงเงินบัตรเครดิตขนาดนี้ เดี๋ยวนี้แบงค์ไม่ปล่อยให้ใครอีกแล้ว   ดิฉันมีความเห็นว่า พ่อบ้านของคุณ BFR มีความรู้สึกสั่นคลอน น่ะค่ะ เพราะเคยมีฐานอำนาจทางการเงินมานาน..   ถ้าเป็นดิฉัน เห็นเค้ามีอาการอย่างนี้จะถามตัวเองก่อนว่า เหตุที่อยากมีบัญชีส่วนตัวน่ะ จะเอาไว้เผื่อฉุกเฉินหรือเปล่า   ถ้าใช่... อ้างว่าส่งไปให้ทางบ้าน...  เอาไปฝากแบงค์เมืองไทย แล้วทำเครดิตการ์ดทิ้งไว้ดีกว่าค่ะ   มีอะไรก็สามารถเอาออกมาใช้ได้   ส่วนทางนี้ก็ปล่อยไปอย่างเดิม จากคุณ : Lawanwadee - [ 7 พ.ค. 50 14:37:18 ]

ความคิดเห็นที่ 12 บัญชีเค้า บัญชีเรา และบัญชีร่วมค่ะ บัญชีเค้า ก็จะแยกเป็น 1. เงินเก็บหนึ่งบัญชี 2. บัญชีที่เงินเดือนเข้าอีกหนึ่ง ส่วนของเราก็เหมือนกันค่ะ คือมีทั้ง บัญชีเงินเก็บ และ บัญชีที่เงินเดือนเข้า เราสองคนตกลงกันค่ะ ว่าเรื่องค่ากิน ค่าของใช้ในบ้าน ช่วยกันออกคนละ เท่านี้ต่อเดือนโดนโอนเข้าบัญชีร่วม สำหรับค่าน้ำ ค่าไฟ ค่านุ่นค่านี่ เค้าเป็นคนจัดการ เพราะยังไง๊ ยังไงด้วยเงินเดือนน้อยนิดของเราก็คงไปจัดการค่าใช้จ่ายพวกนั้นไม่ได้อยุ่แล้ว.. บัญชีเงินเก็บของเค้า ของเรา มีเงินเท่าไหร่ เราเอามาแบ่งกันดูประจำค่ะ จะซื้ออะไรก็มาคุยกันก่อนเสมอ สำหรับเรื่องช้อปปิ้ง อย่าได้ขยับปากต่อว่าเป็นอันขาด เพราะนั่นคือเงินของฉานนนน จากคุณ : Match Point - [ 7 พ.ค. 50 14:45:49 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คุณ BFR ศึกษาข้อมูล กรณีสัญญาสมรสแบบรวมหรือยัง? ถ้าคิดจะแยก คิดดีๆ ก่อน เพราะถ้าบอกจะแยกแน่ๆ และด้วยความที่ไม่พร้อม และงานยังไม่มั่นคง อย่าเพิ่งทำ ถ้าสามีบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนสัญญาสมรสไปด้วยเลย ไม่ดีแน่ๆ เอ่อ.. ไม่เชิงไม่ดีแน่ๆ แต่หมายถึงว่า ควรศึกษารายละเอียดก่อน ถ้าแยก สำหรับเขา และสำหรับเรา หมายถึงอะไร ต้องหมายความให้เหมือนกัน ถ้าสำหรับเขา หมายถึง หมดเลยทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นไม่แตกต่างจากการแยกสินสมรสนะ ถึงจดรวมตอนแรก ก็เปลี่ยนได้ และหากเขาเป็นคนคิดแบบ principle คือ ถ้าจะทำแบบนี้ ก็ต้องเริ่มจากแบบนี้ แล้วก็เป็นหลักให้ปฎิบัติ นั่นคือ ถ้าแยกคือแยกหมดเลย ไม่ใช่ว่า อันนี้แยก หรืออันนี้รวม ตามความต้องการของภรรยา อย่างตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างรวม คือ รวมหมดทุกอย่างจริงๆ ถึงรายได้ของเรา ที่เราว่าน้อย ก็เข้าข่ายรวมเข้าไปด้วย ที่เขาบอกว่าถึงเงินของสามีที่เป็นชื่อของเขาคนเดียวนั้น แต่อยู่ภายใต้สัญญาสินสมรสรวม ดูแล้วก็น่าจะนับว่าเป็นของรวม ไม่ใช่ว่าเป็นของเขาคนเดียว เพราะมีชื่ของเขาคนเดียว ถ้าสงสัยเรื่องนี้ ลองปรึกษา คนที่รู้ข้อกฎหมายสินสมรสดีไหม หรือถามาเจ้าหน้าที่กฎหมายของที่บริษัทดูได้ไหม เพื่อคุณจะได้เข้าใจมากขึ้น ถ้ามันใช่ (คือ ใช่ว่าเป็นสินสมรสรวม) นะ แสดงว่า เขาก็คิดว่า แบ่งปันเงินเก็บเอาไว้ส่วนหนึ่ง คือในกรอบคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างคือ "รวม" ไม่ว่าจะเป็นชื่อใครก็แล้วแต่ ส่วนลูกนั้นอีกเรื่องหนึ่ง หมายถึง ยังไม่ใช่ว่ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะเรื่องของสินสมรสเป็นเรื่องของสามีภรรยาเท่านั้น คนฝรั่งเศสที่เจอหลายคน เป็นแบบนี้นะ คือ ตัดลูกไปก่อน ว่าไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน เพราะว่าไม่เกี่ยวข้องจริงๆ ในระดับนี้ บางคนแย้งว่า แล้วมีลูกมาทำไม ถ้าไม่มีอะไรเตรียมเอาไว้ให้ อันนี้ไม่คุยเรื่องนี้กันนะ เพราะว่าหลักการคิด รูปแบบของสังคม โครงสร้างของสังคม มันแตกต่างในแต่ละประเทศ ถ้าของฝรั่งเศส ที่เขามีระบบการศึกษาแบบเกือบจะฟรี จนถึงระดับปริญญาเอกเลยเนี่ย (ถ้ามีปัญญาเรียน) เขาก็ไม่กังวลมาก เรื่องต้องเก็บเงินสำหรับค่าเรียน แต่ถ้าจะส่งลูกไปเรียนเอกชนนั่นอีกเรื่องหนึ่ง หรืออย่าง เรื่องสุขภาพของลูก ว่ามีระบบประกันสุขภาพที่ดี (เพราะพ่อแม่ ก็จ่ายภาษีสูง) คือ ถ้ามองว่า ความจำเป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับเด็กคนหนึ่งโดยรวมได้รับการดูแลไปแล้วด้วยระบบ ในที่นี้คือ การศึกษา และ สุขภาพ คนเป็นพ่อแม่ก็แทบไม่ได้คิดว่า แล้วลูกจะขาดอะไร มีแต่ว่า ลูกควรจะต้องสามารถในที่สุดเลี้ยงดูตัวเองได้ หลายๆ ครอบครัว เขาไม่มีอะไรตั้งต้นให้ลูกเลยนะ (ในเรื่องเงินทอง) ถ้าอย่างครอบครัวมีลูกหลายคน ถ้าเป็นครอบครับที่มี principle จริงๆ นะ เวลาจะให้อะไรกับลูกคนไหน จะจดเอาไว้ด้วย เพื่อที่ว่า ต่อไปให้คนอื่น ให้เท่าๆ กัน บางครอบครัว มี notaire ที่มาดูแลเรื่องทรัพย์สิน มา trace ว่ามีหลักฐานการให้ลูกคนไหนๆ มาบ้าง ถ้าถึงเวลาตรวจพินัยกรรม (กรณีพ่อแม่เสีย) คนไหนเคยได้ไปเพราะมี favor กันมากกว่าคนอื่น ลูกคนอื่นก็จะต้องได้ทรัพย์สินอะไรๆ ที่เทียบเท่าที่ลูกคนนั้นเคยได้ไปด้วย ตัวอย่างหนึ่งที่เห็น เช่น ลุกคนหนึ่งเรียนได้ทุนของรัฐมาตลอด พ่อแม่ไม่ต้องจ่ายให้ แต่ลูกอีกสองคน เรียนเอกชน พ่อแม่ต้องเอาเงินมาจ่ายให้ลูก 2 คนนี้เรียน พ่อแม่ก็จดเอาไว้ ว่าเสียไปเท่าไรๆ และเมื่อมีโอกาสที่ลูกคนที่ได้ทุนรัฐเรียน ต้องใช้เงิน พ่อแม่เขาก็เอาเงินที่คิดว่า ถ้าต้องจ่ายให้คนๆ นี้เรียน จะคิดเป็นเงินเท่าไร แล้วเขาก็ให้เงินจำนวนนั้นๆ แก่ลูกคนนี้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ลูกอีก 2 คน ก็ต้องรับรู้ด้วย ว่าเป็นเพราะอะไร เพื่อไม่ให้มีปัญหากัน ว่ารักใครมากกว่าใคร ย่อหน้าข้างบนเกี่ยวกับลูก ดูเหมือนไม่เกี่ยวนะ เพราะกรณีของคุณคือ สามีภรรยา แต่จะบอกว่ามันคล้ายกันในแง่หลักการ หมายถึง ถ้าสามีคุณเป็นคนยึดหลักการ (เท่าที่อ่าน และเท่าที่คุณเคยคุยด้วย) มันก็จะนำมาสู่การปฎิบัติตามหลักการที่เขายึดนั่นแหละ ถึงได้บอกว่า ถ้าคิดจะแยก ต้องคิดดีๆ โดยเฉพาะคุณแต่งงานมานาน และเป็นแบบรวมมาตั้งแต่ต้น ที่เขาบอกนั้น ก็ถูกต้อง เพราะเขาเป็นคนหาและดูแลครอบครัวมาตลอด คุณเพิ่งทำงานได้ไม่นาน รออีกนิดดีไหม? ช่วงที่รอ ก็หาข้อมูลไปด้วย ที่สำคัญคุณได้พอเข้าใจหรือว่าได้เคยคุยถึง วิธีการคิดในเรื่องการจัดการสินสมรส กับสามี บ้างหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจกันในหลักการแล้ว เดี๋ยวจะคุยกันไปคนละเรื่องนะ พอเข้าใจอยู่ว่า คุณก็คงอยากจะได้มีส่วนที่เก็บบ้าง เป็นชื่อตัวเอง หรือว่าให้ใส่ในชื่อลูก แต่เรื่องนี้ ต้องคุยกับสามีให้ได้ก่อนนะ อย่าเพิ่งคิดจะแยกทันทีทันใด เพราะอาจมีผลตามมาที่คาดไม่ถึงได้ จากคุณ : พธูไทย - [ 7 พ.ค. 50 14:45:56 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เพิ่งถกเรื่องนี้กับสามีไปเมื่อ 4 วีคก่อนนี่เองค่ะ ของดิฉันก็เป็นแบบที่ 4 อย่างคุณBFR คือทุกอย่างใช้ร่วมกันค่ะ ตอนทำงานมีรายได้ก็ใส่ไปในบัญชีสามีค่ะ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำงานเพราะลูกเพิ่ง 4 เดือนกว่า ยิ่งตอนนี้เพิ่งสร้างบ้านเสร็จ เรียกว่ายังเป็นหนี้ด้วยกันทั้งคู่ค่ะ เลยยังไม่คิดเรื่องมีบัญชีแยกต่างหาก ทุกวันนี้สามีดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่เค้าไม่เคยมาควบคุมเรา เรียกว่าไว้ใจ เรื่องการใช้จ่ายของเราค่ะ แต่ที่เพิ่งถกกันไปคือเรื่องบัญชีลูก เพราะดิฉันอยากให้ลูกมีบัญชีต่างหาก ฝากให้ทุกเดือนถึงจะไม่มากก็ตาม ถ้าต่อไปดิฉันทำงานอีก ทั้งดิฉันและสามีก็ต้องแบ่งรายได้ฝากเข้าบัญชีให้ลูกด้วย ตอนนี้ยังเป็นรายได้ทางเดียวอยู่ เลยยังไม่อยากเพิ่ม topic อีกข้อค่ะ อีกอย่างสามีก็ลงทุนใน Fund ให้ดิฉันและลูกด้วย แต่ใจจริงดิฉันอยากเปิดบัญชีร่วมแบบสะสมเงินอย่างเดียว คือไม่ใช้จ่าย กะว่าเก็บไว้ตอนแก่ทั้งคู่ ส่วนของสามีไว้ใช้จ่ายในบ้าน และอื่นๆ ของลูกไม่แตะต้อง แต่อันนี้คงหลังจากได้ทำงานอีกครั้งค่ะ แต่มีอีกบัญชีที่เมืองไทยเป็นชื่อดิฉันคนเดียว เอาไว้โอนตังค์มาใช้เวลากลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยค่ะ จากคุณ : Walcher - [ 7 พ.ค. 50 15:14:28 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ยังไม่ได้อ่านคคห.บนๆเลย รีบเขียนก่อนไปทำงานบ้าน ว่างแล้วจะเข้ามาอ่านค่ะ ของพี่ข้อ 1 ค่ะ บัญชีร่วมล้วนๆ มีบัญชีธรรมดาที่เงินเดือนสามีเข้า(ไม่มีดอกเบี้ย)และบัญชีเงินฝากออม(มีดอกเบี้ย) ทั้ืงสองคนก็มีเดบิตการ์ดและเครดิตการ์ดจากบัญชีธรรมดา ไม่มีบัญชีให้ลูกเพราะบัญชีเงินฝากก็คือเงินของทุกคนในครอบครัว อีกอย่างหนึ่งถ้าจำนวนเงินฝากน้อย จำนวนเปอร์เซนต์ของดอกเบี้ยก็ยิ่งน้อยตาม ส่วนที่เมืองไทยพี่ยังเหลือบัญชีออมทรัพย์ทิ้งไว้บัญชีเดียว มีบัตรเอทีเอ็ม 2 ใบและเครดิตการ์ดใบเดียว ป.ล. แฟนพี่ทำงานคนเดียวนะคะ จากคุณ : Regenbogen ^_^ - [ 7 พ.ค. 50 15:26:16 ]

ความคิดเห็นที่ 16 http://www.wikihow.com/Discuss-Finances-Together-in-a-Marriage อันนี้ลองเสริชใน wikiHow เล่นๆ (ไม่คิดว่าจะเจอ เอ้า มีอีกแน่ะ) อ่านเล่นๆ ละกัน เผื่อมีไอเดีย ใช้สำหรับการ argument และ convince ได้บ้าง ส่วนตัว ไม่คิดว่า สามีรู้สึกว่า สั่นคลอน อะไรนะ แต่เข้าใจว่า อ้าว แล้วจะจัดการอะไรอย่างไร ให้มัน conform ตามหลักการที่วางเอาไว้ดีล่ะ เรื่องเงินทองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะ ต้องมานั่งคุยกัน แบบมีเหตุมีผล อย่าใช้อารมณ์เพียงเพราะเราไม่ได้สิ่งที่เราต้องการ ความเป็นมา และเป็นไปของแต่ละครอบครัว มันแตกต่างกัน คุณต้องหาจุดที่สมดุลย์ของครอบครัวคุณเอง คราวนี้ตอบคำถามที่คุณถาม เริ่มด้วยว่า มีสินสมรสรวมค่ะ ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ภายหลังการจดทะเบียนคือรวมหมด ของทุกๆ อย่างในบ้าน ถึงเป็นชื่อของคนใดคนหนึ่ง นับเป็นของรวมหมด ถ้าหากว่าวันที่ได้มา เกิดหลังการจดทะเบียน รวมไปทั้งรายได้ แล้วก็หนี้สินด้วย (อย่าคิดแค่ว่ารายได้อย่างเดียว หนี้สินที่เกิดขึ้น ถึงเราไม่ได้ทำ แต่เราก็ต้องรับด้วย ถ้ามี) ข้อตกลงนี้ เข้าใจกันทั้ง 2 ฝ่าย จากนั้นเรื่องบัญชีค่าใช้จ่าย (มีทั้งรายจ่ายและรายรับ) เป็นแบบรวม บัญชีเดียว และมีบัญชีแยก สำหรับเก็บเงินที่พอมีเหลือบ้าง แค่เซฟให้เรารู้ว่า แต่ละเดือนควรต้องมีเงินเหลือ อันนี้แต่ละคนมีคนละบัญชี เดือนๆ นึง ไม่ได้ใส่เยอะนะ เพราะมีค่าผ่อนที่พักอาศัยที่ถือเป็นการลงทุน ที่ต้องจ่ายทุกๆ เดือน ส่วนบัญชีลูก มีเปิดเอาไว้ แต่ไม่ใส่เงินประจำ เอาไว้ใส่เงินกรณีมีเช็คของขวัญจากญาติๆ ให้ แต่ถึงเป็นชื่อลูก แต่เขาเองยังไม่มีสิทธิ์ถอน พ่อแม่เป็นคนมีสิทธิ์ ถ้าจะเอามาใช้ก็ได้ (ตามกฎหมาย) คือ ใส่ไว้ ให้รู้ว่า นี่เป็นเงินส่วนของเขา ที่เราจะไม่แตะ แต่ย้ำว่า ยังไม่มีโครงการว่าต้องให้เดือนละเท่าไร พอถึงเวลา ก็คงต้องคุยกันอีกที แต่คิดว่าน่าจะเป็นตอนที่เขาบริหารเงินเองได้ แล้วดูว่า เดือนหนึ่งๆ เขาจะได้เท่าไร มากกว่าที่จะคิดว่า ฝากเงินให้ลูกทุกๆ เดือน อันนี้เราไม่คิดแบบนี้ จากเรื่องบัญชีเงิน คราวนี้ทั้งคู่ ก็ต้องมาตีว่า เดือนหนึ่งๆ มีรายได้เข้าเท่าไร รายจ่ายเท่าไร ต้องรับรู้กันทั้งคู่ เพราะว่าทำบัญชีแบบละเอียด (ใช้โปรแกรมควิกมันนี่) ละเอียดขนาดที่ว่า ถ้าอยากรู้ว่า ค่าใช้จ่ายเดือนหนึ่งสำหรับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเท่าไร ก็ออกเป็นกราฟออกมา หรือว่า มีโครงการว่า อยากลดค่าใช้จ่ายส่วนไหน ก็ดูกราฟ แล้วก็วางแผนกันว่า ต้องทำอย่างไร แล้วก็ดูผลการลดค่าใช้จ่าย อะไรทำนองนี้น่ะ คือ ถ้าไม่ทำแบบนี้ บางทีคิดอยากจะมีโครงการอะไรกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ การทำบัญชีแบบละเอียดจะช่วยให้เรารู้ว่า โครงการนั้นๆ เป็นไปได้หรือไม่ จะเสียเวลาคิดหรือไม่ เช่น ปกติชอบเที่ยวมาก การเที่ยวแต่ละครั้งต้องมีรายจ่าย ก็ต้องตีออกมาว่า จะจ่ายได้เท่าไร แล้วก็ปรับแผนการเที่ยว ว่า จะเป็นแบบสบายๆ หรือแบบยาจก ขึ้นกับงบที่จะใช้ด้วย ถ้าตีออกมาแล้ว ว่าเมื่อหักค่าใช้จ่ายในช่วงหนึ่งๆ ไปแล้ว เหลือเงินที่จะเอามาทำโครงการเที่ยวนี้ไหม? หรือว่า อยากซื้อบ้าน เราทำได้ไหม? อยากซื้อรถใหม่ เราทำได้ไหม? การจับจ่ายภายในบ้าน ต้องคิดร่วมกันทั้งหมด เกือบทุกๆ อย่าง ต้องคุยกัน ระหว่างสามีและภรรยา เพื่อให้ได้การตัดสินใจ ตอนแต่งงานใหม่ๆ จำได้ว่า บางอย่างที่สามีชอบมากๆ เช่น ทุกๆ เดือนต้องซื้อซีดีเพลง เดือนละ 20 แผ่น พอแต่งงานแล้ว และมีแผนการซื้ออพาร์ทเมนต์ สามีก็มาคำนวณ พบว่า จะซื้อซีดีเพลงไม่ได้แล้วนะ ต้องตัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปเลยซึ่งเป็นความสุขและความชอบส่วนตัวออกไปเลย เพราะต่อไปค่าใช้จ่ายสำหรับ 2 คนมันต้องเพิ่มขึ้นกว่าคนเดียว เวลาคิดจะซื้ออะไร ต้องคิดก่อนว่า เป็นโครงการสำหรับ 2 คนหรือเปล่า ถ้าเป็นอะไรที่ เป็นของเขาชอบคนเดียว เขาจะต้องเอามาถามก่อนว่า "เรา" จะซื้อได้ไหม "เรา" จะตกลงไหม ดังนั้น อะไรก็แล้วที่ดิฉันจะทำเพื่อตัวเอง ดิฉันก็ต้องถามสามี เพื่อให้ได้ข้อตกลงว่า "เรา" จะทำได้ไหม สำหรับกรณีเรื่องบัญชีลูก เรามี 2 ความคิดเห็น คือ - ความคิดเห็นของดิฉัน ดิฉันอยากให้มีบัญชีของลูก ชื่อลูก (เป็นความรู้สึกอุ่นใจ ว่าเราอยากให้ลูก เป็นธรรมดานะ) - ความคิดเห็นของสามี คือ ไม่จำเป็น เพราะถึงมีของลูก แต่ก็ไม่ใช่ของเขาจริงๆ ทางกฎหมาย และถ้าพ่อแม่จะให้ลูก แบบเป็นกอบเป็นกรรม มันต้องมีลักษณะของพินัยกรรม ซึ่งในกรณีนี้ ยังไงๆ ลูกก็ได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้แบบมีบัญชีแยกอีก ที่สำคัญอีกอย่างคือ เราหาเงินมาได้จากการทำงาน เป็นสิทธิของเราที่จะต้องใช้เงินนี้สำหรับเราเอง ส่วนลูกนั้น เขาก็ได้ใช้ในส่วนของทุกๆ วัน อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีแยก แต่เขาจะมีก็ต่อเมื่อเขารู้ว่าจะบริหารเงินเองอย่างไร อันนี้จะเห็นว่า แค่ลูกจะมีบัญชีเองหรือไม่ เราก็ต้องมาคุยกัน เพราะจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากของรวมไปให้เขา ก็เท่ากับว่า เราต้องปรับบัญชีการใช้จ่ายของรวมไปด้วย แต่ในที่สุด เขามีบัญชีของเขา เพราะว่า พอเขาอายุได้ 2 ขวบ ของขวัญที่ญาติๆ ให้มักเป็นเช็ค ใส่ชื่อของเขา แล้วจะเก็บที่ไหน ก็เลยตัดสินใจว่า เปิดบัญชีให้เขาไปเลย และเราตกลงว่า นี่คือของเขาโดยถูกต้อง พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ เขียนมายืดยาว แค่จะบอกว่า จำเป็นต้องคุยกัน เรื่องที่เราคิดว่า simple ง่ายๆ แค่อยากมีบัญชีตัวเอง หรือแค่อยากมีบัญชีลูกเท่านี้เอง ทำไมไม่ให้ แต่สำหรับเขา มันอาจเป็นเรื่องใหญ่ ภายใต้กรอบความคิดแบบสินสมรสรวม ถ้าคุณ BFR ทำบัญชีเอง คุณจะต้องรู้ละเอียดว่า ใช้อะไรๆ ไปบ้าง ใครใช้เท่าไรๆ แล้วคุณก็ต้องมานั่งคิดว่า contribution ของคุณต่อค่าใช้จ่ายภายในบ้านเป็นอย่างไรด้วย ทั้งในแง่รูปแบบของเงิน และรูปแบบของเวลา และแรงงาน (เช่นการดูแลบ้าน) อย่างที่เคยบอกว่า เช่น ถ้าเราทำงานเองได้แล้ว เราก็บอกเลยว่า ต่อไปนี้ เราขอแบ่งรายจ่ายส่วนหนึ่งสำหรับการจ้างแม่บ้าน ไม่รู้ว่าเขียนตรงกับที่ถามไหม แต่เขียนๆ แบบ ที่คุณเคยเปรยๆ ถามมาบ้าง แต่ยังไม่เคยคุยรายละเอียดกันน่ะ จากคุณ : พธูไทย - [ 7 พ.ค. 50 15:27:37 ]

ความคิดเห็นที่ 17 บัญชีร่วมล้วน ๆ เลยค่ะ เพราะถือเป็นเงินของครอบครัว เมื่อก่อนที่ยังไม่ได้ทำงานก็ใช้บัญชีร่วมคือเงินทุกยูโรที่สามีหามาได้ถือเป็นเงินของครอบครัว พอเรามีงานทำเสริมบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เอามารวมถือเป็นเงินกองกลางทั้งหมด แต่ทุก ๆ เดือนเราจะเฉือนนิดหน่อยแบ่งให้เขา และ เรา เรียกว่าเป็นค่าขนม เท่านั้นเอง ตอนนี้ทำงาน รายได้ก็เอาเข้าบัญชีร่วมเหมือนเดิมค่ะ  ไม่เคยมีปัญหาเรื่องใช้จ่าย อยากซื้ออะไรก็ซื้อ เพราะปกติก็ไม่ใช่คนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สามียังติงว่าขี้เหนียวเกินไปด้วยซ้ำ  ยกเว้นเรื่องกินที่เดือน ๆ นึงจ่ายไปเยอะเหมือนกัน เรื่องเงินเก็บ ส่วนมากจะคุยกันก่อนแล้วเลือกกรมธรรม์ หรือ แบบการลงทุนระยะสั้น เงินไม่เยอะ แต่กระจายหลาย ๆ ก้อน สินสมรส นี่มีแต่เงินสดค่ะ เพราะสามีมีสินเดิม เรามีแต่(หนี้)สินเดิม   เรื่องบัญชีของลูก ยังไม่คิด เพราะยังไม่มีตัวเล็กค่ะ จากคุณ : Rosa Rossa - [ 7 พ.ค. 50 16:27:51 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ความเห็นคุณ แมชพ้อย น่ารักจังเลยค่ะ จากคุณ : mon kiwi - [ 7 พ.ค. 50 17:49:24 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เป็นแบบข้อ 3 ค่ะ บัญชีแยกกันไปเลย จะใช้จ่ายอะไรก็ไม่ต้องถามกันมาก (แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกันคือ จะไม่ค่อยระวังเรื่องการใช้จ่าย) เป็นแบบนี้ตั้งแต่แต่งงาน มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ แล้วค่ะ ตอนเปิดบัญชีพ่อสามีเป็นคนเปิดให้พร้อมกับเงินก้นถุงอีกพอสมควร (พ่อสามีเปิดให้เพราะ ตอนนั้นยังไม่มี ID number ค่ะตามกฎหมายแล้วเปิดบัญชีไม่ได้ แต่พ่อแกใช้ความสนิทกับ ผจก. แบงค์แถวบ้านแกเปิดบัญชีให้) ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มีรายได้ สามีก็จะโอนเงินเข้าให้ทุกเดือนสำหรับใช้จ่ายส่วนตัว และจ่ายค่ากับข้าวบ้าง (ไม่ได้ตกลงกันว่าใครต้องจ่ายค่ากับข้าว ใครสะดวกก็จัดการ แต่ว่าดิฉันเป็นคนทำกับข้าว ก็เลยมักจะเป็นคนจ่ายค่ากับข้าว) ซึ่งก็คิดว่ายุติธรรมดี เพราะค่าใช้จ่ายรายเดือน (ค่าผ่อนบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าทำความร้อน และจิปาถะ) สามีเป็นคนออกล้วนๆ แม้แต่ตอนที่เราทำงานประจำ หรือปัจจุบันที่เรามีแค่รายได้จากเงินเดือนนักศึกษาและงานฟรีแลนซ์อีกนิดหน่อย และเพิ่งซื้อบ้านใหม่ได้ปีกว่า เค้าก็ยังคงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหมือนเดิมค่ะ แต่บ้านเป็นชื่อของเราทั้งคู่ ส่วนบัญชีสามี ปัจจุบันเค้ามีหลายบัญชี เพราะเค้าจัดระบบค่าใช้จ่าย โดยมีบัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายรายเดือน ซึ่งโอนมาจากบัญชีรายได้เข้า เค้าโอนเองทาง home banking ทุกเดือน อีกบัญชี ก็เป็นบัญชีรายปีที่ถอนเงินออกมาใช้ไม่ได้ เพราะได้อัตราดอกเบี้ยพิเศษตามที่ตกลงไว้กับธนาคาร ส่วนเงินออม pension ตัวเองยังไม่มีค่ะ ส่วนของสามีบริษัทมีสวัสดิการให้ดีมากๆ บริษัทออกให้ 10% ของเงินเดือนทุกเดือน และหักจากเงินเดือนอีก 5% ถ้าดิฉันได้งานที่มั่นคงทำ ก็คงจะเก็บเงินออม pension ด้วยเหมือนกัน เรื่องปฏิกิริยาของสามีคุณเบญ ส่วนตัวคิดว่า เค้าคงจะคิดถึงเรื่องแฟร์ๆ สไตล์ชาวตะวันตกมากกว่าค่ะ เพราะอย่างช่วงที่เค้าทำงานมีรายได้คนเดียว เค้าก็ออกค่าใช้จ่ายทุกอย่าง และถ้าคุณจะทำงานมีรายได้ คุณก็สมควรที่จะมาแบ่งเบาภาระตรงนี้เหมือนกันค่ะ สามีดิฉันยังบอกเลยว่า ถ้าวันไหนที่ดิฉันมีงานทำที่มั่นคง ก็ต้องเอาเงินมาแบ่งเบาภาระค่าบ้าน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วยเหมือนกันค่ะ ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่ดิฉันเลยค่ะ ปล. ถ้าคุณถามเรื่องนี้กับคู่สามีภรรยาคนเดนส์โดยทั่วไป ส่วนใหญ่ก็ทั้งคู่จะมีบัญชีส่วนตัวทั้งคู่ค่ะ เพียงแต่ว่าจะมีบัญชีร่วมหรือไม่ เท่านั้นเอง คนที่นี่จะมีความ independence จะมีค่อนข้างสูงค่ะ ทำอะไรก็จะไม่ผูกมัดกัน <-- นี่ก็อาจจะเป็นคำตอบให้ดิฉันก็ได้ว่าทำไมดิฉันและสามีถึงมีบัญชีส่วนตัว ทางยุโรปตอนใต้อาจจะมีค่านิยมเรื่องครอบครัวและวิธีการจัดการในครอบครัวที่ต่างไปจากนี้ก็ได้ค่ะ จากคุณ : MingDK - [ 7 พ.ค. 50 18:11:18 ]

ความคิดเห็นที่ 20 บัญชีร่วมทุกอย่างค่ะ   บัญชีเงินสะสม   บัญชีการเที่ยว+ของขวัญ  บัญชีเช็ค บัตรเดบิต เครดิต จะขอทีละ 2 ใบ  คนละชื่อในบัญชีร่วม ซื้อของทุกชิ้น (ใหญ่)  ใส่ชื่อร่วม ลูกชาย-ลูกสาว มีบัญชีเงินฝากคนละบัญชี เกิดจากการโอนเงินจากบัญชี พ่อ-แม่ ให้ทุกเดือน คนละ 50 เหรียญต่อเดือน กับสามีถือว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน  ไม่มีของเค้า ของเรา ทุกอย่างลงบัญชีร่วมหมด       จะซื้อของชิ้นใหญ่มักจะคุยกันเสมอ จากคุณ : sri123 - [ 7 พ.ค. 50 21:08:24 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เล่าตามที่เพื่อนที่เคยแต่งเล่าให้ฟังอีกที่นะ เขาบอกว่า เขาและภรรยา(เก่า)เนี่ย จะมีบัญชีเงินเก็บร่วมคือ ทุกpay checkจะเอาเข้า US$25 (นี่เมื่อ 15-16ปีที่แล้ว) เพราะฉะนั้น เวลาซื้อของชิ้นใหญ่เช่น ตู้เย็น เป็นต้น เก็บกันเป็นเดือน ทั้งตัวเขาและภรรยาเก่าทำงาน เห็นบางครอบครัว ถ้าทำงานทั้งคู่ ช่วยกันในเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านโดยจ่ายกันเป็น % เพราะไม่งั้น คนที่ได้เงินเดือนสมมติ $80,000 จะอยู่อย่างสบายกว่าคนที่ได้ $20,000 ถ้าต้องการแยก ว่าอย่างที่คุณพธูว่านะ ต้องมานั่งศึกษา อย่างทำspreadsheetเองก่อนว่า  เรารายได้เท่านี้ ใส่เข้าร่วมเท่าไหร่ เหลือเท่าไหร่ คุ้มไม่คุ้ม ระยะยาวจะยังไง อย่างที่หลายคนบอก คงต้องค่อยๆเปลี่ยน ให้สามีชินกับจำนวนเงินนิดน้อยที่เราต้องการเก็บก่อน พอซักปีสองปี อาจเพิ่มจำนวนขึ้น ว่าระยะแยกต้องให้สามีชินกับconceptที่ว่าภรรยาเริ่มมีค.เป็นอิสระในตัวเองน่ะ ว่าตรงนั้นน่ะยากสุด ปัญหาไม่ได้คิดว่าอยู่ที่จำนวนเงินเท่าไหร่หรอก จากคุณ : Overseas - [ 7 พ.ค. 50 21:26:11 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ส่วนตัวคิดว่ารายได้ของตัวเองคือรายได้ของครอบครัวค่ะ ไม่เคยคิดว่าเป็นของเราคนเดียว สามีก็เช่นกัน เงินรายได้ทั้งหมดเข้าบัญชีร่วม ค่าใช้จ่ายทุกอย่างก็จ่ายจากบัญชีเดียวกัน เงินฝากประจำก็เป็นบัญชีร่วม เอาเงินเข้าประจำทุกสัปดาห์ (เพราะที่บ้านได้รับเงินเดือนของตัวเองกับสามีสลับกันทุกอาทิตย์ค่ะ) เงินฝากประจำจริงๆมีไว้เพื่อรายจ่ายฉุกเฉิน และ วเคชั่นค่ะ ไม่ได้เก็บระยะยาวมากเท่าไร คือมันยังไม่มีพอเก็บมากนักน่ะค่ะ บัตรเครดิตก็ใช้บัญชีร่วมค่ะ ตัวเองมีบัตรเครดิตส่วนตัวเพราะเดินทางไปทำงานบ่อยจะได้จ่ายค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานแยกจากเครดิตการ์ดบัญชีส่วนตัว ไม่งั้นมันงงน่ะค่ะ ที่บ้านตัวเองเป็นคนดูแลเรื่องบัญชีรายรับ-รายจ่ายที่บ้านค่ะ คุณสามีไม่ชอบเรื่องนี้ เรื่องเปิดบัญชีให้ลูกๆ มีบัญชีฝากประจำให้ลูกๆคนละบัญชีค่ะ แต่ไม่ค่อยได้เอาตังส์ใส่ให้เลย :( จากคุณ : แม่ลูกแฝด - [ 7 พ.ค. 50 22:19:40 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คุณ Mon kiwi ค่ะ ชอบตรงที่ว่าเรื่องช้อปปิ้งใช่ม๊า รู้ทันน๊า.... อิอิ จากคุณ : Match Point - [ 8 พ.ค. 50 01:14:08 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ของพี่เป็นบัญชีร่วม กับบัญชีส่วนตัวเรา เนื่องจากไม่ได้ทำงาน ค่าใช้จ่ายต่างๆสามีออกหมด แต่ตกลงกันไว้ ตอนแต่งงานใหม่ๆว่าขอเงินเดือนส่วนตัวนิดหน่อย ซึ่งไม่ได้มากมายอะไรเลย เพราะต้องส่งประกันชีวิตที่เมืองไทยทุกปี (ซึ่งสามีก็อยากให้ยกเลิกนะ เพราะมีค่ารักษาพยาบาลทางนี้แล้ว แต่พี่ก็ยังอยากเก็บไว้อยู่ ถือเป็นการออมเล็กๆ) นอกนั้นก็เอาไว้ใช้ซื้อของที่อยากได้ คือถ้าเงินส่วนรวม ตัวเองจะไม่กล้าใช้แน่ๆ คิดไว้ว่าถ้าได้งานทำ ก็คงเอาเงินเดือนมาใส่บ/ชร่วมค่าใช้จ่ายของบ้านเหมือนกัน   เปิดบัญชีไว้ให้ลูกแล้ว แต่ยังไม่ได้ใส่ตังค์เท่าไหร่ กะไว้ว่าถ้าตัวเองได้งานทำ ก็จะคุยกับสามีอีกที อยากเก็บให้ลูกเหมือนกัน คือถ้าเก็บตอนนี้มันไม่ไหว เพราะหาคนเดียว แต่ใช้ 3 คน ความเห็นส่วนตัวนะ พี่ว่าเบญยังไม่ควรแยกบัญชีตอนนี้ สามีคงคิดว่าแต่งงานใช้บัญชีเดียวกันมาได้ตั้งนาน โดยไม่มีปัญหา แล้วไงเกิดอยากจะมีของฉันของเธอ รอให้งานมั่นคง ลงตัวกว่านี้ซักพัก แล้วค่อยปรึกษากันใหม่ หาเหตุผลดีๆมาคุยกัน ชี้แจงให้เค้าเห็นความจำเป็น อย่าเพิ่งใช้อารมณ์ตอนนี้ เพียงเพราะเหนื่อยที่ต้องออกไปทำงานทุกวัน แล้วยังต้องมาทำอะไรๆที่บ้านอีก (แถมเงินที่หามาก็เหมือนไม่ได้จับต้อง ซึ่งจริงๆไม่ใช่) อันนี้เดาเอาจากตัวเอง ตอนที่ต้องเรียนแต่เช้ายันห้าโมงเย็น แล้วต้องมารับใช้ทางบ้านอีก แหม มันเหนื่อยน่าดูเลยเนอะ (แอบลงท้ายด้วยการบ่น) จากคุณ : ตรีนุช3903 - [ 8 พ.ค. 50 04:05:58 ]

ความคิดเห็นที่ 25 แนะนำอย่างนี้ดีไหมคะ  ก็เอาเงินเข้าบัญชีร่วมอย่างที่เค้าต้องการ  การใช้จ่ายอะไรก็จะได้เป็นอย่างปกติ  และเข้าใจว่าคุณ BFR ก็มีสิทธิ์เบิกมาใช้จ่ายส่วนตัวก็ได้ใช่ไหมคะ  ก็เจียดเงินที่เอามาใช้ส่วนตัวเข้าบัญชีตัวเองไป  ก็ถือเป็นเงินเก็บได้ส่วนนึง แบบนี้คุณพ่อบ้านก็ไม่เคือง  เราเองก็สามารถมีเงินเก็บได้ด้วย จากคุณ : ทูกี้ - [ 8 พ.ค. 50 05:05:26 ]

ความคิดเห็นที่ 26 -มีบัญชีร่วม ของสามีและเรา บัญชีนี้จะเป็นทั้งเงินเข้าและเงินออกสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ -บัญชีส่วนตัวของเราเอง อันนี้สามีทำให้และเอาเงินเข้าให้ทุกเดือน ส่วนที่เป็นเช็คกิ้งเอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัวแต่ส่วนใหญ่ใช้เงินสามีอยู่ดีคะ แอบงก555 -บัญชีลูก จะเอาเงินเข้าทุกๆ เดือนทำไว้ตั้งแต่ลูกได้หกเดือนจนตอนนี้จะสี่ขวบแหละ ตั้งใจว่าจะใส่ให้จนกว่าเขาอายุสิบแปด บัญชีนี้สำหรับทุนเข้ามหาวิทยาลัยของเขา ไม่เคยถอนเลยบัญชีนี้ ส่วนบัตรเครดิตมีของสามีและของตัวเองแยกต่างหากแต่คนจ่ายคือสามีคะ ดิฉันไม่ได้ทำงานนะคะเป็นแม่บ้านอย่างเดียว แต่ที่ขอให้สามีทำบัญชีแยกต่างหากเพราะเป็นหลักประกันหลายๆ อย่างในอนาคตและเพื่อความสบายใจของตัวเองด้วย สามีเองเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้ด้วยเลยไม่มีปัญหาอะไร เค้าอยากให้เรารู้จักบริหารเงินเอง ส่วนบัญชีของลูกเป็นความเห็นชอบจากทั้งสองคนเพราะอยากให้ลูกมีฐานรองรับเมื่อเขาโตขึ้น จากคุณ : ตัวยุ่ง - [ 8 พ.ค. 50 13:01:47 A:76.103.72.78 X: TicketID:115171 ]

ความคิดเห็นที่ 27 มาตอบค่ะ แต่งงานไม่มีลูก บัญชีแยก ต่างคนต่างแยกค่ะ ไม่รวม ไม่แบ่ง ช่วยกัน ใครมีเยอะ ออกเยอะ ใครมีน้อยก็ออกน้อย รถใคร คนนั้นจ่าย บัตรใคร คนนั้นจ่าย ไม่เคยทะเลาะกันเรื่องเงิน มีงอนๆบ้าง ถือว่าก็ร่วมหัวจมท้ายด้วยกันน่ะค่ะ แต่ก็ต้องขยันทำมาหากินกันทั้งคู่นะคะ อืม..เมื่อก่อน ตอนเราไม่ได้ทำงานก็ใช้เงินสามีตลอดค่ะ แบมือขอ สามีให้เครดิตการ์ด แล้วก็เปิดบัญชีธนาคารชื่อเราให้ เราใช้การ์ดรูดปื๊ดๆเค้าก็ตามจ่ายให้ เป็นงี้ประมาณสองสามปีค่ะ (รวมทั้งค่าตั๋วไปเมืองไทย) ต่อมา ทำงานได้เอง เงินเดือนเยอะ ก็เปิดบัญชีตัวเอง แยกเป็นเก็บ retirement และใช้จ่าย สามีก็มีบัญชีเค้าเอง ค่าใช้จ่ายในบ้านเล็กๆน้อยๆ กินข้าวข้างนอก groceries อะไรแบบนี้ช่วยกันจ่าย ค่าน้ำ ไฟ โทรศัพท์ เค้าจ่าย จ่ายเยอะๆเช่นค่าผ่อนบ้าน ภาษีบ้าน อะไรทีมันเป็นพันเป็นหมื่นเหรียญก็ช่วยๆกันจ่าย (เราออกเยอะกว่าเพราะเงินเดือนเยอะกว่า) แต่ไม่มีบัญชีรวมค่ะ คนทำบัญชี ก็สามีวางแผนภาพรวมของครอบครัว แต่บัญชีเรา เราวางแผน เก็บรายละเอียดเองค่ะ หลังๆมา...สามีไม่ค่อยมีเงินก็มีการยืมกันค่ะ จดบัญชีด้วย(กลัวไม่จ่ายคืน งกอิๆ) แต่ของแบบนี้แล้วแต่ครอบครัวค่ะ คงวางเป็นกฎไม่ได้ จากคุณ : OMG - [ 8 พ.ค. 50 13:43:56 A:71.83.151.155 X: TicketID:001080 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่ได้เข้ามาห้องแม่บ้าน 2 อาทิตย์ เห็นหลายกระทู้เพิ่มขึ้น แต่เข้ามา สวัสดีคุณเบญ ก่อนค่ะ มาตอบด้วยอีกคนค่ะ ในเคสของเราได้มีการคุยกันล่วงหน้าก่อนแต่งงาน บัญชี สามี และ บัญชีเรา แยกกันโดยเด็ดขาดทั้งที่ ไทย และ สวิสค่ะ ธนาคารสวิสที่สามีมีบัญชีจะทำการโอน เงินอัตโนมัติเข้าบัญชีเราทุกต้นเดือน และ สามีทำบัตรเครดิตให้ 1 ใบไว้ใช้แต่เราไม่ค่อยได้ใช้ค่ะ ส่วนค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าอาหาร และของที่ใช้ในบ้าน สามีเป็นคนบริหารและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตรงนี้เอง ตอนนี้เรายังไม่มีงานประจำทำ ทำแค่งานฟรีแลนซ์เล็กน้อยที่ผ่านทางสามี ซึ่งก็ไม่ได้มีงานทุกเดือน รายได้ก็ไม่ได้มาก เราก็นำรายได้ที่ไม่ได้มากตรงนี้เข้าบัญชีชื่อเรา สามีไม่ยุ่งค่ะ เพราะถือเป็นเงินเก็บของเราไปในตัว และในบางครั้งถ้าเราเห็นอะไรทึ่ขาด หรือต้องการซื้อเข้าบ้าน อาจเป็นในเรื่องของครัว หรือ พวกตกแต่งสวน ต้นไม้ เราจะเป็นคนซื้อเองไม่ต้องรอให้เขาซื้อ หรือเวลาไปไหนด้วยกันกินอะไรซื้ออะไรข้างนอกจุกจิก ของใช้ส่วนตัวเช่นเสื้อผ้าของเราและสามี เราก็ควักเงินจ่ายให้ในบางครั้งด้วย เหมือนแชร์กัน ถ้าได้ทำงานมีรายได้ประจำ ก็คงจะช่วยสามีออกมากกว่านี้ เพราะอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยกัน แต่ก็คงต้องเจียดเงินบางส่วนไว้เพื่อไว้เป็นเงินออมด้วยค่ะ ตอนนี้ยังไม่มีลูกเลยไม่ได้เก็บอะไรให้ลูกแต่มีคุยกับสามีตั้งแต่ต้นว่าถ้ามีลูก คุณจะต้องเป็นคนเก็บเงินออมส่วนนั้นเข้าชื่อลูกด้วย แต่ถ้าเราทำงานมีรายมั่นคงดี เราก็จะนำเงินของเรามาใส่ในบัญชีลูกสมทบไปด้วย แต่ไม่ได้คุยกันไว้ว่าต้องเป็นเงินเท่าไรค่ะ แค่คุยคอนเซ็ปต์เฉยๆ เราก็คิดเห็นอย่างที่ คุณทูกี้แนะนำ คุณเบญ เป็นไปได้ไหมคะ อาจจะรวมเงินเข้าเป็นบัญชีร่วมกับสามีเพื่อความสบายใจของครอบครัว และ เบิกใช้ตามปกติที่คุณเบญเคยทำ แต่อาจเก็บบางส่วนที่เบิกเกินมาเข้าไว้ที่บัญชีของตัวเอง หรือ บัญชีชื่อลูกก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นความเห็นส่วนหนึ่งแต่เราก็ยังไม่ได้รู้ลึกถึงลักษณะสังคมครอบครัวหรือระบบเงินฝากที่ฝรั่งเศสว่าเป็นอย่างไร ยังไงก็คงต้องให้คุณเบญไปลองพิจารณาดูอีกทีและจากหลายๆ ความเห็นของเพื่อนๆในนี้ด้วยค่ะ จากคุณ : Lioness - [ 8 พ.ค. 50 17:48:21 ]

ความคิดเห็นที่ 29 สวัสดีค่ะทุกคน ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยนะคะที่กลับมาตอบช้า พอดีช่วงนี้มีปัญหาสุขภาพนิดหน่อย ต้องขอขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น และรวมทั้งคำแนะนำต่างๆนะคะ รู้สึกทราบซึ้งมากๆจริงค่ะ และก็ทั้งยังได้ข้อคิดและได้เปิดตาให้กว้างขึ้น ยอมรับว่าเรื่องเงินๆทองๆนี่เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และจริงๆแล้วก้ไม่เคย ได้มานั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวกับสามีจนกระทั่งตอนที่จะเริ่มหางานทำ เพราะรู้สึกเครียด ทุกๆครั้งที่สามีพูดว่าดิฉันใช้เงินของ"เขา"เมื่อตอนที่มีเรื่องขัดใจกัน ซึ่งมันเหมือนเป็นแผลในใจ ทำให้ดิฉันเกิดความคิดว่า ถ้าทำงานหางานเดินอยากจะเก็บเงินเป็นของตัวเองจาก"เงินที่หาได้เอง"บ้าง ส่วนเรื่องกันเงินออกมา"เก็บ" คุณสามีไม่เห็นด้วยและก็เคยเป็นเรื่องมาแล้วค่ะ ตอนนี้สามียุ่งๆกับงาน+เดินทาง เลยยังไม่ได้ถกประเด็นนี้ต่อค่ะ ถือว่าพักยกไป ตอนนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้นกับสถานการณ์การเงิน จริงอยู่ค่ะว่าถ้าแยกบัญชีไปก็ไม่ค่อยดี แต่จะ"เก็บ"ก็ไม่ได้อีกเช่นกันค่ะ ส่วนเรื่องการทำบัญชี จริงๆแล้วไม่มีตัวเลขค่าใช้จ่ายที่แน่นอน เพราะว่า ช่วงที่ผ่านมา ทั้งชีวิตทั้งค่าใช่จ่ายไม่แน่นอน ไหนจะเพิ่งย้ายกลับมาจากเมืองจีน ไหนจะค่าใช้จ่ายแปรปรวน เลยยังไม่เข้าที่เข้าทาง ตอนนี้พยายามจะจดบันทึกค่าใช้จ่ายคร่าวอยู่ เพื่อมาประเมินอย่าที่คุณพธูไทยแนะนำ ต้องขอบคุณทุกๆท่านอีกครั้งนะคะ ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้ตอบเป็นรายบุคคล แต่ว่าดิฉันได้อ่านทุกๆบรรทัดของทุกคน แล้วเดี๋ยวจะกลับมาคุยด้วยอีกครั้งค่ะ ** คุณhamble pie ** คุณปุ๋มปิ๋ม..TMB ** คุณแม่โคล่า ** คุณkutepim ** คุณกุ้ง ** คุณลิตเติ้ลเกิร์ล ** พี่ไก่ ** คุณยายสาย ** คุณPrinzessin auf der Erbse ** คุณLawanwadee ** คุณMatch Point ** คุณWalcher ** คุณเ๊อ๊ด ** คุณพธูไทย ** คุณRosa Rossa ** คุณmon kiwi ** คุณมิงค์ ** พี่ศรี ** คุณซีส์ ** คุณอ้อแม่ลูกแฝด ** พี่ตรีนุช ** คุณทูกี้ ** คุณตัวยุ่ง ** คุณOMG ** คุณLioness สืบเนื่องมาจากข้อความคุณพธู เรื่องสินสมรส เนื่องจากดิฉันกับสามีแต่งงานกันแบบไม่มีข้อตกลงการสมรส และไม่มีทรัพย์สินใดๆร่วมกันรวมถึงปัจจุบันนี้ด้วย เรื่องสินสมรสรวมตอนนี้ยังไม่กระจ่างเท่าไหร่ค่ะเดี๋ยวจะหาข้อมูลเพื่อให้เคลียร์ขึ้น เพราะเท่าที่เข้าใจ เป็นแบบนี้ค่ะ สิ่งที่เป็นของเขา ก่อนแต่งงาน ก็คือของเขา สิ่งที่เป็นของเรา ก่อนแต่งงาน ก็ืคือของเรา สิ่งที่ได้มา ทั้งรายได้ หนี้สิน ก็คือของเราทั้งสองคน เมือเกิดต้องแยกจากกัน ของๆเขาก็คือของเขา ของของเราก็เป็นของเรา ของของเราสองคนก็แบ่งกัน(แต่ไม่ทุกอย่างและก็ไม่ได้หมายความว่า "หารสอง") จบก่อนสำหรับคืนนี้ค่ะ หากใครต้องการแสดงความเห็นเพิ่มเชิญนะคะ จะเข้ามาติดตามกระทู้ตลอดค่ะ แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 50 05:16:37 จากคุณ : BFR - [ 9 พ.ค. 50 05:14:55 ]

ความคิดเห็นที่ 30 การแต่งงานแบบไม่มีข้อตกลงการสมรส จะเป็นแบบ la communaute reduite aux acquets โดยอัตโนมัติ http://www.bnpparibas.net/banque/portail/particulier/Fiche?type=fiche&identifiant=Mariage___le_r_gime_l_gal__20021009170832 ซึ่งมีข้อดี และข้อเสีย อย่างที่ระบุ อย่างที่เขียนไว้ในเว็บนี้ 80% ของคนฝรั่งเศส ใช้แบบนี้นั่นแหละ พูดง่ายๆ แบบนี้ คือแบบรวมนะ และก็คือแบบที่คุณเข้าใจ คือ ของเขาและของเรา ก่อนการแต่งงานยังเป็นของแต่ละฝ่าย แต่นับจากวันที่จดทะเบียน ถือว่าทรัพย์สินที่ได้มาภายหลังทั้งสิ้นเป็นของคู่สมรส ซึ่งหากฝ่ายหญิงไมได้ทำงาน เป็นแม่บ้านดูแลบ้านและลูกเท่านั้น หากต้องหย่ากับสามี กรณีนี้ หลังหย่า ฝ่ายหญิงจะได้ครึ่งหนึ่งจากสามีทันที ไม่ว่าจะเป็นบัญชีที่เป็นชื่อของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดฝ่ายเดียว และถ้ามี donation และมรดกที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับจากครอบครัวของตน ก็จะเป็นของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเท่านั้น ไม่ใช่เป็นของทั้งคู่ แต่หากมีการทำสัญญาระบุอะไรที่แตกต่าง บางทีหากสามีเสียชีวิตกระทันหัน ทรัพย์สินตกไปที่ลูกทันที โดยที่ภรรยาไม่ได้อะไร (เช่นกรณีสัญญาแบบแยก) ดังนั้นอย่างที่สามีคุณว่ามีบัญชีในชื่อของเขาคนเดียวนั้น ตามกฎหมายแล้ว เป็นของคุณด้วยครึ่งหนึ่ง ซึ่งเขาก็บอกเองว่า เป็นบัญชีของทั้งสองคน นั่นแหละ ถ้าอยากรู้มากขึ้น ลองขอดูบัญชี แล้วดูว่าวันเปิดบัญชี เกิดขึ้นหลังจากที่จดทะเบียนหรือเปล่า? (แต่ไม่รู้ว่า ถ้าบัญชีเจ้าตัวเดิมก่อนหลัง แล้วมีเงินเข้าหลังแต่ง อย่างนี้จะนับว่า ให้นับส่วนที่เป็นทรัพย์สินร่วมหลังจากวันจดทะเบียนหรือไม่?) ส่วนที่ว่าเปลี่ยนสัญญาการแต่งงานได้นั้น คิดว่าสามีคุณคงไม่ทำหรอก เพราะว่าต้องไปให้ notaire ทำ และต้องจ่ายเงินด้วย ไม่รู้เท่าไรนะ ที่สำคัญคือ งานที่คุณทั้งคู่ทำ เป็นงานมีเงินเดือน มันไม่ใช่เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงที่ว่า ถ้าแยกจดจะลดความเสี่ยงของการเกิดหนี้ของอีกฝ่าย อะไรทำนองนี้ ให้ง่ายๆ นะ คือว่า ให้คุยกัน ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย คุณจดสิ่งคุณต้องการเอาไว้เลยเป็นรายการ แล้วก็เอามานั่งคุย อันไหน เขารับได้ อันไหน เขารับไม่ได้ ก็จดออกมา แล้วคราวนี้มาดูว่า สิ่งที่เราร่วม contribute ให้กับครอบครัวเป็นเท่าไร (อย่างที่บอก ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเวลา และแรงงานด้วย) ถ้าคุณมีข้อมูลเหล่านี้ ดิฉันว่ามันจะทำให้คุณมองอะไรๆ ได้ชัดขึ้นนะ จากคุณ : พธูไทย - [ 9 พ.ค. 50 07:05:23 ]

ความคิดเห็นที่ 31 การที่ภรรยาไม่ได้ออกไปทำงานนอกบ้าน ส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นการแบ่งหน้าที่ระหว่างสามีกับภรรยานะคะ ภรรยาไม่ได้ใช้เงินของสามี แต่เป็นเงืนของครอบครัวค่ะ ถ้าคำณวนดูค่าใช้จ่ายในการดูแลครอบครัว แค่คนเลี้ยงเด็กในกรณีที่ลูกยังเล็ก ก็มากแล้ว แถมยังต้องเสี่ยงกับลูกได้รับการดูแลที่ไม่ดีด้วย ขอเป็นกำลังใจให้แก้ปัญหานี้ได้นะคะ จากคุณ : temperance - [ 9 พ.ค. 50 20:07:56 A:76.16.195.23 X: TicketID:048459 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คุณพธู ขอขอบพระคุณอีกครั้งนะคะ ได้เข้าไปอ่านดู แต่ยังอ่านไม่จบ อย่างที่คุณว่าล่ะคะ ส่วนเรื่องเงินฝาก คิดว่า ถ้าเงินต้นเปิดไว้ก่อนแต่งงาน หลังแต่งงานแล้ว ส่วนที่แบ่งกันก็คือ ดอกเบี้ยมากกว่าค่ะ ตอนนี้พยายามโหลดพวกโปรแกรมจัดการการเงินมาใช้ ส่วนเจ้ามันนี่ที่คุณแนะนำนั่นหาไม่เจอค่ะมีเวอชั่น มันนี่ ๒๐๐๗ แต่ดูมันซับซ้อนมาก คุณพธูซื้อลิขสิทธิ์หรือคะ ตอนนี้ได้แต่ทำไฟลในเอ๊กเซลเอา กับใช้พวกโปรแกรมฟรีอยู่ค่ะ ขอบคุณคุณtemperanceนะคะสำหรับกำลังใจ จากคุณ : BFR - [ 10 พ.ค. 50 02:21:44 ]

ความคิดเห็นที่ 33 สวัสดีคุณแม่ๆบ้านทุกคนจ้า ตอนอ่านแรกๆ ก็ไม่นึกว่ามันจะเป็นเหมือนกรณีศํกษาเลยอ่ะ คุณเบญ เพราะไม่คิดว่ามันจะซีเรียสได้ พออ่านที่คุณธูเขียน เเหม สมแล้วที่ฝรั่งเศสเป็นแม่บททางกม.อ่ะ (ใช่เป่าหว่า)ได้ความรู้มาเยอะเลยเเฮะ --อ่ะมาบอกของตัวเองดีกว่า ตอบคำถามเป็น  ข้อ 2 ค่ะคือสามีเป็นจีนมาเลเซียน ก็คงคิดอย่างจีนๆอ่ะ (ต้องมีของส่วนตัว และคู่กันอ่ะ) คือ 1. เปิดบชคู่กัน - เค้าโอนเงินเข้าจำนวนนึงทุกเดือน(เป็นบชที่เราเบิกใช้ซื้อของ ค่ากับข้่าว จิปาถะ) 2.บชของเขา เป็นบช.เงินเดือน และเขาก้อกดเงินจากนั้นใช้จ่ายส่วนตัวเค้า 3.บชของเรา เค้าโอนให้ทุกเดือน จำนวนนึง(เล็กๆ) แต่มันทำให้เรารู้สีกดีัว่ามีเงินได้ แล้วถ้าเราจะซิ้ออะำไรพิเศษให้เค้าก็ใช้บชนี้ 4.บชลูกๆ เอาไว้ใส่เงินแตะเิอีย หรือถ้าลูกได้เงินพิเศษ ที่จริงกะจะโอนให้เค้าทุกเดือน แต่ชอบลืมฺโอน ที่จริงบชเราเนี่ย มันก็ให้อุ่นใจอ่ะนะ แต่เวลาที่ต้องใช้เงินเยอะ เพื่อซื้ออะไีีรสักอย่าง เช่นรถ ก็จะคุยกัน แล้วเราก็จะบอกว่า เราจะช่วยเค้าด้วยเงินในบชเราเท่านี้นะ ฟังดูเป็นบุญคุณ แต่มันก็เงินที่เค้าหามา 5555 (แต่มันดูดีซะไม่มีอ่ะ) คือเราคุยกันก่อนแต่งด้วยว่า ..พ่อเราัเองเเหละ (พ่อกล้วลูกอดตาย ขายไปแล้ว ไม่รับคืนอีกตะหาก อิอิ) ถามว่าถ้าเราไม่ได้ทำงาน แล้วเราจะเอาที่ไหนใช้จ่าย เค้าก็ทำนองว่า เค้าจะให้เราทุกเดือนไว้ใช้จ่าย คือคุยก็ทีเล่นทีจริง แต่เราเอาเงินจริงนะ เพราะถ้าบชเรา เราเก็บอ่ะ ใช้เงิน ้บชร่วมอ่ะ ไม่ใช่งก แต่ชีวิตมันไม่แน่นอน ถึงแม้นจะจดทะัเบียน แต่ถ้ามีอะไีรเกิดขึ้น เช่นเขาเป็นอะไรไป (ไม่ได้แช่งนะปาป๋า สมมติอ่ะ) ทุกอย่างที่เป็นชื่่อเขาต้องถูก hold ไว้ระยะนึงตามกม.หรืออะไรนี่ล่ะ แล้วถ้่าเราไม่มีเงินสดในมือ เราคงต้องกินแกลบไปสักช่วงนึง เรากินยังไม่เท่าไหร่ ลูกเราอีกสองหน่อ คงจะไม่ยอมกินอ่ะดิ คือ มีบชไว้ อุ่นใจเราอ่ะ แล้วเค้าก้ออยากให้เราถืออะไีรที่เป็นของตัวเองด้วยอ้ะ แต่ใจเย็นๆ อย่าไปเครียดเน้อ แต่ละบ้่านก็ต่างกฎ ต่างกติกานะ คุยๆไป เดี๋ยวก็น่าจะได้จุดที่ลงตัวด้วยกันทั้งสองฝ่ายอ่ะ ไม่งั้นไม่มาแต่งงานกันได้หรอกนะคะ จากคุณ : sivalee - [ 11 พ.ค. 50 16:02:34 ]

ความคิดเห็นที่ 34 อ้าว เมื่อวันก่อนเขียนส่งไป แต่มันไม่มี? เขียนเอาไว้ว่า คุณ BFR ใช้โปรแกรมที่ถนัดค่ะ ที่ใช้มันนี่เพราะว่าใช้มาเป็นสิบปีแล้ว ก็เวอร์เหมือนกัน ไม่ต้องละเอียดอะไรแบบนี้ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างจดหมดเลยนะ ทุกใบเสร็จ ทุกการจ่าย เงินสดอะไรเนี่ย ก็จดว่าเอาไปใช้อะไร ทำกันจนเป็นนิสัยทั้งสองคนเลย เพราะว่าจะได้ไม่ต้องจำน่ะ เอาง่ายๆ นะ เวลาเราจดเวลาเราเติมน้ำมัน ขนาดว่า ลิตรละเท่าไรยังจดเลย แล้ว จำนวน กม. ที่วิ่งไป ก็จด เป็นอัตโนมัติน่ะ ว่าเวลาเติมน้ำมัน พอจ่ายเครดิตแล้ว จะได้ใบเสร็จมา ก็จดที่ใบเสร็จเลยทันที มันเป็นเอง ไม่ต้องจำ จดเสร็จ ว่าราคาน้ำมัน/ลิตร เท่าไร แล้วก็จด จน. กม.  พอจดเสร็จก็เซ้ทให้เป็นศูนย์ต่อ แบบว่า จากข้อมูลแค่นี้ พอทำเป็นปีๆ สิ่งที่ได้นะ (เวอร์มากๆ) - แนวโน้มการใช้น้ำมัน - การกินน้ำมันของรถของเรา เพราะมันเริ่มเก่าแล้ว ก็ดูว่าตอนซื้อมาใหม่ๆ นั้นมันกินเท่าไร ตอนนี้เท่าไร - การขึ้นของราคาน้ำมัน บางทีไม่รู้หรอกว่า จดเอาไปทำไม แต่ก็เก็บหมด ถ้ามีข้อมูล ทำจนเป็นนิสัยเลย ไม่ทำไม่ได้ ทำเดือนละ 2 ครั้งนะ เคลียร์รายรับรายจ่ายเนี่ย แต่ละครั้งกินเวลาเกือบ 1 ชม. ได้ ถ้าว่า ไม่ได้คิดจะคำนวณอะไรแบบเวอร์ๆ ละเอียดๆ แล้ว ใช้แค่เอ็กเซลพอ จากคุณ : พธูไทย - [ 11 พ.ค. 50 17:00:52 ]

ความคิดเห็นที่ 35 หวัดดีจ้ะเบญ ที่บ้านนี้มี 3 บัญชี บัญชีของเดคที่ฝรั่งเศส บัญชีร่วมที่ไทย ก็เงินเดคล้วนๆ (ทำไว้ไปยื่นขอวีซ่า) บัญชีส่วนตัวเราเองที่ได้จากการทำงาน อยู่ไทย อยู่กะแม่ เดคก็จะช่วยแม่ออกค่าใช้จ่ายในบ้านแปดพันบาทต่อเดือน แม่แจงค่าใช้จ่ายให้ฟังว่าอะไรเท่าไหร่ๆ แรกๆเดคก็จะให้เป็นเงินก้อนกับแม่ แล้วให้แม่หักไปแปดพันทุกๆเดือน ถ้าหมดเมื่อไหร่ก็บอก แต่แม่คงเห็นแก่อนาคตของลูก ก็เลยงุบงิบหักอีกหกพันบาทต่อเดือน เอาเข้าบัญชีให้เราทุกเดือน (สรุปแล้วเดคต้องจ่ายหมื่นสี่ต่อเดือน) ซึ่งตรงหกพันบาทต่อเดือนนี้ เราไม่เคยถอนออกมาใช้เลย แม่ก็บ่นว่าหกพันนี่มันยังน้อยไป คือเค้าอยากให้เรามีเงินส่วนตัวเยอะๆหน่อย เค้าเป็นห่วง คงกลัวเราถูกเดคถีบส่ง บ้านนี้ก็ถือคติ เงินเธอก็เงินฉัน เงินฉันก็เงินฉันนะจ๊ะ (พอเดคเอาเรื่องนี้ไปบอกที่บ้านเค้า ทางบ้านเค้าขำกลิ้ง) แต่จะว่าไป พอเราทำงานมีเงินมันใช้จ่ายสบายดี อยากกินไร อยากซื้อไรมันก็สะดวก บางครั้งกินไรก็ช่วยเดคออกบ้าง ไปไหนก็ช่วยจ่ายอะไรนิดๆหน่อยๆ (นิดหน่อยจริงๆ) ี จากคุณ : TIDTYCHAN - [ 11 พ.ค. 50 19:34:47 ]

ความคิดเห็นที่ 36 Kun  BFR I have budget planer( just the paper)...if you like I can send it to you....I always give to my clients when they come to me. In that case they will be able to know where the money goes.....? 555 จากคุณ : PoomPim..TMB - [ 12 พ.ค. 50 07:27:53 ]

ความคิดเห็นที่ 37 สวัสดีอีกครั้งค่ะทุกคน ีุ//////คุณป๊อบ///// ขอบคุณนะคะที่มาร่วมแสดงความเห็น ไม่ทราบเหมือนกันว่า คนทางสิงคโปร์ มาเลเซียเขามีวัฒนธรรมทางการเงินกันยังไง แต่ดูแล้วคล้ายๆคนญี่ปุ่น กับคนจีน แต่คิดว่าแต่ละบ้านก็อาจจะแตกต่างกันไป ระบบบ้านพี่ป๊อบนี่idealเลย แต่ว่าบ้านไหนๆไหนก็ไม่เหมือนกัน ีุ//////คุณพธู///// ถามต่อค่ะแล้วอย่างซื้อกับข้าวในซุปเปอร์มาร์เก็ต บิลยาววววเป็นหางว่าว คุณพธูมาแยกๆๆดีเทลทีหลังหรือเปล่าคะ ตอนนี้ใช้วิธีดูรวมยอดเอาสำหรับบิลซุปเปอร์ ไฮเปอร์มาเก็ต เพราะมันยาวมากๆๆ ถ้าเต็มรถเข็นมันก็ร้อยยูโรกว่าแบบอาทิตย์ละครั้ง หรือ บางทีอยู่ได้สองอาทิตย์ แต่ไม่ใช่แค่กับข้าวนะคะ รวมของจุกจิกที่ไม่ได้เกี่ยวด้วยก็มี ตอนนี้ยังทำอยู่ในเอกเซลค่ะ แล้ว categoryคร่าว - กับข้าว - น้ำมัน/เดินทาง - ของใช้ในบ้านร่วมกัน - - ใช้ส่วนตัว - ของของลูก แต่รู้ว่ามันกว้างไปคะ เคยพยายามทำละเอียด ได้ไม่กีวันก็เลิก อย่างคุณพธูทำเป็นประจำเป็นความเคยชินไปแล้ว เรื่องประวัติการใช้น้ำมันนี่น่าสนใจมากนะคะคุณพธู ไม่เคยคิดมาก่อนเลย อย่างนี้ใบเสร็จคุณพธูเก็บใบเสร็จไว้หมดหรือเปล่า หรือว่าำเสร็จแล้วไม่ต้องเก็บไว้นานๆก็ได้ ีุ//////พี่ติดตี่////// ไม่ได้คุยกันนานเลยพี่ติดตี่เป็นไงบ้าง ขอบคุณมากๆๆค่ะที่มาร่วมคุยกัน เรื่องที่คุณแม่พี่ตี่ทำเบญว่าเป็นผลดีในระยะยาวนะ ถึงเล็กๆน้อยๆ นานๆไปเนี่ย เงินก้อนเล็กกลายเป็นก้อนใหญ่ พี่ติดตี่ทำบัญชีค่าใช้จ่ายบ้านด้วยหรือเปล่า อยากรู้เหมือนกันค่ะว่า ที่เมืองไทยค่าใช้จ่ายค่ากินอยู่สำหรับคนสองคน(โดยเฉพาะคู่มิกซ์)เท่าไหร่กัน เพราะอย่างเวลาไปเที่ยววาก๊องซ์ที ก็ใช้กินกันอีกแบบ แต่เวลาตัวเองไปซื้อ ของในซุปเปอร์มาร์เก็ตทีก็รู้สึกว่าทำไม๊ทำไม ของมันแพงจัง จ่ายไปเท่านี้ได้แค่ไม่กี่อย่างเอง คุณPoomPim สนใจมากค่ะ ไม่ทราบว่าพอจะส่งให้ได้ไหมคะ จะได้เป็นแนวทาง เดี๋ยวจะหลังไมค์อีเมลไปให้นะคะ ต้องรบกวนด้วยค่ะ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 50 11:30:33 จากคุณ : BFR - [ 12 พ.ค. 50 11:27:37 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ไม่รู้ว่าเบญจะเข้ามาดูอีกไหม เราไม่ได้ทำงาน เลยใช้เงินของสามีอยู่ เข้ามาเก็บข้อมูลไว้ก่อน เผื่อถึงวันที่เราต้องทำงานบ้าง เราเป็นกำลังใจให้นะ ^^ จากคุณ : Ingrid_k_france - [ 12 พ.ค. 50 20:11:37 ]

ความคิดเห็นที่ 39 แยก category คร่าวๆ แต่ชัดเจน รายละเอียดกับข้าวไม่จดค่ะ แค่รวมว่าได้เท่าไร ทีนี้ส่วนใหญ่ช็อปที่ห้างใกล้ๆ บ้าน และมีการ์ดของห้าง ปกติที่ทำจะบันทึก แต้มจากการซื้อด้วย เพื่อตรวจสอบตอนปลายเดือนเวลาห้างส่งรายงานมาว่าต้องส่งเงินเข้าบัญชีเท่าไรๆ ปกติจะสะสมแต้ม และส่วนใหญ่ไปช้อปในวันที่มีแต้ม คุณ 5 เท่า และเป็นวันอังคารหรือพฤหัส ซึ่งคนไม่เยอะ เอาไว้ว่างๆ จะตั้งกระทู้ของที่ได้มาจากการแลกแต้ม ทำมาเกือบ 10 ปีแล้ว พอมาดูของโดยเฉพาะเครื่องครัวนะ ได้มาจากการแลกแต้มทั้งนั้นเลย แบบว่า โดนเพื่อนแซวว่าแม่บ้านจริงๆ แต่มันประหยัดได้เยอะเลยนะ ส่วนใหญ่ให้เครดิตการ์ดในการจ่าย เงินสดใช้น้อยมาก ดังนั้น เก็บใบเสร็จและบิลล์ แยกกับการ์ดของห้างที่จ่ายกับข้าว แล้วก็ทำบัญชีตอนสิ้นเดือน เทีบกับรายการที่แบงค์ส่งมาให้ เพื่อควบคุมให้บัญชีตรงกัน ขณะเดียวกัน ถ้าเราจดเอาไว้ว่าเราซื้ออะไรๆ ไป โดยเฉพาะสิ่งของที่มีการรับประกัน เวลาเราจดเอาไว้ เรายังใส่ข้อมูลด้วยว่า มีใบรับประกันหรือไม่ และเก็บเอาไว้ที่ไหน อะไรทำนองนี้ เวลามีปัญหาขึ้นมาทีไร ไม่เคยหาไม่เจอสักครั้ง ที่ต้องเก็บ คือสลิปเครดิตการ์ด ส่วนใบเสร็จ หากไม่ใช่ของที่มีรับประกัน ปกติจะทิ้ง เช่นพวกใบเสร็จอาหารเนี่ยไม่เก็บ สลิปธนาคารเก็บ และเก็บใส่ซองเอาไว้ รวมเป็นปีนะ 1 ปีมีสลิปเก็บ 1 ซอง จากนั้นเก็บเข้ากล่องเอกสาร แยกเป็นปี อันนี้เก็บเพราะเป็นหลักฐานการจ่ายหรือรับเงิน เก็บเป็น archivage ถ้าตามกฎหมาย (เผื่อเวลาถูกเรียกตรวจภาษีอะไรๆ) ต้องเก็บ 5 ปีนะ หรือกี่ปีไม่มั่นใจเหมือนกัน จากนั้นทำลายได้ อันนี้มีคู่มือการ archivage เอกสารครัวเรือนต่างๆ นะ ถ้าเริ่มทำบัญชี เริ่มการเก็บเอกสาร มันจะค่อยๆ เป็นระบบไปเอง แต่ต้องเริ่มก่อน จากคุณ : พธูไทย - [ 12 พ.ค. 50 21:51:05 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มาขอบคุณคุณพธูอีกครั้ง มาช้าไปนิด ขอปิดกระทู้ไว้ตรงนี้เลยนะคะ ขอบคุณคุณปุ๋มปิ๋มด้วยอีกครั้งนะคะได้รับไฟล์แล้วค่ะ จากคุณ : BFR - [ 17 พ.ค. 50 19:17:30 ]

ความคิดเห็นที่ 42 มาไม่ทัน กระทู้ปิดไปแล้ว จากคุณ : Jaa3950 - [ 24 พ.ค. 50 14:56:05 ]