ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าทำเฉลยออกมาก็ดีครับ แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานของข้อสอบด้วย อย่างมีข้อนึงที่ให้หาว่าผิดไวยากรณ์ตรงไหน (error identification) คำตอบมันอยู่ใน reading passage โต้งๆเลย คนที่ตอบ grammar ข้อนั้นผิดแต่แรก ถ้าสังเกตสักนิดตอนอ่าน reading เรื่องแรก ก็กลับไปแก้ได้ แต่เรื่องทำเฉลยออกมา เท่าที่ผมอยู่ในวงราชการมา ท่าจะยาก ส่วนภาษาอังกฤษนี่ คนที่จะทำศัพท์ได้ต้องเป็นคนที่อ่านเยอะครับ จะได้สามารถเดาความหมายของศัพท์ได้ นอกจากนี้ ในบางข้อ ตัวเลือกมีความหมายใกล้กัน พวกนี้ผมว่าถ้าไม่แม่นจริงๆ อาจถูกหลอกได้ สาวนเรื่องข้อสอบวิเคราะห์ ผมว่าก.พ. ต้องการคนที่มีความสามารถเชิงวิเคราะห์ละมั้งครับ แต่บางข้อก็ไม่รู้ออกมาเพื่ออะไรเหมือนกัน ว่าแต่ให้เวลาน้อยไปนะ วิชาละ 2 ชม.เอง ขนาดภาษาอังกฤษ ผมก็มั่นใจพอสมควรยังทำแทบไม่ทัน ส่วนช่วงบ่ายที่เป็นวิเคราะห์ ยิ่งไม่มีเวลาทวนคำตอบเลย แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 50 15:26:30 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 50 15:21:55 จากคุณ : edh - [ 7 พ.ค. 50 15:13:58 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ปีนี้ไม่ได้สอบแล้วครับ เพราะปีที่แล้วตกสัมภาษณ์มาแบบงงๆ พร้อมกับคำบอกเล่าจากกรรมการที่พูดลับหลัง แต่มาเข้าหูผมอีกทีว่า ผมไม่เหมาะจะเป็นอาจารย์ จากการไปตอบคำถามตอนสัมภาษณ์ว่า เวลาว่างผมอ่านการ์ตูน เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง แบบเนี่ยครับ เค้าบอกว่า คนเป็นอาจารย์เนี่ย อ่านการ์ตูนไม่ได้หรอก ดูไม่เหมาะสม (ผมคิดในใจ เออ วันหลังจะบอกว่า เวลาว่างเนี่ย ชอบทำวิจัย แตรียมการสอนล่วงหน้า ค้นคว้า อ่านเท็กซ) และคนที่ได้ทุนไปสุดท้ายก็คือ เพื่อนผมเอง (เค้าเกรดน้อยกว่าพอสมควรเลยทีเดียว แต่บุคลิก + ท่าทางคงดูดีกว่าผม และเหมาะกับอาจารย์มากกว่า) ตอนนี้ผมเลยเบนไปหาทุนของต่างประเทศแทน และ ขอบ๊าย บาย กับราชการไทยครับ ไปทำงานให้ต่างชาติดีกว่า (ตอนนั้นผมเสียใจมาก รู้สึกอึ้งๆ กับคำพูดที่มาเข้าหูเรา พอดีทุนหน่วยนี้ มีอาจารย์คนนึงที่สัมภาษณ์เค้าก็สอนอยู่มหาลัยที่ผมจบมาน่ะครับ สอนรุ่นผมด้วย ผมก็เลยรู้ ตอนนี้ผมเองได้ทุนจากต่างชาติแล้ว เลยไม่ได้มาสอบอีกครับ ใจจริง ผมอยากเป็นอาจารย์มากๆเลย เสียดายเหมือนกัน แต่ตอนนี้ มันเหมือนมีอีโก้ยังไงไม่รู้ อยากแบบว่าไปสอนต่างประเทศ ในยูดังๆ กว่า แล้วกลับมาเชิดใส่คนที่มันดูถูกเราเอาไว้) บางคนอาจจะคิดว่า การสอบสัมภาษณ์เนี่ย อาจวัดจิตวิทยาเรา + ดูว่าเราเป็นคนยังไง แต่ขอบอกว่าตอนไปสัมภาษณ์เนี่ย มันไม่ได้วัดอะไรเท่าไหร่หรอกครับ (ของแบบนี้มันเฟคกันได้อยู่แล้ว ไม่งั้น คงไม่มีคนที่ได้แล้วขอสละสิทธิ์หรอกครับ ตอนสอบสัมภาษณ์ก็บอกว่า อยากทำงานช่วยประเทศ แตพอเอาเข้าจริงๆ ได้แล้วก็สละสิทธิ์กัน) เวลาแค่นั้น คำถามก็แบบทั่วๆไป ไม่ได้กดดันอะไรเท่าไหร่ เรียกว่า คุณจะเข้าตากรรมการ (+เส้นสายในบางหน่วย) รึเปล่าเท่านั้นล่ะครับ ส่วนข้อสอบนี่โนคอมเม้นท์ครับ ผมว่าคนเก่งจริง ก็น่าจะรับมือกับข้อสอบได้ทุกรูปแบบอยู่แล้ว แต่รู้สึกเหมือนกันว่า การสอบความสามารถทั่วไป ยากไป + ไม่น่าจะวัดความสามารถคนได้ดี บางคนที่ผมเห็นที่ทำงาน ทำงานเก่งมาก แต่เหมือนกับว่า จบมานานแล้ว หัวเค้าก็ไม่คล่องเหมือนเด็กจบใหม่ ตอนสอบเลยไม่น่าจะสู้ได้ นี่ผมก็ยังรู้สึกตัวเหมือนกันครับ ว่าหากไม่รีบไปเรียนต่อก่อน คงหมดไฟ และ หัวไม่ไวเหมือนเดิมอีก แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 50 16:23:31 จากคุณ : เลิฟแอดดิค - [ 7 พ.ค. 50 16:11:01 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ปีนี้คนสอบกันเยอะไหมค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ จากคุณ : อุ๋ม (tenno_jung) - [ 7 พ.ค. 50 17:09:51 ]

ความคิดเห็นที่ 4 พอดีเป็นคนรุ่นเก่าไปหน่อยเลยตอนที่สอบทุนไม่ได้มีสอบวัดความรู้ทั่วไป สอบแต่ภาษาอังกฤษ ปีนั้นก็มีคนมา post ว่าข้อสอบยากมากๆ (ก็มีคนบ่นว่ายากทุกปีนั่นแหละ) แต่ผมว่าคนที่ได้ทุนเนี่ย หลายๆคนน่าจะมีอาการเหมือนผมนะครับ คือพอสอบเสร็จแล้ว เดินเก็บอาการออกมาจากห้องสอบ แล้วพอเจอคนที่เราจะพูดอะไรก็ได้ให้ฟังเช่นพ่อแม่หรือแฟน ตอนนั้นผมเจอแฟนเพราะแฟนไปรอรับหลังสอบเสร็จ แฟนถามว่าเป็นไง ผมตอบว่า "ได้แน่นอน" เพราะ 100 ไม่แน่ใจแค่ 4-5 ข้อเอง แต่ถ้าคนอื่นที่ไม่สนิทถามก็จะบอกว่า ไม่รู้จะได้หรือเปล่า ทำไม่ค่อยได้ ดังนั้นเนี่ยผมว่า คนที่ได้ทุนหลายๆคนเขาคงทำข้อสอบได้ในระดับที่เกือบเต็มกันแหละ แต่เขาไม่ค่อยจะบอกหรอกว่าฉันทำได้หมดเลย เรื่องสัมภาษณ์เนี่ย ผมรู้สึกว่าเขาเลือกคนโดยดูที่ประสบการณ์และผลงาน ณ ปัจจุบันนะ เพื่อดูแนวโนวว่าอนคตคนนี้จะทำอะไรได้บ้าง บางคนอาจเป็นนักวิจัยหรืออาจารย์มา 3-4ปี ผลงานตอนเรียนตรีระดับ 1st class แต่ตอนทำงาน 3-4 ปีที่ผ่านมาดูจะจืดๆไป แบบนี้ถ้าเจอเด็กจบใหม่ 1st class สดๆกว่า ก็อาจแพ้ได้เหมือนกัน สำหรับผมกับการสอบทุน กพ. ครั้งนั้น ทำให้ผมมีความศรัทธากับความยุติธรรมในระบบราชการขึ้นมาเยอะเลยเชียวแหละ ก็เลยอยากจะบอกว่าไม่ว่าสังคมไหนมันต้องมีหมดแล้วด้านดีและเลว ถ้าวันนี้เจอสิงไม่ดี ก็ถือซะว่ามันก็เกิดขึ้นแค่วันนี้ พรุ่งนี้อะไรใหม่ๆก็จะเข้ามา จงเตรียมพร้อมเสมอ และอย่าเสียเวลาไปคิดอะไรที่ไม่ดี มันจะมีแต่ทำให้เราเสื่อม จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 7 พ.ค. 50 20:51:25 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอร่วมด้วยช่วยกันด้วยคนในฐานะที่เคยสอบ ก.พ. มา 3 ครั้ง  สองครั้งแรกนั้นผมยังเรียนอยู่  สอบผ่านข้อเขียน  แต่ไปตกสัมภาษณ์ทั้งสองครั้ง  ส่วนครั้งล่าสุด (ปีที่แล้วนี่เอง-ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมต้องสอบข้อสอบความถนัดอะไรนี่ด้วย)  ผมตกตั้งแต่ข้อเขียนเลย อิอิอิ (หัวเราะ.... แต่ตอนนั้นหัวเราะไม่ออก) ตอนนั้นเห็นด้วยว่าจะสอบข้อสอบความถนัดไปทำไม  ตอนนี้ (เมื่อผ่านอะไรมามากขึ้น) รู้สึกว่าข้อสอบความถนัดก็เหมือนสอบ GRE รุ่นเก่า ซึ่งตอนสอบ ก.พ. นั้นไม่เคยรู้เลยว่า GRE หน้าตาเป็นอย่างไร  ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างคำนี้ (โจทย์) กับคำอื่นๆในตัวเลือก   ให้เลือกคำศัพท์   ให้ ก เป็นพี่ ข แล้ว ข เป็นลุง ค แล้ว ก กับ ค เป็นอะไรกันเป็นต้น ฯลฯ   แต่มันเป็นสิ่งที่ควรจะเอามาวัดจริงๆเหรอ?  อันนี้ไม่มีคำตอบ  เหมือนเป็นการเตรียมตัวน่ะ  ว่านอกจากจะสอบภาษา TOEFL แล้ว  เพื่อที่จะไปเรียนเมืองนอกได้ผู้สมัครก็จะต้องสอบที่คล้ายๆกันนี้เป็นภาษาอังกฤษ (GRE) ด้วยนะ   ก็เลยให้เตรียมไว้ก่อนกระมัง ปีที่แล้วสอบที่มหาลัยรามคำแหง   ร้อนมากกก  ผมออกก่อนเวลา  แล้วก็ทำข้อสอบไม่เสร็จด้วย  มั่วไปเยอะเลย  ไม่รู้การมั่วนี่จะถูกพิจารณาด้วยไหมนะ  ว่าเป็นคนไม่อดทน ฯลฯ  แต่ (ตอนนั้น) ผมคิดว่ามันไม่มีเหตุผลอันควรเลยที่จะต้องสอบความถนัดนี่   ถ้าผมจะไม่ได้สัมภาษณ์เพราะตกความถนัดก็ให้มันเป็นไป  โดมผู้จองหอง  เพราะหลงไปว่าสอบ TOEFL ได้ตั้ง 270 แน่ะ  แล้วเป็นไง สอบตกเลย แงแงแง (เพิ่มเติม)  ตอนนั้นคิดว่าได้เยอะจริงๆตั้ง 270 แน่ะ  ตอนนี้ก็ทราบแล้วว่าไม่ได้เยอะ อ ย่ า ง นั้ น   มีอีกหลายปัจจัย    คนที่ได้ 297/300 นี่เก่งมากกกกกก แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 50 09:16:58 จากคุณ : TsPl (TsPl) - [ 8 พ.ค. 50 10:51:01 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มาถึงคราวสัมภาษณ์...ปีแรกนั้นผมเชื่อว่าความบกพร่องอยู่ที่  ผมไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย (ขนาดนั้นเลย)  คือ  เจ้าของทุนเป็นหน่วยงานไปเรียนทางนิวเคลียร์  ผมอ่านหนังสือไปใหญ่ว่าจะวิเคราะห์อะไร  ทำงานวิจัยอะไร  เรียกว่าในเชิงวิชาการนี่แน่นเปรี๊ยะ....   แต่ตอนนั้นผมเรียนอยู่  แล้วก็อยู่แต่ในกะลามานาน  ไม่รู้เลยว่าโลกของคนทำงาน ในสังคมที่ไม่ใช่มหาลัยเนี่ย.... เขาทำกันยังไง  เช่น  เทคโนโลยีทางนิวเคลียร์เนี่ย  จะทำอย่างไรให้คนเข้าใจว่ามันไม่ได้อันตรายขนาดที่ต้องต่อต้านกัน ฯลฯ   อาจจะเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบแบบอุดมคติหน่อย  แต่ผมคิดว่ามันช่วยอะไรได้มากทีเดียว   เหมือนคนที่มีเกรดใกล้ๆกันสองคน จะต้องเลือกคนเดียว   ก็มักจะเลือกคนที่ทำกิจกรรม เป็นต้น  (ซึ่งจะแสดงออกโดยการพูดการจา  ความคิดอ่าน ที่มีประสบการณ์มากกว่าเรียนหนังสือในห้องเรียน)  เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ผมได้สัมภาษณ์  ตอนนั้นยังเด็กอยู่เลย  ไม่เป็นไร  ปีต่อๆไปเอาใหม่ จากคุณ : TsPl (TsPl) - [ 8 พ.ค. 50 10:57:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 สอบสัมภาษณ์ครั้งที่สอง   เจอคำถามเรื่อง... ปฏิรูปการศึกษา (ช่วงนั้นกำลังฮิต)  รูปแบบของการวิจัยให้สอดคล้องกับชุมชน ฯลฯ   ผมเชื่อว่าตนเองตอบได้ดี  เพราะมันเข้ากับประสบการณ์พอดีว่า  ตอนนั้นเรียนจบทำงานแล้ว  และพบว่าสิ่งที่ทำวิจัยในมหาลัยเนี่ย บางอย่างก็อยู่บนหิ้ง  จะทำอย่างไรให้ภาคอุตสาหกรรมได้ประโยชน์นะ   แต่ก็... สงสัยว่าจะมั่นใจไปหน่อย  มีบางคำถามที่รู้สึกว่าตนเองตอบไปแบบมั่นใจเกินควร  ดูเว่อร์ไงไม่รู้ อย่างไรก็ตาม  ผมเชื่อว่ามาตกม้าตายก็เรื่องวิชาการนี่แหละ (อ้าว)   ก็งานที่บริษัทนะมันยุ่งมาก  ผมไม่มีเวลาเตรียมตัวเลยว่าจะไปเรียนอะไร    ได้แต่ตอบแบบกว้างๆซึ่งกรรมการท่านดูไม่เห็นว่าผมมีความรู้พอจะไปเรียนทาง ceramics นี่เลย  ผมก็สอบตกไป   (ครั้งนี้มีคนมาสัมภาษณ์ 2 คนเอาคนเดียว  ผมยังตกเลยอ่ะ) จากคุณ : TsPl (TsPl) - [ 8 พ.ค. 50 11:01:48 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ครั้งสุดท้ายก็คาดไว้แล้วว่า  จะต้องเตรียมทั้งเรื่องวิชาการและเรื่องแบบวิสัยทัศน์  อ้าว  ตกตั้งแต่ข้อเขียนเลยเรา... แงแงแง  ไม่สอบแล้วเว้ย ก.พ.   รู้สึกคล้ายกับคุณ เลิฟแอดดิคว่า  เราพยายามมาตั้งหลายครั้ง  อยากได้ทุนจริงๆจะได้กลับมาเมืองไทย   แต่เมื่อมันหลุดไปแล้ว  และเรามีทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องการทุน ก.พ. แล้ว  ชีวิตเราก็มีทางเลือกอื่นที่เปลี่ยนไปแล้ว.... สักวันหนึ่งเถอะ  เมื่อเราเรียนจบ  ก็อาจจะทำงานเก็บเงินที่นั่นสักพักแล้ว  ค่อยกลับเมืองไทยละกันนะ  ตอนนี้ก็เตรียมตัวไปเรียนเดือนกันยายนนี้ จากคุณ : TsPl (TsPl) - [ 8 พ.ค. 50 11:06:36 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อ่า คุณ TsP1 เพื่อนเราได้ Toefl 297/300 ไปสอบก.พ.เมื่อปีก่อนก็มั่นใจในภาษาตัวเองมากเหมือนกัน ปรากฏว่าตกข้อเขียน คาดว่าตกเพราะความถนัดทางวิชาการนี่แหละ จากคุณ : Just wonder - [ 8 พ.ค. 50 14:02:07 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คคห.4 "สำหรับผมกับการสอบทุน กพ. ครั้งนั้น ทำให้ผมมีความศรัทธากับความยุติธรรมในระบบราชการขึ้นมาเยอะเลยเชียวแหละ" ที่คุณพูดเช่นนี้ได้ก็เพราะว่าคุณได้รับการคัดเลือกครับ สำหรับผมการสอบสัมภาษณ์ของทุนรัฐบาลนี่ยังไงก็ดูจะไม่ค่อยยุติธรรมครับ ที่แน่ๆคือไม่โปร่งใสเท่ากับของเอกชนแน่นอน ผมเห็นเรื่องอย่างนี้มานานแล้ว เพราะพ่อผมก็รับราชการอยู่ และผมก็รู้ด้วยว่าการสอบเลื่อนขั้นต่างๆ ของราชการก็มีเส้นสายเข้ามาเกี่ยวโยงโดยตลอด ประเด็นแรก.... ทำไมทุนจะต้องแยกออกเป็นหลายๆหน่วยด้วย ทั้งๆ ที่มันก็สามารถรวมกันไปเป็นหน่วยเดียวกันได้ ในบางสาขา สมมติว่าเป็น วิทยาศาสตร์แบบเอ มี 3 หน่วย ใกล้เคียงกัน แต่ละหน่วยก็อาจมีจำนวนกลุ่มต่างกันไป แล้วยังจะไปแบ่งเป็น ทุนด้านนาโนเทคโนโลยีของวิทยาศาสตร์แบบเอ อีก เพื่ออะไรครับ คนที่ตกสัมภาษณ์จากทุนด้านนาโนเนี่ย ก็หมายถึงต้องชวดทุนปีนั้นไปเลยนะครับ เพราะยังไงเค้าก็ไม่มีสิทธิ์มาสอบของหน่วยที่เป็นวิทยาศาสตร์ได้ (ต้องเลือกแค่หน่วยเดียว) ทั้งๆที่เค้าอาจจะเหมาะสมมากกว่า คนที่ได้ทุนกลุ่มวิทยาศาสตร์ก็ได้ ประการที่สอง... อันนี้ฟังมาจากคนวงในที่รู้จักกรรมการสัมภาษณ์ ซึ่งผมขอไม่เหมารวมว่าจะเป็นกันทุกกลุ่มทุนนะครับ เค้าบอกมาว่า การคัดเลือกทุนเนี่ย ถ้าเป็นทุน โท-เอก หรือ เอก เนี่ย เค้ามักจะเลือก คนที่จะขอโท-เอกมากกว่า เพราะบางที คุณจบโทมาในสาขาที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับสาขาทุนเท่าไหร่ หรือยิ่งถ้าหาก คุณจบโทในไทยเนี่ยโอกาสได้ก็ยิ่งริบหรี่ครับ เค้าย่ิอมเลือกคนที่จบใหม่ๆ มากกว่า และที่แน่ๆ มักจะเป็นเด็กที่จบจากสถาบันเดิมกับหน่วยงานที่ให้ทุนด้วย ยกเว้นคุณจบกลับมาต้องไปทำงานให้หน่วยงานที่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยนะครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เส้นสายก็มีส่วนครับ หากทุนหน่วยที่คุณสมัคร มันน่าดึงดูดใจ และ บังเอิญดันเป็นหน่วยเดียวกับทุนที่มีลูกคนสำคัญ เช่น คณบดี อาจารย์ชื่อดัง ไปสอบอยู่ด้วย (คือผมดูจากทุนที่ผมเคยพลาดไปเอง รู้สึกว่าเค้าจะให้ความสำคัญกับครอบครัว ด้วยนะครับ เพื่อนผมที่ได้ทุนไป พ่อเป็นคณบดีที่ธรรมศาสตร์ แม่เป็นอาจารย์ที่จุฬา ตอนสัมภาษณ์ทุนก.พ.ซึ่งเค้าผ่านข้อเขียนไปสัมภาษณ์เช่นกัน ไปเจอกรรมการคนนึงเป็นเพื่อนคุณแม่เค้าด้วย) แต่อย่างไรก็ตามการมีทุนรัฐบาลก็ถือเป็นสิ่งที่ดีครับ ผมไม่ได้แอนตี้นะ และก็รู้ว่าทุกที่มันต้องมีทั้งคนดีและไม่ดีแน่นอน เพียงแค่ มันเป็นประสบการณ์ที่ผมเคยเจอและอยากเอามาแชร์เท่านั้นเอง (จิตใจผมก็ไม่ได้ต่ำทรามลงแต่อย่างใดนะครับ) อย่างไำรก็ดี ขอเป็นกำลังใจให้ผู้สมัครทุนทุกคนในปีนี้ด้วยคนครับ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 50 14:00:33 จากคุณ : เลิฟแอดดิค - [ 13 พ.ค. 50 13:55:04 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับคุณเลิฟแอดดิคค่ะ เรื่องที่ว่าทุนเนี่ยทำไมจะต้องแยกออกเป็นหลายๆหน่วยด้วย ตอนเลือกสาขาที่จะสอบเราต้องชั่งใจอยู่นานว่าจะเลือกสาขาไหนดี เพราะมันเหมือนกันมากๆ เค้าน่าจะรวมกลุ่มที่เป็นสาขาเดียวกันเอาไว้ด้วยกันเป็นหน่วยใหญ่ๆ ซัก 10-15หน่วย มันจะทำให้ได้คนที่มีความรู้ในด้านเดียวกันมารวมกันเป็นกลุ่มๆเดียว เวลาสอบข้อเขียนแล้วจะได้รู้สึกว่าได้คนที่มีความสามารถสูงสุดในด้านนั้นๆ มารับการสอบสัมภาษณ์ต่ออีกที ตัวเราเองก็เข้าสอบในปีที่แล้ว ผ่านข้อเขียนแต่ตกสัมภาษณ์ค่ะ ตอนแรกเราคาใจมากๆ แต่พอดูคนที่ได้รับเลือกแล้ว เราก็คิดว่าคนที่ได้เค้าก็ดูเหมาะสมกว่าเรา เพราะเค้าจบจากหน่วยงานที่รับโดยตรง แบบหน่วยงานคณะวิทยาศาสตร์ แต่เราจบวิศวะค่ะ แต่ตอนที่เลือกสาขาก็บอกว่า จบสาขาที่เราจบมาก็สมัครได้ เรามีหน่วยทุนที่อยากสอบ 2 หน่วย แต่ตอนสมัครก็สมัครได้แค่หน่วยเดียวเลยสมัครหน่วยนี้ ซึ่งมีคนสมัครถึง 50กว่าคน ส่วนอีกหน่วยที่เราก็อยากได้แต่เพราะมันเลือกได้แค่หน่วยเดียวเลยอดสมัคร มีคนสมัครอยู่ 7 คน แล้วตอนประกาศผลรอบแรก คนที่สมัครหน่วยนั้นไม่มีใครผ่านข้อเขียนซักคนเดียว หน่วยงานที่รับก้อเป็นคณะวิศวะ ภาควิชาเดียวกะที่เราจบ เรารู้สึกแย่มากๆ พอมาตกสัมภาษณ์อีกเลยรู้สึกว่า มันขึ้นกะดวงตอนเลือกสาขาจริงๆ เราคิดว่าทุนก.พ.ก็มีระบบที่ดีอยู่นะคะ โดยภาพรวม แต่รายละเอียดปลีกย่อยก็มีหลายอย่างที่ยังสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ เพื่อให้ภาษีประชาชนเกิดประโยชน์สูงสุด ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ จากคุณ : Wondy (Wonderful Time) - [ 14 พ.ค. 50 10:48:35 ]