ความคิดเห็นที่ 1 I'd say reasonable spending per month in Bangkok including food, transport, bills, others etc. (but not including rents/mortgages) should be around 30,000 Baht/month...that's how much my mom spends :) จากคุณ : shory - [ 18 ส.ค. 50 07:03:26 ]

ความคิดเห็นที่ 2 It would be alright if I can earn 30,000 baht a month. However, at the moment, my salary is just only 11,600 baht. Therefore, I am looking for part-time jobs in order to survive. จากคุณ : Duke of York - [ 18 ส.ค. 50 07:09:17 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ทำงานอยู่มหาลัยต่างจังหวัดค่ะ มหาลัยให้ที่พักฟรีตอนจบมาใหม่ๆทำงานได้เงินเดือน ๖,๓๖๐ บาททำงานอยู่ ๒ ปีมีเงินเก็บ ๑ แสนบาทค่ะ (ภูมิใจมากค่ะ ^ ^ ) อ้อแต่ระหว่างทำงานก็มีรายได้พิเศษบ้างจากการตรวจข้อสอบจากคลาสติว(สอนวิชาพื้นฐานน่ะค่ะที่เด็กตกกันค่อนคณะ) กลับไปถ้ามหาลัยเค้ายังมีที่พักให้คิดว่า ๘ พันบาทต่อเดือนก็อยู่ได้สบาย อ้อไม่รวมค่าน้ำมันรถ ค่าประกันฯลฯนะคะ (กลับไปว่าจะเปลี่ยนไปใช้แกสโซฮอลน่ะค่ะ : ) เพราะฉะนั้นเงินเดือนที่มหาลัยให้สำหรับเราพอเหลือเฟือแต่อาจจะเหลือเก็บเล็กน้อย จากคุณ : LWWW - [ 18 ส.ค. 50 13:51:56 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าคิดจะมีครอบครัว ต้องมากกว่า 30,000 บาทครับ เพราะ ต้องผ่อนบ้าน(ไม่สามารถอยู่ ที่พักมหาลัยได้ตลอดไป)ผ่อนรถ ค่านมลูก ค่าเทอมลูก จากคุณ : Dukhor - [ 18 ส.ค. 50 16:48:32 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมมีบ้านอยู่ กทม เดินทางด้วยรถส่วนตัว ค่าใช้จ่ายดูแลบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าดูแลสวน ตกแล้ว 8000 บาท ต่อเดือน ค่าน้ำมันรถ 4000 บาท ต่อเดือน ค่ากินและใช้จ่ายส่วนตัว 10000 บาท ผมคาดหวังว่าเงินเดือนที่ผมจะทำให้ผมสบาย ไม่ควรต่ำกว่า 30000 บาท เพราะจะได้มีเก็บประมาณ 5000 - 10000 บาทต่อเดือน คนจบเอก start 30000 บาทในยุคนี้ ผมว่าเป็นอะไรที่ต่ำกว่ามาตราฐานแล้วหละ แตว่าข้าราชการจบเอก start ยังไม่ถึง 20K เลย มันแย่จริงๆนะ แม้ว่าผมจะสามารถมีเงินเดือนได้ 30K ครอบครัวผมจะสบายได้ ภรรยาก็ต้องมีเงินเดือนไม่ต่ำกว่า 30K เหมือนกัน จะได้แน่ใจว่าลุกที่เกิดมามีคุณภาพชีวิตอย่างน้อยพอที่สบายได้ในเมืองหลวงโดยไม่ต้องปากกัดตีนถีบมากนัก จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 19 ส.ค. 50 04:21:50 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอเท่ากับเงินเดือนข้าราชการสิงคโปร์ได้ไหม? หรือสักครึ่งหนึ่งของเขาก็ยังดี :) ในทางปฏิบัติก็คงต้องหาอาชีพเสริมน่ะครับ สำหรับผม เคยคิดไว้เสมอว่าเงินเดือนข้าราชการนี่ จะเอาไว้ทำบุญอย่างเดียว ส่วนรายได้หลัก จะต้องหาเอาจากทางอื่น อาจจะทำธุรกิจเสริม สอนพิเศษ คิดเล่น ๆ อาจจะไปรับจ้างร้องเพลงเอลวิสตามร้านอาหาร 555 สมัยผมจบ ป.ตรี ทำงานแรก start ที่ 30,000 นะครับ ผมคิดว่าถ้าผมกลับไป ก็ต้องพยายามทำเงินให้ได้เท่ากับที่ควรจะได้ given ว่า ถ้าเราไม่ไปเรียนต่อ ตอนนี้เงินเดือนเราควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ และก็พยายามทำให้ได้ตามนั้นครับ ปล.ผมไม่ค่อยเชื่อในทฤษฏีที่ว่าข้าราชการที่ดีต้องยากจน หรือว่านักวิชาการที่เก่งต้องกินแกลบ ผมเห็นอาจารย์ที่นี่ ก็พอจะมีตังค์กันทั้งนั้นแหละ (แต่ก็ต้องยอมรับว่าฐานเงินเดือนต่างกับอาจารย์ในไทยมาก) คงต้องขวนขวายทำโ้น้นทำนี่กันนิดหน่อยล่ะครับ ปล. อาจจะทำไม่ได้ก็ได้ แค่คิดเฉย ๆ เป็นแค่ hypothetical :P ตอนนี้บ้านมีแล้ว รถมีแล้ว (มรดกของพ่อแม่) ลูกคงไม่มี เดี๋ยวใช้ทุนเสร็จก็อาจจะไปบวช จะเอาอะไรมากมาย เกิดมาก็ตัวเปล่า เจ้าจะเอาอะไรติดตัวไป แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 50 09:25:15 จากคุณ : กายทิพย์ - [ 19 ส.ค. 50 09:04:12 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เรื่องอย่างนี้ You pay what you get ครับ ตามที่ คห 5 ว่าไว้ผมเห็นด้วยมากมาก ปัจจุบันนี้ สำหรับคนจบ ป เอก แล้วมาทำงาน บ เอกชน เงินเดือนแสนขึ้นอยู่แล้วครับ จากคุณ : Dukhor - [ 20 ส.ค. 50 06:18:00 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Anyone know how much an assistant professor at a university in the US? Please give us some idea. จากคุณ : As - [ 20 ส.ค. 50 10:23:52 A:130.130.8.228 X:130.130.37.13 TicketID:040165 ]

ความคิดเห็นที่ 9 The American Association of University Professors released figures on the salaries of Professors - 1. Doctoral - public - $70,952 - private - $84,419 - private church related - $77,409 2. Masters - public - $62,700 - private -$67,148 - private church related - $62,208 3. Baccalaureate  - public - $59,913 - private $64,846 - private church related - $55,402 (http://www.thebizofknowledge.com/2006/11/how_much_does_an_assistant_pro.html) If you would like to know a specific University, you can check at http://chronicle.com/stats/aaup/ จากคุณ : DoubleShot - [ 20 ส.ค. 50 22:02:08 ]

ความคิดเห็นที่ 10 In reply to K. As's question (#8) above, How much an assistant professor gets depends on many factors: -Your qualifications: some fields require only a terminal professional degree (like M.F.A), while others require a Ph.D. Usually, people who have a Ph.D. get higher pay. -his or her past experience: freshly-minted Ph.D.'s get lower pay than those who have previous teaching/research experience (being a TA/RA doesn't count, by the way).  Sometimes people move from an institution to another, and those people get higher pay than recent Ph.D. grads.   -his or her field: Humanities and Arts usually get lower pay than social sciences and hard sciences. -your university: whether it's a private or public university...of course a private u. offers a more attractive package, including higher pay... -other factors such as your ethnic background, etc.  Minorities get higher pay than white people... In my case, for example, I have just graduated with a Ph.D. (with teaching experience as a TA, which doesn't count); working in the humanities (English); teaching at a public (state) U. In total, I don't earn much (in the lower 50 K range/9 months, which is quite low).  I hope I can manage to get by! You earn extra if you teach summer. All state universities in the US have to disclose their salary ranges; and you can google and find out how much a specific university/field pays you. แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 50 00:47:43 จากคุณ : texanprofessor (krisdauw) - [ 21 ส.ค. 50 00:41:24 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Sawasdee krub, Thank you very much for all of your valuable input... So, most of you thought that around 30,000 Baht/month would be a good salary where you could more or less get by. I have been working in the system for around 15 years (so right now some of you are calculating my age, right?). Currently, I'm an assistant professor with a salary of 17,000ish Baht/month. When combined with my lovely wife's, we earn around 30K a month. Well, during this 15 years, I've been on and off school (8 years for MS+PhD and counting)... So that would be another reason why my salary is quite "humble".... :) I'm quite impressed with k. LWWW's comments though... When I started my career, my salary was 6,160 Baht/month plus some other sundry O.T. Totally, it would be around 12,000... I was working in a hospital where there was nothing but sugarcane plantation in the radius of 30 km... So, most of the personnel in the hospital got to eat with the hospital kitchen... 3 meals a day, 7 days a week, 31 days a month... That costed me 300 Baht/month.... By tormenting myself with those "genotoxic" foods for a few years, I'd saved almost 150,000 Baht... That's enough for me to pursue my master degree in a university in BKK.... After MS graduation, I chose to be a university instructor at a provincial university... Because I realized that, with the cost of living and my salary, I could not even feed myself... not thinking about my family! So somewhere else, not BKK was our destiny and destination. Few months after starting my career as a univ instructor, IMF crisis happened... My school got ZERO-Baht budget for a few years: On top of that, all scholarships (including mine and my wife's) were retracted, indefinitely. So because of that unopportune moment, we had lots of time in the world to teach, teach, and teach!! We taught our students without any budget to buy any new instruments for a few years... Then, there was some money coming in, we started to do some research with "humble" budget.... 55555 ... 20,000 Baht krub!! Then we got very lucky.... That "humble" budget project led to 5-millions-Baht funding around 1.5 years before our departure to our PhD in the US. From that funding, we earned extra-money for ourselves... Hmmm, it was around 1M, I think... So, despite our small salary, with those external research fundings/income, my family and I could get by plus earning some other academic fringe benefits (i.e. publications and so on). I don't expect to do that much when I got back... In that time, we got 12 concurrent projects for an 18-month time frame. So we had to work 7 days a week. krub--- very workoholic... Just a few of those research works per year with our current salary, that would be sufficient for our family... Thanks again krub. แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 50 05:20:00 จากคุณ : amatuer translator - [ 21 ส.ค. 50 05:16:10 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ก้ออยากระบายเหมือนกันนะ ตอนก่อนรับทุนมาเรียนก้อหมื่นนิดๆ มาเคยชินกับรับเงินหลวงเรียนเดือนละเกือบห้าหมื่น แถมมากับครอบครัว คุณสามีก้อมีรายได้พอๆกับเราได้ทุน พอกลับไปทำงานก้อต้องไปรับหมื่นนิดๆเหมือนเดิม แค่คิดก้อลำคอตีบตันแล้ว อยากได้เงินเดือนตามวุฒิเหมือนหลายสถาบันให้กัน ไม่ใช่ตามระบบซีนะคะ ไม่รู้ว่าเปลี่ยนจากระบบซีตาม พรบ.ใหม่แล้ว มันจะดีจริงหรือค่ะ แอบถามนอกประเด็น แหะๆ เคยรำพึงรำพันกับเพื่อนๆ โดนสวนมาว่าก้อรับเงินเดือนล่วงหน้า (ทุน)แล้วงัยจะเอาอะไรกันอีก เฮ้อ!!!! จากคุณ : @norwich - [ 21 ส.ค. 50 05:19:51 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สวัสดีครับ อ่านข้อความของพี่ amatuer translator ทำให้น้าชักฮีกเหิม เอาอย่างนี้ละกันนะครับ  น้าร่ายให้อ่านคร่าวๆ น้ามีความรู้สึกต่ำด้อยนิดหน่อยในตอนนี้ เพราะไปเจอเพื่อนหลายๆคนที่มีอายุคราวเดียวกัน ได้ดิบได้ดีทางด้านการงานและเงินทอง แต่ไอ้น้าอาจจะเคยได้ดีทางการงาน แต่เรื่องเงินนั้นพอประทังไปได้เรื่อยๆ เงินเดือนและตำแหน่งน้าในที่ทำงานเก่าก็ดีกว่าอาจารย์หลายๆคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน หย่อนๆสามหมื่นไปไม่กี่พัน   ทีนี้อย่างที่เคยเกริ่นว่า  น้าทนไอ้เรื่องอัปยศในการหาเงินในอนาคตของเด็กไทยจนๆ ต่อไปไม่ไหวจริงๆ  ก็เลยลาออก   ตอนทำงาน มันก็ดีอยู่ครับ  เพราะเงินไม่ดีแต่งานเด่น   น้าก็ไม่รู้สึกอะไร  แต่พอออกมาแล้วเนี่ย  มันเหมือนไม่ค่อยเหลืออะไรเท่าไหร่ในชีวิต แม้ว่ากำลังไปได้เรียนต่อในเวลาอันใกล้นี้ก็ตาม   เมื่อวานก็เพิ่งเจอเพื่อน ที่เปรียบเป็นลูกน้องน้ามาโดยตลอดทั้งตอนเรียนและตอนทำงานใหม่ๆ  แต่พอฟังเงินเดือนของพี่ค้าแล้วก็อึ้งๆไปเหมือนกัน  ประมาณว่ามากกว่าสมัยน้าทำงานเป็นอาจารย์ 4 เท่า   พี่เค้ายังบอกเลยว่า น้าทำไมไม่ไปทำงานบริษัท  ขี้โม้อย่างน้านี่ไปไกลกว่าเค้าหลายช่วงตัว  น้าฟังแล้วก็สมเพชตัวเองอย่างไรบอกไม่ถูก แต่พออ่านของความคิดเห็นของพี่ๆน้องๆหลายๆคนเข้า  น้าจะไปแคร์อะไร  คุณพี่amatuer translator เก๋าและเก่งกว่าน้าตั้งเยอะ  ยังมีอุดมการณ์ซะขนาดนี้ น้าอาจจะเขวไปบ้าง ว่าจะไปรับใช้นายทุนการศึกษาไร้ศีลธรรมต่อดีไหมว่ะ อ่านของพี่แล้ว  น้าเริ่มทะนง น้าขออดอย่างราชสีห์ ดีกว่ามีอย่างหมา  ขอบคุณพี่ๆน้องๆทุกคนมากครับ จากคุณ : น้าเตี้ย (UNSW2000) - [ 21 ส.ค. 50 23:32:02 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ในฐานะที่เคยทำงานเอกชนมาก่อน และก่อนจะออกมาเป็นอาจารย์หรือครูนั้นรับมากกว่าเงินเดือนเริ่มต้น (เมื่อมาเป็นอาจารย์)  3 เท่า   ดิฉันรู้สึกอย่างนี้นะ งานสอนมันสบาย  เมื่อเทียบกับภาระงานขั้นต่ำที่ต้องทำ งานเอกชนเงินเดือนเยอะ แต่ภาระและความรับผิดชอบก็เยอะตาม  เครียด ถ้าจะพูดเรื่องเงิน  ดิฉันว่าคนจบเอกมันมีหนทางหาพิเศษอยู่แล้วหล่ะ แต่พอเราขวนขวายมากๆ มันก็ลำบากพอๆกับอยู่เอกชนนั่นแหละ อย่าลืมว่าพวกอาจารย์ทั้งหลายนั้น นอกเหนือจากเวลาสอนแล้ว เรามีอิสระในการเลือกใช้เวลา จะใช้เวลานั้นรับงานนอกก็ได้  จะเลือกทำวิจัยก็ได้  จะเลือกที่จะขลุกอยู่กับงานสอนก็ได้ หรือจะเลือกงานบริหาร(คณะ มหาลัยฯ) ก็ได้ก็ได้อีกนั่นแหละ สอบเสร็จแล้วจะตรวจข้อสอบอยู่ที่บ้านก็ยังได้ (โดยแวะไปเซ็นต์ชื่อก่อน) เรื่องนี้คนที่ทำเอกชนมักจะทำไม่ได้  นอกจากผู้บริหารใหญ่ๆโตๆ อย่าลืมตีราคาค่าอภิสิทธิ์ในการใช้เวลาว่างของเราด้วยซี นั่นไม่นับอภิสิทธิ์ในการใช้กำลังและสติปัญญาของเด็ก (ในกรณีรับเป็นซุป) และอีกเยอะแยะ.... เพื่อนๆบางคน (โดยเฉพาะคนที่เคยชิงดีชิงเด่นกับดิฉันเมื่อสมัยเรียน) เขาอาจจะสมเพชเงินเดือนของดิฉัน แต่เพื่อนอย่างนี้ดิฉันไม่คบ ฮาฮา เขารับเยอะ แต่เขาคงมีเวลาส่วนตัวน้อยกว่าดิฉันแน่ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  ดิฉันคงไม่บังอาจพูดว่าดิฉันสบาย หรือสุขกว่าเขา เพราะความสุขของแต่ละคนมันต่างกัน เขาอาจจะสุขกับความเจริญก้าวหน้าและเงินเดือนเยอะๆ แต่ดิฉันพอใจที่จะได้ใช้เวลาว่างๆ อ่านหนังสือดีๆ และกรี๊ดดังๆเวลามีผลงานได้ดีพิมพ์ journal ชื่อดัง สรุป  ถ้าจะหาให้แค่พออยู่สบายๆ สำหรับอาจารย์ที่มี ป.เอก นำหน้านั้น ดิฉันไม่คิดว่าเป็นเรื่องยาก แหะ แหะ ยาวเน๊อะ จากคุณ : PaMouth - [ 22 ส.ค. 50 02:57:26 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สำหรับตัวเองคนเดียว มีเท่าไหร่ก้ออยู่ได้เท่านั้นอ่ะค่ะ แต่เรามีหน้าที่(คิดว่าคนอื่นๆก้อมีมังคะ)คือต้องทดแทนบุญคุณพ่อกับแม่อ่ะค่ะ ที่บ้านเรา ญาติพี่น้องเรา เค้ามีประเพณีว่า ลูกที่ทำงานแล้วต้องส่งเงินให้พ่อแม่ไม่ต่ำกว่ายี่สิบเปอร์เซนของเงินเดือน เราสตาร์ทก้อทำงาน ตปท แล้ว เลยส่งไปเยอะ(ถึงแม้ว่าพ่อแม่ก้อไม่ได้ลำบากอะไรเลยถ้าเราไม่ได้ส่งเงินไป) แต่ คนส่วนมาก ชอบอยากรู้อยากเห็นและมาถามซะเหลือเกินว่า ลูกที่จบด็อกเตอร์น่ะ เค้าส่งเงินมาให้ที่บ้านเท่าไหร่ เฮ้อ... แล้วทำไม พ่อกับแม่ต้องแคร์ด้วยก้อไม่รู้เนอะ แต่นี่แหละค่ะสังคมไทย... คิดเอาว่า คนกตัญญูตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ แล้วถึงสบายใจขึ้นมาหน่อย แต่ด้วยหน้าที่นี้ เราคงไม่มีหวังจะได้กลับไปทำงานเป็นอาจารย์ที่เมืองไทยแล้วล่ะค่ะ...แล้วยิ่งถ้ามีครอบครัวตัวเองอีก ก้อสิ้นเนื้อประดาตัวแน่เลยค่ะ ฮ่าๆๆ จากคุณ : enjoymiracle - [ 22 ส.ค. 50 05:19:28 ]

ความคิดเห็นที่ 16 =========================================== "ไม่ต่ำกว่ายี่สิบเปอร์เซนของเงินเดือน " Very high... I cannot afford that. "คนส่วนมาก ชอบอยากรู้อยากเห็นและมาถามซะเหลือเกินว่า " You have never asked them for a meal, have you? If so, why do you care about their fouled mouths krub?!? :) "คนกตัญญูตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้" Are you sure? :) For a safer side, buying a health insurance policy is always a good idea krub... :) =========================================== "อย่าลืมว่าพวกอาจารย์ทั้งหลายนั้น นอกเหนือจากเวลาสอนแล้ว เรามีอิสระในการเลือกใช้เวลา" That's absolutely right. Sadly, some choose to do nothing. "อย่าลืมตีราคาค่าอภิสิทธิ์ในการใช้เวลาว่างของเราด้วยซี นั่นไม่นับอภิสิทธิ์ในการใช้กำลังและสติปัญญาของเด็ก (ในกรณีรับเป็นซุป)" Good point krub!! We may choose to be a revereable mentor or a slave driver also, can't we? :) "เพื่อนๆบางคน (โดยเฉพาะคนที่เคยชิงดีชิงเด่นกับดิฉันเมื่อสมัยเรียน) เขาอาจจะสมเพชเงินเดือนของดิฉัน แต่เพื่อนอย่างนี้ดิฉันไม่คบ ฮาฮา เขารับเยอะ แต่เขาคงมีเวลาส่วนตัวน้อยกว่าดิฉันแน่ๆ" Personally, it's a race of which cannot be easily compared. Goals are totally different. =========================================== "อ่านข้อความของพี่ amatuer translator ทำให้น้าชักฮีกเหิม" I'm glad that it could inspire you krub. :) "น้าขออดอย่างราชสีห์ ดีกว่ามีอย่างหมา" It's not that bad krub... You could be proud with your job as a lion and, at the same time, lovely like a dog . =========================================== แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 50 02:27:56 จากคุณ : amatuer translator - [ 23 ส.ค. 50 02:25:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ตอนเริ่มรับราชการใหม่ ๆ  ในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้รับเงินเดือน ๕,๕๒๐ บาท สำหรับวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาตรี  ยากจนแท้ครับ  ตอนนั้น ราคาทองคำ ประมาณ เกือบ ๆ ๖,๐๐๐ บาท ต่อนำหนัก ๑ บาท  ผมเทียบเล่น ๆ  ราคาทองคำ ประมาณ ๔๐๐ บาท ต่อน้ำหนัก ๑ บาท ในช่วงพ่อแม่ผมแต่งงานกัน คือ ราว ๆ  ประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ เงินเดือนราชการช่วงนั้นได้ยินว่า เกิน ๖๐๐ บาท ต่อเดือน   ตอนนั้น หากใครมีรถยนต์ ก็ต้องผ่อนเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท ไปแล้ว ท่วมเงินเดือนข้าราชการที่ได้รับ  ผมคิดไม่ออกว่า ข้าราชการทั่วไป จะมีรถยนต์ และ บ้านพักอย่างไร  ภายใต้เงินเดือนเท่านั้น   โดยทั่วไปผมเชื่อว่า ข้าราชการ ไม่ควรทำงานนอก  และจะต้องทุ่มเทชีวิตให้งานในหน้าที่ให้สุดกำลัง หากใครทำงานนอกราชการ ควรจะถือว่า ทุจริต และมีความผิดอาญา เช่นเดียวกับ ประเทศญี่ปุ่น   หรือ ฮ่องกง  เพราะมันอาจจะเกิดกรณี Conflict of Interests ได้โดยง่าย ด้วยเหตุนี้ รัฐควรจะต้องจ่ายเงินเดือน ให้ข้าราชการทำงานได้อย่างเต็มความสามารถด้วย  ไม่เช่นนั้น จะเกิดกรณีปัญหา ที่ข้าราชการทำงานราชการเป็นงานอดิเรก แล้วไปรับจ้างทำงานพิเศษเป็นหลัก เงินเดือนที่ควรจะเป็น คงจะต้องคำนวณกันใหม่ว่า ข้าราชการ ๑ คน  ควรจะต้องมีกำลังสามารถที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองได้  ฯลฯ   เดือน ๆ หนึ่ง สำหรับจุดเริ่มต้นของข้าราชการระดับปริญญาตรี ก็ไม่น่าจะต่ำกว่า ๒๐,๐๐๐ บาท  ซึ่งผมคงได้แต่ฝัน เพราะ ตอนนี้ ผมทำงานมา ๑๐ กว่าปี  มียศเท่าอดีตนายก.... เงินเดือนผมยังไม่ถึง สองหมื่นบาทเลย ด้วยซ้ำไป   ไม่รู้รัฐบาล และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำไมจงไม่เห็นปัญหานี้ได้ จากคุณ : POL_US - [ 25 ส.ค. 50 21:47:02 ]