ความคิดเห็นที่ 1 What will you teach krab? I tutored Introduction to Mathematical Fiannce for first-year master student last semester too krab. It was a really time consuming work. But it was a meaningful experience. Every week it took me a whole day to prepare for each 2-hour session. I didn't evaluate students, though. But I guess my efforts paid off. I just got this e-mail from my student today: I was so stressed with my master thesis that I have totally forgotten to express my gratitude to you for your tutorial. I got 1.3 in the exam and I must admit that 40% of it are thanks to you! Also XXX got 1.7 and is also very thankful to you! I am sure you will be a great lecturer and I wish all the best in your future academic career!!! I did not mean to show off my performance. But I just want to tell you that, though you may feel that it is too much work at the beginning, your efforts will certainly pay off in the end. I feel very glad that I was able to help people around me. จากคุณ : Boong (B Oprysk) - [ 13 ก.ย. 50 03:07:41 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอให้สนุกกับการสอนแล้วก้อได้ประสบการณ์ดีๆีนะคะ จะรอฟังตอนต่อไปค่ะ -+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+ วันนี้งานเยอะเหลือเกิน ออฟฟิสก้อแสนจะวังเวง จะมีใครอยู่ทำงานโต้ีรุ่งเป็นเพื่อนมั๊ยเนี่ย >_< จากคุณ : enjoymiracle - [ 13 ก.ย. 50 03:08:42 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Fellowship <== เจ๋งไปเลยครับ เห็นมีแต่เพื่อนผมที่ไปตรี-โท-เอก เท่านั้นที่ได้ ขอยากไม๊ครับ จากคุณ : silane - [ 13 ก.ย. 50 03:41:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Congrats on your wise decision! Now you have one more thing to add to your CV under teaching experience, which helps to open doors to a career in academia (if you wish to choose this path). My caveat, though, is that you need to manage your time well.  Teaching for the first time, you may find your life somewhat unbalanced, and dedicating little (or no) time to writing your diss.  From my experience, my academic life suffered during the first year of teaching. I could hardly find time to do what I needed to do for my academic responsibilities because I spent more time preparing for the class I had to teach, grading, etc.   So, always keep in mind---and I quote my professor here---your academic life comes first! จากคุณ : texanprofessor (krisdauw) - [ 13 ก.ย. 50 05:18:46 ]

ความคิดเห็นที่ 5 โทษทีครับเมื่อกี้เล่นที่มหาลัยเลยพิมพ์ไทยไม่ได้ ผมจะเป็น TA วิชา Education & Economic Development ครับ ก็เป็นวิชาที่ชอบเหมือนกันครับ เป็นการรวมประเด็นเรื่อง Economics of Education ที่น่าสนใจหลาย ๆ เรื่องเอาไว้ในวิชาเดียว 10 weeks (วิชานี้ที่เมืองไทยยังไม่เคยเห็นที่ไหนมี จุฬา ฯ ,มธ หรืออาจจะมีที่อื่นแต่ไม่รู้ ยังคิดไว้ว่าถ้ากลับไทยจะเอาพวก course syllabus ไปสอนเลียนแบบเลย ถ้ามีคนเปิดให้สอนนะ) เป็นวิชาแนว apply น่ะครับ ไม่ใช่แบบ เลขยาก ๆ หรือ theory จ๋า อะไรแบบนั้น เน้น concept และก็พื้นฐานความรู้ทางเศรษฐศาสตร์นิดหน่อย ๆ ตอนนี้ปัญหาใหม่คือ ผมอาจจะไม่ได้เป็น TA ล่ะครับ ไม่แน่ใจว่าเวลาจะ conflict กับอย่างอื่นหรือเปล่า เพราะตามปกติเขาให้ทำงานได้ 20 hrs/week สำหรับต่างชาติ แต่ตอนนี้ผมก็ทำงานอื่นอยู่แล้วด้วยซิ เลยเพิ่งอีเมล์ไปบอกอาจารย์ว่า ลองดูคนอื่นเผื่อเอาไว้ เพราะอาจจะทำไม่ได้ครับ (ถ้าไม่ได้ก็เป็นปีหน้าแทน เพราะปี 4 ต้องทำอยู่แล้ว) คุณ silane ก็อาจจะเป็นดวงครับ เพราะตอนสมัครก็ไม่ได้ขอเป็นพิเศษ แต่เขาให้เองครับ รู้สึกมหาลัยที่ผมเรียนจะมีคนไทยได้ Fellowship เดียวกันนี้ก่อนหน้าผมคนเดียวนะ (ที่รู้จักกัน เป็นอดีตนักเรียนทุน King เหรียญทองโอลิมปิค) แต่ไม่รู้ผมได้ ได้ยังไงก็ไม่รู้ครับ งง อยู่เหมือนกัน  (เป็นความผิดพลาดของมหาลัยครับ )  แต่คนที่ได้ Fellowship อื่นของ department ตัวเอง ก็คงมีเยอะนะครับ แต่อาจจะต้องทำงานพวก TA/RA อะไรไปตามเรื่องล่ะครับ แต่คนที่เรียน PhD Business School ได้เงินเยอะกว่าครับ จากคุณ : กายทิพย์ - [ 13 ก.ย. 50 05:51:12 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอถามคุณ krisdauw หน่อยครับว่า ให้เลือกสองทางเลือก.. สมมติจะเอาเรียนจบ สี่ปีนะครับ ระหว่าง 1. ทำงาน TA ปีสาม + เข้าเรียนด้วย + ทำธีสิสนิด ๆ หน่อย ๆ (ตอนนี้ได้หัวข้อแล้ว มี data แล้ว มีทุกอย่างแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำอะไรพวก model+ data mining + วิเคราะห์ผล และอื่น ๆ.) และก็พอปีสี ก็ไม่ต้องทำ TA/RA เอาเวลาไปเขียนธีสิสอย่างเดียว มุ่งการจบแบบไม่มีภาระนอกตัว กับ 2. ทำเหมือน 1 แต่ ไม่ต้องทำงานอะไรมาก แล้วรอไปเป็น TA/RA ตอนปีสี่ พร้อมเขียนธีสิส เตรียมตัวให้จบ แบบไหนจะดีกว่าครับ ผมเห็นเพื่อนผมคนที่ได้ fellowship ที่นี่ทำแบบ 1 เยอะเหมือนกัน แต่ผมก็เห็นเพื่อนผมที่อื่น ที่เขาทำแบบ 2 ก็ทำงาน TA/RA ไปด้วย เขียนธีสิสไปด้วย (ปีสุดท้าย) ก็เห็นเขาก็จบกันปกติดี พวกอาจารย์กับเจ้าหน้าที่ ที่นี่ ก็แนะนำให้ทำแบบ 1 กัน มีอีกเรื่องนึง (งกนิดหน่อย คือเรื่อง tax) ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่ผมจะได้ tax treaty ถ้ารับ fellowship ปีนี้ ไม่ต้องเสีย tax แต่ถ้ารอปีหน้าต้อเสีย...  ปีนี้เป็น TA เงิน TA ก็ต้องเสีย tax อยู่ดี (ใช่ป่าวครับ เงิน TA ไม่อยู่ใน tax treaty?) แถมปีหน้าใช้เงิน fellowship ก็ต้องเสีย tax อีก (เพราะเกินห้าปี) เดี๋ยวใกล้ถึงฤดู tax อาจจะต้องรบกวนคุณ krisda ช่วยบอกเทคนิคอีกรอบครับ จากคุณ : กายทิพย์ - [ 13 ก.ย. 50 06:04:57 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เออ รวยแล้วก็แบ่งๆ มาทางนี้บ้างน่ะครับ จากคุณ : kanoomtan - [ 13 ก.ย. 50 08:41:23 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่เคยเป็น TA แต่จำได้ว่าตอนไปสอนครั้งแรก ตื่นเต้นใช้ได้ พูดผิดพูดถูก แถมพูดเร็วมาก นักเรียนต้องบอก could you slow down please? จากคุณ : Tony Almeida - [ 13 ก.ย. 50 08:55:18 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อังกฤษเขาเรียกอะไรอ่ะ ? ไปสอนแต่ไม่ต้องเป็น TA เป็นติวเตอร์ หรือเล็คเชอรเรอ หรือเปล่า? เพื่อนผมก็มีเรียนอังกฤษ ไปสอนติวพวกเด็ก undergrad ของ college เขามั้ง ข่าวล่าสุด ปีนี้ผมคงไม่ได้เป็นล่ะครับ    พอดีไปถามทางมหาลัยเรื่องชั่วโมงทำงานแล้ว เขาบอกว่าทำไม่ได้ เศร้านิด ๆ สงสารอาจารย์ เกรงใจเขาจัง เฮ้อ แต่ก็รักตัวเอง ไม่อยากเสียรายได้ งก พอดีตอนนี้ผมทำงานอีกอย่างอยู่ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับวิชาการอะไรมากนัก แต่ว่ามันก็ให้ผลตอบแทนที่ดี (ไม่มากหรอก แต่ก็ดีกว่า) และก็ไม่ได้เสียเวลาอะไร ... เฮ้อ เศร้าใจ งกมากไป คือระบบของโรงเรียนผมจะคล้าย ๆ อังกฤษนิด ๆ คือ ตอนสมัครเข้ามาเนี้ย อาจารย์จะเลือกเด็กเลย มีทุนให้ทุกคนรับประกัน ทุกคนไม่ต้องเสียค่าเทอม มีเงินรายเดือนให้ แต่ว่าแต่ละคนก็ต้องทำงานเป็น TA/RA ให้อาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเอง (หรือคนอื่นก็ได้ ถ้าเขารับ) แต่ผมโชคดีคือพออาจารย์เลือกเข้ามา ก็ดันได้ทุนมหาลัย คือไม่ต้องเป็น TA/RA สามปี ปีที่สี่คณะจัดหา TA/RA ให้ ปีห้าขึ้นไปนั้นก็แล้วแต่ดวง (อาจารย์ก็เหมือนเลือกเด็กมา แต่ก็ไม่สามารถเอาไว้ใช้งานได้แบบนั้นแหละ) พอดีผมว่าง ๆ ก็เลยไปทำงานอีกอย่าง มันมีสัญญาสองปี ช่วงปี2-3 พูดง่าย ๆ คือช่วงนี้ ผมไปทำงานอื่นไม่ได้ เพราะโควต้า 20 ชม/อาทิตย์ หมดพอดี   สงสัยเหลือทางเลือกเดียว ก็คือรอทำ TA/RA ปีหน้าล่ะครับ (ไฟท์บังคับ) ยังดีได้โควต้าทำอีกปีนึง ได้ทำปีสุดท้ายก็ยังดีฟะ  :) อยากเป็น TA กะเขาบ้างเน้อ..อุตส่าห์หลงดีใจเก้อ ขนาดเอามาตั้งกระทู้เลยเรา สุดท้ายก็ไม่ได้เป็น ปล.ไม่ได้รวยนะครับ เก็บไว้ยามฉุกเฉิน ก่อนกลับไปรับเงินเดือนน้อย ๆ ในไทยครับ :) แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 50 09:51:02 จากคุณ : กายทิพย์ - [ 13 ก.ย. 50 09:33:02 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าอ่านจาก "ข่าวล่าสุด" ก็คงต้องเป็นตัวเลือกที่สอง ใช่ป่ะครับ (ไปทำ ทีเอ ตอนปีสี่) แต่ถ้าถามผมนะ ในระหว่างสองตัวเลือก ผมจะเลือกตัวเลือกหนึ่ง  เพราะว่าพอเข้าโค้งสุดท้าย (นั่นคือปีสี่) พอเรารู้ว่าจะจบ  มันจะต้องแก้ดิสเซอร์ฯ ทั้งในด้านเนื้อหา และรูปแบบ (แบบห่างจากขอบเท่าไร เขียนปกในอย่างไร ฯลฯ) ต้องไปเจออาจารย์ที่ปรึกษาคนหลัก ต้องไปเจอกับอาจารย์คนอื่นๆ ฯลฯ แล้วมันจะยุ่งอ่ะครับ เพราะฉะนั้นทำชีวิตให้ว่างๆไว้เผื่อฉุกเฉิน ต้องเพิ่มนู่นเพิ่มนี่ ดีที่สุดครับ จากประสบการณ์นะครับ ณ เวลานั้น (คือเวลาใกล้จบเต็มที่) เราจะไม่สนใจใครทั้งสิ้น ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แบบมุ่งงานอย่างเดียว เพราะถ้าไม่เสร็จ คือ ไม่จบ  (เผอิญผมได้งานก่อนแล้วด้วยไง  ถ้าไม่จบก็เป็นเรื่อง) สมมติทะเลาะกับแฟน ก็ไม่สนเลย จะเลิกกันเหรอ ไม่สน  พอมารู้ตัวอีกที ก็เลิกกันไปเลย (อันนี้เรื่องจริง คือ เพราะทุ่มกับงานอย่างเดียว พอมาคิดถึงเค้าอีกที ก็นู่น ตอนดีเฟนด์เสร็จแล้วน่ะ)   แต่ผมก็สอนตลอดสี่ปีนะ (มีบางเทอม บางปีไม่ได้สอนเพราะได้ fellow เหมือนกัน) แต่ส่วนใหญ่จะสอน และเทอมสุดท้ายตอนดีเฟนด์ ผมก็สอนนะ  แต่ใช้วิธีนี้ครับ คือ จริงๆต้องสอนสี่ชั่วโมงต่ออาทิตย์ ใช่ป่ะครับ ผมก็เปลี่ยนเป็น เรียนออนไลน์สองชั่วโมง (ทำเล็คเชอร์โนทไว้ กับ discussion board ไว้) และสอนจริงๆ สองชั่วโมง มันก็ทุ่นเวลาไปได้เยอะ (วันไหนไม่ไปสอนก็อยู่บ้านทำงานไป)  ก็โอเคนะ  เด็กก็โอเคด้วยกับ hybrid course ชนิดนี้ ส่วนเรื่อง tax มันเสียหมดครับ ไม่ว่าจะเป็น ta หรือว่า scholarship แต่ว่าถ้าได้ scholarship มันต้องกรอกฟอร์มชนิดหนึ่งที่จะยกเว้นได้ (จำไม่ได้ว่าฟอร์มอะไรนะครับ ลองไปถามพวก payroll office ที่ทำเรื่องของ international student ดู) ส่วนถ้าได้เป็นทีเอ แล้วจะเคลม tax คืน หลังจากเกินห้าปี ก็แค่แนบจดหมายสั้นๆ บรรยายตัวเราว่าเราจะกลับเมืองไทยแน่นอน และมีที่พำนักที่เสียภาษีอยู่ในเมืองไทย แต่ว่าโปรแกรมการเรียนเรามันเกินห้าปี เท่านั้นเองครับ  (ผมใช้จดหมายเดิมทุกปี แต่หลังจากปีนี้คงไม่ได้ใช้แล้ว ต้องเสียภาษีจริงๆ)  ถ้าไงก็อีเมลล์มาหาผมเวลาตอนจะทำแล้วกัน ผมจะส่งตัวอย่างไปให้ จากคุณ : texanprofessor (krisdauw) - [ 13 ก.ย. 50 13:58:26 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มาคิดๆดูอีกที ถ้าติดปัญหาอันเดียวคือ เรื่องชั่วโมงการทำงานเกินยี่สิบ ที่เด็กต่างชาติรับอนุญาตให้ทำได้ ไม่ทราบว่าคุณ BF ทราบยังว่า ถ้าเรา take coursework หมดแล้วนั้น เราสามารถขอ โอพีที ได้ (optional practical training) พอคุณขอได้แล้ว ก็สามารถทำงานได้มากกว่ายี่สิบชั่วโมง (นั่นคือ ฟูลไทม์) และทำที่ไหนก็ได้ครับ เป็นเวลาหนึ่งปี  อันนี้บางคนไม่ทราบเพราะว่า นึกว่าต้องเรียนจบได้ปริญญาแล้วเท่านั้นน่ะครับ เพราะว่ายังไงๆ ก็กลับเมืองไทยอยู่แล้วหลังจากจบ ผมว่าก็ขอไปตอนนี้เลยก็ได้ จะได้ทำงานอะไรก็ได้ระหว่างทำดิสเซอร์ไปด้วย (ถ้ามีเวลา) แต่ว่ามันจะใช้เวลาหน่อยนึงนะครับ กับการขอโอพีที สักสองสามเดือนได้น่ะครับ  เทอมฟอลนี้อาจจะไม่ทัน  ก็อาจจะต้องรอไปวินเทอร์เลย แต่ผมสนับสนุนให้สอนนะ มันได้ประสบการณ์จริงๆ และมันได้ทวนความรู้เก่าๆไปในตัวด้วยอ่ะ ปล ยังไม่เปิดเทอมเหรอครับ ผมนี่เปิดเทอมและสอนมาสี่อาทิตย์แล้ว เฮ้อ ทำไมระบบ semester มันนาน....อย่างนี้หนอ  (ชอบระบบ quarter มากกว่า สิบอาทิตย์ก็หมดเทอม เร็วดี) แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 50 14:13:14 จากคุณ : texanprofessor (krisdauw) - [ 13 ก.ย. 50 14:07:14 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณครับ ยังเซ็ง ๆ อยู่ครับ มิน่าล่ะที่นี่คนถึงชอบทำแบบนี้ อาจารย์ตอนแรกเขาก็อยากให้ทำแบบแรกมาก คือให้ปีสุดท้ายเป็นว่าง ๆ เอาไว้ลุยอย่างเดียว คงอย่างที่คุณ krisdauw บอก พอเขารู้แบบนี้ เขาก็เลยบอกว่าปีนี้ให้เร่งทำดิสเซอร์แบบให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปเลย   เรื่อง OPT น่าสนใจครับ เพราะยังไงผมก็ต้องกลับไทยอยู่แล้ว คงจะไม่ได้ใช้ OPT แต่ปีสุดท้าย สงสัยจะไม่มีเวลาทำอะไรหรอก ขอบคุณนะครับ เสียดายเหมือนกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ (ยกเว้นลาออกจากงานนี่) แต่ก็เสียดายค่าใช้จ่ายเหมือนกัน เรียกว่าเป็นการตัดสินใจแบบมองเรื่อง financial aspect เป็นหลักเลย ได้อ่านที่คุณ krisdauw เขียนเรื่องปีสุดท้าย ก็ชักหวั่นครับ ว่าเราตัดสินใจถูกป่าวหว่า...ยิ่งเป็นพวกทำงานช้าอยู่ด้วย..แย่นะครับต้องคอยคิดเรื่องเก็บตังเนี้ย :) ถ้าหากไม่ได้คิดว่าต้องกลับไทยผมคงเฉย ๆ นะ เน้นคุณภาพงาน เตรียมเข้า job market ดี ๆ มากกว่าที่จะมาคิดเรื่องเงินเล็กน้อย ๆ  แต่นี่ต้องเก็บทุกเม็ด ว่าจะพยายามขอ dissertation grant ให้ได้อีกด้วยครับ เผื่อจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 50 17:58:07 จากคุณ : กายทิพย์ - [ 13 ก.ย. 50 17:39:12 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ฝั่งนี้ ถ้าช่วยคุมแลปเรียก demonstrator แต่ช่วยสอนในชั่วโมงเลคเช่อร์เรียกแบบนี้ด้วยไหมนี้ไม่รู้ เพราะเคยแต่ช่วยคุมแลปเท่านั้น ช่วยทำแลปนี้ดี เพราะไม่ต้องพูดอะไรมาก ยืนๆ นั่งๆ หรือไม่ก็เดินวนเวียนรอบๆโต๊ะแลป เวลาเด็กถามอะไร ก็ใช้วาดรูป หรืออธิบายด้วยพวกสมการเอา ก็เลยพอเอาตัวรอดเรื่องภาษามาได้ จากคุณ : PaMouth - [ 14 ก.ย. 50 00:49:46 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ^ ^ ที่มหาลัยเราเค้าเรียก victim ค่ะ ป้า 5555 เรามาเรียกต่อเอาเองว่า vampire พอเราโดน เราก็จะไปจิกคนอื่นๆโดยการไป vamp ให้มันกลายเป็น vampire เหมือนเรา เราก็จะได้สอนปีนี้เหมือนกัน แต่เค้าไม่เรียก TA อะ เพราะคำนี้คงไม่มีในระบบอังกฤษ กรณีเราคือ ซุปเรียกไปเจอ แล้วบอกว่า นี่ postdoc คนก่อนเค้าไปได้ตำแหน่งที่ manchester แล้ว ตอนนี้เลยไม่มีใครช่วยทำคลาส tutorial เลย เธอไปจัดการหน่อยสิ บลา บลา บลา หน้าที่ของเราก็คือ คัดเลือกเนื้อหาที่จะใช้สอนทั้งหมด แล้วก็ไปหาหรือเชิญคนที่จะสอนได้ให้มาช่วยหน่อย แล้วก็สอนเองด้วย แล้วก็จ่ายเงินให้คนที่เราเชิญมาเป็นรายชั่วโมงไป จากประสบการณ์ ถ้าสอน tutorial สองชม. ก็จะมีรายได้ 75 ปอนด์หักภาษีแล้ว เรายังไม่เก็ทระบบจ่ายเงินเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะคิดเป็นรายชั่วโมงหมดเลย ถ้าจ้างเด็ก PhD นะ นอกจากนี้ก็เป็น first grader ค่ะ มีคนเกรดเปเปอร์สองคน คนแรกคือบรรดา victim นร. PhD ทั้งหลาย คนที่สองคือซุปฯ เคยได้ทำ tutorial ครั้งเดียวเอง ต่อไปคงมีอะไรฮาๆมาเล่าให้ฟังเหมือนกัน lสรุปว่าคุณ BF จะได้ทำปีหน้าใช่ไหมคะ ตอนนี้ก็เป็นปีที่ 4 ของเราแล้ว ต้องจบปีนี้ด้วย มีงานสอนด้วย คงยุ่งมากๆแน่ๆ จากคุณ : Sa-idian - [ 14 ก.ย. 50 04:20:21 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมคิดว่าระหว่างเรียนนี่เค้าน่าจะเรียกเป็น CPT มากกว่า OPT นะครับ ข้อบังคับก็เเค่ว่าต้องเป็นนักเรียนเต็มเวลามาเก้าเดือน เเล้วมีผลการเรียนไม่ติด ร แล้วงานก็ต้องเกี่ยวข้องกับสาขาที่เรียนโดยได้รับลายเซ็นจากอาจารย์ที่ปรึกษา เเล้วก็สามารถทำได้ถึงสี่สิบชั่วโมงหลังจากหมดคอร์สเวิร์ค (เท่าที่ถามที่ปรึกษา นศ ต่างชาติมา) ของผมอยู่ในเคสกลับกัน เงินเล็กๆน้อยๆตอนนี้สำคัญมากจนต้องคิดเล็กคิดน้อย จากคุณ : iconoclast - [ 14 ก.ย. 50 09:24:17 ]

ความคิดเห็นที่ 16 cpt เป็นคนละ category กันครับ  ซีพีที ไม่ต้องขออนุญาตจาก uscis (อิมมิเกรชัน) แต่ว่าถ้าเป็นโอพีทีต้องขอครับ  ซีพีทีใช้ในกรณีทำอินเทอร์นชิพ ครับ โอพีทีสามารถขอได้(ในกรณีนศ ปริญญาเอกหรือโท) ที่ทำคอร์สเวิร์คจบแล้วครับ (แต่อาจจะยังทำดิสเซอร์ หรือตีสิสอยู่)  อันนี้ยืนยันครับ สำหรับกรณีคุณบีเอฟ เนี่ยะ ถ้าจบคอร์สเวิร์คแล้วขอโอพีทีได้ครับ จากคุณ : texanprofessor (krisdauw) - [ 14 ก.ย. 50 09:44:38 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ^ ^ ^ ฮู๊...มหาลัยคุณซาอิดเดี้ยนจ่ายเยอะจัง ป้าได้ชั่วโมงจะ 17 ปอนด์เอง แต่ช่วยคุมแลปนี้ไม่ต้องเตรียมอะไรเลย เพราะเนื้อหา / ตารางทำแลปนี้อาจารย์เขามีมาเรียบร้อยแล้ว ต้นเทอมอาจารย์เขาจะให้ตารางและเนื้อหาของแลปกับพวกดีมอน เรียกว่าให้พอรู้ว่าวันนี้จะช่วยแลป ไตเตรท เอเอ ไอซีพี โครมาโต ก็ว่าไป ในชั่วโมงเราแค่ไปช่วยดูว่าเด็กเตรียมสารถูกไหม ทำ calibration curve ถูกไหม Reading ที่ได้มัน make sense หรือไม่ จบชั่วโมงก็จบ ไม่มีต้องตรวจอะไรทั้งนั้น แหะ แหะ ขนาดว่าง่ายยังงั้น  ป้ายังไม่ค่อยอยากจะทำเลย ป้ารับแค่พอเที่ยวแค่นั้นแหละ แต่ปีนี้ป้าคงต้องงดเที่ยว   งานไม่เดินเลย  วันนี้เขียนได้ 8 บรรทัด คิดไม่ออกว่าจะคอนเดนสข้อมูลยังงัย บางทียังเคยคิดเล่นๆว่าได้ปริญญาแล้วคุ้มกับตีนกาที่เกิดไหม 555 BW จากคุณ : PaMouth - [ 15 ก.ย. 50 00:56:38 ]