ความคิดเห็นที่ 1 รู้แต่ว่า คนแถวมหาวิทยาลัยผมก็เห็นชอบโปรโมทตัวเองกันเยอะเหมือนกันครับ คล้ายๆ เป็นกิจกรรมหลักยังไงไม่ทราบ แต่ผมโปรโมทไม่เก่ง 555555 ยังต้องหัดอีกเยอะ แต่เห็นด้วยที่ คนในปัจจุบันมักมองว่า คนต้องโปรโมทตัวเองเก่งๆ จึงจะได้ดี แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเก่งจริง เชื่อว่า ยังไงๆ คนก็ต้องยอมรับเราซักแห่งหล่ะครับ จากคุณ : Aa - [ 24 ก.ย. 50 22:15:12 A:130.130.251.204 X:130.130.37.13 TicketID:040165 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สวัสดีครับ กระทู้นี้ถูกใจน้าเหลือเกิน น้าเองก็เคยอยากเสนอกระทู้ที่มีเนื้อหาประมาณนี้เหมือนกัน แต่...น้าไม่คิดว่าตนเองจะอยู่ในสถานะที่จะวิเคราะห์และวิจารณ์การนำเสนอของกลุ่มคนเหล่านี้ได้   ก็ได้แต่รอผู้ทีมีศักยภาพและรู้จริงในการพิพากษ์สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยของเรา  และชื่อหนึ่งที่น้าคิดว่าเหมาะสำหรับการนำเสนอข้อคิดเห็นในเรื่องนี้ก็คือ คุณกายทิพย์ นี่แหละครับ น้าเองก็เอียนๆในการโปรโมทตัวเองของคนทั้งที่เก่งมากและเหมือนเก่งมากน้าอ่านหนังสือที่คุณกายทิพย์เอ่ยมาข้างต้นไปแล้ว ซื้อเก็บไว้ด้วย ทั้งๆที่น้าไม่ใช่คนที่เก่งในระดับที่พี่ๆน้องๆในพันทิพเป็น  น้าอ่านไปซักครึ่งชั่วโมง ก็เห็นปรุโปร่งแล้วว่า จุดประสงค์ของการเขียนและออกหนังสือ มันเป็นการโปรโมท ยกระดับ และสร้างมูลค่าตนเองเป็นสำคัญ...อย่างเกินพอดีและไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่   แต่ผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาเหล่านั้นเสนอ มันอายจะมีมูลค่าสูงพอในตลาดประเทศไทยทั่วไป  แต่คงไม่มีอะไรในสายตาของนักวิชาการที่อยู่ในระดับสูงอย่างพี่ๆน้องๆหลายคนในที่นี้   หากหนังสือแนวนี้ออกมาอีกเมื่อไหร่  น้าก็ซื้อมาเก็บและมาอ่านอยู่ดี  เพราะน้าเองก็ชื่นชมคนเก่งอยู่แล้ว อ่านเพลินๆถือว่าอ่านหนังสือการ์ตูนแก้เซ็งละกัน ปล แต่ถ้าหากเป็นคุณ กายทิพย์ ออกหนังสือเมื่อไหร่  น้าจะซื้อและเอาไปให้เซ็น...หากมีโอกาส   เพราะ หนังสือของคุณ กายทิพย์ คงไม่ใช่เปรียบได้แค่การ์ตูน แล้วหล่ะ  อาจเป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตในเชิงบวก ให้กับคนไทยรุ่นหลัง หลายๆคนได้เลย จากคุณ : น้าเตี้ย (UNSW2000) - [ 24 ก.ย. 50 23:12:19 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มันก็เป็นวิธีทำมาหากินของเค้านะครับ จะว่าไม่ควรทำ มันก็ไม่มีสิทธิอะไรจะไปห้ามอีกนั่นแหละ เพราะมันก็ไม่ได้ผิดศีลธรรมจรรยาอะไรมากมาย แค่บอกไม่หมด แต่ส่วนตัวเห็นด้วยกับ จขกท. นะครับ บางคนก็ fake ซะเหลือเกิน เช่นคนจบมหาลัยดังที่เพิ่งออกหนังสือ เป็นต้น จากคุณ : Varga - [ 25 ก.ย. 50 00:35:35 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ก็เป็นประเภทนึงของคนนะครับ ไปเปลี่ยนอะไรเขาไม่ได้หรอก ต่างคนต่างอยู่ละกัน จากคุณ : silane - [ 25 ก.ย. 50 02:02:27 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในองค์กรใหญ่ๆ นะครับ ฝีมืออย่างเดียวไม่พอ ต้อง present ตัวเองเก่งด้วย จากประสบการณ์การทำงานของผมในองค์กร MNC ฝั่ง regional เคยเจอ director ห่วยๆ บางคนที่ได้รับโปรโมทจาก snr. manager ในช่วงเวลารวดเร็วมาก (มันเป็นเเขก) แต่มัน present ตัวเองเก่งจริงๆ ต้องยอมรับ จากคุณ : macleans - [ 25 ก.ย. 50 02:15:18 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมคิดว่า คำถาม (หรือ comment) นี้มองได้อีกแง่นะ นั่นคือ ต้องถามว่า ทำไมคนไทยหลายๆคน ยอมรับภาพลักษณ์ภายนอกได้ง่ายจัง   เพราะว่า การจะประสบความสำเร็จ หรือ การจะดังได้ มันต้องมีคนยอมรับมากจำนวนหนึ่งใช่ป่ะครับ   ถ้าไม่มีคนยอมรับ (หรือถ้าผู้รับนั้นมี critical skills ดีๆ) มันก็ "ดัง" หรือ ประสบความสำเร็จยากขึ้น ในเรื่องการเขียนหนังสือ (พิมพ์ หรือ คอลัมน์) หรือ ออกสื่อก็เหมือนกัน   เจ้าของสื่อก็ได้ประโยชน์ เพราะว่าทำให้คนมาบริโภคสื่อมากขึ้น  ในขณะเดียวกัน ดร. หรือนักเรียนนอกเหล่านั้นก็ได้โปรโมทตัวเองไปด้วย  สรุปว่า มันเป็นธุรกิจชนิดหนึ่ง   ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคสื่อ ซึ่งไม่มี critical skills ในการที่จะบริโภคเนื้อหา ก็รับเอาชื่อ หรือว่าภาพลักษณ์ภายนอก (เช่น จบดร. มา  จบจากมหาลัย x มา ฯลฯ) แล้วให้ความเชื่อถือเต็มร้อย   นี่ก็คือลักษณะวงจรที่เป็นอยู่ครับ  เพราะฉะนั้น จะว่าๆ คนเหล่านี้โปรโมทตัวเองอย่างเดียวก็ไม่ได้  เพราะว่ามีเจ้าของธุรกิจอยากให้มาโปรโมท และมีคนที่ยอมรับการโปรโมทอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วยครับ แต่คนที่เรียนด้วยกันมา ก็จะรู้ว่า ดร. นั้น จริงๆมันก็ระดับการศึกษาอันหนึ่งที่วัดได้ว่าผู้เรียน(น่า)จะมีวิธีคิด หาข้อมูล และสรุปผล ที่เป็นระบบระเบียบ และเป็นผู้รู้ในเรื่องบางเรื่องอย่างดี  แต่ถ้าเราไม่ต่อยอดไป  (นั่นคือ ไม่ผลิตผลงานทางวิชาการต่อไปเรื่อยๆ ไม่ไปประชุมสัมมนา ไม่ให้คำเเนะนำปรึกษาเด็กสำหรับทำตีสิส ดิสเซอร์ ฯลฯ)  ความรู้ที่ได้มา มันก็ตายไป และล้าหลังไปได้ในที่สุด  ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะเกิดกับระบบการศึกษาเมืองไทย  (นัน่คือ พอเรียนจบ กลับไปก็สอนอย่างเดียว สอนพิเศษเสาร์ อาทิตย์ ผลิตผลงานมาก็ตีพิมพ์กันเอง ไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ) น่ะครับ   คนที่มีชื่อเสียงจริงๆ ในวงวิชาการ ลองสังเกตดูสิครับ เค้าได้ชื่อมา หลังจากทำผลงานต่อยอดแล้ว   หลายๆคนไม่ได้จบมหาลัยระดับโลก หรือติดอันดับ แต่ก็มีชื่อเสียง (นั่นคือ มีผลงานเป็นที่อ้างอิงได้ และพูดชื่อ ใครๆก็รู้จัก) พวกนี้ ไม่ใช่ได้ชื่อเสียงมา ตอนหลังเรียนจบโดยไม่ได้ทำอะไรต่อน่ะครับ จากคุณ : texanprofesor (krisdauw) - [ 25 ก.ย. 50 07:59:54 ]

ความคิดเห็นที่ 7 This is a BooK. I can't speak EngLand... ^^ ทำอย่างไรได้ ดร. ก็คน มีลูก-เมีย ต้องหาเงินเลี้ยง ในเมื่อเงินเดือนจากภาครัฐไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่พอส่งลูกเรียนเมืองนอก ไม่พอผ่อนบ้าน ้เค้าก็ต้องหาหนทางทำ้เงินให้ตัวเอง ผมว่าถ้าจะหาว่าใครผิด  อันดับแรก ก็ต้องโทษผู้บริโภคแหละครับ ถ้าคุณไม่เชื่อ ไม่ซื้อ เค้าก็ขายไม่ได้ ดังนั้น เค้าก็ต้องหันกลับไปทำงานวิัจัยเื่พื่อหาเงิน แต่ถ้าผู้บริโภคเชื่อ ผู้บริโภคซื้อ เป็นใคร ใครก็ทำ อยู่ตรงนี้เราคงพูดได้ว่าไม่ดี อย่างนู้น อย่างนี้ แต่ถ้าอยู่ดี มีผู้จัดมาเสนอเงินให้ ชม. ล่ะ สามหมื่น ใครบ้างจะไม่คว้า นี่คือเรื่องจริงที่ต้องยอมรับ ทำงานทั้งเดือนได้เงินสามหมื่น กับทำงาน ชม.เดียวได้เงินสามหมื่น ที่นี้ก็ต้องมาดูกันต่อ ทำไมผู้บริโภคถึงคิดไม่เป็น มันก็ต้องไปย้อนถึง การศึกษาของผู้บริโภค ซึ่งถ้าพูดเรื่องนี้เดิ๊ยว ยาวแน่ แค่นี้ผมก็อยู่ในกลุ่ม black list bad boy อยู่แล้ว แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 50 08:26:16 จากคุณ : kanoomtan - [ 25 ก.ย. 50 08:25:11 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่ blacklist หรอกครับ พูดมาเุถอะ ยาวก็ได้ไม่เป็นไร :) ใครพอมีข้อมูลบ้างไหมครับ ว่าประเทศอื่นจะเป็นคล้าย ๆ แบบนี้กันบ้างหรือเปล่า จริง ๆ ผมก็อาจจะมองในแง่ร้ายไปหน่อยก็ได้ เช่นถ้ามองในแง่ดี อย่างน้อยผู้บริโภค เขาก็คงจะได้อะไร ๆ ติดหัว หรือได้ความรู้ติดตัวไปบ้าง ผมเองก็เคยได้รับความรู้ มากมาย จากนักวิชาการพวกที่ผมไปว่าเขานี่แหละ (อยู่ที่เราเลือกรับด้วย) กระทู้นี้คล้าย ๆ กันครับ "ทำไมคนไทยถึงชอบยกย่องคนที่เรียนจบจากต่างประเทศ มากกว่านักเรียนที่เรียนจบในประเทศไทย" http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5849517/K5849517.html ถ้าตอบคำถามในกระทู้นั้นดี ก็คงจะพอตอบโจทย์ตรงนี้ได้เหมือนกัน เดี๋ยวมาคุยต่อ ต้องไปช่วยงานที่พัก วันนี้มีสัมภาษณ์นักเรียนทุน Rhodes กับ Marshall รอบแรก ชั้นล่างของบ้าน ว่าจะลงไปสังเกตการณ์สักหน่อย จากคุณ : กายทิพย์ - [ 25 ก.ย. 50 08:40:49 ]

ความคิดเห็นที่ 9 If he/she is very good but stays in "a cave". That would not make any good either. So, I believe true academic proficiency and self-presentation is equally important. To constantly produce quality academic works, financial supports are crucial. Without it, a great researcher would become a janitor in no time. So, that "janitor" should be able to sell "their broom and mob" to someone to be able to maintain his/her research works. Anyway, I feel bad in my stomach when I see someone whom I know that he/she is the fake showing off on something he/she's not capable. จากคุณ : amatuer translator - [ 25 ก.ย. 50 10:52:51 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ปลื้ม ลูกอุ๋ย นี่มันเขียนคอลัมน์ในบางกอกโพสท์ด้วย แต่เนื้อหาชอบเขียนวกไปวนมา ไม่ถึงประเด็นซักที ชอบเขียนให้กว้างๆครอบคลุมไว้ก่อน เหมือนกับเอาข่าวทั้งเดือนมายำรวมกันเป็นคอลัมน์เดียว สุดท้ายหาสาระอะไรไม่ได้เลย จากคุณ : shit - [ 25 ก.ย. 50 12:32:24 A:58.8.120.94 X: TicketID:155806 ]

ความคิดเห็นที่ 11 สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ วีรบุรุษสร้างสถานการณ์ แต่ละคนมีความฝันต่างกัน การดำเนินชีวิตต่างกัน ฉนั้น ย่อมมีการกระทำที่ต่างกันเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่เลือกไว้ จากคุณ : Thaimarketer (ลี่หยง) - [ 25 ก.ย. 50 12:46:24 ]

ความคิดเห็นที่ 12 นั่นแน่................ แสดงว่าคุณ B.F. Pinkerton (กายทิพย์) อยู่ในวัยกำลังจะย่างเข้า 30 ขวบปีแล้วเป็นแน่แท้ จำได้ ตอนอายุย่าง 30 ทั้งเรา ทั้งเพื่อน ก็รู้สึกแบบที่คุณรู้สึกเลยละครับ พออ่านกระทู้นี้เลยนึกถึงตอนเก่าๆ สมัยนั่งถกกับเพื่อน (เรื่องนี้แหละ)  อย่างเมามัน จากคุณ : เทศระวี (เทศระวี) - [ 25 ก.ย. 50 14:16:46 ]

ความคิดเห็นที่ 13 Anyway, I feel bad in my stomach when I see someone whom I know that he/she is the fake showing off on something he/she's not capable. ^ ^ รู้สึกเช่นเดียวกันเลยค่ะ แล้วเวลาไปบอกใครๆ ก็ไม่ค่อยมีคนเชื่อเท่าไร หรือไม่เขาก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรที่คนพวกนี้จะโกหก เฮ้อ.. ส่วนมากเรามักจะดันไปรู้อะไรดีๆหรือรู้เช่นเห็นชาติคนแบบนี้ โดยที่คนอื่นๆไม่เห็น คงจะเป็นความสามารถพิเศษในการจับผิดคนแน่เลย จากคุณ : Superfunkycalifragisexy - [ 25 ก.ย. 50 15:09:59 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เข้ามาคุยต่อ เผลอหลับไป..เมื่อกี้..สงสัยคืนนี้ทำการบ้านยาว.. คุยกับคุณน้าเตี้ยก่อน..ท่าทางพี่จะเป็นหนอนหนังสือนะครับเนี้ย (ขออนุญาตเรียกพี่) จริง ๆ ตอนผมเรียนหนังสือที่เมืองไทย ผมก็เป็นคนชอบหนังสือประเภทนี้นะ คล้าย ๆ คุณพี่น้าเตี้ย คือมีเล่มไหนก็ตามอ่านหมดเลยเหมือนกัน โดยเฉพาะพวกประสบการณ์เรียนต่อต่างประเทศ เพราะนึกตลอดว่าเราอยากจะไปบ้าง ก็อ่านตั้งแต่รุ่น นักเรียนนอกอย่าง น.ม.ส, ส.เสถบุตร, ท่านวรรณไวทยากร, สุกิจ นิมมานเหมินทร์ ฯลฯ ไปจนถึงคนยุคหลัง ๆ แบบ พวก มรว.คึกฤทธิ์- มรว เสนีย์ ปราโมช , อ.ป๋วย, อ.ชัยอนันต์ ฯ, อ.สุลักษณ์, คุณวิลาส มณีวัตร, ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพ็ชร  ที่ชอบเขียนเรื่องแนว ๆ ต่างประเทศ คือผมอ่านแล้ว ผมก็โอเคนะ เพราะรู้สึกคนพวกนี้ เขามีผลงานจริง ๆ ชีวิตก็ค่อนข้างจะ fulfill ในทางหน้าที่การงาน หรือผลงานอื่นๆ แล้ว ถึงได้มาเขียนเล่าเรื่องเกร็ดชีวประวัติ หรือเรื่องเบา ๆ ให้คนอ่านได้ ก็มีความรู้สึกว่าคุณภาพของงานเขียนของพวกรุ่นเก่า ๆ เหล่านี้ จะมีค่อนข้างสูงนะครับ เทียบกับนักเขียน นักเล่าเรื่องสมัยหลัง ๆ สมัยนี้นี่ไม่รู้ว่ามันเป็นยุคทุนนิยม หรือว่าการตีพิมพ์หนังสือมันง่ายขึ้น ก็รู้สึกว่า งานอะไรมันไม่ค่อยละเอียด และก็ออกกันมาค่อนข้างจะง่ายไปหน่อย เรียกว่าใครที่พอจะมีชื่อเสียงนิดหน่อย ก็มีหนังสือกันไปหมดแล้ว ทั้งพวกวงการบันเทิง นักธุรกิจ หรือแม้แต่วงการวิชาการ  อันนี้ผมไม่ได้บอกว่าสมัยนี้ไม่ดี มันก็ดีเหมือนกัน เพราะมันก็มีอะไรให้เลือกเยอะดี เพียงแต่คุณภาพของสิ่งที่มีมันก็ออกจะด้อยลงไปหน่อย เพราะมันออกกันไม่ยาก หนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของคนก็ออกกันง่าย จริง ๆ ผมก็ไม่ได้ติดตามตลาดหนังสือไทยมานานแล้ว อย่างน้อยก็ 3-4 ปี แต่ก็รู้สึกมันมีอะไรใหม่ ๆ ออกมาเยอะมากขึ้น คนสมัยนี้ออกหนังสือ ออกสื่อได้ง่ายขึ้น อาจจะเหมือนฉาบฉวย ไม่เหมือนคนยุคก่อน หลายคนเพิ่งไปเที่ยว หรือเรียนจบมาก็ออกหนังสือกันได้แล้ว  หรือแม้แต่ เพิ่งสมัครเข้าไปเรียนได้ ก็สามารถออกหนังสือแนะนำได้แล้ว ขายดีด้วย (นี่รุ่นน้องผมเอง)  ก็เป็นเรื่องความแตกต่างกันของยุคสมัยและเทคโนโลยีที่มันพัฒนา น่ะครับ ไม่ได้ว่าอะไร  คนรุ่นใหม่ที่เขียนหนังสือดี ๆ ก็มีเยอะ เช่นพวกค่าย open แบบ ปกป้อง จันวิทย์ , ปิยบุตร (นิติรัฐ) เขียนได้ดีกว่า นักเขียนเก่า ๆ หลายคน แต่บางครั้งมันก็เป็นเหมือนกับดาบสองคมเหมือนกัน เพราะมันทำให้คนมีชื่อเสียงได้ง่ายเกินไป หรือจริง ๆ แล้วผมอาจจะอคติก็ได้ ที่ไปชื่นชมคนยุคเก่า ๆ มากเกินไป จริง ๆ แล้วก็อาจจะ เป็นแค่เพราะผมเป็นคนร่วมสมัยกับคนกลุ่มหลัง เลยไม่ค่อยมองพวกเขาอย่างชื่นชมเท่าที่ควรจะเป็น ไม่เหมือนเวลาเรามองคนที่มีอาวุโส คุณวุฒิ วัยวุฒิ มากกว่าเราเยอะๆ จากคุณ : กายทิพย์ - [ 25 ก.ย. 50 15:10:38 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเขียนต่อ..เกี่ยวกับเรื่องที่ คนสมัยนี้เริ่มเอาคุณวุฒิทางการศึกษา มาใช้ในเชิงการสร้างภาพลักษณ์ เพื่อเป็นการค้า ธุรกิจ หรือหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ หรือในทางการเมือง..กันอย่างโจ่งแจ้ง มากขึ้น จากคุณ : กายทิพย์ - [ 25 ก.ย. 50 15:15:42 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มึนๆๆ ด้วยประสบการณ์ทำงานเพียงสั้นๆ สรุปได้ว่า จำเป็น ครับ ทั่วทุกที่นั่นหละ แต่เมืองไทยมากกว่าที่อื่น ผมทำไม่เป็น ไม่ว่าจะระดับเพื่อนร่วมงาน ที่ทำงาน สังคมรอบๆ จนถึงสื่อ ความดีความชอบยกให้เค้าหมด มาเพิ่มเติมครับ แมค วันนี้ (25) ไปฟังงานที่สหวิทยาการจัดมาป่าวอ่ะ เรื่อง แขก เห็นด้วย โปรโมทตัวเองเก่งจิงๆ พี่เทศ ครับ พี่เกิน สามสิบ ไปเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ ผมว่า พี่แก่กว่าผมซักสามปีเองนะ ขอพื้นที่คุยหน่อยนะคับ คุณบีเอฟ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 50 15:53:52 จากคุณ : g9h - [ 25 ก.ย. 50 15:45:31 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สงสัยต้องเดินออกจากการคุยครั้งนี้ซะแล้ว มีแต่คนมีวัยวุฒิคุยกันทั้งนั้นเลย ผมยังตามหลังอีกเกือบห้าปี แต่ในมุมมองความคิดของผม ผมว่าเค้าเหล่านั้นทำเพื่อเงินครับ ซึ่งผมมองว่าเค้าไม่ผิด แต่ถ้าถามผมว่าผมจะทำแบบนั้นไหมผมคงไม่ทำ คนเรามีพื้นฐานต่างกัน ผมบอกได้เลยวันนี้ วันไหนผมก็คงไม่ทำแบบนั้น ส่วนนึงเพราะผมรู้สึกว่าที่พ่อแม่หาไว้ให้มีพอแล้ว แต่ในทางกลับกัน ถ้าผมไม่มีเลยล่ะ ผมคงต้องทำเช่นกัน เพื่อเงิน ผลงานทางวิชาการที่ติพิมพ์ มันเอาไปซื้อข้าวกินไม่ได้ ส่งลูกเรียนไม่ได้ ผ่อนบ้านไม่ได้ ต่อให้ได้ตีพิมพ์ nature ก็เหอะ ถามว่าเอาแลกข้าวกินได้ไหม ก็คงต้องเอากระดาษไปชั่งกิโลขายแลกเศษเงินมาซื้อข้าวแหละครับ คนเราถ้ามีครอบครัว ก็ต้องทำเพื่อครอบครัวก่อนเสมอ ผลงานวิชาการส่งลูกเรียนไม่ได้น่ะครับ ผมมาจากครอบครัวที่ตอนแรกไม่มีอะไรเลย พ่อแม่รับราชการ จนมาก ฮ่วย เงินจะเรียนตอนป.ตรียังไม่ค่อยมีเลย พ่อบอกว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไปทำอย่างอื่น ไม่เอาแล้วความภาคภูมิใจ เครื่องราช เหล่านั้น มันเอามาซื้อข้าวกินไม่ได้ ไม่สบายก็เอาไปจ่ายค่ายาไม่ได้ ทุกคนมีเหตุผลส่วนตัวที่ต้องผม ผมว่าเราควรเคารพสิทธิ์ของเค้าเหล่านั้น ต้องมา้ย้อนดูคนที่เสพที่สือเหล่านั้นมากกว่า ว่าทำไมคิดไม่เป็น หรือว่า การศึกษาของไทย ไม่ได้สอนให้คนคิดเป็น ตรงนี้มากกว่าที่น่ามอง!!!!!!!!!!!!!!! ไม่ใช่ไปโทษคนเขียนหนังสือ หันมามองคนอ่านทำไมเชื่ออะไรง่ายๆ แบบนั้น เพราะอะไรเค้าเหล่านั้นถึงคิดไม่เป็น แก้ปัญหาให้ตรงจุดดีกว่าไหม? จากคุณ : kanoomtan - [ 25 ก.ย. 50 16:07:46 ]

ความคิดเห็นที่ 18 หรือว่า การศึกษาของไทย ไม่ได้สอนให้คนคิดเป็น ตรงนี้มากกว่าที่น่ามอง!!!!!!!!!!!!!!! ไม่ใช่ไปโทษคนเขียนหนังสือ หันมามองคนอ่านทำไมเชื่ออะไรง่ายๆ แบบนั้น เพราะอะไรเค้าเหล่านั้นถึงคิดไม่เป็น แก้ปัญหาให้ตรงจุดดีกว่าไหม? ----------------------- ไม่นะครับ สำหรับผม อย่างกรณีบิดเบือน หรือเล่าไม่หมดนี่ ผมว่าคน ที่อยู่เมืองไทยเขาไม่ได้มีข้อมูลตรงนั้นไง และเขาก็จะค่อนข้างเชื่อถือคน ที่จบนอก เรียนสูง ๆ มหาลัยดี ๆ อยู่แล้วเรียกว่ามันมีความน่าเชื่อถือ ดังนั้นไม่น่าจะไปโทษผู้บริโภคได้นะครับ ส่วนประเด็นเรื่องเงิน หรือกล่อง นั้น ผมก็เข้าใจนะ และก็คิดว่า ค่อนข้าง จะ fair ที่จะพูดแบบนั้น เพียงแต่ประเด็นหลักที่ผมต้องการ raise ในกระทู้นี่คือ บางครั้งคนมันจะเอาเงิน เอาธุรกิจ หรือมุ่งไปทางการเมือง มากไปไงครับ จนอาจจะยอมบิดเบือน หรือ สร้าง position ตัวเอง ไปในบางอย่างที่ตัวเองไม่ได้เป็น ผมว่าเรื่องกระแสแบบนี้แหละที่มันน่าเป็นห่วง คือเดี๋ยวนี้มันไปไกลกว่า แค่การสร้างชื่อเสียงแบบธรรมดา ๆ ด้วยการเขียนคอลัมน์ ออกหนังสือพิมพ์ เหมือนสมัยก่อน ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว ผมว่าอนาคต ก็อาจจะมีลักษณะแบบนี้มาอีกเรื่อย ๆ ยิ่งสังคมไทยเป็นสังคม แบบบ้าเห่อปริญญา เห่อคนเรียนเมืองนอกแล้ว ก็คงจะตกเป็นเหยื่อ ของกระแสค่านิยมนี้ไปเรื่อย ๆ ดู ๆ แล้วก็เหมือน คนไทยถูก take advantage ยังไงก็ไม่รู้ คือเมื่อก่อนนี่ก็อาจจะ ประมาณมีบิดเบือนนิด ๆ หน่อยๆ เพื่อเพิ่มภาพลักษณ์ (อันนี้ยังพอทำใจได้) แต่หลัง ๆ นี่เพื่อหาเงินกันจริง ๆ จังๆ เป็นล่ำเป็นสันกันไปเลย แบบนี้ไม่รู้จะถือว่า เข้าข่ายปกปิดข้อมูลผู้บริโภคหรือเปล่าไม่ทราบ แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 50 10:19:20 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 50 18:07:38 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 50 17:59:11 จากคุณ : กายทิพย์ - [ 25 ก.ย. 50 17:54:13 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อ้าวก็ถ้าคนอ่านคิดเป็น แล้วเค้าจะไปชื่อพวกขอเก๋แบบนี้ได้ยังไงครับ ถ้าไม่เชื่อซะอย่างแล้ว เค้าก็หมดหนทางทำมาหากินแบบนี้เองแหละ ถ้าเราใส่การศึกษา ให้เค้ามีความคิด คิดเป็น เค้าก็จะเชื่ออะไรโง่ๆ แบบนี้ ค่านิยมงี่เง่า แบบนี้ก็จะไม่เกิด แต่นี่การศึกษาไทยสอนให้เชื่อ โดยไม่ต้องดูเหตผลประกอบ บอกให้เชื่อๆไป ตามผู้ใหญ่ เด็กคนไหนเถียงผู้ใหญ่ หรือซักผู้ใหญ่จะโดนมองว่ากร้าวร้าว ครูอาจารย์จะถือตัวเอง ว่าตัวเองถูกเด็กผิด สังคมไทยมันโดนกด และแบ่งแยกวรรณมากลายๆ อยู่แล้ว คนไทยเลยคิดไม่ค่อยเป็น ซึ่งช่องว่าตรงนี้ คนที่มีความรู้ความสามารถจึงฉกฉวยมาสร้างโอกาสให้ตัวเองได้มากกว่า แล้วทำไมเราไม่แก้ให้เค้าคิดเป็นล่ะครับ จากคุณ : kanoomtan - [ 25 ก.ย. 50 18:10:10 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เหมื่อนกับเรามองอาชีพบริการทุกประเภท เป็นอาชีพของคนไร้การศึกษา อาชีพเกษตรกรเป็นคนจน แต่ทำไมต่างชาติมองทุกอาชีพเท่าๆกัน ค่านิยมเหล่านี้ ถูกปลูกฝังมาจากระบบเจ้าคุณมูลนาย ในสมัยก่อน แล้วมันก็ยังไม่หมดจากสังคมไทย สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมรวมกันมาเป็นสังคมเซ็งเคร็งแบบไทย ที่คอยหลอกตัวเองว่าเป็นสังคมที่มีไมตรีจิต ซึ่งจริงๆ แล้ว ลองมองย้อนลงไปซิครับ คนที่เป็นคนมีน้ำใจ ส่วนใหญ่เป็นคนชนชั้นล่าง กับกลาง พวกสูงๆ เค้าเคยมองลงมาดูแลเราบ้างหรือเปล่า ... คนไทยขาดการศึกษา นี่คือเรื่องจริง ถ้าการศึกษาถึง คนจะดีขึ้นเอง ค่านิยมบ้าๆ ก็จะหมดไป สมัยพ่อผมไปเริ่มซื้อที่ที่ต่างจังหวัด ชาวบ้านแถวนั้น แถบจะนับถือแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแค่รู้ว่าเป็นข้าราขการก็ยกยอซะ ตกดึกมีิยิงกันยังต้องมาตามพ่อออกไปเลย (ตามไปทำไมพ่อจะทำไรได้ยิงปืนก็ไม่เป็น) แต่ชาวบ้านเค้าคารพที่ฐานะทางสังคม โดยไม่สนใจเรื่องอื่นเลย ทีนี้ถ้าคุณ รวยด้วย จบนอกด้วย ตาสีตาสา ก็แถบจะคลานเข่ามาคุยแล้วครับ คนไทยคงโดนกดไปอย่างนี้อีกหลายรุ่นแน่นอน เพราะไม่มีใครคิดจะำพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจัง คนบนๆ เค้าก็ไม่อยากเสียสถาณภาพทางสังคมของเค้า จากคุณ : kanoomtan - [ 25 ก.ย. 50 18:20:24 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เขาอาจจะคิดเป็น คิดได้.. ถ้าเขามีข้อมูลตรงนี้ไง แต่ถ้าเขาไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ก็ยากครับ ... สงสัยต้องแก้โดยซื้อ notebook OLPC ให้เด็กไทย คนละเครื่อง :o ========= เพิ่งอ่านข้างบน เข้าใจ ประเด็นคุณ kanoomtan แล้วครับ เป็นประเด็นที่กว้างออกไปอีกเยอะเลย แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 50 18:27:15 จากคุณ : กายทิพย์ - [ 25 ก.ย. 50 18:25:13 ]

ความคิดเห็นที่ 22 การที่โกหกและเอาเปรียบคนก็ถือว่าเป็นการทำผิด public fraud ถ้าจะโทษก็ต้องโทษฝ่ายที่โกงด้วยว่าเขาก็ทำผิดเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะบอกว่าคนที่เชื่อ ช่วยไม่ได้ โง่เอง อยากไปเชื่อเขาทำไม ก็เพราะคนเรามันฉลาดได้ไม่เท่ากัน การเข้าถึงข้อมูลก็ไม่เท่ากัน ถึงบางคนไม่ได้โกหกตรงๆ แต่การบิดเบือนหรือการปิดบังไม่พูดความจริงทั้งหมด ก็ถือว่าเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไม่ใช่เบลมแต่คนที่เชื่อฝ่ายเดียว คนที่หลอกคนอื่นนั้น น่าประณามมากกว่าเสียอีก การแก้ให้คนคิดเป็น คงจะทำได้ คงจะยากและต้องใช้เวลามากๆ แต่ถ้าคนที่รู้ว่า คนที่โกหกนั้น พูดผิดตรงไหนบ้าง และบอกกันปากต่อปาก อย่างน้อยก็สร้างภูมิคุ้มกันได้ระดับนึง ตอนนี้ทำได้เท่าไรก็ทำไปน่าจะดี โดยการให้ข้อมูลความจริงให้มาก อาจจะเป็นทางแก้ที่ไม่ใช่ระยะยาว แต่ก็ทำไปก่อนดีกว่าอะค่ะ จากคุณ : Superfunkycalifragisexy - [ 25 ก.ย. 50 18:31:33 ]

ความคิดเห็นที่ 23 To k. kanoomtan: I see your points clearly. As a person whom has been exposed to a rural part of Thailand for quite some time, I'd seen something about suppression and willing to accept it. In out society, it still pretty much looks like a democratic feudalism. Well, there are a bunch of people liking to be classified as a higher class. Meanwhile, people who feel inferior would like to push themselves and their children to the same class. Feeling a bit better yet it's not that good. They become people who intimidate those people themselves. These processes are repetitive from one generation to another. From one limited area of the country propragating to another... As you may have seen in nowadays problems. It becomes "a norm". We don't have cast (legally). In fact, we do have it socially. Teaching (if it's the same as "education") would partly be a sustainable approach to solve the problems. However, the governmental system itself poses the pictures of "feadulism".... Many sectors in this system still strongly adhere to such "values".... to name a few, military sectors, police sectors, court&judicial sectors.... A Thai society with true equity.... well, good goal/dream krub... But it may not be materialized as we wish soon... Sorry about that. :) จากคุณ : amatuer translator - [ 25 ก.ย. 50 20:01:13 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณ พี่ A.T น่ะครับ ที่เข้าใจหัวอกวัยรุ่น(ฮาๆ แต่ประโยคนี้ But it may not be materialized as we wish soon. ้อ่านแล้วก็หมดอะไรตายอยากกับประเทศไทยจริงๆ จากคุณ : kanoomtan - [ 25 ก.ย. 50 20:16:26 ]

ความคิดเห็นที่ 25 Dear k. kanoomtan: It may happen. If we the Thai respect each other as equal. Starting from ourselves... One day those who have thought that they are superior and have "higher" diginity because of their education and/or profession would do the same. Many professions are root cause of this social suppression such as those in military, police affairs, judge, prosecutors, and governors. Many of these people have treated other whose have less social/financial opportunity like disgusting dirt. On top of that, they abuse their powers and take advantages from "lowered" people. It's not a small issue... It's really deep... So it cannot be solved in a few days or years, don't you think? :) จากคุณ : amatuer translator - [ 25 ก.ย. 50 21:17:38 ]