Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ประสบการณ์อันเลวร้ายในการขอวีซ่ากับสถานฑูตเยอรมันเพื่อเรียนภาษาที่ประเทศเยอรมัน

    ดิชั้นขอเล่าประสบการณ์ของดิชั้นเอง เกี่ยวกับการขอวีซ่าเพื่อเรียนภาษาที่ ปท.เยอรมัน เพราะว่าทางสถานฑูตเยอรมันไม่เกียรติผู้หญิงไทยเลย ซึ่งทั้งการสัมภาษณ์และการตั้งคำถามถือว่าเป็นการดูหมิ่นหญิงไทยเป็นอย่างยิ่ง คือดิชั้นทำงานอยู่บริษัทค้าน้ำมันข้ามชาติเจ็ดปี เงินเดือนอยู่ในขั้นสูง   ซึ่งดิชั้นก่อนที่จะขอวึซ่าเรียนภาษา ดิชั้นเคยไปเที่ยวที่ ปท.เยอรมันมาแล้วเมื่อปีที่แล้ว ประมาณ 1 เดือน โดยขอเริ่มเล่าทีละขั้นเลยนะค่ะ

    - เริ่มแรก ดิชั้นไปยื่นเรื่องเพื่อขอวีซ่าเรียนภาษาโดยไปยื่นเมื่อวันที่ 15 ต.ค. ซึ่งมีเอกสารและหลักฐานที่จำเป็นตามที่ดิชั้นได้ศึกษาจากเว็ปของสถานฑูต และมี จม. แจ้งความประสงค์ไปด้วยว่า ต้องการเรียนภาษาเยอรมันเพราะว่าเมื่อปีที่ไปเที่ยวมาแล้วประทับใจ และได้กลับมาลงเรียนภาษาเยอรมันเพิ่มเติมที่สถาบันเกอเธ่ ระดับ A1 จำนวน 2 คอร์ส และอยากเรียนเพื่ออยากได้ภาษาที่สาม เพื่อกลับมาทำงานที่ กทม. เพราะถ้าดิชั้นได้ภาษาที่สาม ดิชั้นจะมีหน้าที่การงานที่ดีขึ้น ซึ่งระยะเวลาในการเรียนคือหนึ่งปี
    - ดิชั้นได้ไปยื่นเอกสาร ทางเจ้าหน้าที่ก็รับไปดู และแจ้งว่าทางสถานฑูตจะต้องส่งเอกสารทั้งหมดไปยัง ตม. เมืองที่ดิชั้นต้องการไปศึกษา และระยะเวลาในการดำเนินการประมาณ 8-10 สัปดาห์
    - ดิชั้นก็รอแล้วรอเล่า จนวันที่ 11 ธ.ค. ทางสถานฑูตโทรมาว่า ต้องการให้ดิชั้นนำเอกสารเพิ่มเติมและนัดสัมภาษณ์ในวันที่ 19 ธ.ค. ซึ่งเป็นระยะเวลาตั้งแต่ยื่นเรื่องประมาณ 3 เดือนเต็ม
    - พอวันที่ 18 ธ.ค. ทางสถานฑูตได้โทรมาอีก บอกว่าขอเลื่อนเป็นวันนี้เลยเวลา บ่ายโมงตรง
    - ดิชั้นก็ไปก่อนเวลานัด ซึ่งเป็นเวลาที่สถานฑูตปิดแล้ว แต่พอบ่ายโมง ดิชั้นได้แจ้งว่าชื่ออะไร ทางสถานฑูตก็ให้เข้าไปเป็นกรณีพิเศษ และให้ไปที่ช่อง 10

    เขาเรียกดิชั้นไปเชือดค่ะ ขอเริ่มเลยนะค่ะ
    - ที่ช่อง 10 มีคนไทยเป็นผู้หญิงที่เป็นล่าม หนึ่งคน คนเยอรมันที่เป็นหัวหน้าหนึ่งคน ซึ่งอย่างแรกเขาขอดูเอกสารจากดิชั้นเพิ่มเติม ซึ่งได้แก่ เรซูเม่, ใบรับรองเงินเดือน, และดิชั้นได้เพิ่มใบรับรองจากนายที่เขียนยืนยันการทำงานชั้นไปด้วย, และวุฒิการศึกษาต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วยเอกสารจำพวกที่ดิชั้นได้รับการอบรมต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่ดิชั้นทำงานและทางบริษัทได้ส่งให้ไปอบรมตามที่ต่างๆ ซึ๋งดิชั้นไม่ได้จบโทนะค่ะ แต่จบตรี อินเตอร์
    - ทางเจ้าหน้าที่ได้ดูเอกสารทั้งหมด ซึ่งเจ้าหน้าที่คนนี้เป็นคนเยอรมันผู้ชายเป็นระดับหัวหน้าของพนักงานที่อยู่ตามเคาน์เตอร์วีซ่าทั้งหมดค่ะ  และเขาเริ่มสัมภาษณ์ บอกว่าดิชั้นไปเรียนภาษาที่ ปท.เยอรมันทำไม ใครเป็นคนออกค่าใช้จ่าย ดิชั้นก็บอกว่าพี่เขยดิชั้นจะออกค่าใช้จ่ายให้  และดิชั้นไปเรียนเพื่อที่จะต้องการพัฒนาตัวเอง อยากกลับมาทำงานที่นี่พร้อมกับภาษาที่สาม และถ้าเป็นไปได้ดิชั้นอยากทำงานกับบริษัทที่เป็นเยอรมันด้วย จะได้ใช้ภาษาเยอรมัน  (เออ การสัมภาษณ์บางทีดิชั้นก็พูดภาษาอังกฤษ แต่บางทีคิดไม่ทันก็ให้ลูกน้องของเขาช่วยแปลค่ะ) เขาก็บอกว่าบริษัทที่ชั้นทำงานอยู่ก็ดี ทำไมไม่คิดกลับไปทำงานที่เดิมล่ะ ดิชั้นก็บอกว่าจริงๆ บริษัทชั้นเองก็มีแผนกที่ต้อง support แถบยุโรป ดิชั้นเองก็อยากทำงานที่เดิม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นดิชั้นต้องสามารถใช้ภาษาเยอรมันให้คล่องแคล่วเหมือน เจ้าของภาษาก่อน
    - เขาก็เริ่มต่อว่า ดิชั้นว่า เขาไม่เห็นความจำเป็นที่ดิชั้นต้องไปเรียนแล้วลาออกจากงานเพราะว่ามีเกอเธ่ คุณก็เรียนไปทำงานไปด้วยสิ ซึ่งดิชั้นก็อธิบายไปว่า การเรียนที่เกอเธ่ก็ดี แต่มันจะได้ช้า เพราะถ้าคนเรียนไม่ถึงแปดคน ทางสถาบันจะไม่เปิดคลาสให้ซี่งต้องรอจนกว่าคนจะครบ ซึ่งทำให้การเรียนไม่ต่อเนื่องแล้วได้ผลช้า แต่การไปเรียนที่นั่น แค่เสียเวลาปีเดียวแต่ดิชั้นสามารถพัฒนาได้เร็ว เพราะสามารถสร้างความคุ้นเคยได้ตลอดเวลา การเรียนเกอเธ่พอออกจากห้องเรียนก็หาความคุ้นเคยที่เป็นภาษาเยอรมันไม่ได้แล้ว เขาก็ไม่ฟัง แล้วส่ายหัวพร้อมตะคอกและบอกดิชั้นว่า เขาไม่เห็นความจำเป็นที่คุณต้องเรียนที่นั่นอยู่ดี
    - เขาก็เริ่มถามคำถามที่เกี่ยวกับพี่ชายดิชั้น ซึ่งพี่ชายดิชั้นได้โอนสัญชาติเป็นเยอรมันแล้ว โดยเริ่มอยู่ที่นั่นด้วยวีซ่าแต่งงาน เจ้าหน้าที่คนนี้ก็เริ่มถามแล้วให้ลูกน้องแปลด้วยคำถามว่า พี่ชายคุณอยู่ที่นั่นด้วยวีซ่าท่องเที่ยวใช่หรือไม่?
    ดิชั้นก็ตกใจว่า ทำไมกล่าวหาพี่ชายดิชั้นอย่างนี้ ดิชั้นก็บอกว่าพี่ชายดิชั้นอยู่ที่นั่นด้วยวีซ่าแต่งงาน และดิชั้นก็เอาสำเนาใบทะเบียนสมรสให้เขาดู และบอกว่าพี่ชายดิชั้นไม่ทำอะไรผิด กม. หรอกค่ะ
    - เขาก็ทำท่าขึงขัง และถามว่า ดิชั้นแต่งงานหรือยัง ดิชั้นก็บอกว่ายังไม่ได้แต่ง โสด มีลูกไหม? ดิชั้นก็บอกว่าไม่มีค่ะ
    - เขาก็บอกว่าเขาไม่เห็นความจำเป็นอยู่ดีว่า ดิชั้นจะเรียนภาษาที่นั่นทำไม แต่ถ้าดิชั้นสามารถมีเอกสารหรือหลักฐานจากนายจ้างว่าเขาจะรับดิชั้นเข้าทำงานเมื่อเรียนจบกลับมาแล้ว เขาจะพิจารณาให้  ดิชั้นก็บอกว่า มีแต่เมล์ที่ดิชั้นเคยเมล์ไปขอนายดิชั้นที่เป็นระดับ Regional ว่าดิชั้นไม่ต้องการได้รับโปรโมทงานตอนนี้  ดิชั้นต้องการไปเรียนก่อน และเป็นไปได้ไหมถ้าดิชั้นกลับมาแล้วขอทำงานกับเขาต่อ ได้ไหม? ทางนายดิชั้นก็ตอบโดยรวมว่า ไม่มีปัญหา  แต่เมล์อันนั้นที่ดิชั้นเตรียมไปมันไม่ค่อยเป็นลายลักษณ์อักษรที่เป็นทางการมากนัก ดิชั้นก็ให้เขาไปเพิ่มเติม
    - แล้วดิชั้นก็ชี้แจงเขาต่อว่า ถ้ามีแนวโน้มว่า ดิชั้นสามารถต่อโทได้ดิชั้นก็อยากต่อเพราะว่าสังคมการทำงาน เดี๋ยวนี้ทุกคนต้องจบโทกันแล้ว แต่ดิชั้นต้องเรียนภาษาไปก่อนเพราะว่าการสอบโทเราต้องเอาผลการวัดภาษาไปเทียบขั้นในการเข้ามหาลัยที่นั่น ซึ่งเขาก็เริ่มเกรี้ยวกราดกับดิชั้นอีกครั้งว่า ดิชั้นเขียนวัตถุประสงค์ในการขอวีซ่ามาผิดประเภท ดิชั้นอยากไปต่อวีซ่าเรียนโทที่นั่นล่ะสิ เขาคงไม่สามารถอนุมัติวีซ่าให้ดิชั้นได้ ซึ่งดิชั้นก็บอกว่า อย่างไรก็แล้วแต่ดิชั้นต้องได้ภาษามาก่อน และการจะต่อโท ดิชั้นก็ต้องกลับมาไทยก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ การต่อโทเป็นแค่แผนการณ์ในอนาคต แล้วเขาก็บอกว่า ต่อในไทยก็ได้นิ ดิชั้นก็บอกว่า ที่นั่นเรียนโทฟรีนิค่ะ แต่ถ้าเป็นหลักสูตรอินเตอร์ที่เป็นภาษาอังกฤษจะแพงมาก แต่ถ้าเรียนเป็นภาษาเยอรมันจะมีทุนให้เรียนฟรี เขาก็ไม่ฟังเหมือนเดิม และการไปต่อที่นั่นจะได้ภาษาที่สามกลับมาด้วย
    - เขาก็ส่ายหัว และไม่ฟังดิชั้นต่อไป ซึ่งดิชั้นเองก็ไม่รู้เขาเป็นอะไร ทำไมต้องตะคอกใส่ดิชั้นอยู่ตลอด และเวลาดิชั้นชี้แจงอะไรก็ปิดไมค์ดิชั้นด้วย ไม่ให้เกียรติกันมาก
    - เขาก็บอกว่าจะส่งเรื่องของดิชั้นพร้อมเอกสารเพิ่มเติมไปที่ ตม. เมืองที่ชั้นขอไปเรียน แล้วก็จบการสัมภาษณ์ ซึ่งระยะเวลาประมาณหนึ่ง ชั่วโมง
    - พอดิชั้นออกมาจากสถานฑูต ดิชั้นก็โทรหาพี่ชายดิชั้นที่อยู่ ปท.เยอรมัน แล้วเล่าเรื่องที่เขาพาดพิงพี่ชายดิชั้น เกี่ยวกับการอยู่ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว ซึ่งพี่ชายดิชั้นโกรธมากและได้โทรไปต่อว่า ซึ่งมีคนไทยผู้หญิงรับ พี่ชายดิชั้นก็บอกว่า ทำไมถึงมาดูถูกคนไทยด้วยกัน เรื่องของเขา เขาขอชี้แจงเองแล้วเขาเองก็ได้สัญชาติเยอรมันแล้ว ทำไมมากล่าวหากันโดยไม่เช็กประวัติเขาก่อน ซึ่งพี่ชายดิชั้นต้องการต่อว่าหัวหน้าของเจ้าหน้าที่วีซ่า แต่โอนสายผิด
    - ดิชั้นไม่สามารถกลับไปทำงานได้ปกติ เสียใจมาก เพราะดิชั้นต้องรอคอยวีซ่านานมาก และการสัมภาษณ์ก็ไม่ดี และคงไม่หวังอะไรกับการได้วีซ่ามาแล้ว
    - ตอนเช้าดิชั้นไปทำงาน คนที่ทำงานก็ถามถึงการสัมภาษณ์แต่เหมือนมันสะกิดใจค่ะ ดิชั้นก็ร้องไห้ไปทำงานไปตลอด แต่ไม่กล้าลุกออกจากโต๊ะเพราะอายชาวบ้าน แต่ก็ทำงานนะค่ะ แม้จะไม่ค่อยมีใจก็ตาม
    - พอตกเย็นดิชั้นได้โทรไปหาพี่ชายดิชั้น พี่ชายก็บอกว่า ได้เมล์ร้องเรียนไปยังสถานฑูตเกี่ยวกับการตั้งคำถามกับดิชั้นที่พาดพิงถึงเขาในทางไม่ดี และได้ชี้แจงไปด้วยว่า อยากให้เช็กแบล็กกราวด์การศึกษาและการทำงานของดิชั้นด้วยว่า คนอย่างดิชั้นคงไม่ไปเริ่มต้นศูนย์ใหม่ที่นั่นหรอก ซึ่งที่ดิชั้นต้องการไปเพราะต้องการได้ภาษามาเพื่อหน้าที่การงานในอนาคต และวีซ่าแต่งงานของพี่ชายดิชั้น พี่ชายดิชั้นไม่ได้ใช่ว่าแต่งงานเพื่อต้องการทำงานเหมือนคนอื่นๆ แต่พี่แต่งงานก็แต่งด้วยความรัก และการที่คนต่างชาติจะได้สัญชาติเยอรมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยคุณน่าจะรู้ และทำไมมากล่าวหากันอย่างนี้ ซึ่งพี่ชายดิชั้นเองก็คนเยอรมันแล้วด้วยตอนนี้
    - พอดิชั้นได้ทราบว่าพี่ชายดิชั้นได้เมล์ไปยังสถานฑูต ดิชั้นก็หายเศร้าไปปลิดทิ้ง และดีใจที่พี่ชายได้แสดงให้คนพวกนี้ได้รู้ว่า อย่ามาดูถูกคนไทย ดูถูกผู้หญิงไทย ว่าจะหนีหลบเข้าเมืองกันทั้งหมด และปิดกั้นคนที่ต้องการศึกษาจริงๆอย่างดิชั้น
    - แล้วพอเช้าวันต่อมา ดิชั้นได้ลองสอบถามไปยังบริษัทว่าสามารถออกใบรับรองว่าจะจ้างดิชั้นอีกครั้งเมื่อดิชั้นกลับมาได้หรือไม่ ทางบริษัทก็ว่าได้สิ เดี๋ยวออกให้เช้านี้เลย ดิชั้นก็ดีใจมากไม่คิดว่า ทางบริษัทจะทำให้
    - ดิชั้นก็รีบบึ่งรถมอไซค์ไปที่สถานฑูตเพื่อยื่นเอกสารฉบับนี้เพิ่มเติม ว่าทางนายจ้างยินดีจะจ้างดิชั้นอีกครั้งเมื่อดิชั้นเรียนเสร็จกลับมา
    - ดิชั้นได้นำ จม.ฉบับนี้ไปยื่นที่หน้าเคาน์เตอร์ ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า ดิชั้นได้ยกเลิกการขอวีซ่าไปแล้วนิ ดิชั้นใจหายวูบเลยว่า ดิชั้นยังไม่ได้ยกเลิกเลยนะค่ะ ช่วยดูอีกที
    - เสร็จแล้วเขาก็หายไปพักหนึ่ง และดิชั้นก็แอบเห็นว่า หัวหน้าเยอรมันผู้ชายที่สัมภาษณ์ดิชั้นเมื่อวันก่อนมาชะโงกหน้าดูดิชั้นนิดนึง
    - สักพักทางเจ้าหน้าที่ผู้หญิงก็แจ้งว่า ขอเชิญช่องพิเศษอีกแล้ว ทางหัวหน้าต้องการคุยด้วย
    - หัวหน้าคนนั้นก็คุยกับดิชั้นว่า ได้รับ จม.ร้องเรียนจากพี่ชายดิชั้น ซึ่งเราคงมีการเข้าใจผิดกัน เกี่ยวกับการตั้งคำถามของเขา แต่คราวนี้เราคุยกันแค่สองคนแล้ว ไม่มีล่ามคุยกันเป็นภาษาอังกฤษระหว่างดิชั้นกับเขา
    - ดิชั้นก็บอกว่าวันนั้นคุณถามดิชั้นว่า พี่ชายดิชั้นอยู่ที่นั่นด้วยวีซ่าท่องเที่ยวใช่หรือไม่? แต่เขาชี้แจงว่า เขาแค่ถามดิชั้นเฉยๆ ว่า พี่ชายดิชั้นอยู่ที่นั่นด้วยวีซ่าประเภทอะไร? แต่ดิชั้นได้ยินชัดว่าในวันนั้นเขาพูดคำว่า "Tourist Visa" ซึ่งเขาก็บอกว่าคงมีการเข้าใจผิดกัน และบอกต่อว่าการสัมภาษณ์ดิชั้นเมื่อวันก่อนไม่มีผลอะไรกับการพิจารณาวีซ่าดิชั้นเลย (ชั้นก็คิดในใจว่า ไม่จริงหรอก ไม่งั้นจะเรียกกรูมาเชือดทำไมว่ะ และสัมภาษณ์ตั้งนาน) ดิชั้นก็บอกว่าถ้างั้นก็ต้องขอโทษด้วย ถ้าเราเข้าใจผิดกัน อาจเป็นเพราะว่าวันนั้นเราไม่ได้คุยกับตรงๆ เหมือนวันนี้ เขาก็ขอโทษที่ทำให้ดิชั้นเข้าใจผิด และชี้แจงต่อว่า การถามของเขานั้น เขาถามตามที่ ตม.ทางนั้นให้ถาม
    - แล้วดิชั้นกับเขาก็ขอโทษกัน เขาก็ถามต่อว่า มีอะไรให้เขาช่วยไหมในวันนี้ ดิชั้นบอกว่า ดิชั้นได้นำ จม.จากนายจ้างที่ว่าจะยินดีจ้างชั้นเมื่อดิชั้นเรียนจบกลับมา รบกวนช่วยส่งต่อไปที่ ตม.ที่นั่นให้ด้วย
    - เขาก็บอกว่า เขาจะส่งต่อให้ทางนั้นพิจารณา ซึ่งเอกสารของชั้นทั้งหมดก่อนหน้านี้ เขาได้ส่งต่อไปที่ ตม. ที่นั่นแล้ว ยังไงเขาจะส่งเอกสารนี้เพิ่มเติมไปให้
    - เขาก็ถามดิชั้นว่า ดิชั้นต้องการถามอะไรเขาไหม ดิชั้นก็บอกว่า ไม่ทราบว่าต้องการเอกสารอะไรจากชั้นเพิ่มไหม ในการยืนยันว่าดิชั้นกลับมา ปท.ไทย
    - เขาก็บอกว่าจะดูให้ เพราะเขาต้องส่งต่อไปที่ ตม. ถ้าทางนั้นต้องการเอกสารเพิ่มเติม เขาจะแจ้งให้ดิชั้นทราบ เสร็จแล้วเขาก็ Merry Christmas and Happy New Year" กับดิชั้น ซึ่งรอบนี้มีการยิ้มแย้มบางแล้วไม่เหมือนคราวก่อนที่ ทั้ง ตะคอก ปิดไมค์ ส่ายหัว เวลาดิชั้นชี้แจงเหตุผล
    - พอรอบนี้ดิชั้นออกมาจากสถานฑูต ดิชั้นก็อารมณ์ดีขึ้น และคิดว่าไม่ได้วีซ่าก็ช่างมันแล้ว แต่ดีใจที่พี่ชายดิชั้นได้กู้ศักดิ์ศรีของตัวเอง และดิชั้นก็ยังมีงานทำ ดิชั้นกลับมาก็เมล์หานายเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น นายดิชั้นก็บอกว่าเขารู้สึกเสียใจที่ได้รับรู้เรื่องของชั้น แต่เขาก็อยากให้ดิชั้นทำงานอยู่กับเขาต่อไป

    สรุปตอนนี้ดิชั้นก็ต้องรอผลวีซ่าต่อไป แต่อยากเล่าเรื่องนี้ให้คนที่ต้องเจอเหตุการณ์อันเลวร้ายจากสถานฑูตเยอรมันที่จะดูหมิ่น ดูแคลน ผู้หญิงไทย ซึ่งดิชั้นเองก็มีบุคคลิกเป็นคนทำงานปกติ ไม่ได้มีท่าทีเหมือนอย่างที่เขาคิด  หลักฐานการทำงานการศึกษาก็พร้อม เลยไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่ให้เกียรติกันบ้าง
    แต่ยังไงก็แล้วแต่ ถ้าไม่ได้วีซ่า ดิชั้นก็ไม่อยากขอใหม่แล้ว ทำงานอยู่ที่นี่ดีกว่า ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เงินเดือนก็พอกินพอใช้สบายๆ ใน ปท.ไทย  ที่อยากไปเพราะคิดว่าอยากเที่ยวและพี่ชายก็ออกค่าเรียนให้ทั้งหมดเท่านั้นเอง

    แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 50 22:43:13

    แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 50 22:34:35

    จากคุณ : BeeManad - [ 22 ธ.ค. 50 22:22:22 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom