ความคิดเห็นที่ 1 เราเรียน ป โท แต่เราขออนุญาตแนะนำ คนเรียน ป เอก นะคะ เราเองก็เป็นคนอธิบายอะไรไม่เก่งเหมือนกัน แบบว่าเรียบเรียงความคิดก่อนหลัง ลำบาก เค้าว่ากันว่า ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะมีปัญหาเรื่องนี้ อิอิ เพราะฉะนั้น คุณ จขกท ไม่แปลกหรอกค่ะ critical thinking หรอ คือการคิดแบบมีหลักการและมีเหตุผลประกอบการคิดของเรา เรียนที่เมกา จะใช้ ทักษะ ตรงนี้เยอะมาก เราต้องมีวิธีการคิดที่เป็นในแบบของเราเอง ให้มีเหตุผลประกอบและนำไปใช้ได้จริงประกอบการแก้ปัญหา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเค้าให้ case study มานะ เราก็อ่านๆ แล้วทำความเข้าใจ หลังจากนั้นเราก็ต้องมาเรียบเรียงความของเราว่า เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร โดยการที่ เริ่มสรุปว่า ปัญหามันมีอะไรบ้าง ร่ายมา ข้อหนึ่ง ข้อสอง ข้อสาม ตามนั้น แล้ว ก็ร่ายวิธีแก้ปัญหา ของข้อหนึ่ง ข้อสอง และ ข้อสาม ร่วมกับว่า เราต้องมีการใช้ทฤษดี อะไรประกอบวิธีการแก้ปัญหาของเรา ก็หาหลักฐานมากประกอบความคิด โน้มน้าวให้คนอ่านเค้าคิดเหมือนเรา รวมทั้งตอนท้ายให้สรุปข้อดีข้อเสีย ของวิธีการแก้ปัญหาของเราในแต่ละวิธี ทั้งนี้ เปิดใจให้กว้าง วิธีแก้ปัญหามีหลากหลายรูปแบบ ไม่ตายตัว แต่ละคนจะเลือกแก้ปัญหาเดียวกันนี้แตกต่างออกไป ไม่มีถูกมีผิด เพียงแต่ว่า เราต้องอธิบายความคิดเราให้มีเหตุผลควบคู่ไปกับวิธีการแก้ปัญหาที่ดูแล้วจะได้ผลมากที่สุด อธิบายมานี่ เง็ง ไหมคะ คนต่อไปช่วยที................... จากคุณ : [7th Heaven] - [ 8 ม.ค. 51 07:43:46 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Critical thinking involves asking questions rather than memorizing information. Instead of simply collecting the "facts", a critical thinker probes them, looking for underlying assumptions and ideas. Instead of focusing on dates and events in history or symptoms in psychology, you probe for motives, causes---an explanation of how these things came to be. A critical thinker cultivates the ability to imagine and value points of view different from his own---then strengthens, refines, enlarges, or reshapes his ideas in light of those other perspectives. A critical thinker is both open and skeptical at the same time: receptive to new ideas yet careful to test them against previous expeirence and knowledge. To put it in one sentence, a critical thinker is an active learner, someone with the ability to shape, not merely absorb, knowledge. Let me give you an example in Thai. Since you're a social sciences major, I'll talk about history. Historical facts shape the way wethink: they tell us what "makes sense" and what is "correct", providing us with a shared set of customs, values, ideas, etc. However, as history BINDS us together, it also "selectively" BLINDS us. The heroic stories about our forefathers (เช่น พระนเรศวร, การรบกับพม่า, หรือ พ่อขุนรามคำแหง) are "true" only in the sense that they only reflect cultural beliefs of Thai people. That is, these stories assured the Thai of the nobility of their origins; they provided models for the roles that the Thai people have to act in their private and public lives; they justified inequities in Thai society (especially between the royal people and the normal people); they helped the Thai people understand human life and destiny in terms that "make sense" within the framework of their culture. So, if you're a critical thinker, you should NOT just "memorize" the "facts" about พ่อขุนราม, การเสียกรุง หรือบทบาทของกษัตร์ไทย, but you should "question" these so-called "facts" and be open to alternative ways of seeing and understanding the same "facts." Once you can do this, you will NOT show biases (or อคติ) to people who don't think like you or who see the world differently than you do. But unfortunately, (from my experience at least), Thai education doesn't teach students to "question" these facts: some of them are thought of as "ดีอยู่แล้ว" "วัฒนธรรมไทยดีที่สุด" "เรามีอารยธรรมมากว่าชาติอื่นๆ" or "เป็นการดูหมิ่นเจ้าถ้าเราจะวิจารณ์เจ้า," and "facts" are simply to be momorised passively (if you're to be a good student and citizen!) That's part of the reason why our country, despite the self-proclamation, is not as "developed" (at least in terms of critical thinking) as the West. typos detected and corrected แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 51 08:20:56 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 51 08:20:42 จากคุณ : texanprofessor (krisdauw) - [ 8 ม.ค. 51 08:10:03 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เหมือนเราเลยอ่ะ เทอมแรก ๆ ของวิชาพยาบาลมี discussion บ่อยมาก ถึงมากที่สุด อย่างประเภทให้ scenario มาแล้วเราก็ต้องอธิบายทำไมต้องทำเป็นแบบงั้น เป็นแบบนี้ เหตุและผล อาจารย์ชอบถามประเภทรายตัวเลย แรก ๆ เราก็ไม่ช๊อบไม่ชอบ  เสียงสั่น ขางี้สั่นยิ่งกว่าเสียงอีก รู้สึกเหมือนเธอเลยแหละ จริง ๆ เราชอบนั่งหน้าห้อง ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นเด็กเรียน อาจารย์จะได้ไม่ถาม แต่ไหนได้ ตางี้จ้องกันไปจ้องกันมาเพราะใกล้กันแค่นั้น เจอถามทุกวันเลย  ตอนนี้เลยชินแล้ว ส่วนเรื่องภาษาเราว่า คนส่วนมากเค้าเข้าใจว่าเราไม่ใช่เจ้าของภาษานะ ถ้ายังไม่เก่ง ก็พยายามพูดข้อความที่ฟังง่าย และได้ใจความ ไม่สลับซับซ้อน เรื่องพรรณนี้ มันอาศัยเวลานะ เราว่า  ...... เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ จากคุณ : azalia - [ 8 ม.ค. 51 09:08:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตั้งคำถามกับทุกเรื่อง แยกแยะ Fact ออกจาก Opinion จากคุณ : Nexus - [ 8 ม.ค. 51 09:46:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ลองอ่านที่นี่ดูเผื่อจะได้อะไรดีๆกลับไป ส่วนอะไรที่มันไม่ดีก็กองเอาไว้ตรงนั้น http://rspas.anu.edu.au/rmap/newmandala/ จากคุณ : Nexus - [ 8 ม.ค. 51 09:57:49 ]

ความคิดเห็นที่ 6 --Six rules of critical thinking จาก Blog ของคุณ "piangdin" อ่านแล้วสามารถเข้าใจได้ง่ายดี ขออนุญาตโพส เผื่อเป็นประโยชน์กับหลายคน --Six rules of critical thinking Adapted from: Shiraev, E. B. & Boyd, G. L.(2001). The Accent of Success: A Practical Guide for International Students. New Jersey: Prentice Hall. 1. Know the differences between facts and opinions. They note that facts are supposed to be neutral. In that light, they strongly advise us to consider the source of the information very carefully. 2. "They are many colors in the rainbow." They suggest that people tend to generalize or categorize what they experience into something that may not represent all the details well. When we decide about one given issue or try to make a conclusion about a given event, they encourage us to consider all the relevant factors. 3. Emotions should not judge Facts. In a city where abortion is a hot issue during an election, stirred by the media, the people may not actually vote for a candidate mainly because of the candidate's policy on abortion! "Sometimes single facts may cause various emotions or speedy assessments. A more detailed analysis may suggest different interpretations." 4. "Naming something is not explaining it." Do accidents occur because of "aggressive driving"? or Do people donate money to charity because they "want to help others"?" The "aggressive driving" and "want to help others" are the phrases that seem clear and may be used by many people or in the media as if they are complete in themselves. Think about a person driving fast because he is in a hurry. Think about a person who is driving with fatigue. Also, think about people who give money to charity because they want to get tax exempt in return and those who want to be recognized by the people in the society, or those who want the community to vote for his party, etc. 5. A link between two events does not mean that one event is causing the other one. If a study reports that people in the neighborhood where there are more trees have a lower rate of lung cancer, is it justifiable to say that trees reduce lung cancer? What if people in neighborhood with fewer trees smoke more heavily and what if they also live near factories? Whether the lower number of trees causes lung cancer is thus problematic! 6. When you explain why certain things happen, think about many causes. A car accident that happened to a person may be simply said to have been caused by careless driving, but after we consider all the relevant factors we may find other factors. The light might have been dim. The car break might have been damaged. Your friend might have been driving for too long. The road might have been slippery. Examining multiple perspectives thus can a useful technique for critical thinker. แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 51 10:43:14 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 51 10:32:26 จากคุณ : IMglish - [ 8 ม.ค. 51 10:23:52 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เข้ามาเก็บความรู้ค่ะ ขอบคุณทั้งคุณ จขกท. ที่ตั้งกระทู้นี้ และก็ทั้งท่านที่มาให้คำตอบนะคะ จากคุณ : JC2002 - [ 8 ม.ค. 51 11:12:13 ]

ความคิดเห็นที่ 8 มีเพื่อนชาวอินเดีย บอกให้ไปหาหนังสือ The Publics ของ Plato มาอ่าน แล้วจะเข้าใจว่า อะไรคือ Critical thinking ป.ล. เราก็หามาตามที่เค้าบอก แต่ยังไม่ได้แตะเลย ถ้ายังไง จขกท. ถ้ามีเวลาลองหามาอ่านดูบ้างก้ได้ค่ะ :D จากคุณ : zizzi - [ 8 ม.ค. 51 14:08:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อูยโดนเหมือนกันเลย เราว่ามันเป็นจุดอ่อนของนักเรียนไทยนะ การศึกษาบ้านเราไม่ได้ปลูกฝังตรงนี้มาตั้ืงแต่ต้น (น้านนโง่แล้วไม่ยอมรับอีกเนาะเรา) พยายามอ่านบทวิเคราะห์ดีๆ เพื่อเป็นแนวทางแล้วหัดเขียนออกมา เวลาพรีเซ้นท์่ให้ซ้อมหลายครั้งก่อนเสนอจริง ลองเดาใจเพื่อนดูก็ได้ว่าจะโดนถามอะไรบ้าง ถ้าไม่เข้าใจที่เขาถามก็ทวนคำถามกลับไปว่าสงสัยตรงนี้ใช่ไหม จากคุณ : ไอ้เราก็รู้แค่นี่หน่ะ - [ 8 ม.ค. 51 19:15:36 A:193.216.55.10 X: TicketID:159141 ]

ความคิดเห็นที่ 10 http://classics.mit.edu/Plato/republic.html จากคุณ : Nexus - [ 8 ม.ค. 51 23:11:27 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อย่าพึ่งไปเสียเวลาสนใจคำว่า Critical Thinking วางไว้ก่อน ( หรือแม้กระทั่ง term อื่นๆ เช่น Parallel Thinking, Socrates Method, Holistic Thinking, Creative Thinking, ect. ) ผมจะบอกให้ว่า ในจักรวาลนี้ มันมีวิธีคิดอยู่สองรูปแบบเท่านั้นแหล่ะ คือ (1.) วิธีคิดที่แก้ปัญหา(นั้นๆที่คิดอยู่) ได้ดีที่สุด ได้คำตอบที่ต้องการตรง และดีที่สุด สำหรับสถานการณ์นั้นๆ กับ (2) วิธีคิดอื่นๆทั้งหมดที่ไม่ได้ผลลัพธ์อย่างวิธีคิดในข้อแรก ดังนั้นทุกๆครั้งที่คุณได้ยินผู้บรรยาย หรือ ใครก็ตามพูดว่า critical thinking หรือ อื่นๆ ให้คุณเข้าใจว่า หมายถึงวิธีคิดข้อแรก หลักการคิดของคน มันไม่ใช่ว่าจะมาเรียนรู้กันแล้วเอาไปใช้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพราะมันเป็น pattern ที่ปลูกฝังมา โตขึ้นมา พวกวิธีคิดในรูปแบบต่างๆที่ตะวันตกรวบรวมเป็นระบบ ถ้าสนใจ ค่อยไปศึกษาเอาเองทีหลัง แต่ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือ การเอาตัวรอดในปัจจุบันนี้ คือ การเตรียมตัวไป present ไป discuss หน้าห้องได้ เพื่อที่จะได้เรียนให้จบ นี่คือโจทย์ของเรา -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เวลาอ่านหนังสือ ( ในกรณีของคุณที่ว่า อ่านช้า และคิดช้า ) ให้คุณยอมรับความจริงว่า ในเมื่อคุณอ่านช้า คิดช้า คุณก็ควรต้องใช้เวลาอ่านให้มากขึ้น ใช้เวลาคิดให้มากขึ้น ดังนั้นตรงนี้ก็ต้องอาศัย Time management เอาเอง กิจกรรมอะไรที่ไม่จำเป็น และลดทอนได้ ก็ตัดทิ้ง ส่วนกิจกรรมที่จำเป็น ก็พยายามหาทางทำให้เสร็จเร็วขึ้น เวลาอ่าน ไม่ต้องอ่านให้จบทั้งหมด ( กรณีคุณ ) ให้อ่าน content ว่าเนื้อหาในเรื่องนั้นๆมีอะไรบ้าง *** อ่านบทย่อ บทนำ และบทสรุป *** แต่อ่านจากหลายๆฉบับ ของคนเขียนหลายๆคน *** *** การทำแบบนี้ จะทำให้คุณได้ key point สำคัญๆของเรื่องนั้นๆ โดยที่คุณไม่ต้องเสียเวลาอ่านทั้งหมด*** ( เชื่อผมเถอะ พวก paper ทั้งหลาย คนเขียนน่ะ BS ไว้เยอะ ยิ่งสายของคุณ สังคมศาสตร์ มันเป็นการร่ายยาว ด้วยบรรยายโวหารเพื่อสรุปเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของตัวแปร มันไม่ใช่สายพวกวิทยาศาสตร์ที่จะต้องมีส่วนของ การ prove ที่บางครั้งเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจำเอาไปอ้างอิงต่อ ) และอย่าลืมว่า นี่เราแค่ต้องการอ่านเพื่อไป present เพื่อเอาตัวรอดหน้าชั้น ตรงนี้เราแค่ play the game เพื่อให้ได้คะแนนไว้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน (ต่อ) เมื่อได้ ตัวแปรต่างๆที่เกี่ยวข้องแล้ว คุณ List ไว้ เป็น A, B, C, D,.... ในส่วนของ A อาจจะประกอบไปด้วย a1, a2, a3,... ในส่วนของ B อาจจะประกอบไปด้วย b1, b2, b3... ( ไม่ต้องเอามาเยอะ ไม่ต้องพยายามหามาให้ครบ ให้เอาเฉพาะพระเอกกับผู้ร้ายมาก็พอ ) -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- หาตัวแปรที่ต้องการได้แล้ว ขั้นต่อไปคือ การหาความสัมพันธ์ โครงสร้างมันจะเป็นแบบนี้ คือ มันจะเป็นสมการ ว่า อะไรเป็นตัวแปรที่ทำให้เกิดผลอะไรตามมา และอย่างไร (ทุกอย่างทุกเรื่อง มันจะไม่หนีพ้นนี้แน่นอน มันคือการหาความสัมพันธ์ของตัวแปรแล้วเชื่อมโยงหาผลสรุป) If A then B ( A เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด B ) ทีนี้ หน้าที่ของคุณคือ เวลาจะเอาอะไรไป discuss หน้าชั้น ให้คุณหา ส่วน Else C ให้ได้ ==> นี่คือ Option ที่ 1 If A then B ( Else C.) คือ มันไม่ใช่แค่ว่า ถ้า มี A แล้ว จะต้องเกิด B แน่ๆเสมอไป มันอาจจะมีโอกาสที่เป็น C ด้วยก็ได้นะ ตรงนี้คุณมีอะไรไป discuss แล้วนี่ เอาแค่ Else C ที่ว่านี่ ตัวเดียว คุณพูดขยายความไปได้อีกเยอะเลย - กรณีอะไรบ้าง ที่ทำให้ เกิด B แน่นอน กรณีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ แต่มี C โผล่มาแทน - ถ้าหาเหตุผลได้แล้ว จะทำอย่างไรเพื่อควบคุมให้มันเป็นอย่างนั้นๆ ( เกิด B แน่นอนเท่านั้น หรือ เกิด C แน่นอนเท่านั้น) มีอะไรไปพูดได้เยอะมาก เพราะว่า ใน A ก็ยัง มี a1, a2,a3. ใน B ก็ยังมี b1,b2,b3 ใช่มั้ย ในแต่ละตัวแปรมัน play the role จริงๆหรือเปล่า หรือว่ามัน tangible but irrelevant ตรงนี้มันแตกแขนงไปได้เยอะมาก หรือคุณอาจจะมองเห็นจุดที่มีเหตุผลน่าเชื่อเพียงพอที่จะนำเสนอว่า จริงๆแล้วตัวแปรทุกๆตัวมัน tangible and relevant แต่ตัว function คือ กรอบคิดที่ใช้ในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ If A then B ( Else C) นี้ มันบกพร่อง ( รายละเอียดตรงนี้คือ Option ที่ 2 --- ซึ่ง ไว้ค่อยอธิบายอีกที ในโอกาสต่อไป) -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- การ discuss หน้าชั้นเรียน ไม่จำเป็นว่า เราจะต้องรู้ดีทั้งหมด รู้คำตอบสุดท้าย ไม่จำเป็น เราแค่เอาส่วนที่เรามองเห็น ไปนำเสนอ แล้วเวลาที่คิดอะไรไม่ออก มีวิธีการก็คือ ถามคนในชั้น ถามผู้บรรยาย ถามดื้อๆเลย เหมือนเราเป็นผู้บรรยายไง ต้องการ interact กับคนในชั้น ต้องการ input จากเพื่อนร่วมชั้น ต้องการ alternative perspective มันก็จะทำให้เรา-มีเวลาคิดออกว่า-จังหวะต่อไป-จะพูดอะไรต่อ ในขณะเดียวกัน เราทำให้คนในชั้น pay attention ด้วย ถ้าภาษาอังกฤษของเราไม่แน่น พูดไม่เก่ง ก็ไม่เป็นไรนี่ ในเมื่อพูดไม่เก่ง ไม่ลื่น พูดสดๆไม่ได้ คุณก็เหลือทางเลือกเดียว นั่นคือ จดไปพูด คือ อ่านเลย เหมือนนักการเมืองบางคนเวลาจะพูดอะไรที่สำคัญๆ เค้าจดไปอ่าน อ่านหน้าไมค์เลย แต่ไม่ใช่ว่า ก้มอ่านอย่างเดียว เราก็พูดคุยปกติปนๆไปด้วย ผสมๆกัน หรือ ถ้าคิดว่า พูดแล้วคนฟังไม่รู้เรื่องแน่นอน ก็ print out เลย สิ่งที่เราต้องการ discuss ทำเป็นหัวข้อๆ แต่ละหัวข้อมีรายละเอียดอธิบายเล็กน้อยๆ เอาให้ fit in ในกระดาษ A4 แผ่นเดียว แล้วแจกไป แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว เราพูดไม่รู้เรื่อง แต่เขายัง follow เราได้ เพราะเรา list ไปให้เค้าดูแล้วว่าเราจะพูดอะไรบ้างไง อย่าไปปักใจคิดว่า ภาษาเราไม่เก่งแล้วเราจะ present ได้ไม่ดี เพราะว่า คนที่พูดได้เก่ง พูดได้คล่อง ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะ present ได้ดีเสมอไป ( คุณเคยเจอมั้ย คนที่พูดไม่รู้เรื่อง เรียงลำดับความสำคัญไม่ได้ เชื่อมโยงเหตุผลไม่ได้ ) -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- A = a1 + a2 a1 = คิดช้า อ่านช้า a2 = พูดอังกฤษไม่เก่ง ไม่ลื่น B = b1 + b2 b1 = อ่านหนังสือไม่เข้าใจ ไม่ทันคนอื่นๆในชั้น b2 = ไม่สามารถ present และ discuss หน้าชั้นได้ดี If A Then B --------------- ถ้า [คิดช้า อ่านช้า พูดอังกฤษไม่เก่ง ไม่ลื่น] ----แล้วจะทำให้ --->[อ่านไม่ทันคนอื่น ไม่สามารถ discuss ได้ดี] หน้าที่ของคุณคือ ***คิดยังไงก็ได้*** เพื่อหา Else C part ให้เจอ ------------------------------------------------------------------------- C = c1 + c2 c1 = อ่านจากหลายๆฉบับ แต่เน้นบทนำ บทย่อ บทสรุป skip ส่วนขยาย เน้นหา ตัวแปรต่างๆที่ต้องการ c2 = print out หัวข้อและรายละเอียดที่เราต้องการสื่อ แล้วแจกให้คนในชั้น เวลาพูด พูดผสมอ่าน ( what could be worse ? if they can't make out of what u say, they can still read, right?) จากคุณ : - 072648 - [ 9 ม.ค. 51 01:38:35 A:58.136.72.39 X: TicketID:072648 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เข้ามาอ่าน ประดับความรุ้ ครับ อยากขอบคุณทุกความเห็น จากคุณ : Old Guy - [ 9 ม.ค. 51 07:50:43 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบอก ว่าคุณมาถึงตรงนี้ได้นี่ ต้องไม่ใช่ขี้ไก่แล้ว เพราะงั้น คุณจะทำอะไร ก็ดูดีมีชัยไปแล้วกว่าครึ่ง ขอเอาใจช่วย ให้ตั้งอกตั้งใจทำงานออกมาได้ดีสมเจตนา ฝรั่งที่เห็นว่าพูดเก่งๆหน่ะ บางคนหัวขี้เลื่อยเยอะไป ไม่ต้องไปกลัวมัน สู้โว้ยยย.... จากคุณ : PatPDX - [ 9 ม.ค. 51 11:12:01 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบพระคุณมากๆเลยค่ะ โดยเฉพาะความเห็น 6 กับ 11 เราชอบ 11 มากๆที่สอนวิธีการเอาตัวรอดในปัจจุบันไว้ก่อน ช่วยเราได้เยอะเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจด้วยนะคะ เราจะพยายามค่ะ สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : จขกท. - [ 9 ม.ค. 51 16:38:48 A:137.224.235.42 X: TicketID:018639 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เห็นด้วยกับคุณ PatPDX สู้ค่ะ จากคุณ : yuy - [ 9 ม.ค. 51 20:01:12 A:124.121.17.154 X: TicketID:124751 ]